Group Blog
 
All blogs
 

Review : AloEx Black Shampoo & Natural Hair Mask ลดปัญหาผมร่วงด้วยแฮร์แคร์สูตรธรรมชาติไม่ผสมซิลิโคน






สวัสดีค่า...กลับมาเจอกันในบล็อคอีกครั้งหลังจากห่างหายไปนาน
เข้ามาหมวดเส้นผมรอบนี้ใครที่มีปัญหาผมร่วง ผมบาง เชิญค่ะ
มีรีวิวแฮร์แคร์ที่ช่วยลดปัญหาผมร่วงมาฝากกัน

ซึ่งเน้นส่วนผสมที่ได้จากพืชพรรณธรรมชาติ
และปราศจากสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองและอุดตันหนังศีรษะ
อย่าง SLS, Silicone, Paraben และ Fragrance 
กับ แบรนด์ AloEx แฮร์แคร์แบรนด์ของไทยเรานี่เอง

--------------------------------------------------------------------------------

แปะสิ่งที่อยากรู้ไว้ให้บนสุดก่อนเลยจะได้ไม่ต้องเลื่อนหากัน 
ใครถามคำถามนี้มาอีกจับตีมือแล้วนะ Smiley

ราคา
แชมพู ขนาด 200 ml ราคา 680 บาท
แฮร์มาส์ก ขนาด 200g ราคา 680 
บาท

สถานที่จำหน่าย
Watsons , Tops , Eveandboy , The Mall,
Beautrium, Beauty Club ฯลฯ
หรือสั่งซื้อออนไลน์ได้ที่ FB : AloExOfficial
และ www.aloexhair.com จ้า



แอบเดาว่าหลายคนน่าจะคุ้นกับแชมพูแบรนด์นี้
แต่ที่เห็นกันมานานแล้วจะเป็นขวดขาวตัวหนังสือสีเขียว
ซึ่งสูตรนั้นเค้าเคยรีวิวไปแล้วย้อนไปดูได้ที่ >>>Click<<<
อันนั้นคือสูตรออริจินอลที่ยังมีขายอยู่นะฮะ
แต่ขวดดำอันนี้คือสูตรใหม่ที่เพิ่มมา

ทั้งสองสูตรของเค้ายังคงคอนเซปต์
ช่วยแก้ปัญหาผมร่วงเหมือนเดิม แต่ความต่างคือ

Smiley สูตรออริจินอล เน้นกำจัดสิ่งสกปรกและสารเคมี
ที่ตกค้างบนหนังศีรษะและเส้นผม
เหมาะกับคนหนังศีรษะปกติ-มัน สระผมบ่อย
คุณผู้ชายที่บ้านเป็นแฟนพันธุ์แท้ของสูตรนี้ใช้ต่อเนื่องมาจะสามปีละ

Smiley สูตรใหม่ขวดสีดำ AloEX Black Shampoo
ผสมสารบำรุงช่วยกระตุ้นการงอกของเส้นผม
เหมาะกับคนที่มีปัญหาหนังศีรษะแห้ง
รวมถึงเส้นผมที่แห้งเสียจากการทำสี เคมี ความร้อ
อันนี้แหละตอบโจทย์ผมอิชั้นสุด!



ส่วนผสมอย่างที่บอกไปแล้วว่าไม่มีส่วนผสมของ
SLS, Silicone, Paraben และ Fragrance
จึงมีความอ่อนโยน คนที่หนังศีรษะระคายเคืองง่ายก็สามารถใช้ได้

สารทำความสะอาดที่ใช้คือ Cocamidopropyl Betaine 
เป็นสารประกอบที่ได้จากน้ำมันมะพร้าวที่ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง
Sodium Laureth Sulfate (SLES)
ตัวนี้มีความชื่อคล้าย SLS แต่มันคือสารคนละตัวกันนะฮะ อ่อนโยนกว่ามาก
แต่สำหรับคนทำสีก็จะทำให้สีผมเฟดไวขึ้นนิดนึง
ถ้าเทียบกับพวกแชมพูที่ไม่มีซัลเฟตเลย
และ Disodium laureth sulfosuccinate อันนี้ก็อ่อนโยนเช่นกัน

สารบำรุงหลักที่เป็นจุดขายและใส่มาในปริมาณเยอะจริง
ก็คือ  Oryza Sativa Extract (ฺBlack Rice) 
สารสกัดจากข้าวเหนียวดำที่มีสารแอนโทไซยานิน
ซึ่งมีคุณสมบัติในการกระตุ้นเซลล์รากผม (Hair Kertinocytes)
ให้สร้างผมเกิดใหม่ รวมถึงเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นเยี่ยมด้วย

ตามมาด้วย Panthenol หรือ Pro-Vitamin B5
เติมความชุ่มชื้นให้ผมนุ่มลื่น ช่วยลดอาการระคายเคือง

สารสกัดจาก Rosemary ช่วยต้านอนุมูลอิสระ

สารสกัดจาก Chamomile , Arnica Montana,
Lamium Album, Calendula เป็นกลุ่มที่ช่วยเรื่องลดอาการระคายเคือง

สารสกัดจาก Sage (Salvia Officinalis)
มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียบางประเภท ลดอาการอักเสบ

นอกจากนี้ยังมีพวกน้ำมันธรรมชาติอย่างน้ำมันสน
น้ำมันจากเปลือกเลมอน ที่ช่วยให้ผมนุ่มลื่นไม่พันกัน



ฝาขวดแบบหัวปั๊มใช้งานสะดวกดี
และดีงามตรงสามารถหมุนบิดล็อคหัวปั๊มกันหกเวลาพกพาได้ด้วย

เนื้อแชมพูสีเหลืองอมน้ำตาลอ่อน เนื้อไม่ได้เหลวมากมีความกึ่งๆเจล
กดออกมาจุดเด่นเลยคือเรื่องกลิ่นมีความหอมเย็นๆให้ความรู้สึกสดชื่นดี
ซึ่งเป็นกลิ่นจากสารสกัดธรรมชาติล้วนๆ ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม



ขยี้กับน้ำแล้วให้ฟองปานกลางไม่มากแต่ก็ไม่ได้น้อย
เทียบกับพวกแชมพูสมุนไพรก็ถือว่าให้ฟองเยอะใช้ได้
ฟองที่ได้เป็นฟองละเอียด ยุบตัวไวนิด แต่ชอบตรงล้างน้ำออกง่ายดี


ส่วนตัวเค้าผมยาวมากและเป็นผมทำสี
ตอนที่สระและหลังล้างออกจะรู้สึกฝืดๆผมหน่อยนะ
มันจะไม่ใช่ฟิลนุ่มลื่นเหมือนแชมพูพวกที่มีซิลิโคน
แต่นี่แหละคือข้อดีเพราะจะไม่อุดตันหนังศีรษะ
รวมถึงลดความเสี่ยงที่จะไหลลงมาอุดตันผิวหน้าทำให้เกิดสิวด้วย

แม้แชมพูสูตรนี้เค้าเน้นทำมาสำหรับคนที่มีปัญหาหนังศีรษะแห้งและผมแห้ง
แต่เค้าว่าหลังใช้ก็รู้สึกสะอาดดีและไม่ได้ทำให้หนังศีรษะมันเลยนะ
จริงๆก็คือจะสภาพผมและหนังศีรษะแบบไหนก็ใช้ได้หมดแหละ 
แต่ถ้าใครหนังศีรษะมันจัดๆอาจชอบฟิลหลังสระของสูตรออริจินอลมากกว่า
นี่เอาให้แฟนลองใช้สูตรนี้สลับกับสูตรเดิมคำตอบที่ได้คือ...ก็เหมือนกันไม่ต่าง
ผู้ชายผมสั้นอ่าเนอะ เน้นสระแล้วรู้สึกสะอาดก็คือจบ



AloEX Natural Hair Mask

อันนี้ต้องปรบมือใหม่นี่คือทรีทเมนต์บำรุงผมสูตรไม่มี Silicone
หายากมากเลยที่ทรีทเมนต์จะไม่ใส่ซิลิโคน เพราะมันคือตัวที่ทำให้ผมลื่นปรื้ดๆ
ดังนั้นสบายใจเรื่องการอุดตันหนังศีรษะและอุดตันผิวไปได้เลย
แถมยังเป็นทรีทเมนต์ที่ช่วยกระตุ้นการงอกใหม่ของเส้นผม
รวมถึงบำรุงผมที่แห้งเสียจากการทำสี ทำเคมี หรือโดนความร้อนบ่อยๆอีกด้วย



ส่วนผสมในด้านของสารบำรุงมีความคล้ายคลึงกับตัวแชมพูมาก
เรียกว่าเหมือนเลยก็ได้ นางเอกชูโรงที่ช่วยเรื่องผมงอกใหม่
แน่นอนก็คือสารสกัดจากข้าวเหนียวดำ
Oryza Sativa Extract (ฺBlack Rice) 

ส่วนผสมที่ใส่เข้ามาแทนซิลิโคน
ช่วยให้บำรุงให้เส้นผมนุ่มลื่นโดยไม่ก่อให้เกิดการอุดตันก็คือ
น้ำมันธรรมชาติที่สกัดมากจากพืชหลากชนิด
อย่าง Lavender , Lemon Peel , น้ำมันสน 

ทางแบรนด์แจ้งว่ามีส่วนผสมของประคำดีควาย
และอัญชันซึ่งเป็นสมุนไพรบ้านๆที่เราคุ้นกันดีว่าช่วยบำรุงผมใส่มาด้วย
แต่เค้าหาจากส่วนผสมไม่เจอนะ เลยไม่แน่ใจว่าในส่วนผสมเขียนครบไหม



เนื้อทรีทเมนต์สีครีมมีความข้นปานกลาง
กลิ่นดีมากกกกกชอบ คล้ายๆแชมพูแต่ละมุนกว่า
มีความอโรม่าเหมือนเข้าสปา เป็นกลิ่นแนวผ่อนคลาย



ผมยาวและทำสีโชกโชนแบบเค้า
สภาพหลังสระเสร็จไม่ต้องพยายายามสางนะจ๊ะ
เจอแชมพูแบบไม่มีซิลิโคนเข้าไป
เกาะกันเป็นก้อนสางมิออกแน่นอนฮร่ะ

ดังนั้นเราจึงมีความจำเป็นอย่างที่สุดที่ต้องใส่ทรีทเมนต์
บีบลงไปเน้นๆ ปริมาณก็กะเอาเองตามความยาวผมเนอะ
ถ้าปลายผมแห้งมากมันก็จะเปลืองทรีทเมนต์หน่อย



ทรีทเมนต์ที่บีบจากหลอดดูเหมือนข้น
แต่พอลูบไปกับเส้นผมกระจายตัวง่ายมากเลย
เนื้อลื่นๆซึมเข้าผมได้ดี ไม่เหนียว ไม่เหนอะ
ในขั้นนี้ก็ค่อยๆเอามือบี้ๆนวดๆ
ให้เนื้อทรีมเมนต์ค่อยๆซึมเข้าไปให้ทั่ว



