Group Blog
 
All Blogs
 




 

สังคมไทยได้อะไรจากนายกฯคุยกับแกนนำนปช.

สังคมไทยได้อะไรจากนายกอภิสิทธิ์พูดคุยกับแกนนำ นปช.

 

ต้องถือว่าเป็น surprise ประจำสัปดาห์เมื่อเปิดทีวีเห็นนายกอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คุณกอร์ปศักดิ์ คุณชำนิ กับแกนนำนปช.สามคนคือ หมอเหวง คุณวีระ กับคุณจตุพร นั่งพูดคุยกันด้วยบรรยากาศที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งสองฝ่ายดูมีท่าทีผ่อนคลาย เหมือนคนนั่งคุยกันในห้องรับแขก ผมพยายามจับผิดว่าทั้งสองฝ่ายพยายามเล่นละครสมานฉันท์ตบตาชาวบ้านอยู่หรือเปล่า แต่ต้องหยุดพักความคิดแบบนี้ไว้ก่อน

ผมไม่อยากเรียกเหตุการณ์ครั้งนี้ว่าเป็นการเจรจา  แต่อยากเรียกว่าเป็นการพูดคุยหรือการสนทนา (dialogue) มากกว่า เพราะถ้าหากเป็นการเจรจาตกลง (negotiation)จะกลายเป็นพิธีการและถูกคาดหวังแบบกดดันทันทีว่า สองฝ่ายจะต้องได้บรรลุข้อตกลงหรือได้ข้อยุติอะไรสักอย่าง ซึ่งเป็นเรื่องยากมาก เพราะการที่คนเพียงไม่กี่คนนั่งพูดคุยกันในเวลาเพียงเท่านี้ จะหวังข้อตกลงเพื่อยุติปัญหาความขัดแย้งที่บาดลึกและเรื้อรังมาเป็นเวลานาน คงไม่ได้ แต่การที่ทั้งสองฝ่ายหยุดตั้งป้อม นั่งลง คุยกันยอมเปิดใจรับฟังเหตุผลความต้องการของอีกฝ่ายด้วยท่าทีที่ให้เกียรติ ก็ถือเป็นการเริ่มต้นของการยุติปัญหาความขัดแย้งในตัวของมันเองอยู่แล้ว สังคมไทยส่วนใหญ่ก็คงร่วมโมทนาสาธุกับเหตุการณ์ครั้งนี้ ทุกท่านคงเห็นแล้วว่า เพียงแค่ใส่ใจทำสิ่งเล็กๆน้อยๆก็ช่วยลดอุณหภูมิการเมือง ลดความร้อนรุ่มในใจของคนลงได้ตั้งเยอะ ความรู้สึกของแต่ละคนย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ ยกเว้นคนที่ไม่ยอมมองโลกในแง่ดีซะบ้าง

ตามทฤษฎีของการสนทนาแลกเลี่ยนแบบนี้ ถือว่าทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกันแบบ win-win ถึงแม้ไม่ได้เต็มที่ แต่ก็ไม่มีใครเสียไปทั้งหมด ผมอยากลองแยกแยะดูว่า การพูดคุยครั้งนี้ แต่ละฝ่ายได้รับประโยชน์อะไรบ้าง

            ฝ่ายแรกคือ ฝ่ายสังคมซึ่งได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งเรื้อรังมาเป็นเวลานานโดยไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร เชิญนักวิเคราะห์ นักวิชาการ ผู้รู้สารพัดเรื่องมาออกความเห็นก็แล้ว แต่บรรยากาศความขัดแย้งก็ยังดำรงอยู่ พาลให้เกิดความเครียด โรคประสาทจะกินเอา แต่พอเปิดทีวีเห็นสองฝ่ายมานั่งคุยกันด้วยท่าทีที่ไม่คุกคามอีกฝ่าย ทุกคนรู้สึกโล่งอกขึ้นมาทันทีโดยที่ยังไม่รู้เลยว่าสองฝ่ายจะตกลงกันได้หรือไม่อย่างไร เพียงแค่เห็นภาพก็รู้สึกดีแล้ว หวังว่า ความรู้สึกดีๆเหล่านี้ จะอยู่กับคนไทยต่อไป เพื่อให้คนไทยนำไปใช้ในการส่องดูเหตุการณ์ที่มีความสลับซับซ้อนอื่นๆและหาทางออกร่วมกันอย่างมีสติ

            ภูมิปัญญาไทยแท้แต่โบราณก็สอนกันไว้ ทำให้เห็นกันมานักต่อนักแล้วว่า เมื่อลูกหลานมีเหตุขัดแย้ง ก็ให้ทั้งสองฝ่ายมานั่งพูดนั่งคุย มองหาสิ่งดีๆร่วมกัน คุยกันเสร็จก็ขอขมาลาโทษ ต้มไก่สู่กันกินเป็นที่เบิกบานสำราญใจ เราคงไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไปไกลขนาดนั้น เพียงแค่คิดถึงทุกข์ของคนอื่นแบบอกเขาอกเรา ไม่รีบด่วนชี้หน้า ประณาม ตัดสินคนอื่นจนเกิดความรู้สึกต่อต้าน เกลียดชังกัน ก็เป็นการเริ่มต้นแก้ปัญหาที่ดีแล้ว

            ฝ่ายที่สองคือฝ่ายนปช.เอง ที่สามารถลบภาพอันธพาลการเมืองลงไปได้ไม่น้อย แม้หลายคนจะมองว่าเป็นการปฏิบัติตัวหน้ากล้องโทรทัศน์เพื่อให้เป็นไปตามความคาดหวังของผู้ชม แต่ภาพที่ออกมาก็ทำให้คนดูรู้สึกสบายใจที่จะนั่งดูจนจบ เพราะไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า คนสวมเสื้อแดงที่มีภาพจำก้าวร้าว พูดจาสามหาว จะนั่งลงอย่างสงบเสงี่ยม พูดจาด้วยความนุ่มนวลและเรียกคุณอภิสิทธิ์ว่าท่านนายกทุกคำ ภาพเหล่านี้ฉายให้เห็นความเป็นมนุษย์ของแกนนำเสื้อแดงว่า อย่างน้อยคนเหล่านี้ก็ยังมีด้านที่สุภาพอ่อนโยน พอให้สัมผัสได้ หากสามารถนำเสนอด้านดีๆเหล่านี้ให้ปรากฏบ่อยๆ ภาพจำอันเลวร้ายของสังคมก็อาจถูกลบเลือนไปในไม่ช้า

จับความรู้สึกลึกๆอันเป็นที่มาของการต่อสู้ข้างถนนของแกนนำ นปช.ได้ว่า นี่เป็นวิธีการแก้เผ็ดพรรคประชาธิปัตย์ที่จับมือกับการเมืองภาคประชาชนและระบบราชการ (ซึ่งพวกเขาเรียกว่า อำมาตย์) ออกมาบดขยี้ กวาดล้างเครือข่ายจนไม่มีที่ยืน ตามด้วยการปฏิวัติรัฐประหาร 19 กันยาเพื่อกวาดล้าง หัวเรือใหญ่หนีไปอยู่ต่างระเทศ อีกพวกถูกจับใส่กุญแจมือ (ตัดสิทธิ์ทางการเมือง) จับความจากคำพูดบางคำ แกนนำนปช.คงเห็นว่า วิธีการต่อสู้แบบเกลือจิ้มเกลือ ระดมสรรพกำลังทุกอย่างออกมาใช้เท่านั้น ที่จะช่วยรักษาสถานการณ์หรือ พื้นที่ การต่อสู้ทางการเมืองของตนเองไว้ได้

การที่รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ ใจกว้างยอมนั่งลงพูดคุยกับแกนนำ นปช. และรับฟังโดยไม่ตอบโต้ (บางครั้งแสดงสีหน้า ส่งสัญญาณยอมรับความจริง)จึงถือว่าเป็นความสำเร็จอย่างหนึ่งของ นปช. เพราะถือว่าผู้กุมอำนาจรัฐได้ ให้ราคาคู่ต่อสู้ทางการเมืองของตนแล้วนั่นเอง ถ้าผมเป็นนักการเมืองฝ่ายเสื้อแดง ผมจะถือว่านี่เป็นชัยชนะเชิงสัญลักษณ์ครั้งสำคัญ

