My Time & My Life
Group Blog
 
All Blogs
 
การเดินทางของความรัก

การเดินทางของความรัก


เย็นวันหนึ่ง ในสวนแปลงเล็กของย่า ที่มีลักษณะ เป็นคอก มีรั้วไม้ตีรอบขอบชิด   เนื้อที่ ไม่ถึงสิบไร่  มีลำธารเล็กๆ ไหลเอื่อยๆ ผ่าน ไปอย่างสงบ


ที่นี่มีหญ้าปล้องและแมลงปอ  จำนวนมาก  เป็นทุ่งหญ้า เรียบๆ มีต้นไม้ใหญ่เพียงไม่กี่ต้น  บ่อยครั้งที่ฉันมักจะวิ่งเล่นในที่ดินผืนนี้  เพราะ มันเป็นทางผ่านทางหนึ่งไปยังสวนของพ่อ ที่อยู่ถัดไป


ย่าบอกฉันว่า คอกนี้ ย่าไว้เลี้ยงวัวนะลูก  แต่แปลกฉันไม่ค่อยเห็นวัวของย่าเลย   นอกจากเวลาเย็นๆ  มันเลยเป็นที่วิ่งเล่นของเด็ก 12 ขวบอย่างสบายๆ


ใกล้ๆ คอกนี้ ตรงกันข้าม มีหนองน้ำ  อยู่ นอกรั้วไม้ซี่ๆ นั้นอีก  แต่หนองนี้ ท่าทางจะลึกน่าดู  เวลาน้ำหลาก  จะเห็นไซและข้องดักปลา ถูก วางไว้ ระหว่างรั้ว  เพราะปู่จะขุด ทางเดินริมรั้ว ให้น้ำไหล ผ่านที่ดินไป ยังลำธาร อีกฝั่งของคอกวัว


แน่นอนว่า มิใช้น้ำแค่อย่างเดียวที่จะไหลผ่านอย่างรวดเร็ว  แต่ก้มีปลาตัวเล็กตัวน้อยไหลมาด้วยเช่นกัน  ฉันสนุกสนานไม่น้อยที่จะกระโดดข้าม ไปข้ามมาเพื่อดูปลา ที่ไหลมาอย่างตื่นเต้น


กว่าจะเดินถึงสวนแต่ละครั้ง  ฉันก็ชมนกชมไม้  เรียนรู้ต้นไม้แต่ละต้นไปเรื่อยๆๆ และ ก็แปลกใจกับท่อนไม้ จำนวนมาก สีดำ ที่ถูกสุมไว้ ใต้ต้นชมพู่(จริงๆมันคือฝรั่ง  ชาวใต้เรียกชมพู่เหมือนกันหมด)


เย็นวันหนึ่ง ฉันถามพ่อว่า เจ้าท่อนดำๆ นี่ คืออะไร เหมือนต้นไม้ที่ตายแล้ว แต่มีสีดำแปลกกว่าต้นอื่นๆๆ แล้ว ทำไมปู่เก็บไว้แบบนี้ละ  ไม่เอามันไปทิ้งเสียที  ผ่านมากี่ปีๆๆ ก็อยู่แบบเดิม


พ่อ ยิ้ม แล้วก็บอกลูกว่า  ปู่ไว้ทำน้ำตาลเมาน่ะลูก  มันคือ เคี่ยม นั่นเอง


น้ำตาลสดจากต้นตาลโตนด ในสวนยางของฉันนั่นล่ะ  คือสิ่งที่ปู่ ปีน มันขึ้นไป เพื่อเอาน้ำตาลสดลงมาแล้วใส่ เศษไม้เคี่ยมลงไป  มันจะทำให้น้ำตาลสดไม่บูด นั่นเอง  แถมเมาอีกต่างหาก


วันเวลาก็ หัดเรียนรู้พืชแต่ละชนิด  จริงๆแล้วครู เกษตรคนแรกของฉันก็พ่อ  พ่อสอนวิธีติดตาต้นไม้ให้ฉันตั้งแต่ 7 ขวบ พ่อสอนให้ ติดตา ทาบกิ่ง ดูแลต้นไม่สารพัด  และนั่นคือหน้าที่ของฉันแต่ละวัน และมากขึ้นในวันหยุด  แทบจำไม่ได้เลยว่าตัวเองได้ไปวิ่งเล่นกับเพื่อน หรือติดอยู่กับทีวีแบบเด็กสมัยนี้  เพราะ  วันหยุด เราจะไปเรียน ห้องเรียนธรรมชาติกันในสวน  นั่งกัน ใต้ต้นไม้ เรียนวิธีขยายพันธ์ต้นไม้ แบบต่างๆ


