บทเรียนเล็กๆของลูกผู้ชายตัวน้อย ... ตอน เมื่อพ่อติดอยู่ในห้องน้ำ
เย็นนี้พ่ออาบน้ำเสร็จ .... แต่เปิดประตูห้องน้ำไม่ออก... พ่อติดอยู่ในห้องน้ำหนูอยู่นอกห้องน้ำกับพี่เฟิร์น ... ช่วยกันรัวทุบประตูกับ ทุบลูกบิดประตู (โดยหวังว่ามันจะเปิด)คุณแม่หนูเอากุญแจมาไขจากข้างนอก ...ความพยายามทุกอย่างล้มเหลว ... พ่อยังคงติดอยู่ในห้องน้ำ ...พ่อบอกออกไปว่าให้หนูกับพี่เฟิร์นหยุดรัวทุบประตูกับลูกบิดประตู... แล้วให้นั่งรออยู่เฉยๆหน้าห้องน้ำ... พ่อได้ยินหนูกับพี่เฟิร์นเริ่มร้องไห้เพราะคิดว่าพ่อคงจะออกมาไม่ได้อีกเลยสักพักพ่อก็ใช้กิ๊บติดผมของพี่เฟิร์น กับหวีหางยาวของคุณแม่หนูจัดการกับลูกบิดออกมาได้หนูกับพี่เฟิร์น ดีใจและแปลกใจมากว่าพ่อทำได้อย่างไร (ราวกับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ลำดับ 8 ของโลก)พ่อทำให้พี่เฟิร์นและลูกผู้ชายตัวน้อยของพ่อ ดูอีกทีว่าพ่อทำได้อย่างไรเสร็จแล้วก็ให้แม่หนูซ้อมทำให้ชำนาญด้วยอีกคน เผื่อว่าหนหน้าคนที่ติดอยู่ข้างในไม่ใช่พ่อ :)ถ้าจะให้โอกาสทองแบบนี้ผ่านไปเฉยๆ ผู้ชายคนนั้นก็คงจะไม่ใช่พ่อของหนูพ่อเรียกพี่เฟิร์นกับลูกผู้ชายตัวน้อย มานั่งล้อมเจ้าซากลูกบิดประตูโปเกตัวต้นเหตุแล้วเราสามคนพ่อลูกก็ระดมสมองกัน เพื่อตอบคำถามที่ว่า ... "ตะกี้นี้เราได้เรียนรู้อะไรบ้าง ..."และนี่คือคำตอบจากสมองเล็กๆ 2 ก้อน ที่ถูกชี้นำ(นิดๆ)โดยสมองก้อนใหญ่(กว่านิดหน่อย :P) อีกก้อน...1. ไม่ทุกครั้งที่เราจะมีอุปกรณ์เครื่องมื่อในการแก้ปัญหาในเวลาที่เราต้องการ2. เราต้องรู้จักแก้ปัญหาภายใต้ข้อจำกัด เวลา และอุปกรณ์เท่าที่เรามี3. ถ้าเรายังไม่ยอมแพ้ ทุกปัญหาแก้ไขได้เสมอ4. โดยมากแล้วการใช้กำลัง ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา5. การร้องโวยวาย ตีโพยตีพาย และความวู่วาม ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา6. การร้องไห้อาจจะทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายได้ชั่วคราว แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเช่นกัน7. ข้อนี้สำคัญที่สุด ... ในยามคับขัน การตั้งสติให้ดีนั้นสำคัญที่สุด เพราะจะทำให้เกิดปัญญา แล้วค่อยใช้ปัญญาไปแก้ปัญหาอีกที8. ข้อนี้สำคัญกว่าข้อ 7 ... จงตรวจสอบลูกบิดประตูห้องน้ำก่อนจะล๊อกมัน :)เหตุเกิดตอนสองทุ่มกว่าๆบันทึกไว้ตอนสี่ทุ่มยี่สิบนาทีของวันเดียวกันวันที่ 31 มีนาคม พศ. 2552ปล. ยังมีทักษะเฉพาะตัวของลูกผู้ชายอีกมากที่พ่อยังจะต้องสอนลูกผู้ชายตัวน้อยของพ่อคนนี้เพื่อที่ว่า ... สำหรับบ้านหลังเล็กๆหลังนี้ วันหนึ่งหนูจะคือลูกผู้ชายตัวแทนของพ่อ เพื่อที่ว่า ... วันหนึ่งหนูจะคือลูกผู้ชายที่พ่อภูมิใจเพราะว่า ... หนูจะคือผู้ชายคนเดียวที่พ่อไว้ใจฝากให้ดูแลผู้หญิงที่พ่อรักทั้งสองคนเพราะว่า ... พ่อเชื่อมั่นเสมอว่าลูกผู้ชายตัวน้อยของพ่อทำได้===========================================บทเรียนที่ 11 ของน้องเฟิร์น ... "กระดุมเม็ดที่หายไป"บทเรียนเล็กๆของลูกผู้ชาย(ตัวน้อยๆ)ของพ่อ ...
