Agro Tourism ที่วังน้ำเขียว
เห็นเขาไปฮิตไปวังน้ำเขียว..เลยอยากไปมั่ง หาข้อมูลมาแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรให้แวะเที่ยวเท่าไหร่ แต่ก็อยากไปพักผ่อนสูดอากาศบริสุทธิ์อยู่ดีเส้นทาง กท.-ฉะเชิงเทรา-พนมสารคาม-กบินทร์บุรี-วังน้ำเขียว สรุประยะทางกท.-ฉะเชิงเทรา 45 กม.วิ่งเข้าเมืองฉะเชิงเทราไปอีก 20 กม.ฉะเชิงเทรา-กบินทร์บุรี 96 กม.กบินทร์บุรี-วังน้ำเขียว 65 กม.รวมๆ 230 กม. ข้อมูลประมาณนะคะ จำรายละเอียดไม่ได้(ขอบคุณข้อมูลจากคุณจันทร์กลางหาวค่ะ)คุณจันทร์กลางหาวแนะนำให้ไปกินปากหม้อร้าน "เจ้โบ๊" ที่ตลาดพนมฯ ด้วย แต่วันที่เราไปเป็นตรุษจีน อ่ะ เค้าหยุดเลยอดกินเลย...อุตส่าห์หิ้วท้องไปเราเลือกพักที่ฝั่งไทยสามัคคี เนื่องจากได้ยินว่าที่เที่ยวเยอะกว่า เราพักที่นี่ "ต้นตะวันโฮมสเตย์ 2" ค่ะ หลังละ 600 นอนได้ 2-3 คน เป็นห้องพัดลม รวมอาหารเช้า(เราชอบเลือกรีสอร์ทถูกๆ ไม่เน้นหรูและเครื่องอำนวยความสะดวกเท่าไหร่ค่ะ)หน้าบ้านค่ะ...ไม่มีห้องน้ำในบ้านนะเปิดบ้านเข้าไป...ที่นอน กับประตูออกไปชานหลังบ้าน เมื่อเปิดประตูหลังบ้านออกไป อยู่ริมน้ำค่ะที่นอน แถมสบู่ แชมพู กับน้ำเปล่าให้ด้วย (ที่เห็นนั่นผ้าห่มนะคะ ไม่ใช่ผ้าเช็ดตัว ต้องเตรียมไปเองค่ะ)ห้องน้ำรวมค่ะ เป็นแบบ Open-Air ซะด้วยดูกันชัดๆวิวรอบๆ รีสอร์ทค่ะ ธรรมชาติ ที่หาไม่ได้ในเมืองกรุงมาผิดฤดูไปหน่อย กลางวันอากาศร้อนมั๊กๆ เรารอจนแดดร่มลมตก ก็ออกไปหาอะไรกิน หมายตาไว้ "สเต็ก จังเกิลวิว" อยู่ไม่ไกลที่พักเราเท่าไหร่ส่วนใหญ่เป็นสเต็กเนื้อ เราไม่กิน...เลยสั่ง พอกกูล่าร์ (เอ๊ะ..เหมือนที่คุณโซเลยรีวิวเลย)เพื่อนเราสั่งพิซซ่า แต่ไปกัน 2 คน กินกันจนเหลือเอากลับมาเป็นข้าวเย็นต่ออีกมื้อแล้วก็ได้เวลาขับรถตะเวนเที่ยว มุ่งไปยังบ้านบุไทรและแล้วที่แรกที่เราจะท่องเที่ยวแบบ Agro ตามโปรแกรมคือ......แปลงดอกเบญจมาศมีดอกเบญจมาศสีขาวด้วยหลังจากนั้นก็ขับรถไปถ่ายภาพรีสอร์ทสวยๆ กลับบ้านเข้านอนตั้งแต่ 2 ทุ่มตื่นเช้ามาก็ขับรถแวะออกไปกินอาหารเช้าที่รีสอร์ทเตรียมไว้ให้ ....