ใบไม้ร่วงหนึ่งใบในราวป่ายังดีกว่าใบไม้เหลืองในเมืองหลวงที่รอปลิดปล่นเปล่าประโยชน์ปวงเป็นด่างดวงดำเปื้อนในป่าคน ใบไม้ป่าร่วงแล้วได้เลี้ยงป่าทิ้งลงมาเลี้ยงรากเลี้ยงลำต้นเหมือนแม่ให้นมลูกปลูกฝังจนลูกเติบตนโตแทนเต็มแผ่นดิน เมื่อเมืองคนคั่งคับด้วยคนป่าคนดีก็ด้อยค่าเหมือนกรวดหินเมื่อสัตว์ป่าสร้างป่าไว้หากินสัตว์เมืองก็ต้องสิ้นวิสัยเมือง ใบไม้ป่าชื่อจิตร ภูมิศักดิ์ ได้ร่วงแล้วลงเป็นหลักให้โลกเลื่องดั่งเทียนป่าปลุกแสงขึ้นแรงเรืองไม่เปล่าเปลืองลมปราณที่ต้านลม ลมประสานเสียงแคนว่าแค่นแค้นเปิบข้าวทุกคราวแค่นความขื่นขมเหงื่อกูรินตากูแล้งน้ำแห้งตรมร่างกูซมซานไข้จนเขียวคาว เสียงปืนดังเปรี้ยงกว่าเสียงปากก็ปิดฉากชีวิตมืดมิดหนาวแต่วิญญาณคือทิพย์ที่ยืนยาวดั่งดวงดาวยิ่งดึกยื่งดื่นตา กาลเวลาฆ่าจิตร ภูมิศักดิ์ กาลเวลาก็ตระหนักประจักษ์ค่ากาลเวลาฆ่าคนดีทุกทีมาแต่เวลาก็ทูนเทิดเชิดคนดี ใบไม้ร่วงหนึ่งใบในราวป่าเพื่อแตกมาเป็นใบใหม่ในทุกที่จิตรหนึ่งดวงดับไปในวันนี้เพื่อจะมีจิตรใหม่มากมายดวง ถ้าสัตว์เมืองสร้างเมืองเป็นป่าได้เราก็เหมือนใบไม้เหลืองในเมืองหลวงที่โหยหาป่าเขาเปลี่ยวเปล่าปวงจิตรจะร่วงลงทั้งป่าเข้ามาเมือง
ขอปิดซีรี่ส์นี้ ด้วยบทกวีของคุณ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ซึ่งเขียนขึ้นน่าจะกว่า 20 ปีแล้ว (ขออภัยครับ ไม่มีแหล่งอ้างอิงอยู่ใกล้มือ) ตีพิมพ์ในหนังสือรวมบทกวีของคุณเนาวรัตน์ชื่อ "เพียงความเคลื่อนไหว" ซึ่งได้รับรางวัลอะไรซักอย่างด้วย
ส่วนเวอร์ชั่นที่เป็นเพลง ขับร้องโดยวง ต้นกล้า โชคดีมาก ที่ผมติดเทปเพลงเพื่อชีวิต (ม้วนนี้คาดว่าอายุเกิน 10 ปี) มาด้วย ผมฟังแล้วมันเสียดแทงใจดีเหลือเกิน ถ้าหาต้นฉบับไม่ได้ ก็ไม่รู้จะร้องให้ฟังยังไงด้วยซ้ำ (ยากมั่กๆ ครับ)