จิม ทอมป์สัน ฟาร์มทัวร์ 2551
เห็นเค้ารีวิวแล้วอยากไปมั่ง เพราะเค้าเปิดแค่ปีละครั้งเองปีนี้จัดระหว่างวันที่ 20 ธันวาคม 2551 - 4 มกราคม 2552การเดินทาง หลังจากศึกษาเส้นทางที่สั้นที่สุดแล้ว ควรใช้เส้นทาง สระบุรี-ปักธงชัย ขับตามแผนที่มาเรื่อยจนถึงฟาร์ม จริงๆ ก็ไม่หลงเพราะมีป้ายบอกตลอดทางจ่ายค่าเข้าชม ผู้ใหญ่คนละ 50 บาท มีรถรางบริการเข้าชมฟาร์มจากจุดแรกที่ขึ้นรถ (เป็นซุ้มจำหน่ายผลผลิต ค่อยแวะขากลับ) รถจะนำเราไปปล่อยจุดที่ 2 ซึ่งเป็นฟาร์มเห็ดและไม้ดอกเมืองหนาววิวสวยๆ ระหว่างทางก่อนเข้าชมจุดที่ 2ผ่านฟาร์มเห็ดและห้องแสดงการเลี้ยงหม่อนไหมก่อนเดินต่อไปจะเจอ ผักไฮโดรโปรนิกส์ และไม้ดอกเมืองหนาวไม้ดอกเมืองหนาวซุ้มสีสวยๆรอรถรางรอบต่อไปเพื่อไปยังจุดที่ 3 รถบริการมีเยอะค่ะ รอไม่นานมาก มาพร้อมๆ กันหลายคันด้วย เลือกขึ้นได้เลยค่ะจุดที่ 3 หมู่บ้านอีสานและหมู่้บ้านโคราชมีสาธิตการสาวไหม ปั่นฝ้าย ทอฝ้ายเป็นเส้นด้วยมีลานแสดงเพลงพื้นบ้านชาวอีสาน มีสาธิตการทอผ้า รวมทั้งของที่ระลึก เช่น ผ้าไหมจิม ทอมป์สัน มีร้านขนม-เครื่องดื่ม-ผลไม้ แบบโบราณด้วยหมู่บ้าน - ยุ้งข้าว ของภาคอีสานมาถึงจุดที่ 4 ลานฟักทอง (จริงๆ เค้าชื่อ ทุ่งทานตะวันและจุดจำหน่ายฟักทองนานาพันธุ์) แต่เราไม่เห็นทานตะวันบานเลยอ่ะจุดนี้เป็นไฮไลท์จริงๆ เลยค่ะ มีฟักทองสีสวยๆ รูปร่างแปลกตา และลูกใหญ่มากๆ หลากหลายพันธุ์ ตื่นตาตื่นใจไปหมดเลยค่ะและทุ่งดอกไม้สวยๆซุ้มน้ำเต้าและฟักทอง ที่มีจำหน่าย เราเดินไม่ระวังเผลอโหม่งลูกน้ำเต้าบ่อยมากลานฟักทอง ละลานตามากภูเขาฟัีกทองกองฟักทองสีสวยๆแล้วก็นั่งรถต่อ หรือจะเดินก็ได้ไม่ไกลกัน เป็นจุดที่ 5 จุดชมวิว อ่างเก็บน้ำลำสำลายและจุดที่ 6 แปลงผักไร้สาร แต่พวกเราไม่ได้ลงกันค่ะปิดท้ายด้วยภาพเก็บตก สวัสดีปีใหม่ค่ะทุกๆ ท่าน***************
Lazy Trip เชียงคาน
ขี้เกียจมานานละ เดี๋ยวโดนเพื่อนร่วมทริปโวย ว่าไม่ยอมเอารูปลงสักที คราวก่อนที่ลงไปเป็นรูปบ้านเมืองเชียงคานนะคะ คราวนี้จะรีวิวทริปทั้งหมดเืกือบละเอียด 55++ (รูปเยอะมาก รักพี่เสียดายน้อง)ขึ้นรถ บขส.999 จากหมอชิตใหม่ 22.00 น. มาถึงเชียงคานเวลาประมาณเกือบ 7 โมงเช้า ก็เดินไปหาถนนเลียบชายโขง เพื่อไปที่พักที่เราไว้จองไว้ นั่นคือ "โรงแรมสุขสมบูรณ์" นั่นเอง เนื่องจากเช้าเกินไปแขกยังไม่ได้เช็คเอาท์และทำห้อง เราเลยฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรม แล้วเดินไปหาอาหารเช้ากิน ตอนแรกก็ตั้งใจดิบดีว่าพลาดไม่ได้ต้องกิน "ร้านลุกโภชนา" ซึ่งอยู่ระหว่างซอย 9 ก่อนถึงโรงแรมพอดี แต่โชคดีไม่ดี ร้านหยุด 5 วัน ซึ่งหมายความว่า ตลอดเวลาที่เราอยู่ที่นี่ "อดกิน" 55++ก็ไม่เป็นไร เดินหาร้านเป้าหมายต่อไป "ร้านกาแฟนาทีทอง" ตอนแรกก็หาไม่เจอหรอก