และนี่คือความดีงามหลังนวดทรีทเมนต์
สามารถสางผมได้แม้ตอนผมเปียกจร้าาาา
ไม่มีซิลิโคนก็ลื่นได้จริงนะคะคุณ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับสุขภาพผมแต่ละคนด้วยเน่อ
เพราะตอนผมเปียกผมจะอ่อนแอที่สุดและขาดง่ายมาก
ถ้าเป็นคนผมแห้งเสียมากถึงมากที่สุด
ไม่ต้องพยายามสางขนาดนั้น นวดให้ทั่วก็ใช้ได้แล้ว



ปกติการใส่ทรีทเมนต์เค้าจะใส่แค่กลางๆถึงปลายผม
แต่ทรีทเมนต์ตัวนี้ใช้นวดลงไปที่หนังศีรษะได้เลยนะ
ส่วนผสมที่ช่วยกระตุ้นการงอกใหม่ของเส้นผมจะได้ลงไปบำรุงได้เต็มที่
แถมยังช่วยลดปัญหาหนังศีรษะแห้งลอกและมีอาการคันไปในตัวด้วย

ตามคำแนะนำคือใช้แทนครีมนวดลงทุกครั้งหลังสระได้เลย
นวดๆให้ทั่วแล้วล้างออกไม่ต้องเสียเวลาโบกทิ้งไว้
แต่ถ้าวันไหนขยันอยากหมักผมก็ทิ้งไว้ซัก 3-5 นาทีค่อยล้างออก

ด้วยความที่ไม่มีซิลิโคนเลยทำให้ล้างออกง่าย
ไม่เป็นเมือกๆ แต่หลังล้างก็ให้สัมผัสผมที่นิ่มลื่นขึ้นใช้ได้เลย



นี่คือสภาพผมเค้าหลังสระและทำการเป่าแห้ง
ไม่ได้ไดร์และไม่ได้ใส่ออยล์บำรุงผมตามแต่อย่างใด

ความต่างที่ชัดเจนกับการใช้แฮร์แคร์ที่มีซิลิโคนนะ
คือเบาสบายผมและหนังศีรษะมากกกกกก
คือรู้สึกว่าหนังศีรษะสะอาดและผมมีความพลิ้ว
แต่ก็ต้องยอมรับนะว่าความทิ้งตัวของเส้นผมไม่มากเท่า
ก็ต้องแลกเอาค่ะ ไม่อุดตัน ไม่ทำให้ผมร่วง
ได้ความนุ่มลื่นเบาสบายแบบนี้ถือว่าคุ้มอยู่นะ



แม้ผมจะไม่ทิ้งตัวเท่าแต่ถ้าดูเรื่องความเงาและความนุ่ม
เค้าว่าก็ใกล้เคียงเลย ส่วนตัวอยู่ในระดับที่เค้าพอใจมากเลย

อันนี้พูดตามตรงกว่าก่อนเค้าจะทำแฮร์มาส์กออกมา
ลองใช้แชมพูเดี่ยวๆแล้วไม่รอดจริงๆ สางมิออก
สุดท้ายก็ต้องตามด้วยทรีทเมนต์ที่มีซิลิโคน
แต่พอได้ลองคู่แฮร์มาส์กของเค้า.....มันคือความดีงาม!



และอีกจุดที่ขอชมเชยเลยคือ
อาการหนังศีรษะลอกหลังกลับจากไปเที่ยวยุโรปหายแล้วจ้าาาา!!!!
เวลาไปเที่ยวเมืองหนาวมันจำเป็นต้องสระผมด้วยน้ำอุ่นตลอด
ซึ่งทุกครั้งที่กลับมาหนังศีรษะเค้าจะลอกเป็นขุยอยู่เกือบอาทิตย์
นี่ใช้แชมพูคู่แฮร์มาส์กไปสามครั้ง ลองส่องๆดูเฮ้ยที่ลอกๆหายเกลี้ยงแล้วอ้ะ
ใครหนังศีรษะแห้งๆ คันๆ เป็นขุยๆ ต้องลอง
เค้าว่าตัวแฮร์มาส์กเอามานวดๆที่หนังศีรษะช่วยได้เยอะเลย



สรุป....AloEx Black Shampoo & Natural Hair Mask
เหมาะกับคนที่มีปัญหาผมร่วง ผมบาง
แต่ก็มีปัญหาเรื่องหนังศีรษะแห้งรวมถึงเส้นผมที่แห้งเสียร่วมด้วย
เป็นการแก้ปัญหาผมร่วงไปพร้อมๆกับการบำรุงนั่นเอง
สำหรับผลลัพธ์เรื่องลดผมร่วงแฟนเค้าใช้ต่อเนื่องมานาน
คอนเฟิร์มให้ได้ว่ายี่ห้อนี้ลดผมร่วงได้จริง
แต่การกระตุ้นผมเกิดใหม่อันนี้พูดยากมันต้องดูหลายปัจจัย
อย่างแฟนเค้าร่วงด้วยกรรรมพันธุ์ก็ต้องดูแลหลายๆด้านควบคู่กันไป

ส่วนเค้าเองไม่ได้มีปัญหาเรื่องผมร่วงผิดปกติจึงไม่สามารถบอกผลได้
แต่การใช้แฮร์แคร์แบบที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตันย่อมดีกว่าในระยะยาวอยู่แล้ว
ยิ่งถ้าเราทำสีทำเคมีก็ควรจะดูและหนังศีรษะให้แข็งแรง
เพื่อลดความเสี่ยงที่จะผมร่วงในอนาคตเนอะ

หวังว่าบล็อคนี้จะเป็นประโยชน์กัน
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาเยี่ยมชมล่วงหน้าค่า Smiley





 

Create Date : 10 ตุลาคม 2561    
Last Update : 11 ตุลาคม 2561 14:38:04 น.
Counter : 6066 Pageviews.  

Review : Moist Diane Botanical Organic Lavender แฮร์สูตรธรรมชาติ 90% ไม่มีซิลิโคนและซัลเฟต





...ถ้าพูดถึงปัญหาเส้นผมที่นอกเหนือจากอาการแห้งเสียชี้ฟูแล้ว
ปัจจุบันปัญหาที่พบได้มากคือหนังศีรษะที่อ่อนแอ แพ้ง่าย
ทำให้หนุ่มสาวยุคนี้หันมาเลือกใช้แฮร์แคร์สูตรที่อ่อนโยน
โดยเน้นส่วนผสมที่มาจากสารสกัดจากธรรมชาติมากขึ้น
แต่ส่วนใหญ่แฮร์แคร์กลุ่มอ่อนโยนก็จะไม่ค่อยช่วยแก้ปัญหาเส้นผมซักเท่าไหร่
คือใช้แล้วไม่แพ้นะ แต่ผมก็ไม่ลื่น ไม่นุ่ม ไม่มีน้ำหนัก
แต่บล็อคนี้มีแฮร์แคร์ที่ตอบโจทย์ทั้งเรื่องความอ่อนโยนและช่วยให้ผมสวยด้วยมาฝากกัน

กับแบรนด์ที่หลายคนน่าจะคุ้นกันดี
Moist Diane : มอยส์ ไดแอน
แบรนด์ดังจากญี่ปุ่นนั่นเอง
ที่เค้าเคยรีวิวสูตร
Extra Damage Repair สำหรับผมแห้งเสียเป็นพิเศษ
ไปแล้วเมื่อปีก่อนใครผมพังมากย้อนไปอ่านกันได้ >>> Click <<<

จุดขายของแบรนด์นี้
คือมีส่วนผสมของ Moroccan Argan Oil
คือน้ำมันที่ได้จากผลอาร์แกนที่ปลูกในโมรอคโค
ออยล์ที่ได้ชื่อว่าเริ่ดที่สุดในการเข้าไปบำรุงผมให้นุ่มลื่นไม่พันกัน

ซึ่งในไลน์ใหม่ที่ชื่อว่า Moist Diane Botanical
จะใช้เป็น Organic Argan Oil
ด้วย
พร้อมยังเพิ่ม Shea Butter Cleansing Oil
เพื่อให้ผมนุ่มลื่นไม่พันกันตั้งแต่ตอนสระผม

โดยไลน์นี้ทั้งหมดจะใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติถึง 90%
ไม่มีส่วนผสมของซิลิโคน ซัลเฟต พาราเบน เอทานอล

จึงเป็นสูตรไร้สารเคมีที่ตกค้าง และสะสมบนเส้นผมและหนังศีรษะ
ที่เค้าเคลมมาเลยว่าอ่อนโยนขนาดที่สามารถใช้ได้ในเด็กอายุ 3 ขวบขึ้นไป
และจุดเด่นอีกอย่างคือกลิ่นหอม ให้ความรู้สึกผ่อนคลายเหมือนทำสปาผมที่บ้าน
แค่อ่านคำเคลมและเห็นส่วนผสมนี่ก็เคลิ้มละนะ น่าใช้จริงจัง
โดยมีให้เลือกด้วยกัน 3 สูตร ตามนี้จ้า



Moist Diane Botanical 9 Herbs
สูตรฟื้นบำรุงผมแห้งเสียจากความร้อนและแสงแดด
ด้วยส่วนผสมของสมุนไพร 9 ชนิด ที่ช่วยป้องกันผมจากมลภาวะ



Moist Diane Botanical
Refresh & Moist
เพิ่มความชุ่มชื่นให้ผมนุ่มลื่นเปล่งประกายเงางาม
เหมาะสำหรับทุกสภาพผม




Moist Diane Botanical Organic Lavender
สูตรฟื้นบำรุงสำหรับผมเปราะขาดง่าย

----------------------------------------------------------------------

อันนี้คือสูตรไฮไลท์เลย เป็นสูตรเค้าได้ลองใช้และจะมารีวิวให้ชมกัน
แต่ก่อนจะรีวิวอื่นใดขอตอบคำถามที่ทุกคนจะต้องถามมาก่อนเลย
ก็คือราคาและสถานที่จำหน่าย ทุกสูตรราคาเท่ากันหมดตามนี้นะจ๊ะ

ราคา
แชมพู ขนาด 480 ml ราคา 350 บาท
ทรีทเมนต์
ขนาด 480 ml ราคา
350 บาท

สถานที่จำหน่าย
Exclusive มีขายเฉพาะที่ Watsons ทุกสาขา
โดยสามารถช้อปออนไลน์ได้ที่ https://www.watsons.co.th จ้า



