Group Blog
 
All blogs
 

เลขบัญชีสำหรับโอนเงินทำบุญ-หน่วยงานการกุศล

เหตุเพราะการให้เป็นสุขยิ่งกว่าการรับ
ข้าพเจ้านิยมทำบุญด้วยการโอนเงินผ่านธนาคาร
เพราะไม่ยุ่งยาก เรียบง่ายและเป็นส่วนตัวเหมาะกับนิสัย

วันหนึ่งหาเลขบัญชีของสถานที่หนึ่ง
ก็ไปเจอรายละเอียดของมูลนิธิที่มีคนรวบรวมไว้ในเน็ต
ซึ่งไม่ได้บอกที่มาไว้ชัดเจน ก็ขออนุโมทนาแก่ท่านผู้ที่ทำไว้ด้วยนะคะ

สำหรับท่านที่ผ่านเข้ามา
ขอเชิญร่วมบันทึก
รายละเอียดและเลขบัญชีหน่วยงานการกุศล
รวบรวมไว้ต่อๆกันไป โดยคลิ๊กคำว่า comment สีฟ้าที่มุมขวาค่ะ

อนุโมทนาค่ะ
นันทวรรณ รุ่งวงศ์พาณิชย์




 

Create Date : 20 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 20 กรกฎาคม 2551 23:01:22 น.
Counter : 39329 Pageviews.  

เหตุวิปัสนาในชีวิตข้าพเจ้า



เหตุวิปัสสนาในชีวิตข้าพเจ้า


สิ่งที่ข้าพเจ้าไม่ชอบที่สุดคือ เวลามีคนมองข้าพเจ้า ด้วยสายตาที่ผนวกเอาสามสิ่งไว้รวมกัน “โอลด์เมด” “สิ้นไร้ไม้ตอก” และ “งมงายกับการปฏิบัติธรรม”

สามสิ่งนี้ไม่เกี่ยวข้องเลยกับการเริ่มวิปัสนาของข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าไม่ได้”แก่” และคิดว่าตัวเองสวยมาตลอด ( คิดเอง ไม่ปรึกษาใคร) และข้าพเจ้าไม่เคยสิ้นไร้ไม้ตอก ออกจะพลุ่งพล่านบ้าโปรเจ็ค อารมณ์เบื่อกับความเป็นโสดเลยไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก

และข้าพเจ้าไม่ได้งมงายเป็นฤาษีชีไพร ทุกวันนี้ ข้าพเจ้ายังก๋ากั่นแก่นเซี้ยวเที่ยวเธค และออกจะมีความสุขสนุกสนานได้มากกว่าเดิมเสียด้วย

จุดเริ่มต้นของการปฏิบัติธรรมของข้าพเจ้า แสนจะง่ายดาย ข้าพเจ้าเป็นโรคนอนไม่หลับ จำได้ว่าหลายปีก่อน เคยลุกขึ้นมาเช็ดบ้านจัดห้องตอนตีสามและเต้นแอโรบิกตอนตีสี่ เหตุเพราะใช้วิธีหลายวิธีแล้วเพื่อให้หลับ แต่ยังไม่หลับ เลยโมโหตัวเอง ลุกขึ้นมาทำบ้าๆเผื่อจะเหนื่อยจนหลับไปเอง

วันหนึ่งนึกขึ้นมาได้ ยังมีวิธีเก่าแก่อันหนึ่งไม่เคยใช้ นั่นคือนั่งสมาธิ เลยไปซื้อหนังสือมาอ่านแล้วลองทำดูด้วยตัวเอง โอ…พระเจ้าจอร์ชมันยอดมาก วิธีนี้ได้ผลทั้งๆที่ไม่มีครูบาอาจารย์ และที่จริงก็อ่านหนังสือเล่มนั้นไม่ค่อยเข้าใจนัก (หนังสือ อานาปนสติของท่านพุทธทาส) ข้าพเจ้าเก็บเอาเท่าที่ทำได้มาทำ ถึงแม้จะนั่งสมาธิเองไม่ได้ (เพราะขี้กลัว) ได้แค่หลับตานอน ทำก่อนหลับ ก็เห็นผลแล้ว

วิธีง่ายๆโง่ๆ คือเอาจิตไปตามดูลมหายใจเข้าออกตั้งแต่ปลายจมูกเข้าไปในท้อง เมื่อหายใจเข้า และตามจากท้องออกมาที่ปลายจมูกเมื่อมันหายใจออก ตามไปแบบจดจ่อมากจนละเอียดขึ้นละเอียดขึ้น ช่วงแรกก็บริกรรมพุทโธ ช่วงหลังละเอียดขึ้นก็จดจ่อกับลมแต่ละห้วงนั้นอย่างสนุก จนลืมองค์บริกรรมไป สุดท้ายก็หลับไปเอง

เมื่อเห็นผลจากการทำแบบงูๆปลาๆแล้ว ข้าพเจ้าก็ไปขอคำแนะนำจากเพื่อนๆ เป็นที่น่าแปลกอย่างยิ่ง คือเพื่อนฝูงข้าพเจ้าล้วนแต่ เป็นนักปฏิบัติธรรมกันโดยต่างกรรมต่างวาระ ตั้งแต่
พี่ลิตา(ละลิตา ฉันทศาสตร์โกศล) เพื่อนในกลุ่มช่างปั้นเรื่อง หรือแม้แต่เพื่อนที่โรงเรียนเก่า (เรื่องนี้ ทางศาสนามีเหตุผล แต่ช่างมันเถอะ)

ข้าพเจ้าเริ่มจัดทริปไปวิปัสนากับเพื่อนอีก 3 คน คือพี่ฉือ ธนินธร (เขียนบทดั่งดวงหฤทัย /ภูติสาวเจ้าเสน่ห์) และรัชนี (เจ้าของบทประพันธ์ ลูกผู้ชายหัวใจเพชร / เพลงดินกลิ่นดาว) คิดกันแบบสนุกๆว่า ไปเที่ยวเชียงใหม่ นั่งรถไฟปุเลงๆไปพักบ้านเจ้าทางเหนือ ดูเก๋ไก๋ไม่หยอก โดยไม่ได้นึกเลยว่า นอกจากเก๋ไก๋แล้ว สิ่งนี้จะเปลี่ยนข้าพเจ้าไปตลอดชีวิต

ที่ที่ข้าพเจ้าไปนั้นคือ “โครงการพัฒนาจิตเพื่อให้เกิดสันติสุข ของคุณแม่สิริ กรินชัย” และผู้เป็นเจ้าภาพในครั้งนั้นคือเจ้าสุไร ศุกระจันทร์ และสามี เจ้าภาพที่มีเมตตาเปิดบ้านวังน้ำปิง บ้านของท่านเองเป็นสถานที่จัดอบรมวิปัสนา

วิปัสนาเปลี่ยนข้าพเจ้าไปอย่างไรนั้น ค่อนข้างซับซ้อน แต่เอาหลักๆคือ ลดความอ้วนได้ (โอ มายก๊อด สาวๆหูผึ่ง) ทำงานโดยไม่ต้องกินยาธาตุเป็นขวดๆเพราะปวดท้อง (จากความเครียด) มีความสุขและเบิกบานอยู่เสมอ (มหากุศลที่มนุษย์ทุกคนอยากได้)

ฟังๆดูก็แสนจะธรรมดา ก็มันธรรมดาอย่างนี้ล่ะ จะเอาอะไรมากไปกว่านี้ ที่จริงแค่สามข้อนี้ก็สุดยอดแล้วสำหรับชีวิตคนๆหนึ่ง

ต้นเหตุสำคัญที่เปลี่ยนแปลงผู้ปฏิบัติธรรมในความคิดของข้าพเจ้านั่นคือ “จิตที่มีพลัง” ในทางศาสนา จิตที่มีพลังประกอบด้วยสองสิ่งที่สำคัญ คือ “สติที่มั่นคง”(สัมมาสติ) และ “สมาธิที่สร้างสรรค์” (สัมมาสมาธิ)