เลยถามผู้เฒ่าผู้แก่แถวนั้นดูแล้วก็สั่งนี่เลย "ไข่กะทะ" กับ "ขนมปังชุบไข่" หน้าตาเหมือนไข่เจียวเลย ตอนกินก็ไม่ค่อยรู้สึกนะว่ามีขนมปังอยู่ นิ่มมาก พร้อมด้วยชาร้อนหลังจากนั้นก็เดินกลับมาที่พัก เพื่อเช็คอินเราจองห้องติดริมน้ำไว้ แต่มีเต็มแล้ว ก็เลยได้ห้องติดกัน ยังไงเปิดหน้าต่างออกไปก็มองเห็นริมน้ำเหมือนกันค่ะคราวนี้เลือกห้องแอร์เพราะมีห้องน้ำในตัว อยากอาบน้ำสะดวกนิดนึง แต่เอาเข้าจริงมากันสามคนห้องน้ำห้องเดียวไม่พอ...ยังไงเราก็ต้องออกมาอาบห้องน้ำรวมอยู่ดี แต่ห้องรวมก็สะอาดและกว้างกว่าในห้องน้ำในห้องพักอีกสภาพห้องพัก มีทีวีกับเครื่องทำน้ำอุ่นด้วย ราคาก็ห้องละ 500- ถ้านอนห้องพัดลม ก็ห้องละ 300- ห้องน้ำรวม แต่มีเครื่องทำน้ำอุ่นเหมือนกัน (ไม่รวมอาหารนะคะ) จริงๆ นอนได้ 2 คน แต่เค้าใจดีไม่คิดค่าห้องเพิ่มด้วยเก็บข้าวของอาบน้ำอาบท่า พักผ่อนกันอีกนิดหน่อย ก็ออกไปเดินเล่นชมบ้านเมือง เราเลือกเดินไปทางขวาของที่พักก่อนนั่นคือเดินย้อนจากซอย 9 ไปยังซอย 1ผ่าน "เรือนแรมลูกไม้" ขอเข้าไปถ่ายภาพหน่อยเดินต่อไปอีกหน่อย "วัดศรีคูณเมือง" เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของเชียงคานค่ะ ตอนเช้าเมื่อเราตักบาตรข้าวเหนียวแล้ว พวกคุณยายจะนำกับข้าวไปถวายพระที่วัดนี้ค่ะ ภาพเขียนบนโบสถ์เก่าแก่และ่สวยงามมากหลังจากนั้นก็เที่ยวชมบ้านเรือนไปเรื่อยๆ ก็โบกรถตุ๊กๆ ไป "แก่งคุดคู้" กันค่ะ เหมาไปคันละ 100- แต่แอบต่อเหลือ 90- (ขาไปรอบเดียวนะคะ) คุณลุงก็ใจดีลดให้ แถมให้เบอร์โทรไว้เพราะกลัวเราไม่มีรถกลับบอกนิดนึงว่าถ้าเช่ามอเตอร์ไซด์หรือหยิบยืมมาจากเกสต์เฮ้าส์ก็มาำได้ แต่จักรยานไม่แนะนำ เพราะอยู่ห่างจากตัวเมืองเกือบ 7 กิโลแม้วค่ะ ขนาดนั่งรถมายังไกลเลยอ่ะแต่ไปถึงไม่เป็นดังที่คิดแฮะ เพราะเคยเห็นรีวิวพี่ลาเต้ เป็นเหมือนชายหาดลงแล้วมีเพิงขายอาหาร แต่เราไปน้ำขึ้นแล้วค่ะ ถ้าจะให้มีชายหาดต้องไปตอนหน้าแล้งก็เลยต้องไปกินอาหารบนฝั่งแทน ร้านอาหารก็เป็นของกลุ่มแม่บ้าน อาหารถูกมากเลย กินไปหน้าตาแบบนี้ 3 คนรวมค่าเครื่องดื่มอีก 200 กว่าบาท อิ่มพุงกางเลยขากลับก็ใช้บริการคุณลุงคนเดิมค่ะ โทรเรียกให้คุณลุงมารับ แล้วคุณลุงคนขับก็พาแวะไปซื้อมะพร้าวแก้วของฝากของที่นี่แล้วก็พาชมเมือง พร้อมกับบรรยายไปด้วย ขากลับก็เลยให้ไป 100- ขอบคุณนะคะ ชาวเชียงคานใจดีมากเลยหลังจากกลับเข้าที่พัก ก็นั่งๆ นอนๆ แอบหลับไปคนแรกอีกแล้ว โดนเพื่อนแซวว่าเราหลับง่าย หลับไม่บอกใคร ก็ Lazy Trip ไงสมชื่อทริปเลย หนังสือก็ไม่หยิบมา โปสการ์ดก็กว่าจะยกมือเีขียนได้ เย็นๆ ก็ออกไปเดินเล่นชมพระอาทิตย์ตกเลียบริมโขง เดินไปเรื่อยๆ จนถึง "ร้านอาหารบ้านต้นโขง" ตอนแรกจะกินที่ร้าน "ระเบียง" ซึ่งอยู่ติดกัน แต่คนเยอะมาก ก็เลยไปอาศัยฝากท้องที่บ้านต้นโขง แล้วก็ไม่ผิดหวัง อร่อยมาก