Group Blog
 
All blogs
 
เปลวไฟในฝัน ตอน 3-4




เ ป ล ว ไ ฟ ใ น ฝั น


บทประพันธ์ นันทวรรณ รุ่งวงศ์พาณิชย์
กมลชนก ยวดยง เรียบเรียงจากบทโทรทัศน์


ตอนที่ 3



กุหลาบนำธนบัตรสีแดงหลายใบที่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงในการเฝ้าบ่อน ดูต้นทางให้เฮียไก่มาใส่กล่องสังกะสีเก่าๆใบหนึ่งที่เจาะรูด้านบนเป็นเหมือนกระปุกออมสิน....กล่องใบนี้ดูเก่าแก่ ลายสีเลอะเลือนยากจะดูออกว่าเคยเป็นกล่องใส่ขนมจำพวกคุกกี้มาก่อน

“มันจะถึงแสนหรือยังนะ...”
กุหลาบครุ่นคิด.....

เขา บัว และจำปาผู้เป็นแม่นำเงินที่หามาได้เก็บใส่กล่องใบนี้มาเป็นเวลานับสิบปีแล้ว ตั้งแต่ทุกคนรู้ว่าบัวเป็นโรคลิ้นหัวใจพิการ

“ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหน เราก็จะไม่มีวันแคะกระปุกใบนี้ สัญญากันนะ“ จำปาเคยทำสัญญากับลูกรักทั้งสองไว้อย่างนี้ กุหลาบและบัวเกี่ยวนิ้วก้อยสัญญากับแม่

“ลูกผู้ชายไม่เคยลืมสัญญา...”

เด็กชายทั้งสองให้คำสัญญาอย่างแข็งขัน ...กุหลาบที่กำลังจะเปิดกล่องออกดูตัดสินใจวางกล่องเก็บเงินนั้นลงไปในตู้อีกครั้ง

“อีกไม่นานนะพี่บัว ผมจะหาเงินมาให้พี่ได้ผ่าตัด พี่จะต้องแข็งแรงเหมือนคนอื่นเขา”

กุหลาบตั้งปณิธานไว้เช่นนั้น ....ความจริงถ้าเขาไม่ติดว่าต้องอ่านหนังสือสอบเพื่อเตรียมตัวสอบเอ็นทรานซ์ กุหลาบคงจะรับจ๊อบหาเงินกับเฮียไก่ และได้เงินมาเป็นค่าผ่าตัดให้บัวมากกว่านี้

“กุหลาบ ฟังแม่นะ เคล็ดลับแก้ความจน ไม่มีอะไรดีไปกว่าเรียนหนังสือหรอกนะลูก”

จำปาย้ำประโยคนี้กับเขาเสมอ เพราะจากประสบการณ์ทำให้จำปารู้ดีว่า ความเลื่อมล้ำของผู้มีการศึกษาและด้อยการศึกษามันมากมายขนาดไหนในสังคมปัจจุบัน

“ดีใจจัง นึกว่าแม่คะยั้นคะยอให้ผมเรียนเพราะกลัวผมเป็นคนเลวอย่างที่ลุงสมชายพูดเสียอีก”

กุหลาบเคยพูดทีเล่นทีจริงกับแม่เช่นนั้น แต่จำปาไม่ขำด้วย เธอหน้าตึงขึ้นมาทันที
“หมายความว่าไง”

“ที่ลุงเขาพูด ตอนเราขึ้นรถไฟมาไงครับ เด็กเก็บมาจากถังขยะนิสัยเลวๆอย่างผม จะทำให้แม่กับพี่บัวเดือดร้อน”

กุหลาบพูดด้วยน้ำเสียงขมขื่น...แม้ว่ามันจะนานมากแล้วก็ตาม แต่เขาไม่มีวันลืมคำพูดของสมชาย

“นี่ลูกยังจำได้อีกหรือ” จำปาถามอย่างตกใจ ไม่คิดว่าสิ่งที่สมชายพูดจะคงวนเวียนอยู่ในความคิดของลูกรัก กุหลาบพยักหน้าน้อยๆ และสีหน้าเศร้าหมองไป

“แม่ก็นึกกลัวเหมือนกันใช่ไหม ผมเป็นลูกใครก็ไม่รู้ อาจเป็นลูกคนเลว คนชั่วที่ไหนก็ได้ แล้วถ้าเกิดความเลวความชั่วมันอยู่ในสายเลือดของผม”

จำปาใจหายวาบ กุหลาบจำได้ทุกคำ หญิงสาวโวยขึ้นมาเสียงดังลั่น
“หยุด ! หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ ถ้าไม่หยุดไม่ต้องเรียกฉันว่าแม่ ! “

เล่นเอากุหลาบเหวอไป ไม่คิดว่าแม่จะโมโหขนาดนี้
“แม่….”

จำปาลุกขึ้นยืนชี้หน้าด่า
“ฉันเก็บแกมาจากถังขยะ ยอมให้แกกินนมที่ควรเป็นของลูกฉัน ยอมทิ้งผัวทิ้งบ้าน หนีหัวซุกหัวซุนมา ทั้งหมดนี่แกคิดว่าฉันทำเพื่อใคร ทำเพื่ออะไรหรือ ! “

น้ำเสียงของจำปาดุจริงจัง และเย็นชา จนกุหลาบเสียวสันหลังวาบ เขาพยายามอธิบาย
“แม่ครับ…. ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น ผม...”

“ทั้งหมดนี้เพราะฉันเชื่อมั่นในตัวแก แกอาจมีสายเลือดไอ้ขี้คุกกับอีตัวที่ไหน ฉันไม่รู้ ฉันรู้แต่ว่าฉันจะเลี้ยงแกให้เป็นคนดี ฉันแค่หวังจะได้เห็น ไอ้เด็กที่ไม่มีใครต้องการ มันเติบโตขึ้นเป็นคนดี ทำประโยชน์ให้คนอื่น ฉันหวังแค่นี้ แกทำให้ฉันสมหวังได้ไหม …บอกมาสิว่าทำได้ไหม ! “

กุหลาบฟังแล้วน้ำตาคลอ ทรุดลงไปก้มกราบแม่ ชายหนุ่มเข้าใจแล้วว่าแม่รักตนเองแค่ไหน
“ผมขอโทษ …ผมจะไม่คิดอะไรโง่ๆแบบนี้อีก”

จำปาน้ำตาไหลออกมาเช่นกัน ผู้เป็นแม่ก้มลงกอดลูกแน่น เสียงอ่อนลง
“ถ้าแม่ไม่เชื่อมั่นในตัวแก แม่จะไม่เก็บแกมาเลย เข้าใจไหมลูก แม่รักลูกนะ แม่รักลูก”

กุหลาบกอดผู้เป็นแม่แน่น.....และหลังจากวันนั้น เขาปฏิญาณกับตนเองว่าจะเป็นคนดี จะเรียนหนังสือ จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ เขาจึงงดรับงานของเฮียไก่ในช่วงนี้เพื่อทุ่มเทกับการอ่านหนังสือ

เย็นวันนั้น บัวกลับมาบ้านอย่างมีความสุข อารมณ์ดีผิดปกติจนจำปาสังเกตเห็น
“เป็นอะไรลูก ยิ้มอะไร” จำปาถามลูกรักขณะนั่งกินข้าวอยู่ร่วมกัน

”เปล่านี่ฮะแม่”
“ก็เห็นอยู่ว่ายิ้ม ไปเจออะไรดีๆ เข้าหรือไงลูก”

บัวไพล่คิดไปถึงเหตุการณ์ที่มูลนิธิเมื่อตอนกลางวัน ใบหน้าสวยๆ ของลีลาวดีลอยวนเวียนไปมาอยู่ในความคิด ยิ่งนึกก็ยิ่งเขิน ….แต่เขาคงอึดอัดใจตายถ้าไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใคร

“ผมไปเจอผู้หญิงคนหนึ่ง ตอนแรกก็เฉยๆ แต่พอไปๆก็…” เล่ามาได้ถึงตรงนี้ บัวก็เกิดอาการเขินจนพูดไม่ออกขึ้นมาอีก จนกุหลาบที่ตั้งใจฟังอยู่ถึงกับเป่าปากแซว

“วิ้ว..... อยากเจอผู้หญิงคนนั้นแล้วสิ”
“ผมเพิ่งเข้าใจที่แม่บอก ผู้หญิงที่ทำให้เรามีความสุขเป็นยังไง จู่ๆโลกก็เปลี่ยนไป”