หลังวิปัสนา ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเป็น “นาย” ของจิตตัวเองมากขึ้น เวลาจิตข้าพเจ้าเริ่มหดหู่เศร้าหมอง ข้าพเจ้าก็สามารถระงับได้ เวลาจิตข้าพเจ้าขี้เกียจ ไม่ยอมลุกไปทำงาน ข้าพเจ้าก็มีวิธีจัดการมันได้
(แม้จะไม่ได้ทุกครั้ง เพราะเราเป็นปุถุชน จิตที่รู้สึกตัว 100 เปอร์เซนต์เราเรียกว่า พระอรหันต์จ๊ะ)

สติที่มั่นคง คือ รู้อะไรผิดถูก รู้ควรทำไม่ควรทำ ทำแล้วจะเกิดผลดีหรือผลชั่ว ที่เราเดือดร้อนเจ็บปวดใจทุกวันนี้ เพราะเรา”ตามรู้” ไม่ทัน มันเกิดขึ้นฉับไวมาก นั่งร้องไห้ฟูมฟายไม่ทำงานทำการจนโดนไล่ออกไปแล้ว ทำร้ายผู้คนรอบข้างไปแล้ว ก่อเรื่องเสียหายไปแล้ว เพิ่งจะมานึกรู้ แบบนี้คือสติไม่ฉับไว

ส่วนสมาธิที่สร้างสรรค์นั้น เป็นพลังขับเคลี่อน ให้ดำเนินชีวิตไปได้ในตามที่ต้องการ หมายถึงเมื่อมีสติควบคุมแล้วก็ต้องมีพลังขับเคลื่อนไปข้างหน้า เพื่อประกอบกิจการอันสร้างสรรค์ได้ตามใจ

ด้วยเหตุนี้ จึงมีผู้กล่าวอยู่เสมอว่า คนที่ปฏิบัติธรรม มักจะเรียนหนังสือเก่ง มักจะร่ำรวย(เพราะทำงานหาเลี้ยงชีพได้ดีและปริมาณมากกว่าคนอื่น) มักจะไม่มีโรค ( มีความเครียดน้อย) มักจะมีความสุข ผิวพรรณดี ( คิดน้อยต่อยหนัก ทำแต่เรื่องที่เป็นเรื่อง เรื่องไม่เป็นเรื่องไม่ชอบทำ)

น่าแปลกมากที่โลกเราทุกวันนี้ ผู้คนนิยมเรียนหนังสือ อ่านหนังสือ แสวงหาความรู้ในวิชาต่างๆอย่างบ้าคลั่ง แต่กลับไม่ยอมให้ตัวเองได้เรียนรู้ “วิชาสติและสมาธิ” อันเป็นวิชาสำคัญที่สุดที่จะนำไปใช้จัดการวิชาเหล่านั้นให้เกิดประโยชน์

ไม่เท่านั้น เรามียานอวกาศท่องไปในโลกกว้าง ถึงดาวโน้นดาวนี้ แต่เรากลับไม่ค่อยรู้เรื่อง ”ใจ”ของเราเลยว่ามันประกอบด้วยอะไรบ้างและจะบังคับบัญชามันได้อย่างไร

แน่นอนว่า จิตบังคับบัญชาไม่ได้ เพราะจิตก็เป็นอนัตตา คือควบคุมไม่ได้ แต่เมื่อถึงภาวะที่พบอนัตตา ท่านก็มีวิธีสอนให้เลี่ยงไปมีความสุขไม่ต้องจมกองทุกข์อีกเช่นกัน และสิ่งนี้ยิ่งใหญ่กว่าการปะทะกับความทุกข์ แต่เป็น “การอยู่ร่วมกับความทุกข์ในชีวิตได้อย่างมีความสุข” จนท้ายที่สุดความทุกข์ก็ไม่เป็นความทุกข์อีกต่อไป