คราวนี้เพื่อนไม่ค่อยอยากอาหารกัน ก็เลยสั่งแค่ข้่าวผัดสัปปะรดกับแกงจืด อร่อยมากค่ำนี้เราหลับเป็นตายเลย คนแรกเหมือนเดิม เพื่อนตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอนตีห้าครึ่ง เพื่อออกไปซื้อข้าวเหนียวมาใส่บาตร อากาศตอนเช้าไม่ค่อยหนาวเท่าไหร่ค่ะ พอสบายสายๆ ก็ออกไปเดินเล่นชมเมืองเช่นเดิม เพราะมีบางซอยยังไม่ได้แวะไปแวะกินข้าวกลางวันที่ โฮมสเตย์บ้านป้าศรีพรรณ ที่ใครๆ ก็ชอบไปพักเดินไป "วัดมหาธาตุ" วัดเก่าแก่ สังเกตุโบสถ์เก่ามากๆ จนต้องสร้างโบสถ์ใหม่ข้างๆ กันมีฝนตกนิดหน่อย ติดฝนนั่งเขียนโปสการ์ดกันสักพักก็ออกไปเดินเล่นต่อ เดินไปจนซอย 20 จนเจอสวนสาธารณะ ไปนั่งหลบฝนใต้ต้นไม้กัน มองเรือข้ามฟากจากไทยไปลาว เห็นแ้ล้วอยากไปบ้าง แต่ติดที่ต้องทำใบผ่านแดน ไม่ได้พกรูปไปด้วย แล้วต้องรีบกลับมาเก็บข้่าวของเดินทางกลับอีก ก็เลยไม่ได้แวะผ่าน "วัดท่าครก" โบสถ์สวยอีกแล้วรูปสุดท้ายแล้ว แวะซื้อของที่ระลึก โปสการ์ด แม๊กเน็ต เข็มกลัด และเสื้อสวย จากร้าน "ไอเดีย ดีดี" เจ้าของเป็นคนกรุงเทพฯ ทำงานหนังสือ แต่รักในความเงียบสงบของเมืองเชียงคาน ก็เลยมาเปิดร้าน แล้วนั่งรถทัีวร์ไปดูแลกิจการทุกเสาร์-อาทิตย์ขากลับก็นั่งรถวีไอพีเจ้าเดิมกลับ แต่ไม่ชอบใจที่ต้องไปรอผู้โดยสารที่ขนส่งเมืองเลย ตั้งเกือบ 2 ชั่วโมง แต่รถก็ทำเวลาดี จอดแวะระหว่างทางแค่ให้ลงมาเข้าห้องน้ำ แลกคูปองอาหาร ใครหนอบอกว่า เวลาเดินช้าลงที่เชียงคาน ก็เห็นจะจริง แค่เวลา 2 วันที่เรามาอยู่ที่นี่ก็รู้ึสึกว่ามีเวลาเยอะขึ้น ไม่ต้องเร่งรีบไปไหน มีเวลาให้ตัวเองมากขึ้น มาพักผ่อนชาร์ตแบตให้ตัวเอง มีแรงแล้วก็ไปผจญภัยกันในเมืองหลวงกันต่อไป ******************
~ C h i a n g K a r n @ L o e i ~
เชียงคาน, เลย
ทริปปีใหม่หลีกหนีผู้คน วันที่สอง - พระนอนหินทราย ปราสาทหินเมืองเสมา - วัดเขาจันทน์งาม
วันที่สอง หลังจากเช๊คเอาท์ออกจาก "ซับประดู่รีสอร์ท" จากตอนแรกที่จะ ปราสาทหินพิมาย ซึ่งได้ไปขอข้อมูลการเดินทางจากคุณ chotto ไว้แล้ว แต่เพราะปีใหม่คนคงไปเที่ยวกันเยอะ บ้านเราไม่ชอบเที่ยวที่คนเยอะๆ แออัดเท่าไหร่ เราก็ตกลงกันว่าจะไปเมืองเสมา ที่อ.สูงเนิน แทน ถึงแม้จะเทียบความอลังการของปราสาทไม่ได้ แต่เราตกลงกันว่าจะมา พิมาย กันโอกาสหน้าที่คนน้อยๆ กว่านี้หลังจากเห็นรีิวิวของป้ากำปงพิราเทวี รีวิวนี้ ทำเราอยากมามากมาย แต่เราถ่ายรูปสวยสู้มือโปรไม่ได้ 55++//www.pantip.com/cafe/gallery/topic/G5473571/G5473571.htmlขับรถออกจากซับประดู่ ก็กลับรถเพื่อไป อ.สูงเนิน ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก มุ่งหน้าตามเส้นทางและป้ายบอกเป็นระยะๆ เราก็มาถึงที่แรกสำหรับวันนี้วัดธรรมจักรเสมารามตั้งอยู่ที่ บ้านคลองขวาง ต.เสมา อ.