NIKON D90 - มันมาแล้ว....

กล้อง D-SLR ตัวแรกของโลกที่มีฟังชั่น D-Movie

โอ้ว...พระเจ้าจอร์จ แค่คิดว่าถ่ายวีดีโอ โดยสามารถเปลี่ยนเลนส์ได้หลากหลายก็สุดยอดแล้ว ตอนนี้พวกนักเลงกล้องคงไม่มองด้วยสายตาแปลกๆแล้วซินะถ้าถามว่ากล้อง (DSLR) ตัวนี้ (ชี้ไปที่ D90) ถ่ายวีดีโอได้ไหมคะ

เพิ่งเปิดตัวในเวปไซด์นิคอนเมื่อวันก่อน มีให้สอยในเมืองสยามเมื่อไหร่ ค่าตัวคงแพงลิ่ว (สำหรับคนรายได้น้อยอย่างเรา) สำหรับคนมีสตางค์สอยกล้องดอยสามลี้ เจ็ดลี้ คงได้ของเล่นใหม่ๆกันในอีกไม่ช้า (เห็นว่านิคอนจะวางขายเก็บสตางค์คนรักนิคอนในอีกราว 2 เดือน)

ดังนั้นคนเบี้ยน้อยหอยน้อยบอกว่า...ฝากไว้ก่อนนะจ๊ะน้องดีเก้าศูนย์ รอให้ค่าตัวลดลงก่อน ตามวัฏจักรแห่งกล้องถ่ายรูป อีกสักสองสามปี เราค่อยกลับมามองกันอีกที ตอนนี้แฮปปี้สุดๆแล้วกับน้องดีหกศูนย์





ขอบคุณน้าๆห้องนิคอนพันทิบสำหรับรูปค่ะ ได้มาจากแถวๆนั้นแหละ ชาวนิโคเนียนกำลังฮือฮากันหย่าย




 

Create Date : 28 สิงหาคม 2551    
Last Update : 28 สิงหาคม 2551 10:32:55 น.
Counter : 732 Pageviews.  

All in the family ... Maradona and his new son-in-law

เมื่อคราวที่นู๋เจียพาป๋ะปิ้มารู้จักแฟนที่สเปน รูปนี้ไม่เกรงใจป๊ะป๋าเลยนะคู่รัก


Giannina ลูกสาวคนเล็กสุดที่รักของเฮียเตี้ยฉลองวันเกิดปีที่ 19 รูปนี้ครอบครัวพร้อมหน้า Dalma พี่สาว คุณพ่อ สามีใหม่เอี่ยมของนู๋เจีย และคุณแม่ Claudia


ลูกเขยคนใหม่ของมาราโดนา แล้วต้องเปลี่ยนชื่อเป็น Sergio "Kun" Maradona รึเปล่าเนี่ย


Diego & Claudia กับลูกสาวลูกเขยและเพื่อนๆ




 

Create Date : 22 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2551 16:17:27 น.
Counter : 709 Pageviews.  

THE MOTORCYCLE DIARIES .... เข้ากรุภาพยนตร์สุดโปรดอีกหนึ่งเรื่อง



หนังที่เสาะหา ประมูลมาได้ทางอีเบย์ ของใหม่แกะกล่อง กับเงินดอลลาร์ที่กำลังอ่อนอย่างแรง ส่งไปรษณีย์ชั้นหนึ่งมาจากเมกา ส่งถึงบ้านภายใน 1 อาทิตย์กว่า แพคอย่างดี ซองกันน้ำหนุนแผ่นบั๊บเบิล ใหม่จากโรงงานไม่ใช่ดีวีดีมือสอง ราคาเบ็ดเสร็จรวมค่าส่ง ไม่ถึง 10 ดอลลาร์