บทเรียนเล็กๆของลูกผู้ชาย(ตัวน้อยๆ)ของพ่อ ...
บ่ายวันหนึ่ง ...เสียงลูกผู้ชายตัวน้อยๆของพ่อร้องดังลั่นมาจากหลังบ้าน ...พร้อมกับการรายงานตามหลังมาติดๆจากคุณแม่ของหนู"น้องภัทรโดนเสี้ยนตำมือ แต่ไม่ยอมให้แม่บ่งออก"พ่อเดินไปดู พร้อมประเมินสถานะการณ์ ...เสี้ยนบางๆยาวราวๆครึ่งเม็ดข้าวสวย ฝังแนวนอนไม่ลึกมาก เพราะพ่อพอมองเห็นลายเสี้ยนผ่านเยื่อหนังใสๆแล้วการเจรจาต่อรองที่ซับซ้อนยุ่งยากยาวนานกว่าในตำราไหนๆก็เริ่มขึ้นน้องภัทร ... "ไม่" "ไม่" แล้วก็ "ไม่" ... พ่อ ... งั้นเรามาตกลงกันอย่างลูกผู้ชาย"จะไม่มีการบ่งเสี้ยน" ... ข้อตกลงระหว่างลูกผู้ชายตัวโต กับ ลูกผู้ชายตัวน้อย :)"แค่เอาปาสเตอร์แปะไว้ก็พอ"...หนึ่งวันผ่านไป...เสี้ยนก็ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างที่มันทำมาหลายๆหนกับมนุษย์หลายๆคนในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมา... จึงได้มีการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงลูกผู้ชายกันใหม่... เอามันออกก็ได้(น้ำเสียงแบบยอมจำนน) แต่ต้องไม่เจ็บ (ฮ่วย !)หลังจากเรื่องราวผ่านไปหลายวันพ่อเรียกลูกผู้ชายตัวน้อยของพ่อเข้ามาทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหนูได้เรียนรู้อะไรบางอย่างที่สำคัญมาก หนูอาจจะไม่เข้าใจในวันนี้แต่พ่อจะบันทึกเอาไว้ ให้ "ลูกผู้ชาย" ของพ่อในวันข้างหน้าข้อที่ 1 แก้ปัญหาต้องแก้ที่ต้นเหตุข้อที่ 2 ปัญหาถ้ามันเกิดขึ้นแล้วการแก้ไขมักจะต้องแลกด้วยความเจ็บปวดและสูญเสียข้อที่ 3 การทิ้งปัญหาไว้ นอกจากมันไม่มีทางจางหายหรือบรรเทาไปเอง ปัญหามันยังจะแย่ลงเรื่อยๆข้อที่ 4 ถ้าการทิ้งปัญหาไว้นานถึงเวลาหนึ่งการแก้ปัญหาจะยากและเจ็บปวดกว่าจะแก้เมื่อตอนเริ่มต้นเกิดปัญหาข้อที่ 5 ยิ่งแก้ปัญหาที่ต้นเหตุเร็วเท่าไร ยิ่งสูญเสีย เจ็บปวด น้อยลงเท่านั้นข้อที่ 6 ในปัญหา ในความเจ็บปวด ในความสูญเสีย ถ้าดูให้ดีๆจะมีโอกาสดีๆใหม่ๆเกิดขึ้นเสมอ (เช่นที่พ่อเอามาสอนหนูในคราวนี้ไง)และ ข้อที่ 7 ข้อนี้สำคัญมากที่สุด ถ้าหนูจะใช้วิธีนี้กับหลานของพ่อ อย่าลืมตรวจประวัติการฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยักซะก่อนนะ :Pรักลูก"พ่อ"11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 บทเรียนที่ 11 ของน้องเฟิร์น ... "กระดุมเม็ดที่หายไป"
ความจริงเกี่ยวกับ ... "เธอ" ... คนที่ลูกจะรัก : บทเรียนหนึ่งของลูกชาย จากพ่อ