สูงเนิน ที่วัดนี้เราจะพบกับ พระพุทธไสยาสน์ (พระนอน) ใครๆ ก็คิดว่าธรรมดาใช่ไหมคะ แต่พระนอนที่วัดนี้ไม่ธรรมดาอย่างที่คิด แต่พระนอนนี้เป็นพระนอนหินทรายองค์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย (พระนอนหินทรายนะคะ)พระนอน เป็นพระพุทธรูป ที่สร้างขึ้นในสมัยทวารวดีอายุประมาณ 1200 กว่าปี สร้างขึ้นโดยนำหินทรายขนาดใหญ่หลายๆ ก้อนมาประกอบเข้าด้วยกัน ขนาดขององค์พระมีความยาว 13.30 ม. สูง 2.8 ม.เห็นหินทรายที่เรียงกันเป็นก้อนๆ ไหมคะด้านหลัง พระหัตถ์ซ้ายแกะจากหินทรายก้อนเดียว เดินผ่านพระอุโบสถ ไปยัง อาคารจัดแสดงโบราณวัตถุเสมาธรรมจักร ภายในอาคารจะพบกับ ธรรมจักรหินทราย ธรรมจักร สร้างขึ้นด้วยหินทรายศิลปะทวารวดี ขุดพบพร้อมกับพระนอน เป็นธรรมจักรแบบทึบ แกะสลักเป็นรูปซี่กงล้อเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.41 ม. ตรงแกนกลางกว้าง 31 ซม. ตอนล่างของธรรมจักรมีลายสลักเป็นรูปหัวสิงห์ (ซึ่งลายนี้อาจได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะศรีวิชัย)ภายในอาคารยังจัดแสดงโบราณวัตถุที่ขุดพบใกล้ๆ วัด ประมาณ 500 ม. เราขับเข้าไปยัง โบราณสถานเมืองเสมา ซึ่งเป็นโบราณของสมัยทวารวดี แต่ชื่อจริงมีอยู่ในจารึกพบที่เมืองโบราณแห่งนี้ระบุชื่อ ศรีจนาศะ หลักฐานต่างๆ ของเมืองเสมา ปัจจุบันเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมายเมืองเสมา เป็นเมืองโบราณขนาดใหญ่ มีคูเมืองและกำแพงดินล้อมรอบ ขนาดของเมืองกว้าง 3 กิโลเมตร ยาว 5 กิโลเมตร แต่ปัจจุบันเหลือเพียงซากปรักหักพังคล้า่ยกำแพงเมือง ถูกทิ้งร้างไว้ไม่มีการดูแลเท่าที่ควรหลวงพ่อที่วัดธรรมจักรฯ บอกเราว่า เมืองเก่านี้เคยขุดพบซากมนุษย์และสิ่งของเครื่องใช้โบราณด้วย แต่ปัจจุบันบางส่วนถูกนำไปเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์พิมาย และซากมนุษย์ ชาวบ้านแถวนี้ก็ให้ฝังไว้ตามเดิมไม่ได้ขุดขึ้นมา ทำให้เมืองเสมานี่เหลือแต่เค้าโครงกองหินอย่างที่เห็นยังคงมีบ่อน้ำล้อมรอบคูเมืองให้เห็นบ้าง (อ้อ...มองให้เป็นบ่อน้ำนะคะ พอดีหญ้ามันขึ้นรกปกคลุมเยอะไปหน่อย)หลังจากนั้นก็ขับเข้ามาในเมืองเพื่อไป เมืองโบราณที่ตำบลโคราช หรือ เมืองโคราชเก่า ถือเป็นจุดเริ่มต้นของอารยธรรมขอมในอดีตที่พบในเขตนครราชสีมา มีร่องรอยโบราณสถานหลงเหลือให้เห็น 3 แห่งด้วยกันคือ ปราสาทโนนกู่ ปราสาทเมืองแขก ปราสาทเมืองเก่า "ปราสาทโนนกู่"เป็นโบราณสถานขนาดเล็กก่อด้วยอิฐและหินทราย มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า จากการขุดแต่งปราสาทแห่งนี้ในปีพ.ศ.2534-3535 ได้พบหลักฐานทางโบราณคดีเป็นจำนวนมาก สันนิษฐานว่าน่าจะเป็น ศาสนสถานในศาสนาฮินดู ที่สร้างขึ้นตามแบบศิลปะเขมรโบราณ ราวปลายพุทธศตวรรษที่ 15แต่ที่หลงเหลืออยู่ มีแต่ "โคปุระ" (ซุ้มประตู)ขับไปใกล้ๆ กันค่ะ (ประมาณ 600 เมตร)"ปราสาทเมืองแขก"เป็นโบราณสถานขนาดใหญ่ ก่อด้วยอิฐและหินทราย มีลักษณะแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า หันหน้าไปทางทิศเหนือ ประกอบด้วยปราสาทประธาน บรรณาลัย (ห้องสมุด) ๒ หลัง ระเบียงคด ซุ้มประตู สระน้ำ กำแพงแก้ว และปราสาทก่อด้วยอิฐขนาดเล็ก พบทับหลังที่แกะสลักลวดลายต่างๆ ประติมากรรมรูปเทพเจ้า รวมทั้งศิลาจารึกที่ถูกนำมาก่อเป็นฐานประตูซุ้มชั้นนอกสุด สันนิษฐานว่าปราสาทแห่งนี้น่าจะเป็น ศาสนสถานในศาสนาพราหมณ์ อายุราวพุทธศตวรรษที่ 15เป็นปราสาทที่ยังคงเหลือเค้าโครงให้เห็นมากที่สุดในบรรดาปราสาททั้ง 3 แห่งทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ ที่ถูกทำลายจนแทบไม่เหลือร่องรอยโคปุระ ที่ยังคงเห็นรอยสลักชัดเจนอยู่บ้างหลังจากนั้นก็ขับมาไกลนิดหน่อย ประมาณ 3 กม."ปราสาทเมืองเก่า"ตั้งอยู่ในวัดปรางค์เมืองเก่า ปราสาทเมืองเก่าเป็นโบราณสถานขนาดเล็กก่อด้วยศิลาแลง หินทราย มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าหันหน้าไปทางทิศตะวันออก เป็นโบราณสถานในศาสนาพุทธลัทธิมหายานประเภท อโรคยาศาล (โรงพยาบาล) ที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มหาราชองค์สุดท้ายแห่งราชอาณาจักรขอม ทรงสร้างขึ้นระหว่าง พ.ศ.1724-1763 แผนผังประกอบด้วยปรางค์ประธานรูปสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง มีบรรณาลัยอยู่ทางมุมขวาด้านหน้า ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้วซึ่งมีซุ้มประตูทางเข้าอยู่ด้านหน้า นอกกำแพงมีสระน้ำรูปสี่เหลี่ยมกรุด้วยศิลาแลง จากข้อมูลป้ากำปงฯ ปราสาทหินเมืองเก่า เป็นหนึ่งใน 30 อโรคยาศาลในภาคอีสาน จากทั้งหมด 102 แห่ง ที่ พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มหาราชองค์สุดท้ายแห่งอาณาจักรเขมร ทรงสร้างขึ้นเมื่อ 787 ปีซุ้มประตูด้านหน้าปราสาทนี้แปลกตาที่สุดในบรรดาปราสาท 3 แห่ง เพราะลักษณะเป็นศิลาแลงก้อนใหญ่ บรรณาลัยด้านในด้านนอกมีสระน้ำก่อด้วยศิลาแลง 1 สระ***บอกกล่าวกันสักนิดนะคะ ตอนที่เราไปปราสาททั้ง 3 แห่งกำลังปรับปรุงถนนอยู่ ถนนเป็นดินลูกรังอยู่เลย ปราสาทที่เรานำมาให้ชมเพราะเราเจาะถ่ายมา แต่ถ้ามีใครสนใจมาจริงๆ ขอให้คิดนิดนึงค่ะ ว่าถ้าท่านไม่ชอบเที่ยวโบราณสถานแบบนี้ มาแล้วคงนึกว่าเราในใจ ว่าไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจเลย ไปพิมายดีกว่า เพราะที่นี่ไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น บางแห่งหลงเหลือซากเพียงเล็กน้อยเท่านั้นจริงๆ โดยเฉพาะเมืองเสมา ขับรถเข้าไปแล้วเหมือนเมืองร้าง แต่ด้วยความที่เป็นโบราณสถานเก่าสมัยทวารวดี คงมีให้เห็นเพียงแค่นี้ มาแล้วอาจไม่คุ้มกันนะคะ แต่ด้วยความชอบส่วนตัวของเราเราจึงอยากมา ****หลังจากนั้นเราก็เดินทางไปยังจุดหมายต่อไปที่ อ.