ที่จริงทรูก็นำมาฉายทางช่องทรูมูวี่แต่พากย์ไทย (ไม่ได้อรรถรสเลยแม้แต่น้อย ต่อให้พากย์เป็นภาษาอังกฤษก็เหอะ) สับไปฟังเสียงในฟิล์มก็เป็นภาษาสเปน ไม่มีซับอังกฤษ รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง สเปนไม่แตกฉาน เพราะชอบแอบหลับในห้อง ยิ่งยากขึ้น ยิ่งเบี้ยวครู ลองค้นทางอีเบย์ มีขาย ส่วนใหญ่ไม่มีบรรยายอังกฤษ แค่ไม่กี่เจ้าที่มีแผ่นมีบรรยายภาษาอังกฤษ เจ้านี้แพงกว่าคนอื่นเล็กน้อย (4.99 ดอล) แต่ของใหม่

หนังเรื่องนี้ยิ่งดูก็ยิ่งชอบ ฟังซาว์นแทรคแล้วได้อรรถรสกว่าเยอะ รอบแรกดูแบบมีบรรยายอังกฤษก่อน จากนั้นเอาออกเพื่อไม่ให้เกะกะตา เพราะหนังเรื่องนี้ cimematography สวยมั่กๆๆๆ รู้แล้วนี้ว่าพูดถึงอะไรกันมั่ง ใครไม่รู้มาเห็นเข้า คงนึกว่ายัยนี่เก่งสเปนน่าดู ตอนนี้ให้ดูรูปปกกล่องไปก่อน เดี๋ยวจะกลับมาเขียนถึงบันทึกมอร์เตอร์ไซค์ สร้างโดยอิงจากไดอารี่บันทึกการท่องแดนละตินในครั้งนั้นของ Ernesto Guevara หรือที่โลกจะรู้จักเขาในเวลาต่อมาว่า El Che นายแพทย์หนุ่มรูปหล่อ นักคิด นักเขียน นักปฏิวัติชาวอาร์เจนตินา วีรบุรุษของผู้ถูกกดขี่ Che ในเรื่องนี้ยังเป็นนศ.แพทย์วัยคะนอง ออกท่องดินแดนละตินอเมริกาใต้ก่อนเรียนจบปีสุดท้ายกับ Alberto Granado เพื่อนซี้นักไบโอเคมิสต์ที่เรียนจบแล้ว เดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์บุโรทั่งคู่ชีพ สองคนจากบัวโนส ไอเรสไปจบที่คาราคัส เวเนซูเอล่า ชนิดค่ำไหนนอนนั่น

ช่วงเวลาคือ 1952 สามปีก่อน Che Guevara จะได้พบและเข้าร่วมการปฏิวัติกับฟิเดล คาสโตรในคิวบา แต่ก่อนที่ Che จะเปลี่ยนแปลงโลก...โลกก็ได้เปลี่ยนแปลง Che


.............. กลับมาแร้นค่ะ ..................

เรื่องราว

ในปี 1952 หนุ่มนักศึกษาแพทย์และนักชีวะเคมีจากอาร์เจนตินา ออกเดินทางท่องแดนละตินอเมริกาใต้ ขณะผลัดกันขับและซ้อนท้ายมอร์เตอร์ไซค์คันเก่าบุโรทั่ง ทั้งสองต่างบรรยายความตื่นเต้น ความคาดหวังในประสบการณ์ที่กำลังจะได้พบเห็น บันทึกการเดินทางนี้อาจหายสาบสูญไป หากหนึ่งในสองนักเดินทางไม่ใช่ Ernesto 'Che' Guevara (รับบทโดย Gael Garcia Bernal) ที่จะกลายมาเป็นผู้นำฝ่ายกบฏในสงครามกองโจรเพื่อการปฏิวัติในคิวบา ผู้ร่วมเดินทางไปกับเขาคือ Alberto Granado (รับบทโดย Rodrigo de la Serna) สหายสนิท ขณะเรื่องเล่าถึงการเดินทางดำเนินไปเรื่อยๆ นอกจากทิวทัศน์อันงดงามของทวีปอเมริกาใต้และผู้คนที่พบเห็น ซึ่งสร้างความรู้สึกหลากหลายให้พวกเขา สองหนุ่มนักเดินทางกลับค้นพบตัวเองในแบบที่ทั้งคู่ต่างก็ไม่คาดคิดว่าจะเป็นไปได้ Ernesto ผู้ยึดมั่นต่อหลักการอย่างหนักแน่นจากต้นจนจบ ความพึงพอใจที่จะนำมันออกมาปฏิบัติ Alberto นักชีวะเคมีหนุ่มเจ้าชู้จอมกะล่อน ที่กะสนุก ฟันสาวไปตลอดทาง จบโดยฉลองวันเกิดปีที่ 30 เมื่อถึงจุดหมายปลายทาง การเดินทางหยุดพักช่วงริมแม่น้ำอะเมซอนในเปรู เมื่อทั้งสองเสนอตัวช่วยเหลือคณะแพทย์ในนิคมโรคเรื้อน และในที่แห่งนี้ วัยหนุ่มอ่อนโลกของ Ernesto ความคะนองของ Alberto ค่อยๆเปลี่ยนสู่ความเป็นผู้ใหญ่ และเริ่มตระหนักว่าเส้นทางชีวิตของพวกเขาจะมุ่งไปทางไหน