Moist Diane Botanical
Organic Lavender Shampoo

-----------------------------------------------------------------

ส่วนประกอบ

WATER, DISODIUM C12-14 PARETH-2 SULFOSUCCINATE, LAURAMIDE DEA, COCAMIDOPROPYL BETAINE, SODIUM METHYL COCOYL TAURATE, DIPROPYLENE GLYCOL, PRUNUS DOMESTICA SEED EXTRACT, ECHINACEA PURPUREA ROOT EXTRACT, ROSA CANINA FRUIT EXTRACT, VITIS VINIFERA (GRAPE) LEAF EXTRACT, JUGLANS REGIA (WALNUT) SEEDCOAT EXTRACT, FICUS CARICA (FIG) FRUIT/ LEAF EXTRACT, FOENICULUM VULGARE (FENNEL) FRUIT EXTRACT, ALTHAEA OFFICINALIS ROOT EXTRACT, CHAMOMILLA RECUTITA (MATRICARIA) FLOWER EXTRACT, CARBENA BENEDICTA EXTRACT, SALVIA OFFICINALIS (SAGE) LEAF EXTRACT, THYMUS VULGARIS (THYME) FLOWER/ LEAF EXTRACT, ROSA DAMASCENA FLOWER EXTRACT, CALENDULA OFFICINALIS FLOWER EXTRACT, ARTEMISIA ABSINTHIUM EXTRACT, LAVANDULA ANGUSTIFOLIA (LAVENDER) FLOWER EXTRACT, ROSMARINUS OFFICINALIS (ROSEMARY) LEAF EXTRACT, POLYQUATERNIUM-10, CARTHAMUS TINCTORIUS (HYBRID SAFFLOWER) SEED OIL, ARGANIA SPINOSA KERNEL OIL, LUPINUS ALBUS SEED OIL, MANGIFERA INDICA (MANGO) SEED OIL, THEOBROMA GRANDIFLORUM SEED BUTTER, ADANSONIA DIGITATA SEED OIL, CARAPA GUAIANENSIS SEED OIL, SCLEROCARYA BIRREA SEED OIL, SODIUM CHLORIDE, BUTYLENE GLYCOL LAURATE, PPG-2 COCOMIDE, TEA-COCOYL ALANINATE, TEA-COCOYL GLUTAMATE, ARGAN OIL POLYGLYCERYL-6 ESTERS, SHEA BUTTERAMIDOPROPYL BETAINE, POLYSORBATE 20, PEG-150 DISTEARATE, BUTYLENE GLYCOL, GLYCERIN, CITRIC ACID, SODIUM HYDROXIDE, TOCOPHEROL, DISODIUM EDTA, SODIUM BENZOATE, PHENOXYETHANOL, FRAGRANCE, LAVANDULA ANGUSTIFOLIA (LAVENDER) OIL, CARAMEL

ส่วนผสมแชมพูคือแบบดีน่ามอบมงมากๆ
เพราะไม่มีส่วนผสมของ ซิลิโคน ซัลเฟต พาราเบน เอทานอล มิเนอรัลออย์ สี
แต่แอบมีส่วนผสมของน้ำหอมอยู่นะฮะ เป็นกลิ่นหอมแบบผ่อนคลายสไตล์สปา

สารทำความสะอาดหรือสารลดแรงตึงผิวที่ใช้คือ Cocamidopropyl Betaine

เป็นสารประกอบที่ได้จากน้ำมันมะพร้าวที่ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง
แล้วก็ใส่สารพันสารสกัดจากพืชธรรมชาติที่เป็นสมุนไพรออร์แกนิคถึง 10 ชนิด

ที่ขาดไม่ได้แน่นอนคือสารสกัดจากลาเวนเดอร์ตามชื่อสูตร
ซึ่งนอกจากจะให้กลิ่นหอมที่ผ่อนคลายแล้ว
ยังช่วยให้ความชุ่มชื่นและต้านการอักเสบได้ดีด้วย



Moist Diane Botanical
Organic Lavender Treatment

-----------------------------------------------------------------

ส่วนประกอบ

WATER, CETEARYL ALCOHOL, DIMETHICONE, STEARTRIMONIUM CHLORIDE, PRUNUS DOMESTICA SEED EXTRACT, ECHINACEA PURPUREA ROOT EXTRACT, ROSA CANINA FRUIT EXTRACT, VITIS VINIFERA (GRAPE) LEAF EXTRACT, JUGLANS REGIA (WALNUT) SEEDCOAT EXTRACT, FICUS CARICA (FIG) FRUIT/ LEAF EXTRACT, FOENICULUM VULGARE (FENNEL) FRUIT EXTRACT, ALTHAEA OFFICINALIS ROOT EXTRACT, CHAMOMILLA RECUTITA (MATRICARIA) FLOWER EXTRACT, CARBENA BENEDICTA EXTRACT, SALVIA OFFICINALIS (SAGE) LEAF EXTRACT, THYMUS VULGARIS (THYME) FLOWER/ LEAF EXTRACT, ROSA DAMASCENA FLOWER EXTRACT, CALENDULA OFFICINALIS FLOWER EXTRACT, ARTEMISIA ABSINTHIUM EXTRACT, LAVANDULA ANGUSTIFOLIA (LAVENDER) FLOWER EXTRACT, ROSMARINUS OFFICINALIS (ROSEMARY) LEAF EXTRACT, ETHYLHEXYL PALMITATE, CARTHAMUS TINCTORIUS (HYBRID SAFFLOWER) SEED OIL, ARGANIA SPINOSA KERNEL OIL, LUPINUS ALBUS SEED OIL, MANGIFERA INDICA (MANGO) SEED OIL, THEOBROMA GRANDIFLORUM SEED BUTTER, DIPENTAERYTHRITYL TRI-POLYHYDROXYSTEARATE, ADANSONIA DIGITATA SEED OIL, CARAPA GUAIANENSIS SEED OIL, SCLEROCARYA BIRREA SEED OIL, HYDROGENATED CASTOR OIL ISOSTEARATE, BIS-(POLYGLYCERYL-3 OXYPHENYLPROPYL) DIMETHICONE, HYDROXYETHYLCELLULOSE, DICOCODIMOMIUM CHLORIDE, CETRIMONIUM CHLORIDE, ISOPROPYL ALCOHOL, BUTYLENE GLYCOL, GLYCERIN, TOCOPHEROL, ETIDRONIC ACID, PHENOXYETHANOL, FRAGRANCE, LAVANDULA ANGUSTIFOLIA (LAVENDER) OIL, CARAMEL

ในทรีทเมนต์จะไม่มี ส่วนผสมของซัลเฟต พาราเบน เอทานอล มิเนอรัลออย์ สี
แต่จะมีซิลิโคนและน้ำหอมนิดนึงนะฮะ สำหรับซิลิโคนในทรีทเมนต์นั้นมีข้อดี
คือช่วยเคลือบเส้นผมให้มีความเรียบลื่นขึ้นทันทีหลังใช้
แต่ที่เราควรเลี่ยงซิลิโคนในแชมพูคือการลดความเสี่ยง
ที่ซิลิโคนจะเข้าไปอุดตันที่หนังศีรษะ ดังนั้นการใช้ทรีมเมนต์
จึงเน้นย้ำเสมอว่าเราควรลงเฉพาะที่กลางถึงปลายผมนั่นเองจ้า



เนื้อแชมพูใสไม่มีสี ตีขึ้นฟองได้ง่าย
เมื่อขยี้บนผมได้ฟองเยอะปานกลางเป็นฟองนุ่มฟูละเอียดๆ
ไม่ต้องใช้เยอะก็ได้ฟองเต็มหัวละ ที่ชอบคือล้างออกไม่ยาก ไม่เป็นคราบฟอง
แชมพูใสแบบนี้สำหรับคนผมมันแบบเค้าใช้แล้วให้ความรู้สึกสะอาดหนังศีรษะดี
หลังล้างออกผมไม่แห้งสาก แต่ก็ไม่ถึงกับลื่นปรื้ดสางออกถ้าผมยาวมากแบบเค้า
แต่เค้าลองใช้แชมพูเพียวๆไม่ตามครีมนวดพอผมแห้งก็ลื่นสางได้นะ
แม้จะไม่เท่าใช้กับครีมนวดก็ถือว่าดีงามเมื่อเทียบกับแชมพูทั่วไป

กลิ่นเหมือนวิ่งเล่นอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ หอมมว๊ากกกกกก
สระแล้วมีความโลกสวยขึ้นมาเลย555
เอาจริงๆคือกลิ่นแนวลาเวนเดอร์ที่ใช้ในสปา
หอมแบบเคลิ้มๆละมุนๆ เค้าว่าให้ฟิลผ่อนคลายดี
เหมาะแก่การสระในตอนเย็นหลังเลิกงานมาเหนื่อยๆ
แค่ใช้แชมพูกลิ่นก็หอมติดผมแล้ว



เนื้อทรีทเมนต์สีขาวเข้มข้นมากมีความเหมือนมาส์กมากกว่าครีมนวด
แม้จะดูข้นแต่ลื่นและเกลี่ยให้กระจายไปบนเส้นผมได้ง่ายไม่หนืด
ที่สำคัญคือใส่ปุ๊บสัมผัสได้ถึงความนุ่มลื่นปั๊บ ผมจะย้วยโอนอ่อนไปตามมือ
ลูบๆจนกระจายทั่วสามารถใช้มือสางผมได้ตอนผมเปียกเลย ผมยาวมากยังสางได้คิดดู!

กลิ่นเดียวกับแชมพูหอมฟุ้งเช่นกันสระผมทีหอมไปทั้งห้องน้ำ
ใช้คู่กันแชมพูทรีมเมนต์กลิ่นหอมติดผมเหมือนพึ่งไปสปามา
ใครชอบกลิ่นลาเวนเดอร์แนะนำให้ลองจริงๆ



ขั้นตอนการใช้ก็ปกติสระผมให้สะอาด
ล้างออกแล้วบีบผมให้หมาดๆค่อยใส่ทรีมเมนต์
เพราะถ้าใส่ตอนผมเปียกๆทรีมเมนต์จะเจือจาง
ทำให้ได้รับการบำรุงไม่เข้มข้นเต็มที่

การใส่ทรีมเมนต์เราจะใส่แค่บริเวณกลางถึงปลายผม
ไม่โปะเค้าไปที่โคนเพราะจะทำให้หนังศีรษะมันและลีบแบนได้ง่าย
ลูบๆนวดๆให้ทรีทเมนต์กระจายทั่วเส้นผม
ถ้ามีเวลาจะหมักทิ้งไว้หรืออบไอน้ำร่วมด้วยซัก 10-15 นาทีก็ได้
แต่ส่วนตัวออกกำลังกายต้องสระทุกวันไม่มีความขยันจะหมักผม
ก็ใส่แล้วนวดๆซัก 1-3 นาทีแล้วก็ล้างออกละ อันนี้ก็แล้วแต่ความขยันเนาะ

ตัวทรีมเมนต์นี่ท้าเลยผมยาวๆแห้งๆลองนวดไปซักแป๊บ
แล้วเอามือค่อยๆสางดู ผมมันนุ่มและลื่นขึ้นจนสางออกได้จริงๆนะ



มาดูผลลัพธ์กันภาพซ้าย Before เค้าใช้แค่แชมพูสระตอนก่อนนอน
เป่าแห้งแล้วมัดผมเลยทำให้มีรอยยาง
แต่อยากให้สังเกตดูว่าแค่แชมพูผมก็ดูไม่แย่แล้วนะ
ที่ทึ่งคือสางออกมีความลื่นระดับนึงเลย
ซึ่งปกติผมยาวและทำสีแบบเค้าปลายจะแห้งมากกว่าจุดอื่น
ถ้าสระแค่แชมพูบอกเลยว่าปลายผมพันกันสนุกอ้ะ
แต่รอบนี้คือไม่ค่ะ ทั้งมัดทั้งรวบ แต่พอปล่อยออกมาเอามือสางก็ยังสางได้

ส่วนภาพขวา After นี่คือใช้ครบสูตรแชมพูตามด้วยทรีมเมนต์
แล้วทำการเป่าให้แห้งเพียงอย่างเดียวไม่ได้ใช้ที่หนีบผมแต่อย่างใด
ตรงทิ้งตัวสลวยดีจริงๆ แต่บอกก่อนนะว่าผมเค้าตรงธรรมชาติอยู่แล้ว
ข้อดีของตัวนี้ช่วยให้ผมตรงได้แค่ไหนเค้าจึงตอบให้ยาก
แต่ที่ชอบคือผมมีน้ำหนัก ทิ้งตัว และไม่ชี้ฟูดูเป็นฝอยๆจ้า



เทียบชัดๆในส่วนปลายผมที่แห้งใส่ทรีทเมนต์แล้วดูดีขึ้นเนอะ
ไม่ได้ทำให้หายแห้งไปเลยแต่ปลายนุ่มขึ้นไม่สากมือเวลาลูบ
คือเอาจริงๆปลายผมที่พังมากๆเนี่ยก็แนะนำให้เล็มทิ้งไปบ้างเน่อ

ส่วนความเงางามชัดเจนมากเว่อร์
คือตอนแรกที่ถ่ายภาพ Before ก็ว่าผมดูเงาดีแล้วนะ
แต่พอเทียบภาพ
After เท่านั้นแหละ ขาดทรีทเมนต์ไม่ได้จริงๆ
เงาวิ้งเงาวับแบบถ่ายรูปแล้วต่างจริง!