แววตาบัวเปล่งประกายอย่างมีความสุข จำปากำลังจะแซวลูกแต่แล้วจู่ๆกุหลาบก็ชิงพูดขึ้นต่อ
“ทุกอย่างดูดีไปหมด เหมือนไม่ใช่โลกใบเก่า”

ขณะนี้กุหลาบก็มีแววตารำลึกเช่นกัน ไม่มีใครรู้เลยว่าสองพี่น้องกำลังนึกถึงหญิงสาวคนเดียวกัน
จำปามองลูกรักทั้งสองอย่างแปลกใจ
“นี่เป็นอะไรกันไปหมด สองคนนี้ นี่ตื่น…ตื่น”

ผู้เป็นแม่ตีแก้มเรียกสติชายหนุ่มทั้งสอง บัวและกุหลาบหัวเราะเสียงใส ปฏิเสธว่าไม่มีอะไร รีบตักอาหารกินแก้เขิน แต่ดูเหมือนจะบังเอิญเหลือเกินที่ทั้งสองตักที่ปีกไก่ทอดชิ้นเดียวกันพอดี

“ปีกไก่เหลืออันเดียว ใจตรงกันจริงนะ แล้วคราวนี้จะเอาไงดี ชกกันแบบลูกผู้ชายดีไหม” จำปาแกล้งแซวลูก

บัวเอามือโอบน้องไว้หลวมๆ
“ไม่มีวันเสียล่ะ ไม่ว่าจะเป็นอะไร พี่ชายคนนี้ยกให้น้องได้ทุกเมื่อ”

กุหลาบปัดมือบัวออก หันไปตักอย่างอื่นกินแทน
“เสียใจ น้องคนนี้มีศักดิ์ศรี เราไม่เคยแย่งของๆพี่ชาย”

“แหมก็นี่มันแค่ปีกไก่ เกิดเป็นสาวสวยขึ้นมาล่ะก็ นึกถึงคำพูดของตัวเองให้ดีเถอะ”

จำปาแซวลูกทั้งสอง ทุกคนพากันหัวเราะสนุกสนาน กุหลาบไม่คิดมาก่อนเลยว่าคำพูดของแม่จะเป็นเหมือนลางบอกเหตุอะไรบางอย่าง

วันรุ่งขึ้นกุหลาบและบัวมาถึงที่มูลนิธิพร้อมกัน บัวตรงเข้าไปคุยกับลีลาวดี กุหลาบตามมาภายหลัง ก่อนที่หล่อนจะเห็นเขา กุหลาบวิ่งออกจากที่ตรงนั้นกลับบ้าน !

ใบหน้าซีดขาวมายืนตรงหน้าแม่ แม่ตกใจหันมาถามว่าเขาเป็นอะไร หนีอะไรมา
“หนีโชคชะตา ผมกำลังวิ่งหนีโชคชะตาครับแม่ ! “

หัวใจของกุหลาบเหมือนตกจากที่สูง เมื่อได้รู้ว่าหญิงสาวที่บัวรักคือลีลาวดี....หญิงสาวคนเดียวกับที่นั่งอยู่ในหัวใจเขานั่นเอง !

กุหลาบนึกโกรธโชคชะตาที่ทำให้เขาเจ็บปวดเช่นนี้ แต่ไม่มีทางเสียล่ะที่เขาจะแย่งคนรักของบัว กุหลาบพยายามตัดใจ

“ก็แค่คนรู้จัก อย่าคิดมาก อย่าสนใจ หน้าที่ของเราคือตั้งใจเรียน ตั้งใจเรียน”

กุหลาบพร่ำบอกกับตัวเองเช่นนั้นทุกวัน เขาต้องทำให้ได้ถึงแม้ว่าตัวเขาเองจะชอบผู้หญิงคนนั้นแค่ไหนก็ตาม

“ดีที่ลีลาวดียังไม่ทันเห็นเขา” กุหลาบคิดเช่นนั้น

เขาเลือกที่จะไม่เข้าไปพบหญิงสาว เรื่องที่เขาเป็นน้องชายบัวจึงเป็นความลับแก่ลีลาวดีต่อไปจนกระทั่งหญิงสาวเดินทางกลับอเมริกา

“คุณจะกลับมาอีกหรือเปล่า”

บัวถามเสียงเศร้า เขาและเด็กๆในมูลนิธิฯมายืนส่งลีลาวดีอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เพียงเวลาแค่ไม่กี่วันที่ได้รู้จัก ทุกคนต่างมีความรู้สึกดีๆ ให้แก่กัน จนอดใจหายไม่ได้

“ฉันสัญญา คุณคือเพื่อนของฉัน เมื่อไหร่ที่ฉันมาเมืองไทย ฉันจะมาที่นี่” ลีลาวดีบอกกับเขาอย่างอ่อนโยน

“สัญญาแล้วอย่าลืมนะครับ เพราะจะมีใครคนหนึ่งรอคุณอยู่เสมอ ถ้าคุณลืมสัญญาของคุณ ใครคนนั้นก็คงต้องรอเก้อ”

บัวบอกสิ่งที่ใจตนรู้สึกอย่างไม่ปิดบัง เขาไม่ได้พูดเพื่อหวังจะจีบหญิงสาว แต่เขาหมายความอย่างนั้นจริงๆ ลีลาวดีอดเขินไม่ได้กับคำพูดซื่อๆของบัว หญิงสาวยิ้มหวานให้เขาก่อนจากไป

บัวมองตามหญิงสาวไปอย่างอาลัยอาวรณ์....หลังจากลีลาวดีกลับไป บัวซึมเศร้าผิดปกติ เขาหวั่นใจเหลือเกินว่าจะไม่ได้เจอหญิงสาวที่เขาหลงรักอีก แต่แล้ว บัวก็มีเวลาเศร้าได้ไม่นาน เพราะเมื่อมูลนิธิฯรับเด็กใหม่จากสถานสงเคราะห์ที่ปิดตัวลง เด็กใหม่ก็ก่อปัญหาไม่เว้นแต่ละวัน

ภาพเด็กสาวแต่งตัวเหมือนเด็กจรจัด เสื้อเชิ๊ตตัวใหญ่อำพรางรูปร่างจนดูเหมือนทอมบอย หน้าตามอมแมม ซ่อนผมมิดชิดไว้ใต้หมวกแก็ป นั่งเต๊ะจุ๊ย กินขนมสอดไส้ของแม่ค้าที่เพิ่งขโมยมาอย่างสบายใจ ไม่ได้ชวนให้คนเห็นรู้สึกเมตตาเลยสักนิด

“นังขอทานนั่น มันขโมยของของฉัน ช่วยด้วย ใครก็ได้ ช่วยที” แม่ค้าขายขนมโวยวายดังลั่น

“มะลิ” เด็กสาวทอมบอยที่เข็ดกับการอยู่บ้านเด็กกำพร้าจนไม่คิดจะยอมเข้าไป ไม่มีทีท่าอาทรร้อนใจ ยังคงลอยหน้าลอยตาตอบเสียงใสไม่มีสลดแม้แต่นิด

“ป้าก็ขี้เหนียวไปได้ ขนมแค่สามสี่ถุง ถือว่าจ่ายค่าคุ้มครองแล้วกัน”

ไม่พูดเปล่า มะลิยังแบมือกระดิกนิ้วยิกๆ ไปตรงหน้าแม่ค้าขนมรุ่นป้า

“ค่าคุ้มครอง คุ้มครองอะไรวะ”
“เอ้า ก็คุ้มครองความปลอดภัยจากตัวฉันไง”

“ตัวเท่ากระเปี๊ยกแถมหัวเดียวกระเทียมลีบอย่างเอ็ง หนอยริอ่านเก็บค่าคุ้มครอง นังต้อยไม่ต้องไปจ่าย พวกเรารุมมัน”

แม่ค้าข้าวแกงร้านข้างๆ ตามมาช่วยด่า ไม่ได้นึกศรัทธากับนักเลงตัวเล็กอย่างมะลิเลยสักนิด ทุกคนกรูเข้าไปเล่นงานจนมะลิต้องกระโดดหนี

แต่ระหว่างหนีมะลิก็มิวายอาละวาดทำข้าวของเสียหายไปตลอดทาง จนในที่สุดบรรดาพ่อค้าแม่ค้าในตลาดก็ต้องยอมจ่ายค่าคุ้มครอง 10 บาทให้เด็กเกเรอย่างมะลิ