หนังสร้างโดยอิงจากหนังสือ THE MOTORCYCLE DIARIES ของ Guevara และ TRAVELLING WITH CHE GUEVARA ของ Granado กำกับการแสดงโดย Walter Salles ผู้กำกับภาพยนต์ชาวบราซิล และผู้อยู่เบื้องหลังอีกคนหนึ่งในฐานะ executive producer คือ Robert Redford ที่คอหนังคงรู้ดี ว่าชอบสร้างภาพยนตร์เยี่ยม ๆ ที่มักจะได้กล่องมากกว่าเงิน หนังเรื่องนี้ออกฉายเมื่อ 24 กันยายน 2004

Editorial reviews

"[A] searching, intelligent and ultimately very moving film."
Uncut - Tom Charity (09/01/2004)

"[A]n involving, lyrical, and visually beautiful..."
Premiere - Glenn Kenny (10/01/2004)

"[A] gorgeously shot South American road movie..."
Entertainment Weekly - Owen Gleiberman (10/01/2004)

"[M]esmerizing....A good part of the film's power is the way it sneaks up on you."
Rolling Stone - Peter Travers (10/01/2004)

"What THE MOTORCYCLE DIARIES captures, with startling clarity and delicacy, is the quickening of Ernesto's youthful idealism, and the gradual turning of his passionate, literary nature toward an as yet unspecified form of radical commitment."
New York Times - A. O. Scott (09/24/2004)

"This might be the quietest, most meditative motorcycle movie ever made."
Los Angeles Times - Kenneth Turan (09/24/2004)


ออกตัวก่อนว่าวิจารณ์ภาพยนตร์ไม่เป็น เราชอบ คนอื่นอาจไม่ชอบ ข้อเขียนนี้ เขียนไปตามความรู้สึก ความประทับใจขณะดูเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ แต่คิดว่าถ้าใครชอบดูหนังอารมณ์แนว Shawshank Redemption ละก็ (นี่ก็อีกหนึ่งภาพยนตร์สุดโปรด) ต้องชอบเรื่องนี้แน่ หนังดำเนินเรื่องไปเนิบๆช้าๆแต่ไม่อืดอาดน่าเบื่อ เรื่องราวจะค่อยดึงเราเข้าไป ความรู้สึกของเราครั้งแรกที่ดู ตอนนั้นกดปุ่มรีโมทเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ มีแต่รายการซ้ำดูแล้วดูอีก มาหยุดที่ช่องทรูมูวี่ส์ (สารภาพว่าเพราะพระเอกหล่อ) เรื่องเริ่มไปได้นิดหนึ่งแล้ว ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับอะไร มือถือรีโมทไว้กะว่าไม่สนุก น่าเบื่อจะได้กดเปลี่ยน แต่เปลี่ยนไม่ได้ ในใจคิด ขออีกนิด...ดูดิจะมีอะไร ต่ออีกหน่อยน่า มันจะเป็นยังไงอีก สักพักก็วางรีโมท ตั้งใจดูไปจนจบ และติดโพยหนึ่งในหนังสุดโปรดอีกเรื่องหนึ่งทันที