ลูกรัก ...เผื่อลูกจะไม่รู้ ... ลืมไป ... หรือแกล้งลืมไปว่าบนผิวดาวเคราะห์ดวงนี้มีมนุษย์อีกจำพวกหนึ่งที่มีลักษณะตรงข้ามกับเราแต่ธรรมชาติสร้างมาเพื่อให้คู่กับเราอาศัยอยู่ด้วย เราเรียกมนุษย์กลุ่มนี้ว่า "ผู้หญิง" ... ความเป็นผู้หญิงเป็นความมหัศจรรย์ที่สุดอย่างหนึ่งที่ธรรมชาติบรรจงประดิษฐ์ขึ้นมา (อย่างน้อยก็ตามประสบการณ์ของพ่อ)เธอ เหมือนทะเล ... ทั้งในยามสงบและบ้าคลั่ง ...เธอ เหมือนไฟ ... ทำความมืดให้สว่าง ไล่ความหนาวเย็นไปด้วยความอบอุ่น. . . . . . . . . . . . แต่ก็พร้อมที่จะเผาผลาญทุกอย่างที่ขวางหน้าเธอ เหมือนความฝันในตอนใกล้รุ่ง ... ที่มักจะติดหัวเราไปตลอดทั้งวัน เพียงเพื่อจะเตือนให้เรารู้ว่า. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . มันก็แค่ความฝันเธอ เหมือนความจริง ... ที่หลายครั้งเราพยายามจะคิดว่ามันเป็นความฝันเธอ เหมือนดอกไม้ ... ที่บางครั้งก็เรียกร้องหาแจกัน. . . . . . . . . . . . . . . แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่อยากถูกพรากจากต้นและผืนดินเธอ เหมือน ....พ่ออยากบอกว่า ....1. จงปฏิบัติต่อผู้หญิงอย่างให้เกียรติ เปิดเผย และเท่าเทียมกัน เธอมีศักดิ์ศรีและสิทธิทุกอย่างเท่าเทียมกับเราทุกประการ (ถึงแม้ว่าบางครั้งลูกอาจจะรู้สึกว่าพวกเธอมีศักดิ์ศรีและสิทธิมากกว่าพวกเราก็ตาม) หากลูกตกอยู่ในสถาณการณ์ที่ไม่แน่ใจว่าจะปฏิบัติ โต้ตอบ หรือ จัดการ อย่างหนึ่งอย่างใดต่อ "เธอ" ของลูก พ่ออยากให้ลูกใช้วิธีของพ่อ ให้ลูกคิดว่า ถ้าเธอคนนั้นเป็น แม่ หรือ พี่เฟิร์น ของลูก .... ลูกจะรู้ได้เองด้วยสำนึกที่ดีว่า ลูกจะปฏิบัติ โต้ตอบ หรือ จัดการ อย่างไรกับเธอ แต่อย่าคิดถึงคุณแม่ตอนทำโทษลูก หรือ ตอนที่พี่เฟิร์นแย่งขนมลูกล่ะ2. "วีน" ... "วีนแตก" ... เป็นศัพท์ใหม่สำหรับคนรุ่นพ่อ เพราะสมัยที่พ่อเติบโตไม่มีบัญญัติไว้ แต่พ่อก็เอามาใช้ในบริบทนี้เพราะคำนี้อธิบายอาการบางอย่างของเธอที่ลูกไม่มีวันเข้าใจ (และไม่ต้องไปพยายามเข้าใจ)ได้เป็นอย่างดี ... ลูกรัก ... ไฟน่ะ เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้วมันจะไหม้ไปไม่เลือกหรอกนะลูก มันจะไหม้แม้กระทั่งคนที่ไปจุดมันขึ้นมาถ้าไม่ระมัดระวังอย่างเพียงพอ หรือบางครั้งขนาดระวังเต็มที่แล้วมันก็ไหม้ แม้แต่คนที่โง่ที่สุดก็รู้ว่าการสาดน้ำมันลงไปในกองไฟ ไม่ทำให้ไฟดับ แต่จะทำให้มันลุกมากขึ้นไปอีก ... พ่อกำลังจะบอกว่า การดับไฟที่ดีที่สุดต้องกำจัดเชื้อเพลิง ความร้อน และอ๊อกซิเจน ... ลูกรัก ... คำอธิบาย ตรรกะ เหตุผล ต่างๆที่ลูกคิดว่าดีที่สุด ยอดเยี่ยมที่สุด เข้าใจง่ายที่สุด คำอธิบาย ตรรกะ เหตุผล ต่างๆเหล่านั้นจะเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี เพราะจะถูกมองว่าเป็นข้อแก้ตัว ... เหมือนฉีดน้ำมัน ฉีดอ๊อกซิเจนเข้ากองไฟ ฉันใดก็ฉันนั้น .... ขณะที่เธอเกิดอาการวีนแตกนั้น