ฝ่ายที่สาม ฝ่ายรัฐบาล ตอนแรกหลายฝ่ายมองสถานการณ์ด้วยความเป็นห่วงว่า ความนุ่มนวล ของคุณอภิสิทธิ์อาจจะทำให้ฝ่ายนปช.เหิมเกริม หยุดไม่อยู่ แต่พอเหตุการณ์ผ่านไปได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ความนุ่มนวลแบบใจดีสู้เสือ กลายจุดแข็งของรัฐบาล เพราะช่วยลดความเข้มของบรรยากาศการเผชิญหน้าลงอย่างเห็นได้ชัด ลางดีของฝ่ายรัฐบาลปรากฏขึ้นครั้งแรกคือการประกาศว่า ผู้ชุมนุมมิใช่ศัตรู แต่เป็นคนไทยด้วยกัน มีการสั่งการให้เจ้าหน้าที่ใช้ความอดทน อดกลั้นอย่างถึงที่สุด และแสดงท่าทีพร้อมจะพูดคุยตลอดเวลา แม้กระทั่งการยุบสภาซึ่งเป็นข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม ก็ไม่ถึงกับปิดประตูตายเสียทีเดียว

ท่าทีทั้งหมดที่เป็นจุดยืนของรัฐบาลมาโดยตลอดได้แสดงให้เป็นที่ปรากฏผ่านคำพูด และการแสดงออกของนายกอภิสิทธิ์ในค่ำวันนั้น (28 มี.ค) แน่นอน เมื่อเทียบกันแบบปอนด์ต่อปอนด์ตามภาษานักมวยแล้ว นายกอภิสิทธิ์ย่อมได้เปรียบ เพราะมีธรรมชาติเป็นคนอ่อนนอกแข็งใน เป็นนักเจรจาชั้นยอด พูดจาให้คนฟังเข้าใจง่าย การที่นักบู๊เสื้อแดงทั้งสามคนสามารถสลัดภาพของความก้าวร้าว เหิมเกริม มานุ่งพูดคุยกับนักเรียนนอก และสามารถกุมสภาพการพูดคุยได้นุ่มนวลขนาดนี้ ก็ควรได้รับการยอมรับเช่นกัน

จึงควรถือได้ว่า แม้ยังไม่มีข้อตกลงอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอัน แต่ทุกฝ่ายก็ได้ประโยชน์ร่วมกัน นั่นคือ มีบรรยากาศทางการเมืองที่ผ่อนคลายมากขึ้น (แม้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวก็ยังดี) ชาวบ้านคนทำมาหากินรู้สึกโล่งอก นปช.ก็ได้เสนอภาพตัวแทนของตนในอีกมุมหนึ่งซึ่งแตกต่างจากที่สังคมส่วนใหญ่เข้าใจ ส่วนรัฐบาลก็สามารถกุมสภาพบ้านเมืองให้เป็นปกติ ปราศจากการใช้ความรุนแรง เป็นที่ปรากฏแก่สายตาของชาวโลกว่า อย่างไรเสีย การต่อสู้ทางการเมืองในประเทศไทยก็ยังไม่มีอะไรเลวร้ายเกินไป

ทั้งหมดคือการมองเฉพาะส่วนที่ดี (ซึ่งสามารถเลือกได้) แต่อย่างไรก็ตาม ผมยังมีข้อสังเกตเพิ่มเติม และอยากฝากไว้เป็นข้อควรระวัง เท่าที่สติปัญญาจะพึงมี กล่าวคือ

ประการที่หนึ่ง ต้องแยกแยะรูปแบบ (mode) ระหว่างการพูดคุยแบบสนทนาแลกเปลี่ยน(dialogue) กับการเจรจาทำความตกลง (negotiation)  ออกจากกัน เพราะทั้งสองอย่างมีเป้าหมายต่างกัน การพูดคุยแบบสนทนาแลกเปลี่ยนมีเป้าหมายเพื่อรับฟังความเห็นที่แตกต่าง และสื่อสารให้อีกฝ่ายเข้าใจด้วยท่าทีที่เคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน เพื่อหาทางคลี่คลายวิกฤติโดยทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน

แต่หลังจากทั้งสองฝ่ายร่วมกิจกรรมแบบสนทนาแลกเปลี่ยนจนกระทั่งสามารถสื่อสารและยอมรับกันได้แล้ว ก็สามารถเข้าสู่รูปแบบการเจรจาทำความตกลง โดยเชื้อเชิญผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามาร่วมตัดสินใจมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ควรรีบเร่งจนเสียกระบวนเพราะทั้งหมด ต้องใช้เวลาอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน สังคมจะต้องทำหน้าที่เป็นผู้สังเกตที่ดี คือไม่กดดัน ไม่เรียกร้องให้แต่ละฝ่ายตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งตามคำเรียกร้องของอีกฝ่ายควรเคารพวิจารณญาณของแต่ละฝ่ายและปล่อยให้การตัดสินใจเป็นไปตามอำนาจหน้าที่ที่พึงกระทำ

ประการที่สอง การรักษาบรรยากาศการพูดคุย (rapport) และการทำให้เกิดความต่อเนื่อง มีความสำคัญกว่าผลของการเจรจา (ระวังอย่าทำให้วงแตก) ดังนั้น คู่สนทนาทั้งสองฝ่ายจะต้องระมัดระวังท่าทีของตนเองมิให้เสียบรรยากาศ เช่น ต้องแสดงท่าทีรับฟังอีกฝ่ายด้วยความตั้งใจด้วยการ ไม่แทรก ไม่สวน ไม่ตอบโต้ แม้จะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม ควรพูดจากจุดยืนและความรู้สึกที่แท้จริงของตนเอง ไม่เตรียมคำตอบจากข้างนอกไปเสนอ และหลีกเลี่ยงการพาดพิงถึงบุคคลที่สาม และเรื่องที่นำมาพูด ควรอยู่ภายใต้กรอบหรือหัวข้อการพูดคุยที่ตกลงกันในแต่ละครั้งเท่านั้น นอกจากนี้ ควรพูดให้พอเหมาะ หนึ่งผลัด(turn)ต่อหนึ่งประเด็น (issue) ไม่ควรพูดทุกเรื่องในคราวเดียวกัน แบ่งปันโอกาสการพูด (floor) ให้คนอื่น  ไม่ผูกขาดการพูดโดยเชื่อว่าตนเองเป็นผู้ที่รู้ดีที่สุด

ประการที่สาม ต้องไม่นำสิ่งที่ได้ยินได้ฟังจากคู่สนทนา มาขยายความเพื่อประโยชน์หรือเป็นโทษต่อคนใดคนหนึ่ง การตัดสินใจแต่ละครั้งเป็นเรื่องของแต่ละบุคคลซึ่งสามารถใช้วิจารณญาณได้อย่างอิสระและรับผิดชอบเอง คู่สนทนาจะต้องไม่แสดงท่าทีกดดัน หรือบีบบังคับให้อีกฝ่าย ปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ตนเองต้องการได้ เช่น แกนนำ นปช.สามารถอธิบายเหตุผลของตัวเองได้ว่า ทำไมต้องยุบสภา แต่การตัดสินใจทั้งหมด เป็นของนายกอภิสิทธิ์ เป็นต้น   

ประการที่สี่ ต้องมีคณะทำงานสนับสนุน (back stage performer) ที่เข้มแข็งและเพียงพอ เพื่อทำหน้าที่ช่วยวิเคราะห์ วางกรอบ หัวข้อ (frame/agenda) ที่เหมาะสมสำหรับการพูดคุยในแต่ละครั้ง อาจมีความจำเป็นต้องมีวงสนทนาหลายวง หรือหลายเวทีแยกย้ายกันไปตามความจำเป็น โดยมีการสื่อสารสาธารณะอย่างต่อเนื่อง สถาบันพระปกเกล้าซึ่งเป็นผู้ริเริ่ม อาจจะต้องระดมคนจากที่อื่นเข้าไปช่วย (หากต้องการอาสาสมัคร ผมซึ่งเป็นเจ้าของบล็อกเกอร์นี้ ยินดีเข้าไปช่วยทำ)

ประการที่ห้า สังคมจะต้องทำหน้าที่เป็นผู้สังเกตที่ดี คือไม่กดดัน ไม่เรียกร้องให้แต่ละฝ่ายตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งตามคำเรียกร้องของอีกฝ่ายควรเคารพวิจารณญาณของแต่ละฝ่ายและปล่อยให้การตัดสินใจเป็นไปตามอำนาจหน้าที่ที่พึงกระทำ

อย่าเพิ่งคาดคั้นคำตอบสุดท้าย ปล่อยให้กระบวนการพูดคุยดำเนินไปสักระยะ เหตุการณ์น่าจะคลี่คลาย แต่สังคมต้องช่วยกันจับตา เพราะหากใครไม่ทำอย่างที่พูด จะเป็นฝ่ายเสียหายเอง

 

.................................