เรื่องเริ่มโดยสองหนุ่มจัดกระเป๋า วางแผนเส้นทาง จากบัวโนสไอเรสไปปาตาโกเนียในอาร์เจนตินา เข้าชิลี ผ่านเทือกเขาเอนดิสและแม่น้ำอะเมซอนในเปรู ไปจบที่เวเนซูเอลา หนังแสดงนิสัยแตกต่างของสองสหายรักให้เห็นง่ายๆก่อน จากการจัดของ เออร์เนสโตหอบแต่หนังสือไปอ่าน อัลเบอร์โตโยนอุปกรณ์เสริมความหล่อเต็มถุงเสื้อ บุคลิกเริ่มแรกที่หนังค่อยๆบอกคือเออร์เนสโตเป็นเด็กจากครอบครัวชนชั้นกลางที่อบอุ่น พี่น้องสนิทสนมรักกัน พ่อแม่แม้จะเป็นห่วงแต่ก็ปล่อยลูกชายได้ทำสิ่งที่อยากทำ เออร์เนสโตในต้นเรื่อง มองผิวเผินคือเงียบ หงิม อ่อนโลก รูปหล่อแต่ออกจะทึ่มนิดๆ ส่วนอัลเบอร์โตที่อายุแก่กว่า 6 ปี คือหนุ่มท้วม มาดเจ้าสำราญ คล่อง กะล่อน เจ้าของมอร์เตอร์ไซค์ 1939 Norton 500 ที่เขาเรียกมันว่า La Poderosa [The Mighty One] น้องคนหนึ่งของเออร์เนสโตบอกว่าอ้ายรถเครื่องคันนี้ใช้เป็นข้ออ้างได้ดีในการขอเดิน ชื่อเล่นของเออร์เนสโตที่สหายรักเรียกคือ Fuser และอัลเบอร์โตมีคำนิยามให้ตัวเองว่าเป็น “นักวิทยาศาสตร์จอมพเนจร”

ช่วงขี่มอร์เตอร์ไซค์จากบัวโนส ไอเรสถึงกลางประเทศเปรู ฉากทิวทัศน์สวย ความงามฉ่ำของเทือกเขา ไอหมอก ทะเลสาบ ความเขียวขจีของแมกไม้ บ้านครอบครัวแฟนสาวของเออร์เนสโตลูกเศรษฐีอันสวยงามใน Miramar ซึ่งเรามองว่าฉากเหล่านี้คือตัวแทนการมองชีวิตของสองหนุ่มในต้นเรื่อง ไม่มีแคร์ใดๆในโลก แค่ขี่มอร์เตอร์ไซค์ ท่องไปตามที่โล่งกลางแจ้ง ค่ำไหนนอนนั่น ใช้ความกะล่อนของอัลเบอร์โตขออาหารฟรีขอที่ซุกหัวนอนไปเรื่อย การกัดกันนิดๆหน่อยๆของสองหนุ่ม ซึ่งเป็นปกติของคนเดินทางร่วมกันเป็นเวลานาน เพิ่มความสนุก ขำขันเล็กๆน้อยๆที่ดูเป็นจริง ไม่ดูฝืนใส่เข้ามา เออร์เนสโตในตอนนี้ก็ยังดูหงิม ไม่ต่อปากต่อคำเท่าใดนัก ตอนนักวิทยาศาสตร์จอมพเนจรรู้ว่า Chichina แฟนสาวของเออร์เนสโตฝากเงิน 15 ดอลลาร์สหรัฐ เผื่อข้ามไปถึงอเมริกา ให้ซื้อชุดว่ายน้ำกลับมาให้ด้วย กะจะได้ใช้เงินนี้ซื้ออาหารดีๆกิน เที่ยวสนุกระหว่างทาง แต่หัวเด็ดตีนขาดเออร์เนสโตบอกไม่ได้ เงินนี้ห้ามแตะ แฟนสาวต้องได้ของที่ต้องการไม่เช่นนั้นก็ได้เงินคืน แม้ขณะที่เขาหอบหืดหนัก ก็ไม่ยอมใช้เงินนี้ไปหาหมอ โดนอัลเบอร์โตเหน็บหนักๆเขา เขาก็ได้แต่ฉุน เดินหนีไปไม่ต่อปากต่อคำ