เด็กสาวยิ้มกริ่ม หนทางหาเงินมันช่างง่ายดายเหลือเกิน ถ้าเธอหาเงินได้อย่างนี้ทุกวันคงอยู่ได้อย่างสุขสบาย แต่สิ่งที่มะลิคิดดูจะไม่ง่ายเสียแล้วเมื่อเจ้าถิ่นเก่าอย่าง “ฮะเก๋า” คนแคระตัวเล็กแต่ใจใหญ่ และ “บ๊ะจ่าง” ชายร่างยักษ์แต่ใจปลาซิว อดีตลูกสมุนของกุหลาบไม่พอใจการกระทำของเด็กสาว

ฮะเก๋า และ บ๊ะจ๋าง ท้าชนกับมะลิ ซึ่งหญิงสาวก็รับคำท้าอย่างไม่กลัว
“คนอย่างไอ้มะลิ ไม่เคยกลัวนักเลงเจ้าถิ่นหน้าไหนหรอกโว้ย “

เด็กสาวประกาศเช่นนั้น ซึ่งเธอก็เล่นงานคนทั้งคู่จนอ่วม ฮะเก๋าและบ๊ะจ่างยอมแพ้ ทั้งสองปาวารณาตัวเป็นลูกสมุนมะลิ เรียกมะลิว่า “เฮีย” ทุกคำ

“ข้าจะดูแลพวกเอ็งเอง รับรอง เราสามคนได้เป็นขาใหญ่ ของชุมชนนี่แน่นอน” มะลิบอกกับสมุนใหม่เช่นนั้น แต่แล้วลูกพี่ก็มีอันต้องวิ่งอ้าวเมื่อบรรดาแม่ค้าไปฟ้องตำรวจให้ตามจับตัว

“มาเลยเฮียวิ่งมานี่” ฮะเก๋าอาสาเป็นคนนำ ชายแคระวิ่งนำมะลิไปซ่อนตัวที่บ่อนเฮียไก่ บ้านหลังหนึ่งที่ดูภายนอกปิดตาย ตำรวจตามพวกของมะลิเข้าไปในบ้านนั้น บรรดาขาไพ่แตกฮือ
บ่อนของเฮียไก่ถูกทลายยับเยิน !! มะลิและลูกสมุนหนีรอดไปอย่างปลอดภัย

แต่....กุหลาบที่กำลังขะมักเขม้นในการท่องหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยกลับเป็นผู้รับเคราะห์ในครั้งนี้ !

“พลั่ก !!”
“รอน” มือขวาของเฮียไก่บุกเข้าไปเตะกุหลาบจนหล่นจากเก้าอี้ สมุดหนังสือของกุหลาบแตกกระจายเกลื่อนพื้น

“เพราะเอ็งคนเดียว รับงานเฝ้าบ่อนมาแล้วทำไมไม่เฝ้า ปล่อยไอ้โง่สองคนนั้นเฝ้าบ่อน บ่อนเฮียไก่ถึงโดนจับ”

กุหลาบมองหน้าคนที่ทำร้ายเขาอย่างแปลกใจ
“บ่อนโดนจับเหรอ ช่วยไม่ได้ ข้าลาออกแล้ว จะโดนจับหรือไม่จับ ก็ไม่เกี่ยวกับข้า”

“นี่เอ็งคิดว่าเล่นขายของอยู่หรือ คิดจะทำก็ทำ คิดจะเลิกก็เลิก เอ็งไม่รู้หรือ ว่าเส้นทางเนี้ย เข้ามาแล้วออกไม่ได้”

“ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น ข้ารู้แต่ข้าต้องสอบ ข้าต้องอ่านหนังสือ”
“หึ เอ็งนี่มันดัดจริต คิดว่าการเรียนต่อจะช่วยลบกลิ่นน้ำครำของคนสลัมได้งั้นหรือวะ”

“ใช่ ยิ่งเห็นไอ้สวะสังคมอย่างพวกเอ็ง บอกตรงๆข้ายิ่งอยากเรียนอยากหนีไปให้พ้น”

รอนโกรธมากที่ถูกกุหลาบตอกกลับเช่นนั้น รอนกระชากหนังสือในมือกุหลาบมาฉีกเป็นชิ้นๆพร้อมเหยียบซ้ำอย่างไม่ใยดี กุหลาบโกรธมาก เขากระโจนเข้าเล่นงานรอนทันที แต่กุหลาบตัวคนเดียวคงสู้รอนและพรรคพวกไม่ได้ สุดท้าย กุหลาบก็ถูกพาตัวไปหาเฮียไก่

“ดี เอาฉันไปฆ่าทิ้งไกลๆ แม่กับพี่จะได้ไม่ต้องมาเห็น” กุหลาบบอกอย่างไม่กลัว
“จะตายแล้วยังทำปากดี”

เฮียไก่เสียงเข้ม เขาแกล้งพูดให้กุหลาบสะทกสะท้านเล่นเพื่อดูปฏิกิริยา เพราะแท้จริงแล้วเฮียไก่ให้รอนไปจับตัวกุหลาบมา เพื่อเกลี้ยกล่อมให้มาเป็นพวกต่างหาก

“ฉันเกิดได้สามวันแม่ก็เอามาทิ้งถังขยะ คนที่มีโอกาสตายตั้งแต่สามวันแรกที่ลืมตาดูโลก เฮียไม่รู้หรอกว่าไอ้คนพวกนี้มันคิดอะไร”

“คิดอะไร”
“คิดว่าชีวิตที่เหลือก็มีแต่กำไรน่ะสิ ฉันอยู่มาได้ถึงป่านนี้ ก็ถือว่าเกินคุ้มแล้ว”

เฮียไก่มองกุหลาบที่ไม่มีวี่แววว่ากลัวความตายสักนิดอย่างชอบใจ

“นิสัยโหดร้ายในสายเลือด สู้ด้วยสัญชาติญาณไม่กลัวตายอย่างเอ็ง เนี่ย ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นบัณฑิตแน่ๆ เชื่อข้าเถอะ”

แล้วเฮียไก่ก็พากุหลาบไปที่โรงแรมหรูระดับห้าดาวแห่งหนึ่ง กุหลาบมองรอบตัวอย่างแปลกใจ นี่เขาไม่ได้ถูกนำตัวไปฆ่าหรอกหรือ

“เอาเงินนี่ไปซื้อข้าวผัดในนั้นให้ข้ากล่องหนึ่ง ถ้าซื้อมาได้ ข้าจะไม่เอาเรื่องเอ็ง แต่ถ้าซื้อไม่ได้ เอ็งก็ต้องได้รับโทษ” เฮียไก่ส่งเงินให้กุหลาบ เขาหยิบเงินมาอย่างเร็ว ก่อนจะเดินลงไปอย่างมั่นใจ

“ของกล้วยๆ”
เฮียไก่ได้แต่หัวเราะในลำคอ เขารู้ดีว่าสถานที่ระดับนี้ไม่มีทางปล่อยให้คนที่แต่งตัวมอซอ คีบรองเท้าแตะเก่าๆอย่างกุหลาบเข้าไปแน่นอน

แล้วก็เป็นเช่นนั้นเมื่อพนักงานโรงแรมไล่กุหลาบอย่างหยาบคาย ถึงเขาจะบอกว่าเขามีเงินแต่ไม่มีใครเชื่อ เฮียไก่ปล่อยให้กุหลาบถูกพนักงานโรงแรมดูถูกสักพักก่อนจะลงไปบอกพนักงาน

“เขามากับฉัน” เฮียไก่หยิบเงินออกมาสามพันยื่นให้พนักงาน “ปัญหาแค่นี้จัดการได้ ใช่ไหม”

พนักงานเห็นเงินก็ตาโต รีบนำชุดสูทมาเปลี่ยนให้กุหลาบทันที พวกบริกรนอบน้อมกับกุหลาบ เปลี่ยนเป็นคนละคน กุหลาบอึ้งไปเลยที่เห็นว่าเงินมีอำนาจเปลี่ยนคนได้ถึงเพียงนี้