เธอจะขาดความสามารถในการเข้าใจเหตุผลและตรรกะต่างๆไปชั่วคราว ไม่ว่าเธอคนนั้นจะจบปริญญาเอกมาจากสำนักไหน สาขาไหน ยกเว้นก็แต่เธอที่อยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า "ผู้ทรงศีล" หรือ "ชี" เธอเหล่านี้จะไม่วีนแตกแน่นอน แต่พ่อก็ไม่คิดว่าเส้นทางชีวิตของลูกจะเข้าไปข้องแวะกับเธอกลุ่มนี้เท่าใดนัก เว้นแต่ลูกคิดจะบวชตลอดชีวิต ซึ่งพ่อยินดีสนับสนุนถ้าลูกต้องการอย่างนั้นจริงๆใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว ... ลูกรัก ... คาถาบทเดียวที่พ่อใช้มาตลอดชีวิต ... "ครับ" ... ก็คือคาถาบทนั้น ... และพูดให้น้อยที่สุด พูดเท่าที่จำเป็น ข้อสำคัญอย่าอธิบายเหตุผลใดๆทั้งสิ้นในกรณีที่ลูกอนุมานว่าลูกอาจจะมีส่วนในปรากฎการณ์วีนแตกครั้งนั้น แต่ก็พึงระวังไว้ว่า วีน หรือ วีนแตกนั้น ตอนเริ่มต้นอาจจะเกิดจากสาเหตุหนึ่งที่ไม่เกี่ยวกับลูกเลยแม้แต่น้อย แต่ลูกอาจจะไปเกี่ยวด้วยโดยไม่ทราบสาเหตุในตอนจบลูกฟังแล้วอาจจะไม่เข้าใจเพราะมันไม่มีตรรกะ แต่มันคือความจริง เหมือนไฟไงล่ะลูก มันบังเอิญที่ลูกโชคร้าย ที่เข้าไปอยู่ใกล้ๆ ไฟก็เลยลามลูกเข้าให้ ... ท่องคาถาของพ่อเอาไว้ ... "ครับ"ลูกเดียว แล้วก็นับหนึ่งไปถึงสิบถึงร้อยถึงพันสามสี่ร้อยล้าน เดี๋ยวพายุก็สงบ จำไว้ลูก ฝนที่ตกหนักจะตกไม่นาน ...เมื่อไฟมอด พายุสงบ วีนสลาย ... ลูกค่อยเท้าความ ชี้แจงเหตุผล ในกรณีที่เกี่ยวกับลูกโดยตรง แต่ถ้าไม่เกี่ยวกับลูกก็จงลืมๆไปเสีย ไม่ต้องไปรื้อฟื้นให้เปลืองตัว3. ผู้หญิงนั้น เวลาที่เธอขบคิด หรือมีปัญหาต้องคิด เธอจะพูดออกมา ลูกออกความเห็นได้เฉพาะเท่าที่ได้รับการร้องขอ มิฉะนั้นลูกมีหน้าที่อย่างเดียวคือฟัง ลูกอาจจะประหลาดใจถ้าพบว่า หลายๆครั้งเธอได้ข้อสรุป ทางออก หรือทางแก้ปัญหานั้นๆแล้ว แต่เธอยังไม่หยุดที่จะพูด ลูกรัก ... อย่าประหลาดใจเลย จงยอมรับธรรมชาติของเธอในข้อนี้ ความจริงก็คือว่า ข้อสรุป ทางออก หรือทางแก้ปัญหา ไม่ทำให้เธอหยุดคิดหรือหยุดพูด ดังนั้นลูกก็จงฟังต่อไป ... อีกอย่างก็คือการฟังเธอพูดขณะเธอขบคิดนั้น เธอถือว่าเป็นการเอาใจใส่ เป็นการแสดงความเอื้ออาทร และเป็นการแสดงว่าลูกยังรักและห่วงใยเธอ ลูกอาจจะสงสัยว่าแล้วเมื่อไรเธอจะหยุดพูดล่ะ ลูกเอ๋ย ... พ่อตอบไม่ได้หรอกลูกรัก เมื่อเธออยากจะหยุดเธอจะหยุดเอง ลูกไม่ต้องไปใส่ใจว่าเธอจะหยุดเมื่อไร ลูกมีหน้าที่ฟัง และพยักหน้า (เท่านั้น) ....