ข้าวต้มเห็ดหอม เห็ดเยอะมากๆออกตะลอนเที่ยวกันต่อ ที่วังน้ำเขียวส่วนใหญ่ทำการเกษตร ก็เลยต้องเที่ยวแบบ Agroแวะเข้าไปชมฟาร์มเห็ดหอม บ้านสุขสมบูรณ์ที่เพาะเชื้อ ของแต่ละฟาร์ม (เขียนชื่อฟาร์มติดไว้แต่ละชั้น)ไม่มีไกด์เลย แอบถามพี่คนงานก็ได้ พี่เค้าอธิบายว่า เชื้อ 1 ถุงต้องเก็บถึง 6 เดือน จึงจะสามารถนำมาเพาะให้ออกดอกได้ บางถุงก็ขึ้นราใช้ไม่ได้ก็มีห้องเก็บเห็ดที่รอเก็บในวันรุ่งขึ้นพื้นเปียกชื้น เพราะต้องรดน้ำเห็ดหอมที่มีเหลืออยู่บ้าง เนื่องจากเช้านี้เค้าเก็บเห็ดกันไปแล้ว....เก็บวันละรอบ ตอนเช้ามีทั้งเห็ดหอม เห็ดนางฟ้า และเห็ดหูหนู...เชื้อเห็ดหูหนู ที่วางเรียงราย พร้อมรอให้มันออกดอกเตาเผาฆ่าเชื้อหลังจากออกจากฟาร์มเห็ด เราก็แวะสวนผักปลอดสารพิษ "สวนลุงไกร"เราเข้าไปเพราะอยากชมสวน โดยไม่รู้ว่าลุงไกร เป็นคนดัง ออกรายการปราชญ์เดินดิน ตอนคนรักผัก ไปเมื่อวันที่ 15 ม.ค. 50 นี้เอง เลยมีคณะอาจารย์ และนักเรียน (คนละชุดกัน) มาเยี่ยมเยียนและฟังบรรยายของลุงไกรลุงไกรกำลังขับกล่อมเพลงให้ฟัง หลังจากบรรยายแนวคิดการทำเกษตรแบบไร้สารของแกแปลงผักไร้สารผักต่างๆ ....มันน่าเก็บมากินสลัดจริงๆบีทรูทแปลงอนุบาลผักหลังจากก็ออกจากวังน้ำเขียว ว่าจะแวะไปไร่องุ่น ธัญพร แต่อยู่ที่เขาแผงม้า แต่เราดันขับเลยไปเพื่อจะออกไปปักธงชัย ...อดแวะเลยตอนแรกจะมุ่งหน้าไปกินเดลี่โฮมที่มวกเหล็ก แต่อยากแวะไปกินวอฟเฟิล ตามรีวิวคุณชานไม้ก่อนแวะที่นี่เลย เอาท์เลทปากช่องคราวที่แล้วถ่ายรูปกับวัวไปจนหมดแล้ว แต่คราวนี้ ตัวนี้...วัวตรุษจีนและ...วอฟเฟิลไอศรีม+กล้วยหอม+ชอคโกแลต กับน้ำมะนาวโซดาเปรี้ยวจี๊ดส์ปิดท้ายด้วยกุหลาบเหลืองตัดกับสีท้องฟ้า จากไร่เบญจมาศ
กางเต้นท์ชิลด์ๆ โป่งก้อนเส้า - น้ำตกเจ็ดคด จ.สระบุรี
หลังจากกลับมาจากงานพืชสวนโลก แล้วก็อยากจะไปเที่ยวอีก เพราะงานพืชสวนฯ ไปแล้วก็เหมือนไม่ได้ไปยังไงไม่รู้ นี่เลยหยุด 3 วัน ไปไหนดี แต่เพื่อนเราดันไม่ได้หยุดแบบเราด้วย แถมต้องทำงานวันเสาร์อีกครึ่งวัน ไปไหนดีล่ะ ใกล้ๆ ดีกว่า กางเต้นท์ที่ศูนย์ศึกษาธรรมชาติเจ็ดคด-โป่งก้อนเส้า ไม่ไกล้-ไม่ไกล สระบุรีนี่เองขับรถไปรับเพื่อนที่นนทบุรี ออกจากนนทบุรีเวลาประมาณบ่าย 2 โมง ด้วยทางด่วนบางปะอิน ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่งเราก็เดินทางเข้ามาถึง ศูนย์ศึกษาธรรมชาติฯคนเยอะมากๆ สังเกตจากปริมาณรถได้เก้ๆ กังๆ กัน 2 คนอยู่ตั้งนาน ก็มันเต้นท์ใหญ่นอน 5 คน ดันมานอนกัน 2 คน กว่าจะกางได้ ดีนะได้พี่ใจดีเต้นท์ใกล้ๆ คงเห็นว่างกๆ เงิ่นๆ กันอยู่นาน ก็เลยมาช่วยกาง แป๊บเดียวเอง ไหง..เรากางเองมันยากเย็นจัง ขอบคุณพี่ใจดีนะคะกางเต้นท์เหนื่อยแล้ว หมดสภาพ...แม่ครัวจำเป็น ทำอาหารเก้ๆ กังๆ บรรยากาศก็เริ่มมืดแล้ว ไฟฉายเจ้ากรรมดันถ่านหมด ดีนะทำกับข้าวเสร็จและได้กินข้าวก่อน..เดินไปซื้อถ่ายไฟฉายที่ศูนย์บริการ กรรม ไม่มี (แต่ดันมีเหล้าขาย) ของจำเป็นนะคะเนี่ย ทำไมไม่มี ดีนะที่เราพกเทียนไปด้วย ที่นี่ควรจะต้องเอาไฟฉายไปด้วย เนื่องจากไฟมืดมาก ตื่นเช้า..จริงๆ ตื่นตั้งแต่ตี 4 แล้ว ลมแรงมากต้องรีบออกมาดูสมอบก กลัวเต้นท์ปลิว หลังจากออกไปล้างหน้าล้างตา เราก็ขับรถขึ้นไปจุดชมวิวมอเครือ ชมพระอาทิตย์ขึ้น จริงๆ เราไม่รู้ว่าพระอาทิตย์ขึ้นจุดไหน แต่ไหนๆ แล้วไปจุดชมวิวซะเลย ลมแรงมากกลับมาทำอาหารเช้า พระอาทิตย์ขึ้นเต็มดวงแล้ว อุปกรณ์ทำอาหารเช้าอาหารเช้าของเรา ข้าวต้ม-ปลากรอบ-ไข่เค็ม-ยำผักกาดกระป๋อง-โวโนซุปเห็ด กาแฟ-โอวัลติน.....น่ากินหรือเปล่าเอ่ยแอบถ่ายอุปกรณ์การนอน สภาพภายในเต้นท์หลังตื่นแล้วค่ะภาพรวมเต้นท์ค่ะ หน้าบ้านเรา อิอิ ยุ่งเหยิงกับการประกอบอาหารนิดหน่อยบรรยากาศรอบๆ (เต้นท์เพียบเลย)เต้นท์กางเกือบติดริมอ่างเก็บน้ำค่ะแอบถ่ายจากในเต้นท์ศาลาประกอบอาหาร ที่เค้าจัดเตรียมไว้ให้ค่ะ ภายในที่ช่องเตาถ่าน หลายช่องเหมือนกัน แล้วก็ที่ล้างจาน 4 หลุมค่ะ สะดวกดีห้องน้ำ อันนี้อยู่ด้านใน มีประมาณ 6-7 ห้องค่ะ แต่เราไปเข้าห้องน้ำด้านนอกค่ะ คนน้อยดี ห้องน้ำที่เราไปเข้า (ห้องผู้หญิง) มีห้องอาบน้ำ 3 ห้อง ห้องส้วม 3 ห้อง อ่างล่างหน้า 2 อ่าง เค้าให้เปลี่ยนรองเท้าเป็นรองเท้าฟองน้ำที่หน้าห้องน้ำด้วย เราว่าดีเพราะพื้นห้องน้ำจะได้ไม่เลอะโคลนค่ะ คิวเข้าห้องน้ำก็ไม่ยาวด้วย สะดวกค่ะ ใกล้ๆ กัน ด้านนอกก็มีห้องส้วมชาย-หญิงอีกอย่างละ 2 ห้อง รวมอ่างล้างจานอีก 1 อ่างภายในลานกางเต้นท์ก็ยังมี ลานแค้มป์ไฟ ศาลานั่งชมวิวริมน้ำ จุดทิ้งขยะ แล้วก็ศาลาเล็กๆ อีกหลายๆ หลังค่าบริการกางเต้นท์ น้ำ-ไฟ ประกอบอาหารทั้งหมด ก็ให้บริจาคแล้วแต่เราค่ะ ไม่ได้คิดเป็นหัวๆ เหมือนอุทยานสายแล้วเราออกเดินทางไปน้ำตกเจ็ดคตเราไปถามเจ้าหน้าที่เข้าบอกเดินศึกษาธรรมชาติเข้าไปได้ จากจุดกางเต้นท์ แต่แดดมันแรงแล้ว ก็เลยเลือกขับรถไปเอง แต่ต้องออกจากตัวศูนย์ฯ ก่อน ขับออกไปน้ำตกอีก 6 กิโลค่ะไปถึงแล้วเกือบถอดใจ ต้องเดินเท้าไปน้ำตกอีก 1,200 ม. จะไหวมั๊ยเนี่ย ไหนๆ ก็ไหนแล้ว เฮ้อทางเดินเท้าเข้าไป รู้สึกเหมือนเป็นเส้นทางน้ำตกเก่าเลย หินตลอดทางเดิน เดินข้ามขอนไม้ใหญ่บ้าง ข้ามลำธารน้ำตกเล็กๆ บ้าง ...ชีวิตคนเราก็ต้องมีอุปสรรคบ้างสิ...เดินไปเรื่อยๆ ถึงแล้วน้ำตกที่เราต้องการ ชู 2 แขนเลยนะ...เรามาถึงแล้วน้ำตกก็ไม่ใหญ่หรือสูงมากค่ะ เรานั่งพักเหนื่อย-เอาเท้าจุ่มน้ำกันได้ซักแป๊บก็ขอกลับออกมาแล้วค่ะ ระหว่างทางก็เจอคนเดินเข้ามาเรื่อยๆ แบกเสื่อ แบกอุปกรณ์การกินมาด้วย จะมีที่ให้เขานั่งไหมหนอ เพราะที่เราเห็นมันที่แคบมากหลังจากนั้นก็ขับรถออกไปมวกเหล็ก จริงๆ แล้วเช็คข้อมูลว่าทานตะวันจะบานแถววังม่วง แต่โชคดี ขับเข้ามวกเหล็กไม่ไกล เจอทุ่งทานตะวันเบ่อเริ่มเลย "เมืองคาวบอยทุ่งทานตะวัน" เพิ่งเปิดได้วันที่ 8 ธันวาคมนี้เอง แต่นะ...เที่ยงกว่าๆ แล้ว ทานตะวันก็หัวทิ่มกันเป็นแถบเหลือไม่กี่ดอกที่ดูโดดเด่นโดดเด่น ตัดกับแดดยามเที่ยงวันแล้วคนล่ะ โดดเด่นหรือเปล่าอิจฉาทานตะวัน แอบมีคู่ด้วยแล้วก็ได้เวลาอาหาร ไปสระบุรีใครๆ ก็ต้องกินเสต็ก แต่เราเบื่อ กินอะไรดีล่ะเนี่ย นี่ละกัน...ข้าวสามสี... ผัดเห็ดหอมสดอร่อยมาก แล้วสิ่งที่เราพลาดไม่ได้ทริปนี้ ไอติม อืมม์ มิลล์ ฟาร์มโชคชัย และได้ข่าวว่าเอาท์เลท วิลเลจ ปากช่องเปิดใหม่ ไม่พลาด อิอิรูปร้านค้าภายในเอาท์เลทแอคชั่นกับวัวสีสวยซะหน่อยแล้วเพื่อนตัวดีก็แอคท่าขวิดกับวัวซะงั้นจบทริปแล้วค่ะ
วันสบายๆ ไม่ใกล้ไม่ไกล แค่อุทัยธานี