สีิคิ้ว"วัดเขาจันทน์งาม"อยู่ก่อนนึงร้านอาหารสวนเมืองพรนิดเดียว ทางเข้าเดียวกับน้องหนึ่งรีสอร์ทและไก่ย่างน้องหนึ่ง ขับรถเข้าไปประมาณ 3 กม. ก็จะเจอวัดอยู่บนเขาจันทน์งามบรรยากาศในวัดเงียบสงบมาก จอดรถแล้วเดินเท้าผ่านป่าอันร่มรื่นเข้าไปประมาณ 150 เมตร (ทางเดินสะดวกค่ะ ไม่เหนื่อย และไม่ร้อนด้วย เพราะมีต้นไม้ปกคลุมกันแดดให้อย่างดี)ภาพเขียนสีโบราณ อายุ 4000 ปีภาพเขียนลงสีแบบเงาทึบสีแดงเป็นแนวปรากฎอยู่บนเพิงผาหินทรายด้านหนึ่ง อยู่สูงจากพื้นดินประมาณ 4 เมตร เป็นรูปคนและสัตว์ที่แสดงถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่หรือกิจกรรมบางอย่างของกลุ่มคน สันนิษฐานว่าเป็นศิลปะที่สร้างขึ้นโดยชุมชนเกษตรกรรมที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้มีอายุระหว่าง 4,000 ปี ภาพเขียนสี มีภาพคน 32 ภาพ ผู้ชาย 28 ผู้หญิง 2 เด็ก 1 และภาพสัตว์ นก เสือ สิงโต หมา และยังมีอาุวุธ คือ ธนู ด้วยแต่ภาพทั้งหมด เหลือให้เห็นเด่นชัดเพียงแค่นี้สังเกตุที่ผนังใต้ภาพเขียนยังคงพบภาพเขียนที่ยังคงเหลือร่องรอยจางๆ อยู่เล็กน้อย ในอดีตคงมีภาพมากกว่านี้พลังซูมด้วยกล้องของเราได้มาใกล้สุดแค่เนี๊ยภาพที่มุมด้านอื่นๆ ยังพอมีให้เห็นรางๆนอกจากนี้เมื่อเดินเท้าขึ้นไปอีกประมาณ 80 เมตร จะพบกับภาพสลักบนหินทรายรูป พระสังกัจจายเจ้า ลงสีสวยสดงดงามเดินขึ้นไปอีกเล็กน้อยจะพบกับ พระปางไสยาสน์ องค์ใหญ่ ยาว 12.75 เมตร แกะสลักบนผนังหินทรายเดินขึ้นไปด้านบนขององค์พระ จะพบกับ พระพุทธบาทสี่รอย (จำลอง)กว้าง 5 เมตร ยาว 9.50 เมตร แกะสลักบนพื้นหิน ตอนแรกเราก็สงสัยว่า สี่รอยยังไง ก็เป็นรอยพระบาทซ้อนกันสี่รอยจากเล็กไปใหญ่ตามมุมพระบาท จะแกะสลักเป็นรูปเทพองค์ต่างๆ บนรอยพระบาทก็มีการแกะสลักลายต่างๆ ไว้ เราเห็นมีคนโยนเหรียญลงไปบนรอยตรงกลางด้วยนะหลังจากนั้นก็ลงเขาไปสักการะ พระบรมสารีริกธาตุึจากอินเดีย ซึ่งบรรจุในผอบ 3 องค์ ด้านหน้าพระประธานในธรรมศาลาอุโบสถหลังจากไหว้พระ ถวายสังฆทานและปัจจัยเสร็จ เราก็เข้าตัวเมืองปากช่อง อาจจะเปลี่ยนฟิวส์นิดนึงนะคะ จากโบราณสถานและวัดวาอารามเพื่อไป "ทองสมบูรณ์คลับ" แต่ไปดูเฉยๆ พาน้องชายและแฟนน้องชายไปดู แต่ไม่ได้เล่นเครื่องเล่น คนยังกับหนอนและอากาศร้อนตับแลบขนาดนี้ซื้อตั๋วรถรางนั่งขึ้นไปยังจุดเล่นเครื่องเล่นด้านบน คนละ 20 ผู้สูงอายุไม่เสียหลังจากนั้นก็ไปชอปปิ้งนิดหน่อยที่ เอาเลทท์ปากช่อง และแวะซื้อไอศรีมอืืมม์มิลล์ พอดีเค้าจัดกิจกรรมปีใหม่นิดหน่อยถือว่าเป็นทริปปีใหม่ที่คุ้มมากๆ เลย (2 วัน 1 คืนเอง) ได้ไปทั้ง พิพิธภัณฑ์ไม้กลายเป็นหินแปลกตา ปราสาทหินและเมืองโบราณที่ไม่ค่อยมีคนรู้่จัก วัดที่เป็นอันซีนมากทั้งที่ผ่านไปซื้อตุ๊กตาหินแถวๆ นั้นออกบ่อย และบ้านพักราคาถูกน่ารักริมอ่างเก็บน้ำบรรยากาศดีๆ ขอบคุณผู้ที่ได้เอ่ยนามและผู้ที่เราหลงลืมนามเพราะแอบเข้าไปเก็บข้อมูลมาก่อนหน้านี้ด้วยนะคะเพราะอากาศกลางคืนเย็น กลางวันร้อนและตะลอนทัวร์ กลับมาก็เลยป่วยวันสิ้้นปี ได้เคาท์ดาวน์ฉลองปีใหม่อยู่บนเตียงซะงั้นอ่ะสวัสดีปีใหม่ทุกๆ ท่านที่เข้ามาเยี่ยมนะคะ*****