อันลักษณะนี้จะเป็นตรงกันข้ามกับเรา เมื่อเรามีเรื่องต้องขบคิด มีปัญหาที่ต้องการแก้ไข เราจะต้องการความเงียบคิดๆๆๆ และ คิดคนเดียว (โดยไม่ใช้ปาก) แต่เธอผู้อยู่ข้างๆลูก เมื่อเห็นลูกกำลังใช้ความเงียบคิดอะไรของลูกคนเดียว เธอก็จะขันอาสามาช่วยลูกคิดโดยเธอจะใช้วิถีที่เธอคิดคือคิดด้วยการพูด ถามๆๆๆ และ ถาม เพราะเธอคิดว่ามันเป็นการแสดงความใส่ใจ ความรักและเอื้ออาทร ... เมื่อลูกรำคาญเพราะลูกต้องการคิดอย่างเงียบๆคนเดียวตามวิถีของพวกเรา ลูกอาจจะบอกปัดไป นั้นยิ่งจะทำให้เธอเข้าใจลูกผิดไปว่าลูกไม่ยินดีรับความรักความเอื้ออาทร และความใส่ใจที่เธอมอบให้ ซึ่งอาจจะทำให้เธอตีความไปว่าเรื่องที่ลูกกำลังขบคิดเป็นเรื่องที่เธอไม่ควรรู้ เป็นเรื่องลูกกำลังปิดบัง ลูกเบื่อ และ ไม่ต้องการเธอ และนั่นจะทำให้เรื่องราวมันขยายใหญ่โต"แล้วหนูจะทำอย่างไรดี ..." ... ลูกรัก ... ไม่ยากหรอก ลูกก็ต้องบอกเธอไว้ล่วงหน้า อธิบายให้เธอเข้าใจธรรมชาติของพวกเราว่าเวลาที่ต้องการขบคิด แก้ปัญหาต่างๆ เราต้องการคิดเงียบๆ โดยไม่ใช้ปาก และไม่ต้องการผู้ช่วย แต่ถ้าต้องการความเห็นหรือความช่วยเหลือเราจะเอ่ยปากถามเอง และขอให้เธอให้ความร่วมมือโดยเข้าใจธรรมชาติของเราในข้อนี้ ... และในทางกลับกันลูกก็ต้องเข้าใจในธรรมชาติของเธอด้วยอย่างที่พ่อพูดไว้แล้วข้างต้น ...4. ตู้เสื้อผ้าที่ไม่เคยพอ ... ลูกรัก ... ปรากฎการณ์หนึ่งที่ลูกต้องได้ประสบคือ "ตู้เสื้อผ้าที่ไม่เคยพอ" ... เธอจะไม่เก็บเสื้อผ้าที่สามปีใช้หนเดียวลงกล่องหรือแม้แต่ชุดที่ไม่มีวันได้ใช้(ในความคิดของลูก) เธอจะแขวนไว้ในตู้เสมอ ด้วยความหวังว่าสักวันหนึ่งเถอะเธอจะได้สวมมัน ... ลูกรัก ถ้าลูกกำลังจะพูดถึงตรรกะ และเหตุผล ไม่ว่าจะทางวิทยาศาสตร์ หรือ เศรษฐศาสตร์ ลูกกำลังหลงทาง ... จงอย่าได้เอ่ยเหตุผลเหล่านี้เลย ไม่สำเร็จหรอก พ่อได้พยายามมาแล้ว ทั้งกับย่าของลูก อาหญิงของลูก และแม้แต่แม่ของลูก เหลือแต่พี่เฟิร์นของลูกที่พ่อยังไม่ได้ลองพยายาม เพราะวันนี้พี่เฟิร์นของลูกยังไม่มีตู้เสื้อผ้า แต่พ่อก็คิดว่าวันที่พี่เฟิร์นของลูกมีตู้เสื้อผ้า ก็คงไม่ต่างกับ ย่า อา หรือ แม่ของลูก ... หรือลูกจะลองพยายามพูดกับเธอของลูกดูก็ได้ แต่ถ้าผลลัพท์มันไม่ได้อย่างใจล่ะก็ ... พ่อเตือนลูกแล้วนะ ... อ๋อ ... นี่ก็หมายความไปถึงตู้รองเท้าด้วยนะ มันไม่เคยพอเหมือนกัน5. ลูกรัก ... ถ้าลูกถูกถามว่า ... "คุณว่าชุดนี้ฉันใส่แล้วดูเป็นอย่างไร" หรือ "ชุดนี้ (ที่ฉันกำลังลองอยู่)กับชุดนั้น ชุดไหนสวยกว่ากัน" หรือ "รองเท้าคู่นี้เข้ากับกระโปรงตัวนี้ไหม" หรือ ฯลฯ ... ลูกจะตอบอย่างไร ... อย่านะลูก อย่าเป็นอันขาดที่จะตอบโดยใคร่ครวญหาเหตุผลที่แท้จริงอย่างสมบูรณ์ในการตอบคำถามเหล่านี้ หรืออีกอย่างหนึ่งพ่อกำลังจะบอกว่า อย่าใช้สมองในการตอบ ... "อ้าว .. แล้วหนูจะใช้อะไรตอบล่ะครับ" ... หัวใจไงล่ะลูก คำถามพวกนี้ต้องใช้หัวใจตอบ ... คำถามทั้งหมดนั้นถูกแปลให้เข้าใจได้ง่ายๆคือ "ลูกยังรักเธออยู่ไหม" หรือ "เธอยังสวยและดูดีในสายตาลูกอยู่หรือไม่" เธอถามหาความเชื่อมั่น เธอถามหาความมั่นใจต่างหาก ... จงตอบอย่างที่เธอต้องการฟัง เปล่านะลูก พ่อไม่ได้สอนให้ลูกโกหก เพราะถ้าลูกใช้สมองตอบ ความสัมพันธ์ของลูกกับเธออาจจะมีปัญหา ทั้งๆที่ลูกยังรักเธออยู่ ถ้าลูกยังรักเธออยู่ ก็จงใช้หัวใจตอบอย่างที่เธอต้องการฟัง แต่ถ้าลูกไม่ได้รักเธอ ลูกก็ตอบโดยใช้สมองได้เลยเธอ ... เจ้าของรอยยิ้มที่เป็นความสว่างไสวเพียงอย่างเดียวในยามที่ลูกตกอยู่ในห้องที่มืดมิดเธอ ... เหมือน เสียงของความเงียบ คำพูดของเธอลูกต้องใช้หัวใจฟัง ... ไม่ใช่ใช้หูเธอ ... คือ ความงดงามในความไม่สมบูรณ์พร้อม ลูกต้องใช้ความรักอย่างหมดใจเพื่อที่จะสัมผัสความงดงามนั้นเธอ ... คือ ความฝันที่ลูกอยากให้เป็นความจริง มากพอๆกับที่เธอคือความจริงที่ลูกอยากให้เป็นเพียงแค่ฝันเธอ ... คือ สีสรรของสายลม ... สีสรรที่ลูกไม่อาจจะมองเห็นได้ด้วยตา ...แต่ด้วยความอาทร. . . . . และใส่ใจในทุกรายละเอียดเธอ ... คือ ความสอดคล้องในความขัดแย้งเธอ ... คือ จุดบรรจบของเส้นขนานและเหนืออื่นใด ... เธอคือ ผู้หญิงที่ลูกรัก และฝากชีวิตไว้กับ ... เธอ ...ขอให้ลูกโชคดีในชีวิตครอบครัวในวันข้างหน้ารักลูก ...พ่อ9 เมษายน พ.ศ. 2547
เหตุเกิดเมื่อเช้าวันที่ 13 ราวๆ 9 โมงเช้า 48 นาที
เหตุเกิดเมื่อเช้าวันที่ 13 ราวๆ 9 โมงเช้า 48 นาที ... วันที่น้องเฟิร์นกลายเป็นพี่เฟิร์นยัยเฟิร์น : นี่นัยภัทร นายคิดว่านายดิ้นกระเด่วๆอย่างนี้น่ารักนักหรือนัยภัทร : นี่ๆ พี่เฟิร์น พี่จะไม่ยินดีต้อนรับผมหน่อยหรือ ... ...............พี่ก็เคยดิ้นเด่วๆอย่างนี้เหมือนกันแหละยัยเฟิร์น : เอ้า ... ก็ได้ๆ ... ยินดีต้อนรับสู่ครอบครัวแสนสุขนัยภัทร : แต่ๆ พี่เฟิร์น ตุ๊กตาหมีที่พี่กอดนั่นมันเป็นของผมนี่นา............... มันมากับกระเช้าเยี่ยมของผม ....ยัยเฟิร์น : เอาน่า ... นี่แค่เริ่มต้นสงครามย่อยๆ กระชับสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องนัยภัทร : พี่เฟิร์นเล่นประกาศสงครามต้อนรับวันแรกของผมเลยหรือครับยัยเฟิร์น : บ้านนี้มีกฏ 2 ข้อ รู้ไหมนัยภัทรนัยภัทร : กฏว่าไงครับยัยเฟิร์น : ข้อแรก พี่เฟิร์นเป็นพี่ต้องได้กินขนมก่อน ได้ดูการ์ตูนก่อนนัยภัทร : กฎข้อสองล่ะพี่เฟิร์นยัยเฟิร์น : ข้อสอง ห้ามนายไปฟ้องคุณแม่ ถ้าพี่ทำนมหก ... รู้ไหมนัยภัทร : ก็ได้ๆ ... แต่พี่ห้ามมาแย่งดูดนมแม่ด้วย พี่โตแล้ว ...ยัยเฟิร์น : พี่ไปก่อนล่ะนะ ... นายออกจากโรงพยาบาลแล้วเจอกันที่บ้าน ...นัยภัทร : โอเช ... พี่สาวคนสวย ...... ต่อแต่นี้ไป คงจะเกิดสงครามย่อยๆ ขึ้นทุกวัน ...พ่อน้องเฟิร์น ....