พ่อสอนลูก แล้วก็สอนแม่ไปในตัว  ว่าไปแล้ว แม่เรียนรู้ช้าที่สุด เดินสักนิดแม่ก็เหนื่อย  หรือไม่ก็คันๆๆ  จนพ่อเองก็จนปัญญา อันเชิญแม่กลับไปนั่งสบายๆๆ หรือ ไป ดูทีวีที่บ้านย่าก่อน


ส่วนลูก ก็ ฮุยเลฮุย  ไปไหนไปกัน


พ่อ มักจะเหลาไม้ ขนาดหนึ่งเมตรนิดๆ ให้ลูก หนึ่งอันเสมอ  ในขณะที่ปล่อยลูกในสวนที่รก นักในขณะนั้น


ด้วยเนื้อที่ กว้างใหญ่ สิ่งที่เรียนรู้สิ่งแรก คือทิศทางและอาณาเขต


มองไปตะวันตก จะมองเห็นเทือกเขานครศรีธรรมราช ยาวเป็นแนวตั้งตระหง่านไม่ไกลนัก


มองไป ทางเหนือ ถ้าเดินไปสุดดินจะพบถนน ถ้าเราเลี้ยวไปทางขวา ถนนจะมาตรงหน้าบ้านย่าพอดี


มองไปทางใต้ หรือซ้ายมือของเรา เมื่อมองเข้าภูเขา  ถ้าเดินพ้น พื้นที่ต่างระดับเมื่อไหร่  นั่นคือลูก กำลังจะมุดไปสวนคนอื่นทันที นอกจากนั้น ยังมีหนองน้ำ เล็กๆ อีกด้วย


มองไปตะวันออก นั่นจะไปเจอบ้านย่า คือทางกลับบ้านนั่นเอง


แต่เด็กๆๆ บ่อยครั้งก็หลงทาง...ต้องมองหาภูเขาเรื่อยๆๆ  นั่นหมายถึงเราหันหลังให้ภูเขาเดินไป  ไกลแค่ไหน  ก็จะพบบ้านย่า


อาณาเขตที่ดิน เราไกล สุดลูกหูลูกตา หากหลงกันก็ แทบจะหากันไม่เจอทีเดียว


พ่อเลยสอนเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยให้ สังเกต วิธี ข้ามแปลง สวน และ จุด จะถูกแบ่งออกเป็นแปลงๆๆ แต่ละแปลง เป็นของใครบ้าง นั่นเป็นสิ่งที่ต้องจำ


หากต้นไม้ เริ่มเปลี่ยนแนวแถว ไม่ตรงกันที่ ต้นไหน นั่นหมายถึง เรากำลังจะข้ามไป อีกแปลงทันที


เดินๆๆ   ต้นไม้เริ่มเปลี่ยน  นั่นหมายถึงเราเดินทะลุๆๆ ไปเรื่อยๆ


ตอนเด็ก สิ่งที่กลัวที่สุด คงจะเป็นงู  พ่อจึงให้ถือไว้ไว้สำหรับแหวกหญ้า และ ไว้ค้ำยันตัวเอง ในสวน ที่ถูกรถไถขนาดใหญ่ ไถไว้ เมื่อเหยียบดินมันจะจมฮวบไปครึ่งแข้งทันที  หากเดินไม่ดีก็ หัวคะมำได้


แต่พ่อก็หารู้ไม่ ว่า ไม้ที่พ่อให้เป็นไม้ประจำกาย มัน เกิดอุบัติเหตุกับลูก ตอนที่พยายามปีน ของ ตลิ่ง  จากที่ดินแปลงลึก มายังที่ดินแปลงสูงที่ต่างระดับกัน เกือบหนึ่งเมตร