ไปอุทัยธานีกันดีกว่า เมืองเงียบสงบแต่ก็มีดีอยู่ในตัวนะเริ่มจากวัดท่าซุง (วัดหลวงฤาษีลิงดำ)ให้อาหารปลาและล่องเรือชมวิถีชีวิตชาวบ้านริมแม่น้ำสะแกกรัง คนละ 40 บาท (ใช้เวลาล่อง 40 นาที)ปลาตัวใหญ่ๆบ้านเรือนริมฝั่งน้ำแพขนานยนต์ข้ามฝั่งตรงรอยต่อของแม่น้ำเจ้าพระยาและสะแกกรังมณฑปแก้วภายในมณฑปแก้วค่ะนมัสการศพของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ที่ยังไม่เน่าเก็บไว้ในโรงแก้วค่ะชมปราสาททองคำภายในปราสาทค่ะพระยืน 30 ศอกภายในวัดค่ะมองมุมสูงค่ะกลับที่พัก พญาไม้รีสอร์ทค่ะ อยู่ใจกลางเมืองติดริมน้ำ และใกล้กับตลาดเทศบาลเมืองอุทัยในห้องพัก ห้องแอร์ ทีวี ตู้เย็น มินิบาร์ เครื่องทำน้ำอุ่น ผ้าเช็ดตัว สบู่-แชมพู พร้อมค่ะ (รวมอาหารเช้าด้วยค่ะ)พอดีเราได้ห้องเล็กนอนสองคน ต้องเสริมเตียงค่ะ ห้องใหญ่ติดริมน้ำ จะมีสองเตียงค่ะมองจากภายในห้องออกไป เห็นแม่น้ำสะแกกรังค่ะบรรยากาศรอบๆ รีสอร์ทสระเด็กหน้าห้องพักตื่นแต่เช้าขี่จักรยานจากรีสอร์ทไปตลาดเช้ามาอุทัยก็ต้องกินปลาแรด มีขายทั่วไปในตลาดค่ะ ตัวใหญ่ ไขมันน้อย เนื่องจากกระแสน้ำแรง ปลาต้องออกแรงว่ายตลอด เห็นตัวบิ๊กๆ อย่างนี้ ตัวละ 60 บาทค่ะน้ำตาลปั้นตู้โทรศัพท์สีสวย ข้างป้อมยามข้ามกลับมาฝั่งรีสอร์ท ตรงข้ามตลาดจะพบวัดโบสถ์ค่ะ (วัดอุโบสถาราม) เป็นวัดเก่าแก่ภายในวิหารจตุรมุขเช็คเอาท์จากรีสอร์ท เพื่อไปวัดเขาสะแกกรัง หรือวัดสังรัตนคีรี ซึ่งเป็นวัดที่ใช้จัดงานประเพณีตักบาตรเทโว ในช่วงออกพรรษาบันไดมีความยาว 414 ขั้นค่ะจากนั้นก็ขับรถขึ้นเขาสะแกกรัง เพื่อชมทิวทัศน์เมืองอุทัยมองมุมนี้จะเห็นแม่น้ำสะแกกรังด้วยค่ะออกจากอุทัยธานี กลับกรุงเทพฯ โดยใช้เส้นทาง 340 บางบัว-สุพรรณบุรี-ชัยนาทค่ะระหว่างทางกลับก็แวะตลาดร้อยปี สามชุก จ.สุพรรณบุรีค่ะชมบ้านเรือนโบราณข้าวอบกุ้ง ห่อใบตองหลังจากนั้น ก็ไปหมู่บ้านควาย ที่อ.ศรีประจันต์ค่ะ ค่าเข้าชมคนละ 20 บาท
Terminal of Suvarnbhumi Airport
ได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมอาคารผู้โดยสารภายในสนามบินสุวรรณภูมิกับบริษัทฯที่จอดรถระยะยาว (จอดค้างคืน) สอบถามเจ้าหน้าที่แล้วราคาคิดเป็นต่อคืน ราคาจะถูกกว่าที่จอดรถธรรมดา ซึ่งคิดเป็นชั่วโมงอาคารที่ทำการของการบินไทยrunway เข้าไปยังอาคารผู้โดยสารชั้น 4 (Departures)โดยในครั้งนี้เข้าชมเฉพาะชั้น 4 อาคารผู้โดยสารขาออก และชั้น 3 