“ข้าแค่พาเอ็งมาพบกับชีวิตจริง ถ้าไม่มีเงิน เอ็งก็เป็นแค่ไอ้หัวขโมย หัวขโมยที่ยังไม่ได้เริ่มขโมยด้วยซ้ำ” เฮียไก่บอกกับเขาเช่นนั้น กุหลาบเริ่มเข้าใจในเรื่องทั้งหมด

“นี่หมายความว่า”
“ใช่ ข้ากำลังจะบอกเอ็งว่าโลกข้างนอก สังคมทุกวันนี้มันโหดร้ายกับคนจนๆแค่ไหน แค่ไม่มีเงิน เราก็เหมือนไม่ใช่คน”

“ฉันไม่ได้ปฏิเสธเรื่องเงิน ที่ฉันขอไปเรียนก็เพราะไม่อยากเป็นคนจน เหมือนกัน เอาล่ะ....ถ้าเฮียต้องการพูดกับฉันแค่นี้ ฉันกลับล่ะ”

กุหลาบหันหลังกลับจะเดินหนี แต่เฮียไก่ยังไม่ยอมปล่อยกุหลาบไปง่ายๆ
“เอ็งพยายามเรียนหนังสือเพราะคิดว่าจะได้เงินเยอะงั้นหรือ งั้นดูนี่”

เฮียไก่เรียกพนักงานระดับหัวหน้าคนหนึ่งที่ต้อนรับลูกค้าอยู่แถวนั้นมาพูดคุย
“คุณเรียนจบอะไรมา”

“ปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยการโรงแรมที่ดีที่สุดในเมืองไทยครับ” พนักงานตอบอย่างนอบน้อม
“แล้วเงินเดือนล่ะ”
“สามหมื่นกว่าๆครับท่าน”

เฮียไก่แค่นหัวเราะ “แกกับฉันน่าจะอายุใกล้เคียงกัน รู้ไหมฉันเรียนจบอะไร....ป.4 แบบกระท่อนกระแท่น แล้วรู้ไหมทุกวันนี้ในขณะที่แกต้องทำงานบริการคนงกๆ ฉันทำอะไร ก็แค่นั่งๆนอนๆ กินอาหารหรูๆขับรถดีๆ ส่วนเงินเดือนของแกที่แกแสนภูมิใจน่ะ ไม่ได้ครึ่งของฉันด้วยซ้ำ”

เฮียไก่พูดจบก็เดินออกไปทิ้งให้พนักงานคนนั้นยืนอึ้ง กุหลาบตามเฮียไก่ออกไปแล้วก็ต้องอึ้งเมื่อพบรถจีฟเชอโรกีสีเขียวเข้ม ใหม่เอี่ยมคันหนึ่งจอดอยู่

“เมื่อคราวที่แล้ว ข้าให้มอเตอร์ไซด์เอ็ง เอ็งไม่เอา แล้วถ้าเป็นรถคันนี้กับเงินเดือนอีกก้อนใหญ่ทุกเดือนล่ะ เอ็งจะว่าไง”

กุหลาบกลืนน้ำลาย...ข้อเสนอของเฮียไก่ช่างเย้ายวนใจคนจนอย่างเขาเหลือเกิน
“เฮียทำแบบนี้ทำไม ฉันก็แค่เด็กคนหนึ่ง”

“ชีวิตของข้าเกิดและโตมาที่ลานดอกหญ้าเหมือนกับเอ็ง ความหิวจนต้องคุ้ยถังขยะ อาชีพขายตัวแลกเศษเงิน ข้าผ่านมาหมดแล้ว อดีตทั้งหมดสอนข้าให้เข้มแข็งและต่อสู้ด้วยวิธีของข้าเอง วิธีที่เอ็งต่อสู้ วิธีที่เอ็งจงรักภักดี วิธีที่เอ็งไม่กลัวตาย ทั้งหมดนี้ คือนิสัยของมือปืนที่ดี ถ้าเอ็งเลิกคิดที่จะเรียนต่อ ยอมมาอยู่กับข้า ข้าจะเทรนด์ให้เอ็งเป็นนักเลง เป็นมือปืนที่เก่งที่สุดเหมือนกับข้า ว่าไง..”

กุหลาบครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะบอกเฮียไก่
“ผมมากับเฮียแล้ว...ถึงเวลาที่เฮียต้องมากับผมบ้าง”

แล้วกุหลาบก็พาเฮียไก่ไปที่สถานีตำรวจแห่งหนึ่ง เฮียไก่มองกุหลาบอย่างไม่เข้าใจ
“เฮียใช้ฉันให้ไปซื้อข้าวผัดในโรงแรมหรู ถ้าฉันจะขอให้เฮียลงไปขอน้ำจากสถานีตำรวจกินสักแก้วล่ะ”

“ข้าไม่ใช่นักเลงกระจอก แค่ตำรวจแค่นี้ทำไมต้องกลัว”

“ฉันรู้กฎหมายยังทำอะไรเฮียไม่ได้ แต่ถ้าให้เฮียเข้าไปเดินเล่นในสถานที่อย่างนั้น เฮียก็รู้สึกหนาวๆร้อนๆใช่ไหมล่ะ ชีวิตอย่างเฮีย ถ้าให้ผมทาย เฮียคงไม่เคยหลับสนิท เฮียนอนผวาตลอดเวลา เพราะกลัวคนจะมาทำร้ายใช่ไหม”

“ไอ้กุหลาบ !” คำพูดของกุหลาบมันเป็นความจริงจนเฮียไก่เริ่มโกรธ

“มือที่เปื้อนเลือด สุดท้ายเลือดก็เลอะอยู่ตามตัวเรา ไม่มีวันมีอิสระ ไม่เคยสุขสงบอย่างแท้จริง และถ้าให้ผมทาย เฮียไม่มีคนที่รัก หรือแม้แต่อยากจะรัก เพราะเฮียรู้ว่า สุดท้ายคนพวกนั้นก็อยู่กับเฮียไม่ได้””

“นี่เอ็งบังอาจ…”
เฮียไก่ควักปืนออกมาจ่อกุหลาบที่พูดจี้ใจ ความเจ็บปวดส่วนลึกของเขาถูกขุดคุ้ยออกมา แต่กุหลาบยังคงใจเย็น มองเฮียไก่อย่างประเมิน

“เฮียโมโหขนาดนี้เพราะผมพูดจี้ใจดำใช่ไหม ชีวิตอย่างเฮีย มีเงิน แต่ใช้ได้ไม่เต็มที่ มีเกียรติ แต่ไม่ยั่งยืน แค่นอนหลับ ยังไม่เป็นสุข ชีวิตอย่างเฮียนี่แหล่ะที่แย่กว่าความจน ! ”

กุหลาบยิ้มให้อีกครั้ง แล้วเดินจากไป…..วันนั้นกุหลาบกลับบ้านอย่างภาคภูมิใจ เขาโผเข้ากอดจำปาแน่น

“ผมรักแม่ฮะ เพราะมีแม่ มีความรักของแม่ ผมถึงเข้มแข็งได้ขนาด”
จำปามองลูกอย่างแปลกใจ “อะไรกันลูก วันนี้เป็นอะไร”

“แม่เคยบอกใช่ไหม อยากเห็นเราสองคนเป็นเปลวไฟที่ส่องนำทางให้ แม่ ผมเชื่อครับว่าผมจะทำได้ ผมต้องสอบได้ แม่เชื่อไหมฮะ”

“เชื่อสิจ๊ะ แม่เชื่อ”
กุหลาบกอดแม่อีกครั้งอย่างดีใจ ซึ่งจำปาก็กอดตอบ กุหลาบรู้สึกดีอย่างมากที่เอาชนะสิ่งยั่วยวนจากเฮียไก่ได้ ชายหนุ่มหารู้ไม่ว่าตนเองนั้นได้สร้างความโกรธแค้นไว้กับเฮียไก่เพียงใด

“ข้าขอสาบานกับตัวเอง ข้าจะต้องเอาไอ้กุหลาบมาเป็นพวกให้ได้ ข้าจะสอนให้เป็นมือปืนที่โหดเหี้ยมที่สุด ถ้าข้าทำไม่ได้ข้าไม่ขอเป็นคน!!”