ด้วยตัวเล็ก  กว่าจะ ปีนป่ายขึ้นมาได้ก็ทุลักทุเล ประกอบกับดิน ที่เหยียบแล้วจมๆ ทำให้หัวคะมำ แต่คะมำไปทางไหน ก็ ไม่ไป  ดันคะมำ ไป ทับไม้ตัวเอง ที่ปักอยู่ข้างหน้าอย่างจัง  ผลคือ  ไม้ตำท้องอย่างแรง  เลือดออกทันที


ป๊าด ตำโดนข้างๆสะดือเนี่ยเจ็บสุดๆๆ แต่จะร้องหาใครก็คงไม่มีใครได้ยิน ไกลออกขนาดนี้ ใครละจะมาช่วยเรา


หายใจเข้าลึกๆๆ ก็ ตัดสินใจพาตัวเอง เดินกุมท้องๆๆ กลับไปยังบ้านย่าได้สำเร็จ  ด้วยความซน เกือบจะเอาชีวิตมาทิ้งซะแล้ว


เนื่องจากย่ามีหลาน มากกว่า ยี่สิบคน  ก็เลย ไม่มีหลานคนไหนที่ย่าจะใส่ใจมากนัก คนไหนก็เหมือนกัน ย่าปล่อยตามบุญกรรม  เพราะ ย่าเองก็ลูก ถึง 11 คน หลานจึงมีมากมายขนาดนี้


ถ้านับ เหลน โหลนของย่าในปัจจุบันเข้าไปด้วย  ก็ มากกว่าร้อยทีเดียว นี่ละนะ ย่าเลยเฉยๆๆ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น


ที่คอกเลี้ยงวัวของย่า ที่นี่ละ เป็นที่ซ้อมขับรถยนต์ครั้งแรกในชีวิต หากเทียบกับทางภาคกลางมันก็คือ ทุ่งเลี้ยงม้านั่นเอง


มันจึงมีที่ราบ ที่เนิน มีต้นไม้หรอมแหรม  พ่อจึง สอนให้ฉันขับรถ อย่างไม่กลัวว่าลูกจะไปชนอะไรเข้า นอกจากต้นมะม่วงที่ลูก เลี้ยวไปหากิ่งมันเสมอ จนพ่อร้องว่า หลังคารถ เป็นรอยหมดแล้ว ถอยมาไกลๆหน่อย


หัดขับอยู่ไม่นาน  ก็ เริ่ม ไปถนนซอยหน้าบ้านย่า   แวะไปเรื่อยเปื่อย  จน พ่อสอนขับออกถนนใหญ่


ถนนใหญ่ของพ่อนี่ ถนน สายหลักของภาคใต้เลยล่ะ  พ่อนี่ใจกล้าน่าดู  ส่วนลูกนี่ใจแป้วๆๆ


พ่อ เป็นพ่อของลูก ที่น่ารักมาก  พ่อบอกว่า ชีวิตพ่ออยู่ไกล แขวนอยู่บนเส้นด้าย ลูกจึงต้องเข้มแข็ง ทำอะไรด้วยตัวเองได้ด้วย ที่สำคัญ ต้องดูแลคุณนายแม่ให้ดี เพราะพ่อไม่อยู่บ้านนั่นเอง


คุณนายแม่ ผู้แสนจะอ่อนแอ ขี้งอนอีกต่างหาก 


วันหนึ่ง ลูกอยากได้ขี้วัว ไปโรงเรียน และเอาไปใส่ต้นไม้ ที่ปลูกไว้ พ่อ ก็ พาลูกไปสวนด้วย  แล้วพ่อก็ส่งกระสอบปุ๋ย ให้ สองใบ  พร้อมกะลาเก่าๆๆ อีกหนึ่งอัน  พ่อบอกว่า  เข้าไปใต้ถุนบ้านเลือกที่แห้งๆ ตรงที่วัวเคยนอนนั่นล่ะ เสร็จแล้วเรียกพ่อละกัน


ลูก ก็ ซุกซนอยู่กับกองขี้วัว ที่ มีทั้งเปียกทั้งแห้ง เอากะลามะพร้าว ขูดๆๆ ให้มันเป็นผงๆ แล้วโกย ใส่กระสอบ สองใบจนเต็ม


ไม่นานนัก พอกลับถึงบ้าน แม่ถามว่าลูกไปทำอะไรมา มอมแมมเหมือนหมาเลย  ลูกก็หัวเราะ ๆๆ  พ่อให้มุดไป ใต้ถุน ไปอยู่ในคอกวัวมา