อาคารผู้โดยสารขาเข้าเท่านั้น มีไกด์นำทัวร์ตลอดรายการ แต่เราไม่ค่อยได้ฟังเท่าไหร่ มัวแต่ถ่ายรูปอยู่อาคารเทียบเครื่องบิน (งวงช้าง)ที่จอดรถส่งผู้โดยสาร ชั้น 4ตารางเวลาสายการบินภายในประเทศทดสอบการ Load กระเป๋า บริษัท การท่าอากาศไทยฯ ได้ซื้อกระเป๋ามาทดสอบเองค่ะ ทางเข้าไปสู่อาคารเทียบเครื่องบิน เข้าได้เฉพาะผู้ที่มี Passport เท่านั้น ญาติหรือผู้มาส่งห้ามเข้า โชคดีที่เรามีโอกาสได้เข้าไปตรวจ Passportประตูทางเข้าด้านหน้าประตู ทำเป็นลวดลายไทย สวยดีชั้น 3 สำหรับผู้โดยสารขาเข้าจุดรับกระเป๋าของผู้โดยสารขาเข้าด้านหน้า Gate ผู้โดยสารขาเข้า มียักษ์ 2 ตนต้อนรับอยู่เสียดายที่ gate ยังตกแต่งอยู่ เลยไม่ได้เข้าไปดูการตกแต่งภายใน ภาพเขียนไทยๆ ภายในชั้น 3หลังคา ชั้น 4 ทำเป็นกระจกทั้งหมด (กระจก 2 ชั้น) รับแสงจากภายนอก ในตอนกลางวันจึงไม่ต้องเปิดไฟ เพื่อประหยัดพลังงาน โดยรอบอาคารเป็นกระจกทั้งหมด มีตัวยึด...โคมไฟ ชั้น 4การตกแต่งภายนอกสวนข้าง gate ผู้โดยสารขาเข้าด้านนอก หอเรดาร์ (เราเรียกไม่ถูกอ่ะ)อาคารที่จอดรถ หน้า Terminalลานจอดรถข้างๆ อาคารจอดรถสุดท้ายแล้ว ...สุดท้ายนี้ ชื่อเรียกหรือคำบรรยายใดๆ อาจมีผิดพลาดไปบ้าง เนื่องจากเราไม่ได้สนใจไกด์เค้าพูดเลย มัวแต่บ้าถ่ายรูปอยู่....
สังขละบุรี พ.ย.47
Trip เดินทางเอง โดยซื้อ Package จาก P-Guesthouse (ทริป ขี่ช้าง-ล่องแพ รวมที่พัก)แต่เพราะเราไปในช่วงปลายปี อากาศกำลังเย็นสบาย เริ่มหนาวนิดหน่อย นักท่องเที่ยวก็เยอะจนห้องพักเต็ม เราเลยต้องนอนเต้นท์รูปอาจไม่ชัดเท่าไหร่ เนื่องจากถ่ายจากกล้องฟิล์ม แล้วนำมาสแกนเดินทางออกจากกรุงเทพฯ โดยไปขึ้นรถทัวร์ที่สายใต้ใหม่ ตั้งแต่ 8 โมงเช้า ได้ขึ้นรถตอน 10 โมง เนื่องจากอาทิตย์ที่ไปมีงานสะพานรถไฟสายประวัติศาสตร์ (ประมาณนี้ จำชื่อไม่ได้อ่ะ) ของกาญจนบุรีพอดี คนก็เลยเยอะมากๆ คิวคนเข้าแถวรอรถยาวเหยียดไปถึงกาญจนบุรีประมาณ 11 โมงเช้า เข้าไปจองรถตู้ไปสังขละ แต่ก็ไม่ทันรอบรถอีกจนได้ เลยได้แต่รถทัวร์ (หวานเย็นมากๆ ) รอบเร็วที่สุด บ่าย 2 โมง จองรถเสร็จแล้วก็เลยเดินเล่นในตลาดท่ารถ หาข้าวเช้ากิน และเดินเล่นในห้างและตลาด เวลาก็ยังเหลือ ไปกินกาแฟต่อในร้านเบเกอรี่ใกล้คิวรถแล้วเราก็ได้ขึ้นรถจนได้ รถทัวร์เป็นรถขนาดกลาง ไม่ใหญ่เท่ารถบัสทั่วไป ไม่มีแอร์ นั่งไปเรื่อยๆ จอดทุกป้ายที่อยากขึ้น หรือลง เราก็เลยหลับไปเลย ตื่นมาอีกที ทองผาภูมิ ก็เลยนั่งชมวิวสองข้างทางไปเรื่อยๆ จนถึงตลาดสังขละฯ (จนได้ เฮ้อ) ขณะนี้เป็นเวลา 6 โมงเย็นพอดี แล้วเราก็กระโดดเกาะมอเตอร์ไซด์แถวนั้น ให้ไปส่ง P-Guesthouse (แห่ะๆ แต่เสียค่ารถคนละ 10 บาทนะจ๊ะ)เราว่า ทริปนี้เป็น ทริปที่ทรโหดกับการเดินทางมากๆ เลยไปขึ้นรถตั้งแต่ 8 โมงเช้า แต่ถึงสังขละ 6 โมงเย็น โหดๆๆพอเราถึงที่พักปุ๊ป ติดต่อ Front ระหว่างนั้นก็สั่งข้าวเย็นกันเลย หิวมากๆ แล้วก็ไปอาบน้ำ ระหว่างรออาหาร เอ๊ะ..มันแปลกๆ นะ ก็จริงๆ แล้วจะต้องอาบน้ำก่อน แล้วค่อยออกมากินอาหาร แต่กลัวมันช้าง่ะ เนื่องจากมันเย็นแล้ว คนก็เริ่มมากินอาหารกันเยอะแล้วเวลาประมาณ ทุ่มกว่าๆ ระหว่างนั่งกินอาหาร ก็มีนักท่องเที่ยวอีกกลุ่ม ที่แบกเป้ แบกกล้อง เดินหัวยุ่งเดินเข้ามา เราก็เลยหันไปมองหน้ากับเพื่อน เราไม่ได้เป็นชุดสุดท้ายที่กว่าจะมาถึงรีสอร์ท ยังมีคนมาค่ำกว่าเราอีก อิอิๆพรุ่งนี้ เลือกทริป ขี่ช้าง-ล่องแพ เวลา 11.00 จริงๆ มีทริปก่อนหน้านี้ รอบ 9.00 แต่แพลนว่าเราจะไปเดินเล่นที่สะพานมอญ และข้ามไปไหว้พระวัดหลวงพ่ออุตตมะก่อน เลยเลือกเลื่อนทริปออกไปเช้าแล้ว เดินเล่นจากรีสอร์ทไปสะพานมอญ (ยังเช้าอยู่ ยังมีแรงเดิน) สะพานมอญ วัดหลวงพ่ออุตตมะเจดีย์พุทธคยาจำลองสะพาน ตอนเดินกลับไปฝั่งไทยหลังจากเดินเล่นฝั่งมอญจนชุ่มปอดแล้ว ก็ได้เวลากลับรีสอร์ท ตอนแรกตั้งใจว่าจะไปกินเช้าที่ตลาดมอญ แต่มัวไปหลงช้อปปิ้งเพลินที่ตลาดข้างเจดียฯ ได้ทั้งของแต่งบ้านทำจากไม้ ผ้าพันคอ ผ้านุ่ง ผ้าห่ม (ราคาถูกมากๆ) ช้อปนานไปหน่อย ตลาดมอญเลยวายแล้ว ก็เลยไปกินกาแฟร้อน-ปาท่องโก๋ ที่ร้านชาวมอญก่อนข้ามสะพานกลับกลับไปอาบน้ำแต่งตัว พร้อมลุยสำหรับทริปขี่ช้าง-ล่องแพก่อนไปขี่ช้าง ก็ต้องนั่งเรือหางยาวไปที่ปางช้างก่อน ผ่านโบสถ์วัดหลวงพ่ออุตตมะเดิม (Unseen) ก่อนที่จะสร้างเขื่อน แต่เนื่องจากเป็นช่วงหน้าหนาว น้ำก็เลยขึ้น ถ้ามาช่วงประมาณ มีนาคม