คำประกาศกร้าวของเฮียไก่เหมือนจะบ่งบอกว่า ภารกิจอันสำคัญที่สุดในชีวิตของกุหลาบได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ต่อจากนี้ นอกจากเขาจะต้องเผชิญกับข้อสอบเข้าหมาวิทยาลัยแล้ว เขายังต้องเผชิญกับบททดสอบในชีวิตจริงอีกด้วย



ตอนที่ 4


“เอ้าเจ้าข้าเอ๊ย อีมะลิมาแล้ว ใครติดหนี้สินอะไร จ่ายมาซะดีๆ”

แก๊งค์เก็บค่าคุ้มครองของมะลิเดินอาดๆเข้ามาในตลาดด้วยท่านักเลง บรรดาพ่อค้าแม่ขายต่างโยนเงินให้กับมะลิไม่อยากมีเรื่อง แต่ป้าต้อย แม่ค้าขายขนมหวานสุดจะทนกับเรื่องนี้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเธอจะไม่ยอมอ่อนข้ออีกต่อไป

“มาอีกแล้ว… อีพวกเหลือบ พวกไร ชอบสูดเลือดคนจน เมื่อไหร่จะมีคนเอาไอ้พวกนี้ไปเข้าซังเตเสียทีวะ”

แก็งค์มะลิหยุดหันขวับมองป้าต้อยทันที
“ป้าต้อยเจ้าเดิม แบบนี้เขาเรียกว่าไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา แค่สิบบาทเรื่องมากนักหรือ…หา!”

“เออ จะสิบบาทยี่สิบบาทก็เงินทั้งนั้น อยากเอาก็เข้ามาสิโว้ยมาเจอมีดข้าก่อน !”

เมื่อมีคนสู้ บรรดาพ่อค้าแม่ค้าเจ้าอื่นก็คิดจะสู้ขึ้นมาบ้าง แต่ละคนหยิบกระบวย ทัพพี มีดอีโต้เข้ามา

“เฮ้ย พวกเราอย่าไปยอม….ลุยมันโว้ย”
กองทัพแม่ค้ากรูเข้าไปหามะลิ แต่เด็กสาวไม่มีทีท่าสะทกสะท้าน แกล้งเกาพุง

“โฮ้ยอะไรก็ไม่รู้มันทิ่งพุงอยู่ได้ คันโว้ย”
มะลิล้วงเข้าไปที่บริเวณท้องใต้เสื้อเชิ้ต หยิบปืนออกมา พ่อค้าแม่ค้าที่ยืนล้อมอยู่ถึงกับสะดุ้งเฮือก ชะงักอยู่กับที่เมื่อเห็นสิ่งของในมือมะลิ
“ปืน !”

มะลิพยักหน้า “อ้อ นึกว่าอะไร แหมลืมไปว่าเผลอติดตัวออกมาจากบ้าน…แหมไอ้เราก็ใช้ไม่ค่อยเป็นด้วยสิ มันใช้อย่างไงวะ ไหนลองดูซิ” มะลิประทับปืนกราดไปรอบตัว ชาวบ้านร้านตลาดพากันหลบวูบ ร้องกันไม่เป็นท่า

“เฮ้ยๆ แกจะทำอะไร”
มะลิถอยมือกลับมาดูปืนในมือของตน

“ลูกกระสุนก็ครบ แหมมันน่าลอง….เอ้าว่าไง จะจ่ายหรือไม่จ่าย !” มะลิหันไปถามเสียงดัง บรรดาพ่อค้าแม่ค้าพากันลดอาวุธ โยนเงินให้มะลิและพวกกันขรม แถมมะลิยังมีการขึ้นราคาจากสิบบาทเป็นสามสิบบาท แต่ก็ไม่มีใครกล้าหืออือ เพราะเกรงกลัวลูกตะกั่วจะเข้าไปฝังอยู่ในตัว

ฮะเก๋า บ๊ะจ่างหัวเราะร่า ทั้งสองรับเงินอย่างสบายใจ

แก๊งค์อันธพาลของมะลิไม่รู้สักนิดว่าบัวได้จับตามองดูพฤติกรรมของตนอยู่ บัวถอนใจ เห็นทีวันนี้เขาต้องจัดการกับเด็กเกเรอย่างมะลิเสียทีก่อนที่เรื่องจะลามปามไปถึงตำรวจ

“พวกพ่อค้าแม่ค้าแจ้งความมาหลายครั้งแล้ว พอดีครูอารีมาบอกก่อนว่าเป็นเด็กของมูลนิธิ ผมก็เลยยังไม่จับ ไม่อยากให้เด็กหมดอนาคตน่ะครับ แต่ผมคงถ่วงเวลาพวกแม่ค้าได้แค่อาทิตย์เดียว พวกคุณต้องจัดการคุมความประพฤติเด็กคนนี้ให้หยุดรีดไถชาวบ้าน ไม่งั้นผมคงต้อง
ดำเนินการตามกฎหมาย”

เจ้าหน้าที่ตำรวจบอกกับเขาและครูอารีเช่นนั้น บัวจึงเฝ้าตามสังเกตพฤติกรรมของมะลิอย่างใจเย็น
วันนี้ หลังจากมะลิรีดไถ่เงินจนพอใจแล้วก็พาลูกสมุนกลับไปแบ่งเงินที่มุมหนึ่งในชุมชน

“ได้ตั้งเกือบห้าร้อยบาท เราอยู่ได้อย่างน้อยก็สองสามวันล่ะวะ” มะลิรวบเงินทั้งหมดเตรียมเก็บใส่กระเป๋า แต่แล้วก็ต้องตกใจที่จู่ๆบัวเข้ามาจับมือเด็กสาวไว้

“เฮ้ยอะไรวะ”
“ยังเป็นเด็กอยู่เลย ทำแบบนี้ไม่คิดถึงอนาคตบ้างหรือ”

มะลิหันมองเด็กหนุ่มร่างสูง ใบหน้าหวานเหมือนผู้หญิง เจ้าของเสียงอย่างแปลกใจว่ามาได้อย่างไร และเข้ามายุ่งเรื่องของเธอทำไมกัน

“นายเป็นใคร” มะลิถามเสียงห้วน
“พี่ชายของพี่กุหลาบลูกพี่คนเก่าของเรา ตอนนี้เขาเป็นคนของมูลนิธิที่พี่หนีมาไงล่ะเฮีย” ฮะเก๋าช่วยตอบให้

มะลิมองหน้าบัวแล้วอยากจะหัวเราะ
“หน้าละอ่อนอย่างเนี้ยนะ คนของมูลนิธิ”

“เราชื่อมะลิใช่ไหม ตำรวจเขากำลังเพ่งเล็งเราอยู่ ถ้าเราไม่ยอมกลับไปกับพี่ตำรวจก็จะเข้ามาจับและส่งเราไปสถานพินิจ ที่นั่นแย่กว่าที่มูลนิธิหลายเท่า กลับไปที่มูลนิธิกับพี่เถอะนะ”

บัวพยายามหว่านล้อมอย่างใจเย็น ประสบการณ์การทำงานกับมูลนิธิสอนให้บัวรู้ว่า กับเด็กมีปัญหาอย่างมะลิใช้ไม้แข็งไม่ได้ผล

มะลิสะบัดมือบัวทิ้งอย่างแรง
“เราเบื่อที่จะอยู่ในกฎระเบียบเต็มทนแล้ว เราไม่ไป”

พูดจบมะลิก็เดินหนี บัวเดินตาม เขาเอาแต่เดินตามมะลิไปเรื่อยๆ ไม่พูดไม่จา กะว่าให้มะลิเบื่อไปเอง พอมะลิหยุดเดินหันมามอง บัวก็หยุดยืนเฉยๆ พอมะลิเดินต่อ บัวก็เดินต่อ พอมะลิหยุด บัวก็หยุดอีก จนมะลิเริ่มรำคาญ

“นี่จะทำอะไรน่ะ เดินตามทำไมเนี่ย”
“พี่บังคับใครไม่เป็น แต่พี่เชื่อว่า ถ้าพี่แสดงความจริงใจให้เห็น วันหนึ่งเราก็ต้องใจอ่อน”

“ได้ อยากตามก็ตามไป อยากรู้เหมือนกันว่าจะทนได้สักกี่น้ำ” มะลิมองบัวแปลกใจ หญิงสาวไม่อยากจะเชื่อว่ายังมีคนแบบบัวอยู่ในโลก มะลิคิดลองดีกับบัวดูสักครั้ง ท่าทางดีๆ ซื่อๆ แบบนี้จะไปได้สักกี่น้ำ

มะลิเดินวนเวียนไปมาในตลาดและชุมชน บัวยังคงเดินตามมะลิต่อไปเรื่อยๆ จนชาวบ้านอดที่จะแซวไม่ได้