แม่  เริ่มงง  อ้าว ทำไม พ่อไม่ไปตักให้ลูกละ


ลูก ก็ งง อ้าว  ทุกที นึกว่าแม่ตักมาเอง เห็นพ่อ ส่งอุปกรณืให้แล้วเดินหายลับไปในสวนเลย


แม่เลยบอกว่าเปล่า  ปกติ แม่จะ นั่งเป็นกำลังใจเท่านั้น  แล้วนี่ พ่อ ใช้ให้ลูก มุดๆ กับกองขี้วัวได้ไงเนี่ย


พ่อหนอพ่อ...ก็ลูกพ่อเนอะ ...ทำได้ทั้งนั้น..เพราะพ่อ ไปขึ้นมะพร้าวอ่อนให้ลูกกินเป็นรางวัล ตอนท้ายอีกด้วย


พ่อเก่งเรื่องเกษตร ตั้งแต่ปลูกข้าวโพด ลูกก็ได้ปลูก ปลูกอ้อย ลูกก็ได้ปลูก ไป ขุดหน่อกล้วยมาปลูก ลูกก็ได้แบกหาม แม้กระทั่ง ส้มโอ ส้มเขียวหวาน ส้มจุก มะนาว มะกรูด พ่อทำให้มันออกในต้นเดียวกันได้หมด


พ่อทดลองปลูกอะไรเรื่อยๆ ตามประสา ของพ่อ ได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง แต่แย่สุดน่าจะเป็นเราปลูกข้าวโพดกัน  กำลังออกฝักน่ากิน แต่ น้ำกลับท่วมสูงมาก  พ่อ ไม่วาย พาลูก ผ่านกระแสน้ำเข้าไปในสวน  เพื่อไปตัดข้าวโพดทั้งหมดลงกระสอบไปขาย ก่อนที่มันจะแช่น้ำนานจนเสียหาย


ช่วงนั้นสนุก แต่ก็คันยุบยิบๆๆ เดินก็ยาก  พ่อสอนให้ใส่รองเท้าบู๊ท  เพื่อกันสัตว์ร้าย แต่น้ำก็ท่วมเข้ารองเท้าอยู่ดี  เดินยากชะมัด


ตัดข้าวโพดเสร็จ  พ่อก็แบ่งส่วนหนึ่งให้แม่เอาไปต้มให้พวกเรากินเป็นค่าแรงงาน ที่ช่วยวุ่น ลากกระสอบ ข้าวโพด ออกจากไร่ไปจนได้


มาระยะหลังๆ เราเหน็ดเหนื่อยกับการทำสวนยางพารา ทุกวันหยุด  พ่อแข็งขันมาก ด้วยวัยพ่อ เพียง 40 แต่พ่อก็ทำงานเยอะ จน ไม่รู้เลยว่า พ่อเหนื่อยเป็นไหม


พ่อขับรถ  กว่า 400 กิโลมาหาลูก และก็พาลูกไปสวน ทุกๆวันหยุด  แล้วก็ขับรถไปทำงานอีกครั้งในเย็นวันอาทิตย์  เจ้า 800 กิโลของพ่อ มันนานมากสำหรับลูก  แต่ มันไม่เคยทำให้พ่อ ลืมเราไปสักสัปดาห์


ทุกๆวันศุกร์ เราจะชะเง้อเสียงรถยนต์ของพ่อ ที่กระหึ่มมา ตอนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว


ถึงวันอาทิตย์ ก็น้ำตาซึม เกาะแข้งเกาะขาพ่อ เป็นปกติ  พ่ออย่าลืมขนมหนูนะ  อาทิตย์หน้าหนูจะรอ


พ่อมักจะมาพร้อมกับขนมให้ลูกๆ กินเสมอๆ   พ่อบอกว่า พ่อแวะ หาดใหญ่นะ บางทีก็แวะกินข้าวหากดึกมาก  แล้วก็ซื้อ ขนมครกที่หน้าตลาดสันติสุขมาฝากลูก ขนมครกที่นี่แปลกกว่าขนมครกแถวบ้าน เพราะใส่ผักหลากหลาย อร่อยดี