หนังค่อยๆเผยนิสัยของเออร์เนสโตออกมาทีละนิด ความเถรตรง หักได้งอไม่ได้ การพูดจาแบบขวานผ่าซาก (จนทำให้อดกินอาหารดีๆ) ว่าไปตามเนื้อผ้า จริงใจ คิดอย่างไรพูดอย่างนั้น เริ่มรู้สึกได้ว่าภายใต้ความนิ่ง เฉย คือคนดื้อเงียบ เข้มแข็ง มุ่งมั่น ไม่ท้อถอย ไม่ชอบให้ใครท้า อีกทั้งความมีเมตตา มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี มีความโอบอ้อมอารีต่อเพื่อนมนุษย์โดยเฉพาะผู้ถูกข่มเหง ผู้ตกยาก ซึ่งด้านอ่อนโยนในตัวเขาจะเผยออกมาในกลางเรื่อง ส่วนนิสัยของอัลเบอร์โตคือหนังสือเปิดตั้งแต่ต้นจนจบ กะล่อน ปากหวาน เจ้าชู้ พูดจาแบบบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น (หากคิดยุ่งเรื่องการเมือง คงไปได้ดีกว่าและไม่จบชีวิตอย่างสหายรักของเขาแน่) หนังบอกไว้ตั้งแต่ต้นว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล่าวีรกรรมของวีรบุรุษ แต่มันคือเรื่องของสองเพื่อนสนิท ที่จะเป็นเส้นขนานกันไปช่วงหนึ่ง แต่สิ่งหนึ่งที่ทั้งสองมีเหมือนกัน และยึดมั่นกับมันไม่เสื่อมคลาย นั่นคือความต้องการที่จะช่วยเหลือผู้ถูกข่มเหง ผู้ด้อยโอกาส นี่คือสิ่งเดียวที่ไม่ว่าคนใดคนหนึ่งพูดขึ้นมา อีกคนจะไม่ขัดแย้งเหมือนเรื่องอื่นๆ

กลางเรื่องหลังจากขาย la Poderosa ให้ช่างเครื่องในเปรู เพราะมันโทรมจนต้องซ่อมแล้วซ่อมอีก ถ้าไม่ขายเอาเงินตอนนี้ก็ต้องทิ้งข้างทางเป็นเศษเหล็กในไม่ช้า อัลเบอร์โตน้ำตาไหลพรากขณะคลุมผ้ารถเครื่องคู่ใจก่อนบอกลา สองหนุ่มออกเดินเท้าผ่านทะเลทราย ช่วงนี้ของหนังเริ่มเปลี่ยนอารมณ์จากสีสันที่บอกถึงความสนุก บ้าบิ่น มาเป็นสีแห่งความแห้งแล้งทุรกันดารของทรายและหิน มุมมองสิ่งรอบข้างของทั้งสองเริ่มเปลี่ยน เมื่อได้พบคู่สามีภรรยาชาวไร่ที่ถูกนายทุนไล่ที่ที่เป็นมรดกตกทอดมาหลายรุ่นเพราะถูกหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ทำให้พวกเขาต้องทิ้งลูกไว้กับญาติ ออกเดินทางเร่ร่อนหางานทำ สี่คนร่วมเดินเท้าไปด้วยกัน พักรอบกองไฟยามค่ำ พูดคุย สองชาวไร่เล่าความยากลำบาก การถูกข่มเหงให้สองแพทย์ฟัง เสียงบรรยายของเออร์เนสโตบอกว่า “นี่เป็นคืนที่เขารู้สึกใกล้ชิดกับมนุษย์ชาติมากที่สุด” บรรยากาศหนังเริ่มเปลี่ยนซึ่งบอกถึงทัศนคติของทั้งสองที่เริ่มเปลี่ยนไปจากเมื่อเริ่มเดินทาง จากการได้พบเห็นความเหลื่อมล้ำของสังคมที่มีแทบจะในทุกที่ เห็นชาวพื้นเมืองมากมายในเปรูที่ถูกนายทุนข่มเหงรังแก ไม่มีบ้านจะอยู่บนแผ่นดินแม่ของตัวเอง