“เอ้าไอ้บัว สาวๆ เยอะแยะทอดสะพานให้เอ็งเอ็งไม่ชอบ ดันมาเดินตามจีบไอ้เด็กขอทานนี่ทำไม”
“ตามจีบ …มะลิเป็นผู้หญิงหรือ”

บัวแปลกใจในสิ่งที่ชาวบ้านทัก เขาคิดว่ามะลิเป็นเด็กผู้ชายที่มีรูปร่างเหมือนผู้หญิง ไม่ใช่ผู้หญิงที่มีท่าทางเป็นผู้ชาย และที่สำคัญไม่เคยมีใครบอกบัวมาก่อนว่ามะลิเป็นผู้หญิง

“เอ๊าก็…”
ฮะเก๋าจะอธิบาย แต่ก็ถูกมะลิถองเข้าที่อก ชายแคระจุกจนพูดไม่ออก เด็กสาวชิงโกหกบัวก่อนที่บ๊ะจ่างจะพูดอะไรขึ้นมา

“เป็นผู้ชาย เสียงแหลมไปหน่อย จะตรวจดูก็ได้นะ” พูดจบมะลิก็ชี้ที่เป้ากางเกงอย่างก๋ากั่น “

“ไม่ได้อยากหรอกนะ ชื่อมะลิน่ะ อยากชื่อสมศักดิ์ แต่ครูไม่ยอม” มะลิว่าไปนั่น และดูเหมือนว่าบัวจะเชื่อตามนั้นเสียด้วย

“นั่นสิ ท่าทางเราไม่เห็นเหมือนผู้หญิงเลย พูดจาก็ห้วน แถมยังเกเรอีก จะเป็นผู้หญิงไปได้ไง”
ฮะเก๋าเข้าไปกระซิบ ได้ยินกันสองคนกับมะลิ

“จะหลอกเขาหรือพี่”
“เออ พวกเอ็งห้ามบอกความจริงกับไอ้หน้าละอ่อนและใครๆเด็ดขาดว่าข้าเป็นผู้หญิง ในเมื่อใครๆก็คิดว่าข้าเป็นผู้ชาย ข้าก็จะเป็นผู้ชายให้ดู”

บ๊ะจ่างและฮะเก๋าพยักหน้า ข้อสงสัยเรื่องมะลิเป็นเพศอะไร จึงยังกำกวมในสายตาของคนอื่นๆ ต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...บัว ที่เชื่ออย่างหมดใจว่ามะลิเป็นเด็กผู้ชายจริงๆ เขายังคงเดินตามมะลิต่อไปจนในที่สุดมะลิก็เป็นฝ่ายหมดความอดทน

“โว้ย น่ารำคาญจริง เลิกยุ่งกับชีวิตเราเสียทีได้ไหม”
“ไม่ได้หรอก” บัวตอบหน้าตาย สายตาจริงใจ

“ทำไมล่ะ”
“ที่มะลิเกเรอยู่ทุกวันนี้ ไม่ใช่เพราะอยากเป็นอิสระ หรืออยากได้เงินหรอก มะลิแค่ต้องการให้ทุกคนในโลก ไม่ลืมมะลิ และรู้ว่ามะลิมีตัวตนอยู่”

มะลิอึ้งไปเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าบัวจะอ่านตัวเองออก แต่เด็กสาวทำเป็นเฉไฉ หงุดหงิดขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“พูดอะไรฟังยาก ไม่รู้เรื่องโว้ย”
“ความเหงาและโดดเดี่ยวของเด็กกำพร้าไง มะลิเหงาและโดดเดี่ยวจนอยากเป็นส่วนหนึ่งของคนอื่นๆ นี่คือสิ่งที่มะลิต้องการมากที่สุดใช่ไหม”

บัวพูดได้แทงใจดำ มะลิโกรธมาก ควักปืนออกมาจ่อบัว
“ไอ้บ้า พูดอย่างนี้ออกมาได้ไงวะ เดี๋ยวยิงไส้แตกซะนี่”

“โกรธเพราะพี่พูดเรื่องจริงใช่ไหม ส่วนปืนนี่ ดูก็รู้ว่าเป็นปืนปลอม ใช้แผนนี้กับพวกแม่ค้าได้ แต่ใช้กับพี่ไม่ได้หรอก”

บัวเอื้อมมือไปดึงปืนมะลิมาแบบนิ่มๆไม่ได้ตกใจกับท่าทีก้าวร้าวของมะลิเลยสักนิด

“ถ้าไม่อยากไปอยู่ที่มูลนิธิ ก็แค่เลิกรีดไถเก็บค่าคุ้มครองชาวบ้าน ขอแค่นี้ได้ไหม” บัวลองยื่นข้อเสนอใหม่อย่างสุภาพ

“แลกกับอะไรล่ะ”
บัวยิ้มออกทันทีที่เห็นมะลิสนใจ เขารีบพามะลิไปที่บ้านพักคนงานว่างเปล่าหลังหนึ่งที่อยู่ในบริเวณมูลนิธิ

“บ้านนี้เป็นบ้านพักคนงานของมูลนิธิ ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ พี่ยกให้”
“โหทั้งบ้านนี้เลยหรือ ดีจังเลยเฮีย ไม่ต้องไปนอนให้ยุงกัดตามตลาดอีกแล้ว” ฮะเก๋าหันมาพูดกับมะลิอย่างดีใจ

“ไม่ใช่บ้านหลังนี้เท่านั้นนะ ทุกวันจะมีคนจากมูลนิธิ เอาอาหารมาส่งให้ทั้งสามคน”
“มีของกินทุกวันเลยหรือ” บ๊ะจ่างตาโต

“เชอะแผนตื้นๆ หลอกให้ตายใจในตอนแรก เสร็จแล้วก็หลอกให้เราไปทำกิจกรรมน่าเบื่อในมูลนิธิใช่ไหม” มะลิยังคงไม่ใจอ่อน

“ไม่มีกิจกรรมอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องเรียนหนังสือ ไม่ต้องอยู่ร่วมกับเด็กคนอื่นๆ อยากไปไหนทำอะไรก็ตามใจ ยกเว้นอย่างเดียวห้ามรีดไถชาวบ้านอีก”

ข้อเสนอของบัวช่างยั่วยวนจนมะลิต้องคิดหนัก บัวเห็นมะลิเริ่มจะคล้อยตามก็รีบอธิบายต่อ

“อย่าปฏิเสธเลย พี่คุยกับตำรวจแล้ว ถ้าเราไม่หยุดรีดไถ ตำรวจจะจับเราเข้าคุก ระหว่างอยู่ในคุกกับอยู่ที่นี่ เด็กฉลาดอย่างเรา รู้ใช่ไหมว่าควรจะเลือกอะไร” บัวพูดย้ำเหมือนจะขู่ แต่ก็ได้ผล เพราะมันทำให้มะลิตัดสินใจได้

“ก็ได้ วันนี้ตกลงตามนี้ไปก่อน แล้ววันหลังค่อยว่ากัน”
“เยี่ยมมากน้อง…”

บัวเข้าไปโอบอย่างดีใจ เด็กสาวตกใจ รีบหมุนตัวหนี เพราะไม่เคยถูกผู้ชายโอบมาก่อนเลยในชีวิต
“เฮ้ย”

“ทำไมหรือ” บัวถามอย่างสงสัยว่าทำไมถึงกอดมะลิไม่ได้ในเมื่อก็เป็นผู้ชายเหมือนๆ กัน

“อ๋อ เปล่า…” มะลินึกได้ว่าตนหลอกบัวเป็นผู้ชายจึงต้องทำหน้านิ่ง จำใจให้บัวโอบกอดอย่างเสียไม่ได้ สัมผัสอบอุ่นจากบัวทำให้เธอใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆพิกล แถมใบหน้าของมะลิยังร้อนผ่าวด้วยความอาย

บัวไม่ได้สังเกต จึงไม่เห็นว่าขณะนี้มะลิหน้าแดงเพียงใด เขามัวแต่ดีใจที่สามารถจัดการปัญหาเรื่องความเกเรของมะลิไปได้เปลาะหนึ่ง บัวไม่ลืมที่จะมาเล่าความคืบหน้าเรื่องมะลิให้หมวดอ๊อด นายตำรวจที่เขารู้จักดีฟัง