น้ำจะลงจนเห็นเป็นเกาะ สามารถเดินขึ้นไปชมโบสถ์ได้ พอดีกับเรือที่เรานั่งไปเป็นเรือลำใหญ่ ก็เลยได้แต่ถ่ายภาพอยู่ข้างนอก เพราะเห็นเรือลำเล็กสามาถลอดเข้าไปในโบสถ์ได้หลังจากนั่งเรือไปที่ปางช้างแล้ว ก็แวะกินข้าวกล่อง กับสัปรดและแตงโมจนอิ่ม แล้วเราขี่ช้างเพื่อที่จะไปขึ้นแพ อ่ะ แต่เราถ่ายรูปมาได้นิดหน่อย เนื่องจากมัวแต่ชื่นชมความงามสองข้างทางเพลินไปนิ๊ดส์หลังจากจบทริปก็กับเข้าที่พัก จริงๆ หลังจากทริปมีนักท่องเที่ยวบางส่วนทยอยกลับ แต่เราไม่อยากเหนื่อยกับการเดินทาง เราก็เลยขออยู่ต่ออีก 1 คืน เพราะว่ามีคนทยอยเดินทางกลับกันหลายราย เราก็เลยขอเปลี่ยนจากนอนเต้นท์ เป็นห้องพักแทน แต่เราได้ห้องบนสำนักงาน Front ไม่ได้ห้องริมน้ำ ก็เลยไปแอบเก็กถ่ายหน้าบ้านคนอื่น อิอิเช้าอีกวัน เดินทางกลับแล้วจ้า แต่คราวนี้ได้นั่งรถตู้กลับสมใจ ใช่เวลาเดินทาง สังขละบุรี-กาญฯ 2 ชั่วโมงกว่าๆ เอง ไหง ตอนเราไปรถทัวร์น๊านนาน 4 ชั่วโมงแน่ะเป็นทริปที่จดจำไปอีกนาน เนื่องจากเป็นทริปที่เดินทางเอง และทรโหดมากๆจบแล้วจ้า.........
รูปอาจไม่ชัดเท่าไหร่ เนื่องจากถ่ายจากกล้องฟิล์ม แล้วนำมาสแกนเดินทางออกจากกรุงเทพฯ โดยไปขึ้นรถทัวร์ที่สายใต้ใหม่ ตั้งแต่ 8 โมงเช้า ได้ขึ้นรถตอน 10 โมง เนื่องจากอาทิตย์ที่ไปมีงานสะพานรถไฟสายประวัติศาสตร์ (ประมาณนี้ จำชื่อไม่ได้อ่ะ) ของกาญจนบุรีพอดี คนก็เลยเยอะมากๆ คิวคนเข้าแถวรอรถยาวเหยียดไปถึงกาญจนบุรีประมาณ 11 โมงเช้า เข้าไปจองรถตู้ไปสังขละ แต่ก็ไม่ทันรอบรถอีกจนได้ เลยได้แต่รถทัวร์ (หวานเย็นมากๆ ) รอบเร็วที่สุด บ่าย 2 โมง จองรถเสร็จแล้วก็เลยเดินเล่นในตลาดท่ารถ หาข้าวเช้ากิน และเดินเล่นในห้างและตลาด เวลาก็ยังเหลือ ไปกินกาแฟต่อในร้านเบเกอรี่ใกล้คิวรถแล้วเราก็ได้ขึ้นรถจนได้ รถทัวร์เป็นรถขนาดกลาง ไม่ใหญ่เท่ารถบัสทั่วไป ไม่มีแอร์ นั่งไปเรื่อยๆ จอดทุกป้ายที่อยากขึ้น หรือลง เราก็เลยหลับไปเลย ตื่นมาอีกที ทองผาภูมิ ก็เลยนั่งชมวิวสองข้างทางไปเรื่อยๆ จนถึงตลาดสังขละฯ (จนได้ เฮ้อ) ขณะนี้เป็นเวลา 6 โมงเย็นพอดี แล้วเราก็กระโดดเกาะมอเตอร์ไซด์แถวนั้น ให้ไปส่ง P-Guesthouse (แห่ะๆ แต่เสียค่ารถคนละ 10 บาทนะจ๊ะ)