นั่นคือด้านการทำงาน มาถึงด้านจิตใจกันบ้าง อย่าปฏิเสธเลย ในยุคที่การเพทย์เจริญก้าวหน้ายิ่งกว่าสมัยใดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ เรากลับหาทางกำจัดความทุกข์และความเจ็บป่วยไม่ได้ คนป่วยมากขึ้นด้วยโรคที่รุนแรงซับซ้อน ยังไม่นับถึงหายนะทางธรรมชาติ ที่นับวันจะรุนแรงมากขึ้น สร้างความหวาดกลัวในใจเรามากขึ้นทุกที แล้วยังมีความทุกข์ในใจ ที่เกิดจากความผิดหวัง เกิดจากความพลัดพรากอีกล่ะ

ขอบอกว่ามีแต่ปฏิบัติธรรมเท่านั้น ที่จะแก้ปัญหาทั้งปวงเหล่านี้ในใจได้

ด้วยเหตุนี้ สำหรับคนที่เคยไปข้ามน้ำข้ามทะเล เรียนวิชากันเป็นล้านๆบาทจบจบมาสูงๆ ยิ่งไม่มีข้ออ้างว่าไม่มีเวลา สำหรับการเรียนวิปัสนาแค่ 8 วัน

สำหรับคนที่จมอยู่ในกองทุกข์ จากอุบัติเหตุในชีวิต จากงานอันมากมาย จากภาระรับผิดชอบต่อครอบครัว คุณยิ่งไม่มีข้ออ้างที่จะไม่ปฏิบัติธรรม เพราะคุณนั่นล่ะ ที่ต้องเร่งรีบไปหาเครื่องมือมาจัดการกับปัญหาอันมากมายก่ายกอง ก่อนที่มันจะลุกลามไปใหญ่โตกว่านี้

ถ้าคิดได้แบบนี้ เวลา 8 วัน ยิ่งดูน้อยลงไปเป็นอย่างยิ่ง

และสำหรับบางคนที่คิดว่า เรียนพุทธศาสนามาแต่เล็ก อ่านหนังสือก็ออก เรียนที่บ้านเองได้ไหม ขอบอกว่าได้ แต่ได้ไม่ถึงที่สุด เหมือนคนเล่นตีปิงปอง กับนักกีฬาตีปิงปอง ทุกคนเล่นปิงปองได้เพราะเป็นกีฬาที่ใครๆก็เล่นได้แต่กำเนิด แต่หากจะให้ฉับไวถึงขั้นมีชีวิตที่มีความสุขมากกว่าความทุกข์นั้นต้องไปหัด ต้องฝึกซ้อม ต้องเอาจริงเอาจัง ต้องมีครูบาอาจารย์ มีกัลยาณมิตร มีเพื่อนนักกีฬาด้วยกัน ถึงจะเป็นนักกีฬาตีปิงปองมืออาชีพได้

ข้าพเจ้าจำได้ว่าทุกครั้งที่ออกจากปฏิบัติธรรม อย่างน้อยก็เมื่อญาณปัญญายังเข้มข้นอยู่นั้น จิตของข้าพเจ้าจะเข้มแข็งมาก ไม่กลัวตาย ไม่กลัวสูญเสีย ไม่กลัวผิดหวัง ทุกปัญหาล้วนแต่เล็กน้อยและแก้ไขได้ มีความฮึกเหิมพร้อมที่จะรับกับทุกปัญหา มาเลย …มาเถอะ เข้ามาตอนนี้จะปราบให้เรียบ

ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่า ร้อยละเก้าสิบของคนวิปัสนา เมื่อออกจากวิปัสนาใหม่ๆจะเป็นเช่นนี้ และแน่นอนถ้าไม่ปฏิบัติต่อ ความรู้สึกแบบนี้ก็จะลดน้อยถอยลง เพราะญาณปัญญาก็เป็นอนิจจังไม่เที่ยง

เอาเป็นว่า เรื่องอานิสงส์ของการวิปัสนาจะต้องพูดกันยาว และสำหรับใครที่มีเรื่อง เหตุแห่งวิปัสนาของตัวเองและอานิสงส์ของวิปัสนามาเล่าสู่กันฟังก็เชิญได้ที่ข้างล่างนี้ ค่ะ (ถือเป็น”ธรรมทาน” อันใหญ่หลวง )