ความกล้าหาญ ความเจ็บปวดของแม่ การเกิดของลูกภัทร
ความกล้าหาญ ความเจ็บปวดของแม่ การเกิดของลูกภัทร : มองจากหลังแว่นตาของพ่อ .... แม้ว่าจะเป็นท้องที่สอง พ่อก็รับรู้ได้จากจากแววตา และทุกอย่างที่แม่แสดงออก ความตื่นเต้น และ ความวิตก ไม่ได้จางหายไปจากจิตใจของแม่เลยแม้แต่น้อย พ่ออยากให้แม่รู้ไว้ว่าพ่อก็รู้สึกไม่ต่างกัน ...วันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 25450615 น. ข้างนอกยังไม่สว่างมากนัก ... 2-3 นาทีสุดท้าย ก่อนออกจากบ้าน ... หน้าหิ้งกางเขนเล็กๆที่บ้าน แม่คุกเข่าลงข้างๆพ่อ พ่อรู้สึกได้ถึงคำสวดภาวนา และความกังวลของแม่ผ่านความเงียบที่อยู่รอบๆ ... "ทุกอย่างต้องเรียบร้อยดี แม่และลูกจะปลอดภัย" พ่อจุ๊บและบอกแม่0645 น. แม่กับพ่อไปถึงโรงพยาบาล แม่นอนอยู่ในห้องเตรียมคลอด พ่อนั่งอยู่ข้างๆ เราคุยกันจนไม่มีเรื่องจะคุย แม่บอกว่าแม่หิวมาก เพราะแม่ต้องอดอาหาร และ น้ำ ตั้งแต่หลังเที่ยงคืน ... มีขั้นตอนต่างๆที่แม่จะต้องทำ ... เช่น ทำความสะอาดร่างกาย เปลี่ยนชุด เจาะเลือด สวนทวาร ให้น้ำเกลือ และอื่นๆอีกมากมายที่พ่อจำไม่หมด พ่อพยายามชวนแม่คุยไปเรื่อยเปื่อยสัพเพเหระ เพื่อจะให้แม่คลายความวิตกลงบ้าง0815 น. อีกครั้งที่แม่กับพ่ออยู่ในห้องรอกันสองคนกับความเงียบ พ่อก็รู้ว่าแม่คงกังวลกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ความเงียบอาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดก็ได้ในยามนี้ พ่อรู้ว่าแม่คงต้องอาศัยความกล้าอย่างมากที่จะอยู่อย่างเงียบๆอย่างนั้น ความรับรู้อย่างเดียวที่มีจากแม่ถึงพ่อผ่านทางมือแม่ที่พ่อกุมอยู่ ... ที่พ่อทำได้ก็คงเป็นเพียงสวดภวานา และ คอยบอกแม่เป็นระยะว่าพ่อรักแม่มากแค่ไหน0900 น. พยาบาลเข็นเตียงไปจากห้องรอคลอด ทิ้งให้พ่อรอในห้องเพียงคนเดียว ...0935 น. พยาบาลตามพ่อให้เข้าไปในห้องคลอด ... แม่ผ่านการบล็อคหลังไปเรียบร้อยแล้ว ... มีสายน้ำเกลืออยู่ที่แขนซ้าย หน้ากากออกซิเจนครอบอยู่ที่จมูก แขนขวายื่นออกมานอกผ้าคลุมสีเขียว ที่เหนือหัวแม่มีเครื่องไม้เครื่องมือไฮเทคมากมายที่พ่อไม่รู้จัก แม่ยังรู้สึกตัวดีอยู่ มีผ้ากั้นสายตา ทำให้พ่อมองไม่เห็นบริเวณที่คุณหมอกำลังผ่าเอาลูกภัทรออกมา พ่อจับมือขวาแม่ไว้ ไม่มีความรู้สึกใดๆผ่านออกมาทางมือแม่เลย ... เป็นความกล้าหาญของแม่ที่พ่อต้องยอมให้จริงๆ ...0948 น. เสียงแรกของลูกภัทร ... ลั่นห้อง ... ลูกรัก ... นี่แหละชีวิต ... มันทุกข์นักนะลูก ... ขนาดลูกจะหายใจลูกยังต้องออกแรงด้วยตัวเองเลย ... นี่แหละลูกรัก บทเรียนที่หนึ่ง ... แม่ยิ้มกว้างอย่างมีความสุข ... เป็นยิ้มที่สวยที่สุดยิ้มหนึ่งของแม่เท่าที่พ่อจำได้ ... แม่พยักหน้าเป็นเชิงบอกให้พ่อไปดูลูกได้แล้ว ... พ่อปล่อยมือจากมือแม่ ไปยูนิตเด็กที่มุมห้องห่างไปราวๆ 8 ก้าว ... ลูกภัทรยังไม่หายตกใจกับโลกใบใหม่ ... ยังร้องดังลั่น ... ลูกตัวสีม่วงคล้ำ ขนาดราวๆจากปลายนิ้วถึงข้อศอกของพ่อ ... หมอเด็กตัดสายสะดือ สอดท่อยางเล็กๆดูดน้ำคร่ำออกจากปากและจมูก เช็ดคราบต่างๆออก แล้วห่อด้วยผ้าสีเขียว ระหว่างนั้น พ่อก็สนุกกับการกดชัตเตอร์ไปเรื่อยๆ รูปแรกของลูกก็ถ่ายกับพ่อ พยาบาลถ่ายให้ด้วยกล้องโพลารอยด์ของโรงพยาบาล จากนั้นก็ย้ายกันไปที่แม่ที่กำลังนอนให้หมอสูติฯเย็บแผล คำแรกแม่ถามพ่อว่าลูกภัทรปกติดีไหม พ่อพยักหน้าแทนคำตอบ พยาบาลตากล้องคนเดิมก็ช่วยถ่ายรูป3คนพ่อแม่ลูกกันอีกช๊อต ... จากนั้นหมอรมยาก็บอกว่าเดี๋ยวจะให้แม่หลับแล้วนะ ...1005 น. พ่อออกมาจากห้องคลอดอย่างโล่งใจ โทรฯไปบอกทุกๆคนที่รอคอยข่าวการมาของลูกภัทร และ ลงไปทานมื้อเช้าที่ร้านเดิมที่พ่อลงมาทานหลังน้องเฟิร์นคลอดเมื่อ 2 ปีก่อน1400 น. หลังจากพ้นระยะรอดูอาการหลังผ่าตัด แม่ถูกเข็นมาที่ห้องพักหลังคลอด ... สายน้ำเกลือยังอยู่ที่แขนเดิม มีเพิ่มมา 1 สายเป็นสายสวนท่อปัสสาวะ แม่จะได้ไม่ต้องลุกไปเข้าห้องน้ำ เพราะจะเจ็บแผลมาก ถึงกระนั้นก็ตาม พ่อก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดของแม่เมื่อยาสลบหมดฤทธิ์ลง ... แม่ต่อสู้กับความเจ็บปวดได้อย่างกล้าหาญ และ น่าชื่นชม ... พ่อขอบคุณแม่มากสำหรับทุกอย่างที่แม่ต้องฝ่าฟันเพื่อที่จะให้ได้ลูกภัทรมา ถ้าเป็นไปได้ พ่ออยากจะแบ่งปันความเจ็บปวดนั้นมาเอง แต่ที่พ่อพอจะทำได้เล็กๆ ก็คือ รักแม่ให้มากกว่าเมื่อวาน พ่อคงทำให้แม่ได้แค่นี้แหละ... เพราะเราเกิดมาคู่กัน ....พ่อน้องเฟิร์น และ น้องภัทร
หรือเพียง "ฝัน" ที่หาญท้าชะตาฟ้า ?
หรือจะเพียง "ศรัทธา" (ที่)ไร้ความหมาย ?
แม้จะเป็นแค่เพียง "ฝัน" จนวันตาย
แต่ผู้ชายคนนี้จะอยู่ข้างเธอ ... ตลอดไป ...
แด่ ... ลูกที่กล้าฝันของพ่อ