เมืองคุซโค มาชูปิกชูสวยมาก (หนังเรื่องนี้แหละ กระตุกต่อมอยากให้ไปที่นี่เป็นครั้งแรก) ชอบ Don Nestor ตอนแรกเห็นชื่อ นึกว่าจะเป็นหนุ่มใหญ่อาสาเป็นมัคคุเทศน์พาชมเมือคุซโค กลายเป็นหนุ่มน้อยชาวอินคาวัย 8-9 ปี หน้าตามอมแมม แต่ก็น่ารักจริงใจ จากเมืองประวัติศาสตร์ที่ใจกลางทวีปอเมริกาใต้ สองคนล่องเรือโดยสารไปตามแม่น้ำอะเมซอนจากกรุงลิมา เปรู เพื่อขึ้นไปช่วยนิคมโรคเรื้อนที่รพ.ซาน ปาบโลซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำอะเมซอน ก่อนจะเดินทางต่อ จนไปสิ้นสุดที่คาราคัส โดยทั้งสองนิ่งขึ้น ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ทิ้งเออร์เนสโตกับอัลเบอร์โตคนเดิมไว้ที่ปลายทาง

ทั้งสองบอกลากัน อัลเบอร์โตอยู่ต่อที่คาราคัส เพราะได้งานในรพ.ที่นี่ เออร์เนสโตอาศัยเครื่องบินคาร์โก บินกลับบัวโนสไอเรส

สิ่งที่เออร์เนสโตเขียนปิดท้ายในบันทึก “I’m not me anymore. At least I’m not the same me that I was.”

คำบรรยาเล่าเพิ่มเติมว่ากว่าสองสหายรักจะได้พบกันอีกก็ 8 ปีให้หลัง เมื่อนายแพทย์ กรานาโดได้รับจม.จากเพื่อนสนิทของเขา ซึ่งขณะนั้นคือ ‘Comandante’ Ernesto Che Guevara ผู้นำการปฏิวัติของคิวบา เชิญเพื่อนรักของเขาไปใช้ชีวิตและทำงานในคิวบา นายแพทย์กรานาโดตอบรับ

ฉากสุดท้ายตัดกลับมายังใบหน้าเหี่ยวย่นของชายชรา อายุอานามราว 80 กว่า แววตาขุ่นมัวเหม่อลอยเหมือนกำลังนึกถึงเรื่องราวในอดีต เขาคือนายแพทย์อัลเบอร์โต กรานาโดตัวจริง ที่ปัจจุบันก็ยังอยู่กรุงฮาวานากับภรรยาและลูกหลาน ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสด้วยการเปิดศูนย์แพทย์ซานติเอโก คงเป็นการบอกเป็นนัยว่าหนังเรื่องนี้โม้เกินจริงมิได้เลย เพราะหนึ่งในสองนักเดินทางคู่นั้นยังมีชีวิตอยู่ [คุณหมอกรานาโดได้รับเชิญให้เป็นที่ปรึกษาพิเศษในกองถ่ายเพื่อให้หนังออกมาเหมือนจริงมากที่สุด ภาพยนตร์ยังได้รับคำชมเชยอย่างมากจากครอบครัวเกวาร่า]

ฉากประทับใจ

--- พ่อของเออร์เนสโตซึ่งเตือนว่าควรเรียนให้จบแพทย์ปีสุดท้ายก่อนออกเที่ยว ขณะครอบครัวนั่งทานอาหารพร้อมหน้า แม่ที่ควรเป็นฝ่ายโอ๋ฝ่ายห้ามมากกว่า กลับมองลูกชายด้วยสายตาอ่อนโยน ไม่พูดอะไรแค่บอกให้อย่าลืมกินยาแก้หอบหืดและรักษาตัวให้ดี เช้าวันออกเดินทางพ่อดึงลูกชายมากอด ก่อนจะสารภาพพ่อก็เคยฝันที่จะทำอย่างนี้ และถ้าตอนนี้พ่ออายุเท่าลูก พ่อจะขอโดดติดไปด้วยอีกคน ก่อนจะส่งปืนพกให้ เพื่อใช้ป้องกันตัวหากเกิดเหตุร้ายระหว่างทาง