ทริปปีใหม่หลีกหนีผู้คน วันแรก - อุทยานไม้กลายเป็นหิน
ปีใหม่นี้ก็อยากจะเที่ยวกับครอบครัว แต่จัดทริปยังไงให้หนีผู้คนดีหว่าโปรแกรมนะคะ (เผื่อใครอยากไปด้วย 55++)วันแรก- ปราสาทหินพิมาย อ.พิมาย *** โปรแกรมสำรอง ถ้าไม่ได้ไปพิมาย - วัดธรรมจักรเสมาราม (พระนอนหินทรายองค์ใหญ่ที่สุดในประเทศฯ) - ปราสาทหินเมืองเก่า / ปราสาทหินโนนกู่ / ปราสาทหินเมืองแขก- วัดเขาจันทน์งาม อ.สีิคิ้ว (ภาพเขียนสีโบราณ 4000 ปี / ภาพแกะสลักบนหินทราย / พระบาทสี่รอยจำลอง)- อ่างเก็บน้ำซับประดู่ พัก "ซับประดู่รีสอร์ท"วันที่สอง- อุทยานไม้กลายเป็นหิน อ.เมือง (โคราช)- วังน้ำเขียวคำขอบคุณ- ป้ากำปงพิราเทวี สำหรับการจุดประกาย พระนอนหินทรายและปราสาทหินเมืองเสมา- คุณ chotto ผู้ให้คำปรึกษาเส้นทางการเดินทางไปพิมาย- คุณ DogHall สำหรับรีวิว ซับประดู่รีสอร์ท- รีวิวในบล๊อกแกงค์สำหรับข้อมูล วัดเขาจันทน์งาม และอุทยานไม้กลายเป็นหินวันแรก ตั้งใจจะไปพิมาย แล้วกลับมานอนซับประดู่ แล้วอีกวันจะไปเที่ยววังน้ำเขียว แต่น้องชายขับออกไปรับแฟนที่วัชรพลได้ไม่เท่าไหร่ จำต้องหนีเส้นทางมิตรภาพดีกว่า รถติดตั้งแต่มอเตอร์เวย์ขาออกเลย ต้่องเปลี่ยนแผนวิ่งย้อนรอยเที่ยว วันแรกจึงต้องวิ่งเส้น 304 ออกทางวังน้ำเขียวดีกว่า (เส้น 304 ฉะเิชิงเทรา - พนมสารคาม - กบินทร์บุรี - วังน้ำเขียว)สรุปได้ออกจากกรุงเทพฯ ประมาณ 8.00 ไปถึงวังน้ำเขียว ตอนแรกก็วิ่งฉิวดีอยู่หรอก แต่พอใกล้ึถึงวังน้ำเขียว ทางขึ้นเขาถนนแคบ รถติดยาวมาก ไปถึงวังน้ำเขียวก็เกือบเที่ยง เลยแวะกินขนมจีนร้านดังของวังน้ำเขียวก่อน แต่เราว่ารสชาดงั้นๆ แล้วก็เลยพาสมาชิกไปเที่ยว สวนเบญจมาศคุณวิภามาคราวนี้ เค้าย้ายสวนไปอยู่ฝั่งตรงข้าม ถามไถ่ก็ได้รู้ว่าสวนเก่าเค้าปลูกมา 5 ปีแล้ว เนื่องจากสวนเก่าหน้าดินเสีย ต้องพักดินก่อนแต่คราวนี้ปลูกดอกเบญจมาศ หลากหลายสีมากขึ้นแล้วก็ไป สวนผักปลอดสารพิษ ลุงไกร แต่เราไปตอนบ่ายแล้ว ผักสดลุงเก็บเกือบหมดสวนแล้ว ผู้คนก็น้อยมาก สงสัยคงร้อนกันแล้วก็ขับรถเที่ยวกินลมชมวิว ชมบ้านพักน่ารักๆ แถวๆ นั้นอีกเล็กน้อย แต่วันนี้ไม่ได้ตั้งใจค้างที่วังน้ำเขียว เพราะคนคงเยอะแน่ๆออกจากวังน้ำเขียว วิ่งไปปักธงชัย เพื่อไปอุทยานไม้กลายเป็นหินข้อมูลพิพิธภัณฑ์ไม้กลายเป็นหินและทรัพยากรธรณี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อุทยานไม้กลายเป็นหิน)184 หมู่ 7 บ้านโกรกเดือนห้า ต.