บางสัปดาห์ พ่อซื้อปูดำมาฝาก หนึ่งถัง  แม่มักจะขังมันไว้แล้วนึ่งให้เรากินในตอนเช้า แต่หากไม่ดึกนัก แม่จะนึ่งให้ลูกกินในคืนนั้นเลย  ฉันชอบปูดำนึ่งมาก  อร่อยสุดๆ


หากเป็นฤดูกาลของผลไม้ เช่นทุเรียน เงาะ  พ่อรู้ว่าลูกพ่อกินล้างกินผลาญ ซื้อน้อยก็ไม่ได้ ทั้งเมียทั้งลูกชอบ  แถมแม่ยายก็ชอบอีก  เอาน่า ตัดสินใจซื้อยกหาบ  คือ เหมายกเข่งนั่นเอง


บ้านหลังนี้จึงเป็นบ้านที่อุดมสมบูรณ์ในเรื่องอาหารการกินมากอยู่ ลูก   จึงอ้วนกลมกันทุกคน


พ่อ ให้พวกเรากินนม กลัวว่าจะตัวเล็ก  พวกเราจึงถูก บังคับให้กินนมเป็นเนืองนิจ  แต่ก็ ตัวโต ได้ดั่งใจพ่อจริงๆ


นอกจากพ่อจะเก่งด้านเกษตรแล้ว  พ่อเก่งเรื่องการทำกับข้าว เก่ง เรื่องงานช่าง ทั้งงานปูน งานไม้ งานไฟฟ้า งานประปา  พ่อทำได้สารพัด กระทั่งเชื่อมเหล็ก พ่อยังเชื่อมได้ดีกว่าลูก ที่เรียนมาถึงสามปีเลย


จริงๆ แล้วก็ แอบสงสัยนะว่า พ่อเคยเหนื่อยไหม ที่เดินทางไกล


พ่อ เคยท้อไหม ที่พวกเราอยู่ไกลพ่อขนาดนั้น


พ่อเคยเหงาไหม  ที่เราไม่เจอหน้ากันทุกวัน


แต่ทั้งหมดนั้น พ่อทำเพื่อลูก ให้ลูกมีชีวิตที่ดีกว่า


พ่อบอกว่า พ่อเลี้ยงเรา ได้ ไม่ดีเท่าที่ตาเลี้ยงแม่  แต่พ่อก็ทำดีที่สุดแล้ว 


ลูกเองก็อยากบอกพ่อว่า พ่อเป็นฮีโร่ของลูกเลย


แม้ว่าลูกโตมา จะมีปัญหาครอบครัว พ่อไม่เคย เอ่ยปากตำหนิลูกสักนิด  ไม่เคยพูดให้ลูกเสียใจ  มีแต่ให้กำลังใจ  พ่อไม่เคยให้ความเห็นว่า พ่อชอบเขาหรือไม่ชอบเขา  พ่อดีใจหรือเสียใจ ที่ลูกเลือกใคร


แต่สิ่งที่ลูก จำได้ดี คือ พ่อรักลูกนะ


พ่อ แอบบ่นกับแม่ว่าอยากได้หลาน  ลูกรู้แหละว่าพ่อรักเด็ก  ด้วยวัย 61 ปีของพ่อ ยังไม่มีหลานสักคน  แต่สิ่งที่พ่อห่วง คงกลัวลูก เหงา ว้าเหว่นั่นเอง


พ่อก็ยังเป็นพ่อ เหมือนเดิม... จะมีใครยิ่งใหญ่กว่าพ่อฉัน..นั้นไม่มี










Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2552
Last Update : 4 กุมภาพันธ์ 2552 18:53:51 น. 2 comments
Counter : 351 Pageviews.

 

แวะมาสวัสดีค้า


โดย: praewa cute วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:22:17:24 น.  

 
คุณพ่อเป็นคนที่น่ารักมากเลยนะคะ


โดย: Ning (junjaw_vet ) วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:23:00:44 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

noomint
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]








ฉันไม่ได้ยินดีในความตาย
แต่พร้อมที่จะจากไปอยู่เสมอ

เวลาในการมีชีวิตฉันเหลือน้อย
จะใช้สอยอย่างมีคุณค่าทุกนาที



Friends' blogs
[Add noomint's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.