อนึ่ง วิปัสนาสายของคุณแม่สิริ เป็นวิปัสนาที่ได้รับความนิยมมากโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ติดสุขทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้าอยากโฆษณาก็คือ ไม่ต้องอดอาหารเย็น และยังได้ทานอาหารเย็นที่อร่อยมาก ขอย้ำว่าแม้จะเป็นมังสวิรัติก็อร่อยเด็ดขาด ได้นอนฟูก และบางครั้งได้นอนเตียง หรือนอนห้องแอร์อีกต่างหาก (ขึ้นกับสถานที่) ที่สำคัญในขณะวิปัสนา มีวิทยากรที่ไม่น่าเบื่อ เพราะไม่ใช่พระที่มานั่งพูดบาลีแสียงยานๆ แต่เป็นบุคคลที่น่าสนใจ ประมาณออกรายการทีวีได้ทุกคน

ส่วนเรื่องข้อที่ว่า ห้ามพูดคุย ห้ามอ่านหนังสือ ห้ามคุยมือถือนั้นขอบอกว่าให้ลองเถอะ แค่ 8 วันไม่มีคนในบ้านคนไหนตาย ไม่โดนไล่ออก และไม่มีใครทำบริษัทล้มละลายหรอก

แต่คุณเอ๋ย ขอบอกว่าอันนี้สุดยอด เมื่อเราไม่พูดคุย และยอมทิ้งงานการภาระลงได้บ้าง เราจะพบตัวเองในมุมมองใหม่ ที่แสนจะมีความสุข การหยุดพูดคุยบ้าง ทำให้เราได้เห็นตัวเองแจ่มชัดขึ้น การหยุดรับส่งเรื่องภาระ ทำให้ได้ถอยมาเห็นปัญหาและทางแก้ไขได้อย่างแจ่มชัดดีนักแล

ขอย้ำว่า แค่ 8 วันเพื่อการได้รู้ว่า ใจตัวเองนั้น มันคืออะไรหนอ เหตุใดจึงทุกข์ไม่จบสิ้น มันช่างคุ้มแสนคุ้มเสียจริงๆ ..ก็บอกไปแล้วไง

โอพระเจ้ายอด… มันจอร์ชมาก !!

นันทวรรณ รุ่งวงศ์พาณิชย์





 

Create Date : 04 ธันวาคม 2550    
Last Update : 20 กรกฎาคม 2551 23:04:22 น.
Counter : 699 Pageviews.  


แม่มดมีฤทธิ์
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]




นันทวรรณ รุ่งวงศ์พาณิชย์ (บ๊วย)
นักเขียนบทละครโทรทัศน์

เจ้าของบทประพันธ์...>>>>>
ทาสรัก สวรรค์สร้าง
เพลงรักข้ามภพ
สู่แสงตะวัน อธิษฐานรัก
ดั่งดวงตะวัน เพียงผืนฟ้า
กลิ่นแก้วกลางใจ เปลวไฟในฝัน

ผลงานเขียนบท...>>>>>
บ่วง ทวิภพ สาปภูษา
ดั่งดวงตะวัน กลิ่นแก้วกลางใจ
เปลวไฟในฝัน หัวใจช็อคโกแล็ต
คลื่นรักสีคราม เล่ห์รตี

ผลงานกับละลิตา ฉันทศาสตร์โกศล ...>>>>>
ทางผ่านกามเทพ สามีตีตรา สายรุ้ง
ยอดชีวัน สามี บังเกิดเกล้า
หนึ่งในดวงใจคือเธอ สี่ไม้คาน
เลื่อมสลับลาย พรหมไม่ได้ลิขิต
ก้านกฤษณา ปลาหนีน้ำ ฯลฯ

ผลงานกับ ช่างปั้นเรื่อง...>>>>>
รักในม่านเมฆ เพียงผืนฟ้า ปิ่นมุก พลิกดินสู่ดาว อุ่นไอรัก
เบญจาคีตาความรัก รุ่งทิพย์ ต่างฟ้าตะวันเดียว
ปิ่นไพร ฯลฯ




Friends' blogs
[Add แม่มดมีฤทธิ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.