อ้ะให้ดูความเงางามกันไปแบบชัดๆอีกรูป
สาบานว่าไม่ได้ใช้ที่หนีบให้ผมตรงและเรียบแต่อย่างใด
ไม่ได้ใส่ออยล์หรือเซรั่มบำรุงผมใดๆด้วย
แชมพู + ทรีทเมนต์ + เป่าแห้ง แค่นั้นจบ!



สรุปความรู้สึกหลังลองใช้

Moist Diane Botanical Organic Lavender
สั้นๆว่า "ดีค่ะคุณ" ก็อย่างที่ร่ายยาวไปในรีวิวเนาะ

คือเอาจริงๆนี่ชอบตั้งแต่สูตรเดิมแล้ว
เป็นแฮร์แคร์ที่ให้ผลลัพธ์เรื่องความนุ่มลื่นได้ชัดเจน
แต่สูตรใหม่นี้มีดีตรงที่เน้นส่วนผสมจากธรรมชาติที่มีความอ่อนโยน
สามารถใช้ได้กับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย เด็กก็ยังใช้ได้ (3 ขวบขึ้นไป)

ไม่มีสารในกลุ่มที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง
จึงลดการสะสมของสารเคมีทั้งในเส้นผมและหนังศีรษะ
ไม่ทำให้สีผมเฟดไว
ช่วยลดปัจจัยที่เป็นสาเหตุของผมร่วงด้วย
ซึ่งอย่างเค้าออกกำลังกายต้องสระผมบ่อย
แฮร์แคร์ที่เป็นมิตรกับหนังศีรษะมันก็ช่วยถนอมสุขภาพผมเราเนอะ

เรื่องผลลัพธ์ในการลดการเปราะขาดของเส้นผม
อันนี้จากใจไม่รู้จะตอบให้ยังไง ผมเราไม่ได้เปราะขาดง่ายอยู่แล้ว
จะมีบ้างก็เล็กน้อยช่วงปลายผมที่แห้งๆ แต่ก็เล็มทิ้งตลอดๆ
เท่าที่สังเกตตอนนี้ผมแตกปลายยังแทบไม่เจอเลย
เอาว่าใครผมเปราะขาดง่ายลองใช้แล้วก็มาเล่าให้ฟังกันบ้างเนอะว่าเป็นไง

ในความเห็นส่วนตัวเค้านะ 3 สูตรใหม่นี้เลือกเอาตามกลิ่นที่ชอบได้เลย
ส่วนผสมดีงามไม่ต่างกันมาก แต่กลิ่นคือจุดที่ต่างมากสุด
ซึ่งเป็นเรื่องของความสุนทรีย์ทางอารมณ์เวลาใช้
ถ้าได้กลิ่นถูกจริตมันทำให้อยากดูแลผมมากขึ้นได้นะเธอ

สุดท้ายนี้บอกกันอีกครั้งจะได้ไม่ต้องถามซ้ำ
มีขายเฉพาะที่ Watsons เท่านั้นนะจ๊ะ!

-----------------------------------------------------------------------------

Disclaimer : Sponsored Content by Moist Diane
***All opinions are my own




 

Create Date : 10 พฤษภาคม 2561    
Last Update : 14 พฤษภาคม 2561 14:17:43 น.
Counter : 5956 Pageviews.  

Review : อัพเดทๆ Lucido-L Argan Oil สูตร Rich Moisture สำหรับผมแห้งเสียเข้าไทยแล้วจ้า!!!








ใครเป็นสาวกอาร์แกนออยล์
ของ LÚCIDO-L เฮกันได้เลย
บล็อคนี้จะมาอัพเดทรีวิวให้ชมกันว่าเค้านำเข้า
สูตร Rich Moisture สำหรับผมแห้งเสียแล้วนะฮร้า
เคยเห็นที่ญี่ปุ่นนานละแต่ก็ยังมิเคยลอง

ส่วนสูตรสีชมพูใช้หมดไปสามขวดละ เลิฟมากมาย
เคยรีวิวแบบละเอียดยิบไปแล้วด้วย
จิ้มไปดูบล็อคเก่าได้เลย >>>Click<<<
ส่วนบล็อคนี้มาดูกันว่าสูตรใหม่ต่างกันอย่างไร
พร้อมเทคนิคการใช้ในสไตล์เค้า Smiley



LÚCIDO-L ARGAN OIL
hair treatment oil
rich moisture

ทรีทเมนต์ใส่ผมชนิดไม่ต้องล้างออก
สูตรสำหรับผมแห้งเสีย

ด้วยส่วนผสมของน้ำมันอาร์แกน
ที่ช่วยฟื้นฟูผมแห้งเสียแตกปลาย
และปกป้องผมจากความร้อนของอุปกรณ์จัดแต่งทรง
ให้กลับมาชุ่มชื่น เงางาม นุ่มลื่นน่าสัมผัส
รวมถึงช่วยปกป้องเส้นผมจากการจัดแต่งทรงด้วยความร้อนและรังสี UV

----------------------------------------------------------------------------

ขนาด 60 ml ราคา 330 บาท
หาซื้อได้ที่ร้าน Watsons ทุกสาขาจ้า

***ตอนนี้มีโปรลดเหลือ 295 ด้วยฮะ!!!




ส่วนผสมที่เป็นจุดขายหลักก็ยังเหมือนกันกับสูตรสีชมพู
ก็คือ อาร์แกนออยล์ (Argania Spinosa Kernel Oil)
น้ำมันที่สกัดจากผลของต้น Aragnia ที่ปลูกได้ในประเทศโมรอคโคเท่านั้น!

ซึ่งเป็นต้นไม้ที่มีความทานทนต่อสภาพแวดล้อมสูงมาก

โดยน้ำมันที่สกัดมาได้ประกอบไปด้วยวิตามินหลากชนิด
ไม่ว่าจะเป็นวิตามิน A , E ( วิตามิน E มีสูงกว่าน้ำมันมะกอกถึง 3 เท่า)
กรดไขมันโอเมก้า 6, 9 และเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
จึงนำมาใช้ในการบำรุงเส้นผม ผิวหน้า ผิวตัว เล็บ ฯลฯ

ซึ่งความพิเศษของอาร์แกนออยล์ในลูซิโดแอล
คือเค้าใช้ กรรมวิธีสกัดด้วยแรงดันสูง
เทียบเท่ากับแรงดันของน้ำทะเลที่ระดับ 10,000 เมตร

ออยล์ที่ได้จึงมีอนุภาคเล็กกว่าออยล์ทั่วไป
ทำให้กระจายตัวเป็นเส้นผมได้ดี ไม่จับตัวเป็นก้อน



ความต่างของส่วนผสมทั้งสองสูตร


ทุกอย่างเหมือนกันเป๊ะแค่สูตร Rich Moisture
จะมี Cyclopentasiloxane (D5) เพิ่มเข้ามาในลำดับที่ 3 ของส่วนผสม

เป็นซิลิโคนออยล์/ฟลูอิดชนิดเบา มีความสามารถในการกระจายตัวสูง
ระเหยไวแบบปานกลาง เคลือบผมด้านนอกในลักษณะเป็นคอนดิชันเนอร์
จึงให้สัมผัสนุ่มลื่นโดยไม่ทำให้รู้สึกเหนอะหนะ
ทำให้เท็กซเจอร์ของออยล์สูตรนี้มีความข้นขึ้นกว่าสูตรเดิมสีชมพู



ข้อมูลของฉลากหลังกล่อง
คือสูตรเดิมสีชมพูจะเน้นเรื่องความเบาของเนื้อออยล์ให้ผมดูพลิ้วสลวย
ส่วนสูตร Rich Moisture จะเน้นเติมความชุ่มชื่นประกายเงางามมากกว่า



มาเทสสองสูตรให้ดูดีกว่ากับผมทำสีที่มีปัญหาปลายแห้งแบบเค้า
อันนี้คือสระเมื่อวันก่อนแล้วมัดรวบเป็นซาลาเปาบันไว้ทั้งวัน
ไม่ผ่านการหวีใดๆมันก็จะเป็นรอยมัดผมและพันกันสังกะตังๆแบบนี้แล555



ทีนี้มาทำการเทสกันค่ะแบ่งผมเป็นสองด้านใส่ออยล์คนละสูตร
จากภาพจะเห็นความต่างได้ชัดเลยเนอะ
ในเรื่องของความข้นของเนื้อออยล์เมื่อกดออกจากขวด
สูตรเดิมสีชมพูจะมีความพุ่งของเนื้อออยล์มากกว่าเพราะเนื้อเหลวใสกว่า
ส่วนสูตร
Rich Moisture จะมีความข้นกว่าเล็กน้อย
คือเวลากดออกมาออยล์จะทิ้งตัวลงเป็นเส้นตรงไม่มีความพุ่ง
สูตรเดิมหลังใส่ที่ผมหมดแล้วจะไม่เหลือความมันที่มือ
แต่สูตร
Rich Moisture จะเหลือความมันเล็กน้อยแต่ล้างสบู่ออกไม่ยาก

ส่วนเรื่องกลิ่นเค้าว่ากลิ่นเดียวกันนะ
กลิ่นสไตล์ฟรุตตี้ฟลอรัล หอมดอกไม้อ่อนๆ
ให้ความสดชื่นด้วยกลิ่นผลไม้นิดๆ
ที่ทางแบรนด์บอกมาคือ
ท็อปด้วยกลิ่นแอปเปิ้ลกับพีช
กลิ่นกลางเป็นมะลิ ลิลลี่ กุหลาบ
และปิดท้ายด้วยไวท์มัสก์และแอมเบอร์
ซึ่งในเรื่องของกลิ่นอันนี้ถูกจริตเค้าใส่แล้วชอบ
ผมหอมมมแบบน่าจับขึ้นมาดม กลิ่นติดผมกลางๆไม่ฉุน



และนี่คือผลลัพธ์ระหว่างผมสองด้านคือเอาจริงๆก็แทบไม่ต่าง
แค่รู้สึกว่าฝั่ง
Rich Moisture ผมจะดูตรงทิ้งตัวมากกว่านี้ดดดดนึง

ในเรื่องสัมผัสตอนที่ใส่รู้สึกได้ว่าออยล์มีความข้นกว่าจริงๆ
ดังนั้นถ้าจะใส่ตอนผมแห้งแบบนี้ต้องใช้ปริมาณออยล์ไม่มากเกินไป
ไม่งั้นจะทำให้ผมดูมันๆคล้ายผมเปียกได้อ่านะ
ส่วนความลื่นพอกันใส่แล้วสังกะตังมีความคลี่คลาย
เอามือสางๆได้ทั้งคู่ไม่ต้องใช้แรงหวีกระชาก

ดังนั้นเอาว่าถ้าใครผมธรรมดาแห้งเล็กน้อยใช้สูตรเดิมสีชมพูก็ให้ฟิลเบาๆดี
แต่ถ้ารักในความเข้มข้นผมมีความแห้งเสียขั้นสูงก็จัดสูตร
Rich Moisture ไปโลด



ทีนี้มาดูวิธีการใช้กันดีกว่า ว่าเค้ามีเทคนิคการใช้

LÚCIDO-L ARGAN OIL
hair treatment oil rich moisture

อย่างไรบ้าง?