“เขารับปากว่าจะหยุดรีดไถ แต่ผมยังเอาเข้ามูลนิธิไม่ได้ เด็กคนนี้ท่าทางร้ายกาจมาก คงต้องใช้เวลา ช่วงนี้ผมคงต้องดูแลเขาใกล้ชิดหน่อย”

“เรากำลังจะสอบไม่ใช่หรือ มาวุ่นวายเพราะเด็กกำพร้าคนเดียว เดี๋ยวก็ไม่มีเวลาอ่านหนังสือสอบหรอก” หมวดอ๊อดเตือนอย่างเป็นห่วง แต่บัวไม่ได้คิดอย่างหมวดอ๊อดสักนิด

“แม่สอนผมให้เป็นเปลวไฟส่องแสงให้คนอื่นทุกครั้งที่มีโอกาส ถ้าเด็กคนหนึ่ง กลับตัว
กลับใจเป็นคนดีได้ ถึงผมจะสอบพลาดไปสักปีสองปี ผมก็ว่าคุ้มนะครับ”

หมวดอ๊อดอึ้งไปเพราะรู้ว่าบัวพูดจริง บัวยังคงเป็นบัวที่ห่วงใยผู้อื่นมากกว่าตัวเองเสมอเพราะเขารู้ว่าความสุขจากการเป็น”ผู้ให้” นั้นสุขใจเพียงใด

เมื่อตอนบัวยังเด็ก เขาเป็นฮีโร่ขนาดลงหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งมาแล้ว
“เด็กแปดขวบใจกล้า ฝ่าดงเพลิงช่วยเด็กหญิง”
หนังสือพิมพ์พาดหัวข่าวเช่นนั้น เมื่อบัวสร้างวีรกรรมเข้าไปช่วยเหลือชีวิตเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่บ้านไฟไหม้

“ไม่รู้ป่านนี้เด็กคนนั้นเป็นยังไงบ้างนะ”
เขามีความสุขทุกครั้งที่ได้นึกถึงเด็กสาวแก้มป่องที่เขาเคยช่วยชีวิตไว้ บัวไม่รู้สักนิดว่าเด็กสาวในรูปก็มิเคยลืมเลือนผู้มีพระคุณคนนั้นเช่นกัน

“ดูอะไรอยู่หรือเฮีย” ฮะเก๋าเห็นมะลิยิ้มให้กับหนังสือพิมพ์เก่าๆตรงหน้าอยู่นานสองนานจึง ชะโงกหน้าเข้ามาถามด้วยความสนใจ

“เมื่อตอนเล็กๆข้าเคยลงหนังสือพิมพ์ด้วยนะ ครูที่บ้านเลี้ยงเด็กเล่าว่า แม่ข้ามีอาชีพขายตัว ข้าคงเป็นลูกที่แม่ไม่ตั้งใจให้เกิด ตอนหลังแม่เกิดเครียดขึ้นมา จุดไฟเผาบ้านหวังจะฆ่าตัวตาย”

“แล้วแม่พี่…เอ้อ”
“ตายในบ้านสมใจ ส่วนข้า มีเด็กผู้ชายคนนี้เข้าไปช่วยไว้ ถ้าไม่มีเขา ข้าก็คงไม่มีชีวิตอยู่ถึงป่านนี้ ข้าเก็บหนังสือพิมพ์อันนี้ไว้ หวังว่าจะเจอเขาอีกครั้ง”

มะลิยิ้มให้กับเด็กชายในรูป เธอไม่เคยลืมเลือนพี่ชาย ที่เคยช่วยชีวิตเธอ....
“ไม่ต้องกลัวพี่อยู่นี่แล้ว ตามพี่มาเร็ว มาทางนี้”

มะลิยังจำมืออุ่นๆของพี่ชายคนนั้นที่ยื่นมาให้เธอจับได้มิลืมเลือน เขาพาเธอออกจากกองเพลิงได้อย่างปลอดภัย

“โอ๋โอ๋ไม่เป็นไรแล้ว อย่าร้องนะ อย่าร้อง” เด็กชายบัวเคยกอดปลอบเธอเช่นนั้น เขากอด หอมแก้มมะลิอย่างห่วงใย เด็กสาวนึกฝันเอาตามประสาผู้หญิงว่า บัวเป็นผู้ชายคนแรกที่ได้หอมแก้มตน ดังนั้นชีวิตเธอจึงเหมือนเป็นของเขา พี่ชายที่แสนดีคนนั้นคือชายในฝันของมะลิมาโดยตลอด

ดูเหมือนโชคชะตาจะนำพาคนทั้งคู่มาพบกันอีกครั้ง แต่อนิจจา บัวและมะลิไม่รู้สักนิดว่าต่างคือคนที่ต่างฝ่ายกำลังตามหา คงต้องให้เวลาทั้งคู่เรียนรู้ต่อไปว่าแท้จริงแล้วเขาและเธออยู่ใกล้กันแค่เอื้อมเท่านั้น

ผัดเปรี้ยวหวานที่เหลืออยู่ติดถาดอาหารถูกตักขึ้นมาใส่จานจนเกลี้ยง จำปายื่นข้าวแกงจานสุดท้ายส่งให้ลูกค้าอย่างอารมณ์ดี วันนี้อาหารฝีมือเธอขายหมดเร็วกว่าทุกวัน

“ขอข้าวเปล่าเป็นทานสักจานสองจานได้ไหมจ๊ะ”
เสียงใครบางคนที่คุ้นหูดังขึ้นที่หน้าร้าน จำปาที่กำลังเก็บของหันไปตอบอย่างอารมณ์ดี

“ขอโทษด้วยนะจ๊ะ วันนี้...
เสียงจำปาหายไปในลำคอ เธอหน้าซีดเผือด มือไม้อ่อน

“พี่สมชาย…เพล้ง”

ถาดและจานอาหารที่จำปากำลังเก็บรวบรวมร่วงสู่พื้น แตกกระจายเกลื่อน หญิงสาวมือไม้อ่อนเมื่อเห็นชายเจ้าของเสียง....หล่อนอุตสาห์หนีมาไกลขนาดนี้ สมชายยังตามมาหลอกหลอนเธอได้อีกหรือไร

“พอเอ็งหนีมา ชีวิตพี่ก็เหมือนตายทั้งเป็น ทำงานอะไรกับเขาก็ไม่เคยได้ดี นี่ก็มาป่วย เจ็บออดๆแอดๆอีก พี่มันคนไม่มีวาสนาจริงๆนะ”

สมชายบอกกับเธอเช่นนั้น เขาดีใจมากที่ตามหาจำปาจนเจอ จำปามองอดีตสามีที่อยู่ตรงหน้า เธอเพิ่งพิจารณาเห็นว่าสมชายแก่ลงไปมาก เขาไอและมือสั่นตลอดเวลาคล้ายคนป่วย

“เชอะ คนเรานี่มันขยันโทษบุญโทษวาสนา เคยดูตัวเองไหมล่ะ กลิ่นหึ่งขนาดเนี้ย ยังไม่เลิกใช่ไหมเหล้าน่ะ อีแบบนี้คงจะเจริญหร๊อก”

จำปาพูดอย่างดูถูก สมชายหน้าเศร้า
“จะด่าอะไรพี่ก็ไม่ว่าทั้งนั้น ….ท่าทางจำปาจะล่ำซำนะ มีร้านข้าวเป็นเรื่องเป็นราว”

จำปารู้ทันทีว่าสมชายต้องการอะไร เธอหยิบธนบัตรสีแดงหลายใบให้สมชาย
“ออกไปซะ แล้วนี่เงิน ฉันช่วยได้แค่นี้ พี่ไปซะ แล้วอย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก”

“อะไรกัน นี่จำปาไล่พี่หรือ”
“ฉันกับลูกมีความสุขดีแล้ว พวกเราไม่ต้องการพี่อีก ฉันไม่ต้องการให้ลูกมันสับสน พี่เจอหน้าพวกมันไม่ได้ ออกไปเร็ว ออกไปเดี๋ยวนี้ บอกให้ออกไปไงเล่า”

จำปาพยายามดึงสมชายออกไป สมชายยังคงยื้ออ้อนวอน จนในที่สุด กุหลาบและบัวเดินออกมาเจอ ทั้งสองยืนตะลึง เหมือนถูกสะกดด้วยผู้ชายตรงหน้า !