สุรนารี อ.เมือง จ.นครราชสีมา โทร 044-216617-8การเดินทางจากแยกปักธงชัย (เส้น 24) ขับตรงไปทางไปสวนสัตว์โคราช อยู่ก่อนถึงสวนสัตว์ 5 กม. ให้เลี้ยวเข้า ม.สุรนารี ประตู 2 จะมีป้ายบอกตลอดทาง อุทยานไม้กลายเป็นหิน วัดโกรกเดือนห้าพิพิธภัณฑ์ แบ่งเป็น 3 อาคาร1. พิพิธภัณฑ์ไม้กลายเป็นหิน จัดเป็นพิพิธภัณฑ์ซากดึกดำบรรพ์ไม้กลายเป็นหินขนาดใหญ่แ่ห่งแรกของเอเซียพอเราเข้าไปจะเจอกับน้องมัคคุเทศน์น้อยมาไถ่ถามว่าต้องการมัคคุเทศน์หรือไม่ เราอยากได้ความรู้ ไม่ต้องความสงสัยไว้ก็เลยตกลง ขากลับก็เลยให้ทิปน้องเค้าเล็กๆ น้อยๆไม้สนกลายเป็นหิน อาุยุเก่าและขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เส้นผ่าูศูนย์กลาง 1.75 เมตร อายุ 150 ล้านปีก่อนไม้กลายเป็นหินอัญมณีไม้กลายเป็นหิน เนื้อโอปอไม้กลายเป็นหิน ตระกูลปาล์มภายในพิพิธภัณฑ์ยังมีบอร์ดให้ความรู้เกี่ยวกับไม้กลายเป็นหินมากมายออกจากพิพิธภัณฑ์ไม้ฯ เดินไปยังอีกอาคาร ระหว่างอาคารก็จัดสวนด้วยไม้กลายเป็นหิน ไม้กลายเป็นหิน ที่ยังเห็นวงปีของไม้อยู่หลังจากนั้นก็เข้าสู่อาคารต่อไป2. พิพิธภัณฑ์ช้างดำึดำบรรพ์ดินแดนโคราช พบช้างดึกดำพรรพ์ถึง 8 สกุลจาก 42 สกุลทั่วโลก อายุประมาณ 5-16 ล้านปีก่อนปากทางเข้า ทำเป็นอุโมงค์ย้อนเวลาจากยุคหินใหม่ไปสู่ยุคสมัยของช้างดึกดำบรรพ์ภาพบรรยายที่ผนังถ้ำภาพจำลองภาพเขียนสีโบราณ จากวัดเขาจันทน์งามมนุษย์ยุคหินริมผนังถ้ำซากฟันของช้างดึกดำบรรพ์ (ของจริงนะคะ)โครงกระดูกช้างของจริง ที่ล้มเมื่อ 7-8 ปีก่อน ไม่ใช่ช้างโบราณนะคะ แต่งาเทียมเพราะตอนขุดพบก็ไม่มีงาแล้วภาพจำลองไดโนเสาร์ และตู้จัดโชว์ซากโครงกระดูกช้างโบราณของจริงนอกจากนี้ยังงาช้างที่กลายเป็นหิน มีความยาว 1.53 เมตรด้วยนะคะ3. พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์เดินเข้าถ้ำไดโนเสาร์ พร้อมภาพบรรยายภาพบรรยายไดโนเสาร์ แต่ละยุคภาพไดโนเสาร์บนผนังถ้ำทางเข้ารูปปั้นไดโนเสาร์ที่สามารถเคลื่อนไหวได้พร้อมเสียง ด้วยระบบเซ็นเซอร์ เมื่อคนเดินเข้าไปใกล้ ตกใจร้องกรี๊ดซะดังลั่นเลย มีพ่อกับลูกเดินผ่านมาเด็กก็ร้องไห้จ้าเลย ไม่กล้าเดินเข้าใกล์เลยแต่เราถ่ายมาดูเหมือนจะเล็กนะคะ จริงๆ แล้วตัวใหญ่เหมือนกันภายในอาคารยังมีนิทรรศการฟันจริงของไดโนเสาร์กินเนื้อกว่า 100 ซี่ พร้อมทั้งภาพจำลองรอยเท้าไดโนเสาร์ด้วยอันนี้ไปถ่ายรูปเล่นอ่ะ 55++จริงๆ แล้วอยากเลยไปสวนสัตว์โคราชด้วย แต่เกือบ 4 โมงเย็นแล้ว เลยเปลี่ยนใจกลับที่พักดีกว่าคืนนี้เราพักที่นี่ค่ะ "ซับประดู่รีสอร์ท" ริมอ่างเก็บน้ำซับประดู่ อ.สีคิ้วค่ะ รีวิวรีสอร์ท เราจะทำไว้ในรีิวิวที่พักหลักร้อยอีกทีนะคะอ่างเก็บน้ำ ยามพระอาิทิตย์ตกดินสุดท้่ายสำหรับค่ำคืนนี้ เขียนโปสการ์ดอวยพรปีใหม่ให้เพื่อนๆวันรุ่งขึ้นขอต่อตอน 2 นะคะ**********