วิธีแรกอันนี้ลองเองแล้วเวิร์คเลยอยากบอกต่อ
คือวันไหนด่วนๆไม่มีเวลาหมักทรีทเมนต์ไว้นานๆ
แต่ต้องการให้ผมนุ่มลื่นขึ้นแบบเร่งด่วน
ลองเอาออยล์ผสมเข้ากันทรีทเมนต์ บำรุงผมสูตรเข้มข้นเลย

ผมเค้ายาวประมาณกลางหลังใส่ประมาณ 2 ปั๊มนวดๆเนื้อให้เข้ากัน
แล้วชโลมลงบนช่วงกลางถึงปลายผมให้ทั่ว
ย้ำเลยนะว่าห้ามลงโคนผม เดี๋ยวหนังศีรษะจะมันเลื่อมได้
นวดกระจายเนื้อทรีทเมนต์ให้ทั่วเส้นผม
พอนวดจนทั่วก็ล้างน้ำออกได้เลยไม่ต้องหมักไว้

แค่ล้างน้ำออกจะสัมผัสได้ทันทีเลยหล่ะ
ว่าผมเปียกก็สามารถสางได้ง่ายขึ้นมาก




วิธีใช้ต่อมาคือหลังสระผมเช็ดผมให้หมาดๆก่อน
ถ้าตอนหมักใช้ออยล์ไปเยอะแล้วขั้นนี้ให้ลดออยล์ลงหน่อย
เค้าใช้ประมาณปั๊มนิดๆ นวดๆลงให้ทั่วจากกลางถึงปลายผมเช่นกัน
แต่ให้เน้นลงที่ช่อผมด้านในก่อนค่อยๆลูบออกมาที่ช่อด้านนอก

แล้วใช้หวีค่อยๆสางผมออก การหวีจะช่วยให้ออยล์กระจายตัวได้ดีขึ้น
แต่แนะนำว่าควรใช้หวีซี่ห่างๆนะ อย่างที่เค้าใช้เป็นหวีสำหรับสางผมเปียกโดยเฉพาะ
มันจะไม่กินผม ทำให้หวีตอนผมเปียกแล้วผมไม่ขาด
และควรหวีแบบค่อยๆสางไปทีละช่อ ตรงไหนพันกัน
แนะนำให้เอามือสางเบาๆก่อนแล้วค่อยตามด้วยหวี

ซึ่งการหวีผมให้เรียบตรงไม่พันกันนอกจากออยล์จะกระจายตัวดีแล้ว
ยังช่วยให้ตอนเป่าผม ผมจะแห้งแบบเรียงเส้น ไม่พันกัน และไม่ชี้ฟูด้วย
ไม่เชื่อลอง เป่าไปมั่วๆตอนที่ผมพันๆกัน กับเป่าแบบหวีให้เรียบแล้วมันต่างมากนะเออ

และเทคนิคในการเป่าผม คือถือไดร์ในทิศทางเดียว
ด้วยการยกไดร์ให้หัวทิ่มลงมาทางปลายผม ไม่เป่าแบบสะบัดหัวไดร์ไปมา
การถือท่านี้จะทำให้ลมร้อนพัดผ่านในทิศทางเดียวกับเกล็ดผม
เกล็ดผมจะไม่กระเจิดกระเจิงทำให้ผมหลังเป่าเรียบลื่นกว่ากันจริงๆ
ซึ่งออยล์ที่ใส่ไปจะช่วยปกป้องเส้นผมจากการจัดแต่งทรงจากความร้อนด้วย



ผลลัพธ์หลังการเป่าแห้ง....สาบายว่ามิได้ไดร์เป่าแบบที่บอกไปแค่นั้น
ผมตรงเงาลื่นเรียงเส้นเว่อร์ แต่ต้องบอกก่อนนะว่าผมเค้าตรงธรรมชาติ
และรอยหยักที่ผมบีฟอร์คือรอยจากการมัดผมไม่ใช่เป็นผมหยักโศกแต่อย่างใด
ตัวออยล์ช่วยให้ผมนุ่มลื่นขึ้น ไม่ได้ช่วยให้ผมตรง
แต่จะช่วยลดเรื่องการชี้ฟูจากอาการผมแห้งเสียฮะ



และวิธีใช้แบบสุดท้ายคือหลังจัดทรงจนพอใจแล้ว
กดออยล์ออกมาอีกนิดนึง ย้ำว่านี้ดดดดนึงพอนะ
วอร์มกระจายเนื้อออยล์ให้ทั่วสองฝ่ามือ
แล้วลูบลงผมผมด้านนอกจะช่วยให้ผมดูวิ้งวับเป็นประกายมากขึ้น

แต่เอาจริงๆในขั้นตอนนี้ส่วนตัวเค้าชอบใช้สูตรสีชมพูมากกว่า
เพราะเนื้อจะเบากว่าทำให้หลังจัดแต่งทรงผมจะไม่ค่อยคลายตัว
แต่ถ้าให้ผมแห้งเว่อร์จะใช้สูตร
Rich Moisture ในขั้นนี้ก็ได้เช่นกัน



สรุปสำหรับสูตร
Rich Moisture เนื้อเข้มข้นขึ้นกว่าเดิม
เหมาะกับคนที่มีผมแห้งเสีย หรือมีความชี้ฟูของผมค่อนข้างมาก
เนื้อออยล์ที่ข้นขึ้นจะช่วยเคลือบให้ผมดูเรียบมากกว่า
เนื้อสัมผัสก็จะหนักกว่าสูตรสีชมพูเล็กน้อย แต่ไม่ได้ทำให้เหนอะหนะ

สำหรับผมเค้าที่ค่อนข้างตรงมากจะเหมาะกับใช้ตอนผมเปียก
ใส่ก่อนเป่าผม พอเป่าแห้งผมจะลื่นกำลังดีเลยไม่ต้องลงออยล์อีกรอบ
แต่ถ้าจะใส่ลงบนผมแห้งเค้าชอบใช้เป็นสูตรสีชมพูมากกว่า
อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพเส้นผมแต่ละคนอ่าเนอะ

แต่เรื่องผลลัพธ์ว่าใช้แล้วผมหายแห้งเสียไหม
หลังใช้คือให้สัมผัสดีขึ้นทันที แต่มันไม่ได้หายแห้งเสียได้ขนาดนั้นนะ
ยิ่งใครคาดหวังเรื่องผมที่แห้งแบบแตกปลาย
เข้าใจนิดนึงว่าออยล์ไม่ใช่กาวมันประสานผมที่แยกไปแล้วไม่ได้
ก็เล็มๆทิ้งไปบ้างแล้วบำรุงไปให้สม่ำเสมอ

คือถ้าเรายังทำสี ทำเคมี ดัด ยืด ย้อม มีการไดร์การม้วนผมด้วยความร้อน
มันก็จะดีขึ้นได้แค่ประมาณนึงหล่ะ ถ้าอยากให้ผมดีขึ้นจริงๆ
นอกจากการเลือกใช้แฮร์แคร์ที่ดีแล้ว
ก็ควรลดปัจจัยที่ทำให้ผมแห้งเสียไปด้วย เข้าใจตรงกันนะจ๊ะ

อย่างเค้ายังรักที่จะทำสี ยังต้องใช้ความร้อนก็ดูแลปกป้องกันไป
แค่ผมไม่แห้ง ไม่ดูพังไปกว่าเดิม สางได้สุดปลายผมก็ดีใจละ Smiley
Smiley

-----------------------------------------------------------------------------

Disclaimer : Sponsored Content by
LÚCIDO-L
***All opinions are my own
Information : https://www.facebook.com/LUCIDO.L.Thailand/




 

Create Date : 26 มิถุนายน 2560    
Last Update : 5 กรกฎาคม 2560 16:52:25 น.
Counter : 12314 Pageviews.  

Review : วิตามินเซรั่มใส่ผมแบบเม็ดแคปซูล 4 สูตร LESASHA Hair Vitamin Serum Capsule








อนิจจา.....เกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก
เมคอัพได้ หุ่นดี คอสตูมเป๊ะยังไม่พอ....งานผมก็ต้องมาด้วย
จะปล่อยให้แห้งกรัง ชี้ฟู แตกปลาย จนสางไม่ได้ก็ไม่ไหวนะ

บล็อคนี้เลยมีตัวช่วยงานผมมาฝากกัน
กับ "วิตามินใส่ผมในรูปแบบเม็ด"
อยากรู้ว่าต่างจากตัวบำรุงผมอื่นๆอย่างไรบล็อคนี้ห้ามพลาด



LESASHA
Hair Vitamin Serum Capsule

----------------------------------------------
วิตามินบำรุงผมแบบไม่ต้องล้างออก
มาในรูปแบบของเม็ดแคปซูล
มีให้เลือก 4 สูตร แบ่งตามสภาพ
ปัญหาเส้นผมต่างๆ
โดยเน้นเข้าไปช่วยซ่อมแซมฟื้นฟูผมเสีย
ช่วยให้ผมที่งอกใหม่มีสุขภาพที่ดีขึ้น
และช่วยปกป้องเส้นผมจากการจัดแต่งทรงด้วยความร้อน

เค้ามีขายหลายขนาดมากราคาตามนี้เลย
8 แคปซูล 75 บาท

15 แคปซูล 135 บาท
20 แคปซูล 175 บาท (ขนาดในภาพ)
23 แคปซูล 200 บาท

หาซื้อได้แทบทุกห้างฯ ทั้ง Watsons , Boots , Tops ,
7-11 , Tesco Lotus
และตามโซนเครื่องใช้ไฟฟ้าในห้าง
จะวางอยู่ตรงแถวอุปกรณ์ทำผมจ้า



แต่ละสูตรจะแบ่งเป็นสีๆด้านในขวดจะเป็นเม็ดๆหยิบใช้สะดวกดี
เอาจริงๆเค้าเคยใช้แฮร์เซรั่มของเลอซาช่าอันนี้มานานแล้วแหละ
ตั้งแต่ยังเป็นแพคเกจเก่าจนตอนนี้ออกมาเป็นลายใหม่ละดูสดใสขึ้น

ถ้าเทียบในกลุ่มวิตามินบำรุงผมที่มาในรูปแบบเม็ด
นี่ก็ถือว่าเลอซาช่าตีตลาดมาเป็นเจ้าแรกๆนะ (เริ่มตั้งแต่ปี 2008)
ที่สามารถหาซื้อได้ง่ายตามห้าง ไม่ต้องเสียเวลาไปสืบเสาะแสวงหา
ตามร้านขายอุปกรณ์ทำผมใหญ่ๆ จำได้ว่าเค้าเริ่มใช้ตอนสมัยเรียนมหาลัยแหละ
วรั๊ยยยยนับย้อนไปก็ตอนเลอซาช่าทำออกมาปีแรกๆเลยอ้ะ 555