--- เออร์เนสโต อัลเบอร์โต นั่งรอบกองไฟกลางทะเลทราย กับคู่ผัวเมียชาวไร่ที่เล่าถึงการถูกนายทุนข่มเหงไล่ออกจากที่ดินของตัวเอง จากชีวิตพอมีพอกิน ต้องจากลูกมาเร่ร่อนหางานทำ ไม่มีที่ซุกหัวนอน เมื่อชาวไร่ถามสองแพทย์ว่าเดินทางเพื่อหางานทำหรือ พวกเขาตอบว่า “เดินทางเที่ยว” ชาวไร่ย้ำว่า “เที่ยว..” ด้วยสีหน้างุนงงว่าในโลกนี้มีคนที่ทำแบบนี้ได้ด้วยหรือ เออร์เนสโตกับอัลเบอร์โตแสดงสีหน้าอย่างคนรู้สึกผิดขึ้นมาทันที ถึงการเที่ยวของพวกเขาจะเป็นแบบสมบุกสมบัน นอนกลางดินกินกลางทราย แต่มันคือความฟุ่มเฟือยที่คนอย่างคู่ผัวเมียชาวไร่ผู้แร้นแค้นไม่เคยรู้จัก สองแพทย์รีบส่งผ้าห่มที่ห่อหุ้มตัวเอง ส่งชามาเต้ร้อนๆที่กำลังถือในมือให้คู่ผัวเมียชาวไร่ทันที หน้าตาบ่งบอกว่ายังรู้สึกผิดไม่หาย เออร์เนสโตบอกอัลเบอร์โตในเวลาต่อมา ขณะล่องเรือโดยสารว่า 15 ดอลลาร์ที่ถูกเทียวไล้เทียวขื่อให้ควักออกมาใช้ เขาได้ให้คู่ผัวเมียนี้ไปแล้ว

--- นั่งเรือข้ามแม่น้ำอะเมซอนพร้อมนพ. Bresciani คุณหมอใหญ่ เพื่อไปนิคมโรคเรื้อนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามรพ. หมอใหญ่ส่งถุงมือยางให้ใส่ขณะอยู่บนเรือ บอกเป็นกฏของแม่ชีที่มาดูแลคนไข้โรคเรื้อน สองสหายบอกโรคเรื้อนไม่ใช่โรคติดต่อและขอที่จะไม่ใส่ถุงมือถ้าไม่ว่าอะไร เมื่อขึ้นฝั่งนิคม พบ Papa Carlito คนไข้โรคเรื้อนวัยอาวุโส ผู้นำชุมชนแบบแต่งตั้งเองที่นั่งต้อนรับอยู่ท่าน้ำ หมอใหญ่แนะนำหมอหนุ่มใหม่สองคน เมื่อเออร์เนสโตยื่นมือมาหา Papa Carlito ชะงักแบบตกใจที่เห็นมือเปล่าเปลือยของเออร์เนสโตยื่นมาให้ ปาป้าหันไปมองหมอใหญ่แบบงุนงง ไม่แน่ใจ คุณหมอยิ้มและพยักหน้า สีหน้าของปาป้าเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มด้วยความดีใจ ก่อนยื่นมือไปสัมผัสมือของเออร์เนสโตและอัลเบอร์โต หมอหนุ่มทั้งสองจะค่อยๆสานความสัมพันธ์กับคนไข้โรคเรื้อนราว 600 คนในนิคมแห่งนี้ จนกลายเป็นความสนิทสนม ไม่ทำเหมือนคนพวกนี้เป็นสิ่งสกปรกที่จับต้องมือเปล่าไม่ได้ ทำกับพวกเขาอย่างมนุษย์ด้วยกัน ไม่ใช่สัตว์ การรู้จักที่เริ่มต้นด้วยสีหน้าเงอะงะตกใจของปาป้าในวันแรก จบลงด้วยการสวมกอดร่ำลากับเหล่าคนไข้โรคเรื้อนในนิคมที่ออกมายืนส่งกันเต็มฝั่ง เมื่อสองนักเดินทางต้องจากที่นี่ไปบนแพ “Mambo-Tango” ที่คนในนิคมช่วยกันต่อเพื่อให้สองแพทย์สามารถล่องอะเมซอนต่อไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง

--- งานเลี้ยงวันเกิดของเออร์เนสโตในรพ.ซาน ปาบโล เจ้าของวันเกิดโค้งพยาบาลสาวออกไปเต้นรำ (เช เกวาร่าเต้นรำไม่เป็นเอาเลย เงอะงะมาก สำนวนฝรั่งก็ต้องบอกว่ามีเท้าซ้ายสองข้าง) บ่นอุบว่าเพลงแทงโกนี้เขาไม่เคยเต้น มันเร็วไป ไม่เคยได้ยิน เต้นไม่ได้ เสียงหัวเราะแว่วมา ตามด้วยเสียงอัลเบอร์โตที่บอกว่า “อ้ายห่าฟูเซอร์ นี่เพลงแมมโบ แทงโกกะผีซิมึง” ความเอ๋อนี้คือที่มาของชื่อแพข้างบน

--- และทุกฉากที่มีท่าเงอะงะเด๋อด๋า ท่าเขินของ Gael Garcia Bernal คนอาไร้ หนุ่มเม็กซิกันคนนี้...น่ารักเป็นบ้า




 

Create Date : 23 เมษายน 2551    
Last Update : 2 พฤษภาคม 2551 18:23:04 น.
Counter : 1032 Pageviews.  

Oh...baby, baby, baby...

What a cracker!!!! I love this kid.




 

Create Date : 18 สิงหาคม 2550    
Last Update : 18 สิงหาคม 2550 13:44:12 น.
Counter : 404 Pageviews.  

Something to make you smile ...

FUBOLISTAS & FRIENDS รูปน่ารักจากปฏิทินการกุศลของแข้งดังสโมสรบาเลนเซีย เห็นแล้วอบอุ่นใจ นายแบบกิตติมศักดิ์ชื่อดังทั้งหลายโพสต์กับนางแบบนายแบบตัวน้อยใหญ่ ที่โชคชะตาทำให้พวกเขาต้องเกิดมาพร้อมด้วยโรคดาว์นซินโดรม

Asociación Sindrome de Down de Valencia ร่วมกับ Fundación ASINDOWN องค์กรที่ช่วยเหลือคนที่เป็นโรคนี้ โดยครั้งนี้ได้ "a little help from our friends" แห่งค่ายเมสตาญา

โหลดรูปมาทำ wallpaper และปฏิทินดิจิตอลที่เวปไซด์ทางการ LOS CHES and CO.

ภาพถ่ายทั้งหมดเป็นฝีมือของ Rosa Mari García และ Pepe Carrillo-niclas

..... ..... ..... ..... ..... ..... ..... ..... ..... ..... ..... ..... ..... ..... ..... .......... ..... ..... ..... ..... ..... ..... ..... .....

JANUARY ..........


.......... FEBRUARY

MARCH ..........



.......... APRIL

MAY ..........



.......... JUNE

JULY ..........



.......... AUGUST

SEPTEMBER ..........



.......... OCTOBER

NOVEMBER ..........



.......... DECEMBER




* ขอบคุณคุณผีแดงแรงฤทธิ์เพื่อนร่วมบอร์ดผู้น่ารักที่ส่งรูปเหล่านี้มาให้ค่ะ ดอกไม้ข้างบน แย่งหนุ่มๆได้ตามสบายช่อเลยนะคะ




 

Create Date : 03 มิถุนายน 2550    
Last Update : 6 กันยายน 2550 2:50:47 น.
Counter : 383 Pageviews.  

1  2  3  

la liga fan
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




อย่าฟังความข้างเดียว เหรียญมีสองด้าน

ไม่มีใครช่วยเราได้ ถ้าเราไม่คิดจะช่วยเหลือตัวเองก่อน

A rich man is not one who has the most, but one who need the least.
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add la liga fan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.