“พ่อ…”
“ลุงสมชาย…”

“บัว กุหลาบ โตขนาดนี้แล้วหรือไม่น่าเชื่อเลย ถ้าเจอที่อื่นต้องจำไม่ได้แน่ๆ”

สมชายทำท่าจะเข้าไปหาเด็กหนุ่มทั้งสอง แต่แล้วก็ถูกจำปาดึงไว้ สมชายอ้อวอนขอความเห็นใจให้จำปารับเขามาอยู่ด้วย เมื่อจำปายังใจแข็ง สมชายก็ทำในสิ่งที่จำปาไม่คิดว่าเขาจะทำ นั่นคือ ...

“กุหลาบ พ่อขอโทษ ได้ยินไหม พ่อขอโทษ เมื่อก่อนพ่อมันเลว พ่อมันอคติ ลูกไม่ใช่แค่เด็กที่เก็บมาถังขยะ พ่อต่างหากที่ใจสกปรกยิ่งกว่าขยะ พ่อต่างหากที่ผิด ทำผิดกับนังจำปาและลูกทั้งสองคน”

จำปาอึ้งที่เห็นสมชายคุกเข่าขอกุหลาบ....หัวใจกุหลาบอ่อนยวบ คนที่เคยเกลียดชังเขาจะเป็นจะตาย ยอมอโหสิกรรมให้กันแล้วจริงหรือ?

กุหลาบเลือกที่จะเชื่อว่าสมชายพูดจริง เขาเข้าไปอ้อนวอนจำปาให้ยินยอมให้สมชายมาอยู่ด้วย จำปาทนลูกตื้อของกุหลาบไม่ไหวจึงยอมรับอย่างเสียมิได้

“กุหลาบ! กุหลาบลูกพ่อ พ่อนึกแล้วว่าลูกต้องไม่รังเกียจพ่อ”

สมชายโผเข้ากอดกุหลาบอย่างดีใจเมื่อรู้ว่าจำปายินยอมให้ตนพักอยู่ด้วย สองพี่น้องพาสมชายไปยังห้องเก็บของ ห้องเดียวในบ้านที่จำปาคิดว่าเหมาะกับคนอย่างสมชายที่สุด

“แม่อนุญาตให้ลุงอยู่แค่อาทิตย์เดียว ผมกับพี่บัวจะหาเงินให้ก้อนหนึ่งแล้วก็จะหางานให้ทำ ปากซอยเขาคงมีงานก่อสร้างรายวันอยู่ เดี๋ยวผมกับพี่บัวจะไปพูดให้”
“พ่อคุณ พ่อมหาจำเริญ กุหลาบลูกพ่อ ขอบใจจริงๆนะลูก ไม่รู้เมื่อก่อน ผีห่าซ่าตานอะไรมันสิงพ่อ พ่อถึงทำกับเด็กดีๆอย่างเอ็งได้ลงคอ”

สมชายจับไม้จับมือกุหลาบอย่างขอบคุณ รักใคร่ แต่พอกุหลาบออกจากห้องไปเท่านั้น สมชายก็กลับเป็นสมชายคนเก่า ไม่มีท่าทางอ่อนแออีกต่อไป

“เฮอะ แค่เล่นละครหน่อยเดียว พวกเอ็งก็เชื่อกันหมด” สมชายมองข้าวของภายในห้อง แล้วรู้สึกหงุดหงิดใจอย่างมาก ที่เห็นว่าจำปาอยู่สุขสบาย

“มีความสุขกันนักใช่ไหม ทิ้งข้าให้ลำบากอยู่บ้านนอกเป็นสิบๆปีเดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวพวกเอ็งจะรู้”

สามคนแม่ลูกไม่รู้สักนิดว่าสมชายกลับมาเพื่อแก้แค้น บัวและกุหลาบนั้นรักใคร่สมชายอย่างสนิทใจ ....งูเห่าอย่างสมชายสามารถเล่นละครได้อย่างแนบเนียน ไม่มีใครรู้ได้ว่างูเห่าตัวนี้จะแว้งกัดชาวนาที่ให้ความช่วยเหลือมันเมื่อใด

ดูเหมือนว่าสิ่งมีค่าที่สุดสำหรับสามคนแม่ลูก คือเงินค่าผ่าตัดหัวใจบัว กำลังตกอยู่ในอันตรายเสียแล้ว....




Create Date : 30 กรกฎาคม 2550
Last Update : 30 กรกฎาคม 2550 12:28:21 น. 10 comments
Counter : 653 Pageviews.

 
สนุกๆชอบๆ จะเข้ามาอ่านทุกวันนะคะ


โดย: นางฟ้าสาธุ IP: 158.108.211.219 วันที่: 30 กรกฎาคม 2550 เวลา:13:58:03 น.  

 


โดย: ammataya วันที่: 30 กรกฎาคม 2550 เวลา:17:54:08 น.  

 
อ่านจบเรื่องกลิ่นแก้ว ก็เข้ามาเจอเรื่องนี้พอดี อ่านจบแล้ว 4 ตอนงับ เอามาลงใหม่เร็วๆน้า >w<


โดย: เด็กใหม่ IP: 58.11.64.191 วันที่: 30 กรกฎาคม 2550 เวลา:20:48:10 น.  

 
ง่า รอมาสองวันแล้ว พี่บ๊วยจ๋า อยากอ่านแล้วจ้า


โดย: นางฟ้าสาธุ IP: 158.108.211.35 วันที่: 1 สิงหาคม 2550 เวลา:12:18:53 น.  

 
เข้ามาตามอ่านเหมือนเดิมแล้ว


โดย: เออช่าย IP: 222.123.174.198 วันที่: 1 สิงหาคม 2550 เวลา:22:15:26 น.  

 
เข้ามาติดตามผลงานเหมือนเดิมจ้า มาลงตอนต่อไปเร็วๆนะค่ะ


โดย: นู๋นิ IP: 203.154.169.133 วันที่: 2 สิงหาคม 2550 เวลา:11:02:11 น.  

 
มาตามอีกรอบนะพี่


โดย: ammataya วันที่: 2 สิงหาคม 2550 เวลา:12:20:14 น.  

 
ง่า ตอนต่อไปยังมะมาอีกหรอ รออยู่นะคะ


โดย: นางฟ้าสาธุ.. IP: 158.108.210.54 วันที่: 2 สิงหาคม 2550 เวลา:19:27:14 น.  

 
มารอตอนต่อไปด้วยคนค่ะ


โดย: รักแฟน IP: 58.8.75.102 วันที่: 3 สิงหาคม 2550 เวลา:9:32:46 น.  

 
พี่ค่ะมารอตอนใหม่อยู่นะค่ะ


โดย: ammataya วันที่: 4 สิงหาคม 2550 เวลา:19:29:10 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แม่มดมีฤทธิ์
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]




นันทวรรณ รุ่งวงศ์พาณิชย์ (บ๊วย)
นักเขียนบทละครโทรทัศน์

เจ้าของบทประพันธ์...>>>>>
ทาสรัก สวรรค์สร้าง
เพลงรักข้ามภพ
สู่แสงตะวัน อธิษฐานรัก
ดั่งดวงตะวัน เพียงผืนฟ้า
กลิ่นแก้วกลางใจ เปลวไฟในฝัน

ผลงานเขียนบท...>>>>>
บ่วง ทวิภพ สาปภูษา
ดั่งดวงตะวัน กลิ่นแก้วกลางใจ
เปลวไฟในฝัน หัวใจช็อคโกแล็ต
คลื่นรักสีคราม เล่ห์รตี

ผลงานกับละลิตา ฉันทศาสตร์โกศล ...>>>>>
ทางผ่านกามเทพ สามีตีตรา สายรุ้ง
ยอดชีวัน สามี บังเกิดเกล้า
หนึ่งในดวงใจคือเธอ สี่ไม้คาน
เลื่อมสลับลาย พรหมไม่ได้ลิขิต
ก้านกฤษณา ปลาหนีน้ำ ฯลฯ

ผลงานกับ ช่างปั้นเรื่อง...>>>>>
รักในม่านเมฆ เพียงผืนฟ้า ปิ่นมุก พลิกดินสู่ดาว อุ่นไอรัก
เบญจาคีตาความรัก รุ่งทิพย์ ต่างฟ้าตะวันเดียว
ปิ่นไพร ฯลฯ




Friends' blogs
[Add แม่มดมีฤทธิ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.