พอๆเลิกย้อนวัยมาดูกันดีกว่าว่าแต่ละสูตรเหมาะกับสภาพผมแบบใดบ้าง Smiley



สูตรโยเกิร์ต YOGURT

เหมาะสำหรับ : สำหรับผมเสีย,ชี้ฟู,ขาดน้ำหนัก
ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้เส้นผมโดยไม่ทำให้ผมชี้ฟู



สูตรชาเขียวและมิ้นท์
GREENTEA & MINT

เหมาะสำหรับ
: สำหรับผมแห้งเสียแตกปลาย
มีโปรวิตามินบี 5 ช่วยเคลือบเส้นผมรักษาความชุ่มชื่นให้ผมมีน้ำหนัก
และมีสารสกัดจากมิ้นท์ที่ช่วยลดการอักเสบของหนังศีรษะ



สูตรน้ำมันมะกอก OLIVE OIL

เหมาะสำหรับ
: สำหรับผมเสียที่จากอุปกรณ์จัดแต่งทรงผม และแสงแดด (รังสีUV)
มีวิตามินอีจากน้ำมันมะกอกเข้มข้นที่ช่วยซ่อมแซมเส้นผมให้แข็งแรง
ลดปัญหาผมแห้ง และช่วยกระตุ้นการทำงานของรากผมให้เลือดไหลเวียน



สูตรสาหร่ายทะเล SEAWEED

เหมาะสำหรับ
: สำหรับผมเสียจากสารเคมี  ดัด,ยืด,ย้อม,ทำสี
สารสกัดจากสาหร่ายทะเลช่วยเคลือบสารโปรตีนบนเส้นผมให้ผมแข็งแรง



ตามรายละเอียดส่วนผสมข้างขวดของทั้งสี่สูตร
จะเห็นว่าส่วนผสมหลักเหมือนกันเป๊ะ

คือ Cyclotetrasiloxane และ Cyclopentasiloxane
เป็นซิลิโคนออยล์หรือซิลิโคนฟลูอิดชนิดระเหยได้
เป็นตัวทำละลายที่ดี เนื้อบางเบาไม่เหนอะหนะ ให้สัมผัสผมที่นุ่มลื่น

Dimethiconol , Dimethicone
เป็นซิลิโคนออยล์ชนิดไม่ระเหย (มีหลายความข้นหนืด)
ให้สัมผัสนุ่มลื่นเช่นเดียวกันด้วยการเข้าไปเคลือบเส้นผม

Isopropyl Myristate
เป็นสารทำละลาย ช่วยเคลือบเพื่อรักษาความชุ่มชื่น

ส่วนผสมด้านบนทั้งหมดคือตัวทำละลาย
ที่ให้เท็กซ์เจอร์ผมที่นุ่มลื่นเวลาใช้ ส่วนวิตามินหลักที่ช่วยบำรุงผมคือ

Vitamin E : Tocopheryl Acetate
ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของเส้นผมและกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต

Vitamin A : Retinyl Acetate
ช่วยสร้างและซ่อมแซมโครงสร้างเส้นผม ช่วยให้ผมแข็งแรงขึ้น

แต่ส่วนผสมที่แจ้งมาข้างขวดแจ้งมาไม่ครบนะฮะ
ส่วนผสมของแต่ละสูตรยังใช้เป็นชื่อทั่วไปอยู่เลยไม่ใช่ชื่อทางเคมี
และทุกสูตรเท่าที่ลองมีกลิ่นหอมน่าจะมีน้ำหอมผสมอยู่แต่ก็ไม่มีแจ้งไว้ให้ทราบ
ก็ดูได้คร่าวๆแค่ประมาณนี้เนอะ



ลักษณะเนื้อและกลิ่น


แต่ละสูตรบีบออกมาหน้าตาเหมือนกัน
เป็นออยล์ใสๆ มีความข้นหนืดปานกลาง
คือไม่ได้เหลวมากแต่ก็ไม่ถึงกับข้นเหนียว
ความข้นของแต่ละสูตรก็พอๆกัน
แต่ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองไหมเหมือน สูตรน้ำมันมะกอก จะข้นกว่าเล็กน้อย
หลังใส่ลงบนผมแล้วบนมือจะเหลือความลื่นเคลือบผิวฝ่ามืออยู่
ต้องใช้สบู่ช่วยล้าง ล้างน้ำเปล่าเฉยๆเอาไม่ออกฮะ

ในเรื่องของกลิ่นมีความต่างสุดคือ สูตรโยเกิร์ต
กลิ่นหอมแบบหวานๆเปรี้ยวๆคล้ายขนมพวกเยลลี่ผลไม้
กลิ่นชัดสุดในบรรดา 4 สูตร หลังใช้กลิ่นค่อนข้างติดผม
ส่วนอีก 3 สูตรเค้าว่ากลิ่นคล้ายกันเป็นแนวเฟรชๆหอมติดผมแค่เบาๆ



การเก็บรักษาควรเก็บไว้ในที่แห้งและเย็น
อันนี้ขอเน้นตรงความแห้ง เพราะเค้าเผลอทำเม็ดแคปซูลโดนน้ำ
จากปกติจะเป็นแคปซูลใสๆ พอโดนน้ำไปนิดเดียวขุ่นเลยจ้า
ขุ่นไม่เท่าไหร่ประเด็นคือตัวแคปซูลจะนิ่มลง จับแล้วจะเหนียวๆเหนอะๆ
ดังนั้นเก็บระวังกันหน่อย ซึ่งในขวดที่ใส่มาจะมีซองกันชื้นให้อยู่แล้ว



เวลาใช้ให้บิดที่ขั้วที่เป็นติ่งยื่นออกมา
ถ้าเก็บไว้ในที่เย็นตัวแคปซูลจะแข็ง ทำให้บิดขั้วออกง่ายมากกก
แต่ถ้าเก็บไว้ในที่อากาศร้อนบิดหมุนวนไปสามสี่รอบได้เลยกว่าจะขาดจากกัน



>>> วิธีการใช้ <<<

สามารถใช้ได้สองแบบ วิธีแรกคือ"ใช้หมักผม"
ด้วยการผสมวิตามินเซรั่ม 1 เม็ด ลงไปกับครีมนวดหรือทรีทเมนต์
แล้วใช้หมักผมหลังสระ ความต่างที่ชัดเจนเลยคือช่วยให้ครีมนวดลื่นปรื้ด
เกลี่ยกระจายบนผมได้ง่ายขึ้น สางผมง่ายเชียวมีความเรียบลื่นเรียงเส้นตั้งแต่ผมยังเปียกๆ

แต่ด้วยความที่ส่วนผสมหลักเป็นกลุ่มซิลิโคนจึงแนะนำให้ใส่แค่กลางๆถึงปลายๆผมนะ
อย่านวดโชลมไปถึงโคนผม เพราะจะไปอุดตันรากผมทำให้ผมมันง่ายเป็นสาเหตุของผมร่วงได้

ระยะเวลาในการหมักจะมากน้อยก็ตามสะดวก
เค้าขี้เกียจส่วนใหญ่นวดๆให้ทั่วแล้วทิ้งไว้ไม่เกิน 5-10 นาทีก็ล้างออก
แต่ถ้าใครขยันอยากบำรุงแบบแอดวานซ์ขึ้นก็ใช้คู่กับการอบไอน้ ไปเลย

ไม่มีเครื่องอบก็ทำแบบบ้านๆด้วยการใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นคลุมผมทิ้งไว้
หรือง่ายกว่านั้นก็คือใส่ครีมนวดเสร็จแล้วครอบด้วยหมวกคลุมผมพลาสติก
การครอบหมวกจะช่วยให้อุณหภูมิด้านในสูงขึ้น ช่วยเปิดเกล็ดผมให้ครีมนวดซึมได้ดีขึ้น

ซึ่งการใช้แบบเอามาผสมครีมนวดหรือทรีทเมนต์สำหรับเค้าคือเวิร์คมากกกกก
ทำแบบนี้ติดต่อกันซัก 3-4 ครั้ง ปลายผมแห้งๆสากๆนี่ลื่นขึ้นระดับมือสางแล้วฟินอ้ะ




วิธีที่สองคือ"ใช้บำรุงหลังสระโดยไม่ต้องล้างออก"
ก็ใส่เหมือนเซรั่มบำรุงผมทั่วไป จะใช้ตอนผมเปียกหรือผมแห้งก็ได้
ปริมาณการใช้ก็กะเอาตามความยาว ความหนา และความแห้งเสียของเส้นผม

ส่วนตัวเค้าชอบ แบ่งใส่ตอนผมหมาดๆ 1/2 เม็ดก่อน
ใส่ตอนผมหมาดวิตามินเซรั่มจะซึมไวเว่อร์นวดแป๊บเดียวหายหมด
แล้วหลังเป่าผมแห้งแล้วเค้าจะบีบออกมาอีกนิดหน่อยแค่แบบ 1-2 หยดเล็กๆ
แล้วนวดๆลงไปเฉพาะปลายผมที่แห้งกว่าจุดอื่น
เพราะเนื้อเซรั่มไม่ได้เหลวมากอย่างเค้าที่ผมมันง่ายและผมค่อนข้างตรง
ถ้าใส่เยอะตอนที่เป่าผมแห้งแล้วจะทำให้ผมดูจับตัวเป็นก้อน
และดูมันๆคล้ายผมเปียกในสไตล์ wet look ได้ Smiley

เอาว่าถ้าใช้แบบหลังสระเค้าใช้ 1 เม็ดจะเหลือเศษอีกประมาณ 1/4
ก็จะเก็บไว้ในที่แห้งแล้วเอาไว้ใส่คราวหน้า
เคยลองใช้แบบหมดเม็ดแล้วไม่รอดเยอะไปหน่อยผมดูมันเกิน
และถ้าจะม้วนผมแนะนำให้ลดปริมาณลงอีกนิด
ถ้าผมนุ่มลื่นมากไปม้วนแล้วลอนคลายไวนะจ๊ะ



ความรู้สึกหลังทดลองใช้

เค้าใช้สูตรสาหร่ายทะเลเป็นหลักผลก็ตามภาพเลยดูเรียงเส้นขึ้นแบบชัดเจน
สางแล้วลื่นขึ้นแน่นอนเพราะคุณสมบัติเน้นเคลือบผมอ่าเนอะ
หวีง่ายปลายที่แห้งๆไม่ค่อยพันกัน ไม่เสียเวลาสางผม
ปลายผมที่กำลังจะแตกปลายที่เห็นเป็นจุดขาวๆ
พอใส่วิตามินเซรั่มไปจุดขาวๆดูลดลงชัดอยู่ แล้วทำให้ผมดูขึ้นเงามากขึ้นด้วย
แหม่ใช้ปุ๊บผมและดูสุขภาพดีขึ้นมาเชียว 555



แต่ในเรื่องความแห้งส่วนปลายที่เสียมากมากจากการฟอกสีทำสี
อันนี้ก็บอกตามจริงว่าช่วยให้ดีขึ้นหลังใช้ทันที แต่ถ้าไม่ใช้มันก็ยังแห้งอยู่หล่ะ
เพราะเซลล์ผมเป็นเซลล์ตายจุดไหนที่พังพาบไปแล้วมันขุดกลับมาให้สวยเหมือนเดิมไม่ได้

ดังนั้นปลายผมเราก็ควรจะเล็มทิ้งเรื่อยๆอ่าเนาะ อย่าเสียดายเดี๋ยวก็งอก
คือถ้าเล็มเรื่อยๆแล้วบำรุงประจำปลายผมที่แห้งๆสากๆมันจะค่อยๆนุ่มขึ้นเอง
แต่มีข้อแม้อีกนิดว่าชีวิตก็ควรพักการทำเคมีบ้างนะถ้าอยากจะฟื้นฟูผม
ถ้าบำรุงไปทำเคมีไปผมมันไม่ดีขึ้นได้เท่าไหร่หรอกเต็มที่ก็คือดูไม่แย่ไปกว่าเดิม



สรุปจากความเห็นส่วนตัวเค้าชอบตรงที่ใส่ปุ๊บเห็นผลปั๊ป
ในเรื่องของช่วยให้ผมลื่น สางง่าย ขึ้นเงา
แต่ในเรื่องการบำรุงระยะยาวมันต้องใช้หลายสิ่งประกอบกัน
ไม่ว่าจะเป็นแชมพู ครีมนวด รวมไปถึงพฤติกรรมต่างๆ
เช่น การใช้ความร้อนในการจัดแต่งทรง การทำเคมี ฯลฯ
ซึ่งยังไงก็ตามบำรุงไว้ก็ดีกว่าไม่บำรุงอยู่แล้ว

ที่ชอบสุดคือความสะดวกในการพกพาเวลาเดินทาง
พกไปเป็นเม็ดๆไม่เปลืองพื้นที่กระเป๋าดี ใช้ให้หมดเป็นครั้งๆไป
และสามารถสลับใช้หลายสูตรได้ด้วยถ้าผมมีปัญหาหลายอย่าง555

อย่างเค้าจะชอบใช้สูตรกรีนทีและมิ้นท์สำหรับผมแห้งเสียในการหมักผมร่วมกับครีมนวด
แล้วใช้สูตรสาหร่ายทะเลสำหรับผมทำเคมีหลังการสระผม
ส่วนวันไหนจะม้วนผมก็ใช้สูตรน้ำมันมะกอกที่ช่วยเรื่องผมแห้งเสียจากความร้อน
ลงก่อนแล้วค่อยม้วนผม ซึ่งเวลาม้วนจะมีควันขึ้นนิดหน่อยอันนี้เป็นเรื่องปกตินะไม่ต้องตกใจ

เอาว่าสะดวกใช้ง่าย ราคาไม่แรงเกิน เห็นผลลัพธ์ได้ค่อนข้างชัดเจนดี ช่วยให้ผมหอม
แต่ควรระวังเรื่องปริมาณการใช้นิดนึง ใส่มากแล้วผมดูมันๆเปียกๆแค่นั้นแล Smiley

-----------------------------------------------------------------------------

Disclaimer : Sponsored Content by LESASHA
***All opinions are my own
Information : //www.lesasha.com/
https://www.facebook.com/MyLesasha




 

Create Date : 25 พฤษภาคม 2560    
Last Update : 5 มิถุนายน 2560 11:23:36 น.
Counter : 28751 Pageviews.  

Review : Moist Diane Extra Damage Repair สูตรฟื้นฟูผมแห้งเสียเป็นพิเศษ ให้ผมนุ่มลื่นขั้นเทพ!






ฮัลโหลววว...กลับมาพบกับหมวดงานผมกันอีกแล้วSmiley
ยังคงอินอยู่กับแฮร์แคร์จากญี่ปุ่นที่ตอนนี้เข้ามาตีตลาดบ้านเราเยอะมากกก
โดยแบรนด์ที่จะมารีวิวให้ชมกันคือ Moist Diane : มอยส์ ไดแอน

ขอเม้านิดนึงว่าเค้าเคยใช้แบรนด์นี้ตอนไปพักบ้านเพื่อนที่ญี่ปุ่น
แอบจิ๊กของเพื่อนใช้ในห้องน้ำ...บ้าเหรอเค้าขออนุญาตแล้วนะ
เพื่อนบอกว่าทรีทเมนต์ยี่ห้อนี้คือที่สุด ใช้แล้วผมนุ่มลื่นมากไม่ลีบแบนด้วย
พอได้ลอง(ของเพื่อน)แล้วถึงกับเฮ้ยยยมันนุ่มลื่นจริงๆ
แต่
ชั่งใจไม่ซื้อกลับมาเพราะมีแต่ขวดใหญ่ 500ml นี่หล่ะ หนักเกินจะขน

จนกลับมาไทยทางแบรนด์ก็ติดต่อมานี่ถึงกับกรี้ด
เค้าบอกว่าบ้านเราก็มีขาย
ที่ Watsons, Tsuruha และ Matsukiyo
ซึ่งอยากจะส่งมาให้ทดลอง
เปิดกล่องพัสดุมาน้ำตาจิไหลส่งมาให้ลองทุกสูตรเลย



ที่มีจำหน่ายบ้านเราตอนนี้จะแบ่งเป็น 3 สูตร
มีทั้งแชมพู ทรีทเมนต์ และแฮร์มาส์ก

Volume & Scalp (สีแดง) สูตรสำหรับผมเส้นเล็ก ลีบแบน
และมีปัญหาหนังศีรษะ ช่วยให้ผมดูมีวอลลุ่ม สปริงตัวสวย

Moist & Shine (สีเหลือง) สูตรสำหรับผมแห้ง ชี้ฟู ให้ผมเงางาม จัดทรงง่าย

Extra Damage Repair (สีน้ำตาล) สูตรสำหรับผมแห้งเสียรุนแรง
ผมทำสี และผมที่ผ่านการทำเคมี ให้ผมนุ่มสวย

แชมพู ขนาด 500 ml ราคา 379 บาท
ทรีทเมนต์
ขนาด 500 ml ราคา 379 บาท
แฮร์มาส์ก ขนาด 200 g ราคา 399 บาท



โดยจุดขายเค้าคือมีส่วนผสมของออยล์หลายชนิดเป็นส่วนผสมหลัก
ตัวเด่นๆเลยที่เราคุ้นกันดีคือ Moroccan Argan Oil
น้ำมันที่ได้จากผลอาร์แกนที่ปลูกในโมรอคโค

และอีกตัวนึงคือ Baobab Oil สกัดได้จากต้นเบาบับที่มีถิ่นกำเนิดจากแอฟริกา
เป็นต้นไม้มหัศจรรย์ที่มีขนาดใหญ่และอายุยืนที่สุดในโลก

ออยล์ทั้งสองชนิดมีได้ชื่อว่ามีคุณสมบัติในการช่วยบำรุงผมรวมทั้งบำรุงผิวด้วย
ดั้งนั้นจึงสามารถพบได้ทั้งในแฮร์แคร์และสกินแคร์

โดยแชมพูของมอยส์ไดแอนจะเป็น Premium Oil Shampoo
ที่เป็น Silicone Free = ไม่มีส่วนผสมของซิลิโคน
ความต่างจากแชมพูทั่วไปก็คือส่วนผสมของออยล์จะเข้าไปดึงสิ่งสกปรก
และคราบมันได้อย่างล้ำลึก โดยยังคงความชุ่มชื่นให้
เส้นผมและหนังศีรษะ
เทียบง่ายๆหลักการก็เหมือนกับการใช้คลีนซิ่งออยล์ล้างเมคอัพนั่นแล

ส่วนการที่ไม่มีซิลิโคนก็จะลดการเกิดการอุดตัน
เพราะซิลิโคนใส่มาเพื่อเคลือบเส้นผมให้นุ่มลื่นทันทีหลังใช้
แต่เป็นการเคลือบแค่ภายนอกซึ่งจะล้างออกได้ยาก
จึงทำให้เกิดการอุดตันเส้นผมและหนังศีรษะได้
เป็นสาเหตุของของอาการผมร่วง หนังศีรษะมันและคัน
รวมถึงการเกิดสิวอุดตันที่กรอบหน้าด้วย



สูตรที่เค้าใช้คือสูตรสีน้ำตาล

Moist Diane Extra Damage Repair
ฟื้นฟูและบำรุงผมแห้งเสีย


คุณสมบัติตามคำเคลมคือช่วยเข้าไปปิดเกล็ดผมเส้นต่อเส้น
ลดปัญหาผมแห้ง ขาดง่าย แตกปลาย ให้กลับมาแข็งแรง
และมีส่วนผสมที่ช่วยเติมและกักเก็บความชุ่มชื่นให้เส้นผม
ด้วย Grape Seed Oil , Hyaluronic Acid 3 ชนิด และ Cactus Oil

ซึ่งไลน์นี้จะพิเศษตรงมี Hair Mask ด้วย
เป็นตัวบำรุงแบบเข้มข้นที่ทางแบรนด์แนะนำให้ใช้สัปดาห์ละ 1 ครั้ง
โดยสามารถควบคู่กับแชมพูทรีทเมนต์สูตรอื่นได้



รายละเอียดส่วนผสม



สำหรับแชมพูและทรีทเมนต์มีให้เลือกขนาดเดียว
ขวดหัวปั๊มไซส์พี่บิ๊ก 500ml ราคา 379 บาท

[ มีขายที่ Watsons, Tsuruha และ Matsukiyo ฮะ ]



Moist Diane Extra Damage Repair Shampoo

ลักษณะเนื้อและกลิ่น : แชมพูสีเหลืองอำพันมีความข้นคล้ายน้ำผึ้ง
กลิ่นหอมสไตล์ฟลอรัล กลิ่นค่อนข้างชัด สระทีห้องน้ำหอมฟุ้งเลย
ขยี้ขึ้นฟองได้ง่าย ให้ฟองฟู แน่น และละเอียด
ทำความสะอาดคราบมันบนหนังศีรษะได้ดีวัดจากเค้าที่โคนผมมันง่ายนะ
แต่ต้องใช้เวลาในการล้างฟองออกสักนิดนึง โดยเฉพาะผมยาวแบบเค้า

หลังสระรู้สึกสะอาดดีแต่ผมจะฝืดๆนิดนึง
ไม่ได้นุ่มลื่นทันตาเหมือนแชมพูแบบมีซิลิโคนอ่านะ
ดังนั้นทางแบรนด์จึงแนะนำให้ใช้คู่กับทรีทเมนต์จ้า



Moist Diane Extra Damage Repair Hair Mask

ขนาด 200 g ราคา 399 บาท

บล็อคนี้จะบำรุงแบบขั้นสุดกันดังนั้นหลังสระผมเค้าจะตามด้วยแฮร์มาส์ก
ที่เน้นการเข้าไปช่วยปิดเกล็ดผม ซึ่งเค้าบอกว่าเข้มข้นกว่าทรีทเมนต์ถึง 4 เท่า
ด้วยส่วนผสมของสารสกัดจากเซลล์ต้นกำเนิดของแอปเปิ้ล
กุหลาบบนเทือกเขาแอลป์ และโปรตีนจากน้ำผึ้ง



ลักษณะเนื้อและกลิ่น : แฮร์มาส์กสีเหลืองเนื้อข้นมากกก
เอาว่าบีบแล้วเกาะติดมือเป็นก้อน ไม่ไหล ไม่ร่วง ไม่หล่น
ด้วยความที่เนื้อข้นเลยจะใช้เวลาในการนวดๆลงบนผมนิดนึง
แฮร์มาส์กจะค่อยๆกระจายตัวและซึมเข้าไปในผม
กลิ่นหอมนวลๆ ให้กลิ่นชัดยิ่งกว่าตัวแชมพู
แอบคิดไปเองเปล่าไม่รู้กลิ่นคล้ายน้ำผึ้งมีความน่าหม่ำ555

เทคนิคการใช้
: หลังสระผมแนะนำให้ใช้ผ้าเช็ดผมจนหมาดก่อน
ค่อยลงแฮร์มาส์กจะช่วยให้ผมได้รับการบำรุงได้เต็มที่กว่าลงตอนผมเปียกๆ

หลังสระผมจะฝืดนิดหน่อยอย่างเพิ่งใจร้อนสางผม ผมเปียกจะขาดง่าย
ให้ใส่แฮร์มาส์กลงไปก่อน ค่อยๆนวดลงบนผมให้ทั่วบริเวณกลางถึงปลายผม
ผมจะลื่นและสางออกได้จนสุดปลายผมเลย

แชมพูไม่มีซิลิโคนก็จริงแต่ในทรีทเมนต์และแฮร์มาส์กก็ยังมี
ดังนั้นในขั้นตอนการบำรุงจึงแนะนำว่าไม่ควรลงที่โคนผมนะฮะ
ซิลิโคนจะได้ไม่ไปรบกวนหนังศีรษะให้เกิดการอุดตันค่ะ



ใครผมแห้งเสียมากหรือว่าพอมีเวลาอยากได้รับการบำรุงจัดเต็ม
สามารถใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นมาโพกทับหลังทำการมาส์กได้
ความอุ่นจะช่วยให้มาส์กซึมเข้าไปบำรุงผมได้ดีขึ้น
คล้ายๆกับเวลาเราไปอบไอน้ำตามร้านทำผมอ่านะ
แนะนำให้ทำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง มาส์กทิ้งไว้นานประมาณ 5-7 นาที



แต่ใครขี้เกียจซักผ้าขนหนูแบบเค้ามีอีกเทคนิคมาฝาก
เป็นเคล็ดลับที่ได้มาจากร้านผมเช่นกัน
คือการใช้ Wrap ห่ออาหารมาพันไว้ ก็จะช่วยเพิ่มอุณหภูมิได้เช่นกัน
อาจจะไม่อุ่นเท่าผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นแต่ไม่ต้องซักผ้าไง555

ซึ่งคนผมมันง่ายมากอย่างเค้าแนะนำให้ระวัง
อย่าให้ปลายผมที่ใส่ทรีมเมนต์หรือแฮร์มาส์กไปโดนโคนผม
โดยเฉพาะตรงด้านบนกลางหัวและรอบๆกรอบหน้าเพราะเป็นจุดที่มันง่ายเวอร์
ดังนั้นเวลาใส่มาส์กแล้วเค้าจะมวยผมไว้แค่ที่ท้ายทอยไม่ขมวดขึ้นไปโปะด้านบน
ส่วนใหญ่ถ้ามาส์กแบบนี้เค้าจะทิ้งไว้ซัก 10-15 นาที



หลังจากลองใช้มาหลายรอบ
ส่วนตัวเค้าใช้แล้วรู้สึกว่าแฮร์มาส์กช่วยให้ผมแข็งแรงขึ้น
คือไม่ค่อยขาดง่าย แต่ว่าไม่ค่อยนุ่มลื่นเท่าไหร่ ผมจะดูทื่อๆตรงๆ
หลังมาส์กเสร็จเค้าเลยชอบลงทับด้วย

Moist Diane Extra Damage Repair Treatment
นวดทับลงไปอีกรอบแล้วค่อยล้างน้ำออก
แค่นวดลงไปจะสัมผัสได้เลยว่ามันลื่นปรื้ดขึ้นจริงๆ

ลักษณะเนื้อและกลิ่น : ทรีทเมนส์สีเหลืองอำพันเหมือนกัน
แต่ปาดเนื้อเทียบกะแฮร์มาส์กเห็นชัดเลยในความข้นของเนื้อที่แตกต่าง
ทรีทเมนต์จะเนื้อลื่นกว่านวดซึมผมง่ายกว่า ใส่ปุ๊บลื่นปั๊บ ฟิลดีมากอ้ะชอบ
ตัวนี้แหละที่ไปจิ๊กของเพื่อนใช้ตอนไปญี่ปุ่น
กลิ่นก็โทนเดียวกันแต่เค้าว่าแฮร์มาส์กกลิ่นแอบบหอมกว่า



เทคนิคการดูแลเส้นผมเพิ่มเติม

---> หลังการสระผมควรใช้ผ้าขนหนูซับน้ำเบาๆ
ไม่ขยี้ผ้าถูไปมาบนผมเปียกเพราะผมจะขาดได้ง่าย

---> เมื่อผมเริ่มหมาดจึงค่อยสางผมด้วยหวี
แต่ควรเป็นหวีซี่ใหญ่ๆที่ใช้สำหรับสางผมเปียกโดยเฉพาะ
หวีจะได้ไม่กินผมและไม่ทำให้ผมขาด ค่อยๆสางไปทีละช่อ
โดยเริ่มสางที่ปลายผมก่อนแล้วค่อยๆไล่ขึ้นไปที่กลางและที่โคน
ผมที่ใส่มาส์กหรือทรีทเมนต์จะสางออกได้ไม่ยาก

---> การเป่าแห้งถ้าใช้ไดร์ใหญ่กำลังวัตต์สูง
จากประสบการณ์ผมจะแห้งไวและเรียงเส้นสวยกว่า
โดยควรถือไดร์คว่ำลงให้แรงลมเป่าลงในทิศทางตามเกล็ดผม
ผมจะเรียบและทิ้งตัวไม่ชี้ฟูเหมือนการเป่าไปมั่วๆแค่ให้ทั่ว




BEFORE & AFTER

บอกก่อนว่าผมบีฟอร์เค้าคือผมที่ผ่านการทำสีแบบเต็มสตรีม
ทั้งฟองสีย้อมสีมาหลายสิบครั้งนับไม่ถ้วน
ในภาพคือมีการม้วนปลายผมเบาๆ
และผ่านการมัดผมต่อเนื่องมาสองวันผมจึงเป็นรอย

ส่วนอาฟเตอร์คือสระผมด้วยแชมพูตามด้วยแฮร์มาส์กและทรีทเมนต์
แล้วทำการเป่าแห้งด้วยไดร์ โดยไม่ได้ใช้หวีแปรงในการไดร์ผมให้ตรงแต่อย่างใด
ซึ่งผมเค้าเป็นผมตรงธรรมชาติอยู่แล้วไม่ได้ผ่านการยืดผมฮะ

ถ้ามองด้วยตาเปล่าความต่างที่เห็นได้ชัดเลย
คือเรื่องความทิ้งตัวและการเรียงเส้น
ผมดูตร๊ง ตรง และช่วงโคนถึงกลางๆผมขึ้นเงาแบบวิ้งวับเลย
แต่ส่วนปลายที่แห้งเสียมากจากการทำสีอันนี้ก็เข้าใจ
ไม่มีทางกลับมาเท่าผมเดิมอยู่แล้ว ต้องค่อยๆเล็มทิ้งกันไปอ่านะ

แต่ที่เค้าชอบและสัมผัสได้เองจริงๆก็คือเรื่องความนุ่มและลื่น
ลูบไปแล้วคือแบบเฮ้ยผมมันลื่นขึ้นจริงไม่ค่อยพันกันด้วย
ซึ่งข้อนี้ต้องไปลองกันเองเนอะ ถึงจะบอกได้ว่ารู้สึกเหมือนกันเปล่าSmiley



ซูมชัดๆอีกทีความขึ้นเงาและเรียงเส้นชัดเจนมากจริงๆ
แต่ก็เหมือนเดิมช่วงปลายผมที่ผ่านสมรภูมิมาโชกโชนก็ต้องเล็มทิ้งหล่ะ
ส่วนตัวเค้าให้ช่างเล็มออกเรื่อยๆทีละประมาณ 1-2 นิ้ว
แต่ช่วงนี้วุ่นๆเลยยังไม่ได้แวะไปเล็มปลายผมเลย
สภาพจึงเป็นอย่างที่เห็นอ่านะ แหะๆ



สรุปโดยรวมสำหรับ Moist Diane Extra Damage Repair
เซ็ตนี้เหมาะสุดสำหรับคนผมแห้งเสียที่ผ่านการทำเคมีมาเยอะๆแบบเค้า
ช่วยกู้สภาพผมที่มีความแห้งสากให้นุ่มลื่นขึ้นได้จริง รู้สึกทันทีตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้
แต่ส่วนปลายผมที่แห้งมากๆก็นุ่มขึ้นนิดหน่อยแต่ไม่ได้หายแห้งทั้งหมด
ดังนั้นถ้าอยากกู้ผมจริงๆก็ควรเล็มปลายผมทิ้งและพักการทำเคมีบ้างอะไรบ้าง

เทียบขนาดและราคาถือว่าโอเคเลยไม่ได้แพง ขวดนึงใช้ได้นานจนลืม
แต่ไม่สะดวกเลยสำหรับการพกพา ต้องกรอกแบ่งใส่ขวดเล็กอ่านะ



เทียบทั้งหมด 3 ชิ้นในไลน์นี้
เค้าขอยกให้
Moist Diane Extra Damage Repair Treatment
เป็นไอเท็มที่โดนใจเจ้ที่สุด!
ใช้ดีจริงไรจริง เป็นชิ้นที่ลองครั้งแรกแล้วหลงรักเลย Smiley

-----------------------------------------------------------------------------

Disclaimer : Sponsored Content by Moist Diane
***All opinions are my own




 

Create Date : 18 มีนาคม 2560    
Last Update : 24 มีนาคม 2560 2:00:27 น.
Counter : 29648 Pageviews.  

1  2  3  4  5  

SaRaY
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 535 คน [?]




..........ชื่อ "ทราย" นะค๊า นามแฝงที่ใช้ก็มี SaRaY และก็ Mhunoiii (หมูน้อย) ค่า สนใจการถ่ายภาพ กะการแต่งหน้า จากเป็นงานอดิเรกจะกลายเป็นงานประจำอยู่แล้ว 555 เลยอยากจะทำบลอคเพื่อแบ่งปันประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้มานะค๊า ได้มากบ้างน้อยบ้าง มั่วๆกันปายยยย อิอิ

สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์
พ.ศ. 2539 ห้ามผู้ใดละเมิดไม่ว่าการลอกเลียนแบบ
หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของรูปภาพและข้อความใน
http://www.mhunoiii.bloggang.com แห่งนี้ไปใช้
ทั้งโดยเผยแพร่ หรือเพื่อการอ้างอิงโดยไม่ได้รับอนุญาต
จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด

ปล.ห้ามมิให้นำภาพใดๆจากในบล็อคไปใช้เพื่อการขายของโดยเด็ดขาดนะคะ !!!

---------------------------------------------------------

hits
New Comments
Friends' blogs
[Add SaRaY's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.