 

 

           

 

Create Date : 29 มีนาคม 2553    
Last Update : 29 มีนาคม 2553 22:51:24 น.
Counter : 517 Pageviews.  




 

"สมคิด ธีรภา" เสื้อแดงขอนแก่น ศพแรกที่สังเวย สงครามไพร่....

หลังการเจรจาเหลวมวลชนบางส่วนก็ทยอยกลับ แต่ก็เกิดเหตุเศร้าสลดกับพี่น้องชาวเสื้อแดง ที่ถูกแกนนำชักชวนมาร่วมชุมนุมเรียกร้องสิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตย ที่ต้องพลีชีพ และบาดเจ็บจากการเดินทางกลับบ้านหลังจากที่มานั่ง นอน เดิน บนท้องถนน ตากแดด ตากฝน ตามวิถีการเรียกร้อง และซ่อนความภูมิใจลึกๆว่า เกิดมาจะได้มีส่วนร่วมสร้างประวัติศาสตร์ทางการเมืองอีกหน้าหนึ่ง             

      นายสมคิด  ธีรภา อายุ 41 ปี ชาวบ้าน บ้านเหล่านกชุม หมู่ 4  ต.ดอนหัน อ.เมือง จ.ขอนแก่น ก็เหมือนกับชาวบ้านทั่วไปที่มีรถปิคอัพตามหมู่บ้าน ที่ได้รับการติดต่อจากบรรดาแกนนำคนเสื้อแดง หรืออาสาตัวนำรถเข้าร่วมการเคลื่อนไหวโดยการบรรทุกมวลชนคนเสื้อแดงเข้าร่วมชุมนุมที่กทม.ในลักษณะเหนื่อยก็กลับสลับให้คนอื่นไปทดแทน โดยได้รับค่าใช้จ่ายจากแกนนำ ที่อย่างน้อยๆ เบื้องต้นก็ค่าน้ำมัน และคนที่ไปด้วยก็แถมค่าใช้จ่ายให้บ้าง ที่ชาวบ้านก็บอกว่าก็ยังดีกว่าปลูกผักขาย แต่คนที่ไปกลับมาบางส่วนก็บอกไม่คุ้มเพราะได้มาก็จ่ายไป เหลือกลับมาก็ไม่คุ้ม

           แต่ด้วยแรงกระแทก เร่งเร้าจี้ต่อม การเป็นตัวแทนแห่งความถูกต้องเป็นธรรม ขจัดสองมาตรฐาน  กอบบ้านกู้เมืองนี่ ก็คงไม่ต่างกับอดีตทหารจีไอเก่าถูกกระตุ้นต่อมรักชาติให้มาร่วมปฏิบัติการเพื่อปกป้องประเทศบ้านเกิดเหมือนในหนังฮอลลีวู๊ดหลายเรื่อง 

            สมคิดรวบรวมเพื่อบ้านใกล้เคียงในตำบลเดียวกันได้ 9 คน  ที่โดยสารรถไปกับนายสมคิด ในนาม นักรบกล้า ที่และมีพิธีส่งตัวอย่างเอิกเกริก หน้าเวทีบริเวณสวนรัชดานุสรณ์ หน้าศาลากลางขอนแก่น  

            พวกเขาเดินทางเข้ากทม.เย็นวันศุกร์ ที่ 26 มี.ค.เพื่อร่วมชุมนุมยก 3 ที่แกนนำปลุกเร้าว่า ชัยชนะอยู่แค่เอื้อม หลังจากระดมใหญ่มาก่อนหน้านี้แล้ว 2 รอบ ที่ตอนขาไปจะมีเสบียง ข้าวสาร อาหารแห้ง เสื่อ หมอน ที่บรรดาคนเสื้อแดงบริจาคเพื่อสมทบในการชุมนุม และที่ขาดไม่ได้คือทุกคนต้องใส่เสื้อแดง และทุกอย่างต้องมีสัญลักษณ์ของ นปช.แดงทั้งแผ่นดิน

            ถึงกทม.เช้ามืดวันเสาร์ที่ 27 มี.ค.ที่เป็นอีกวันดีเดือดอีกวันที่ชาวเสื้อแดงกระหายชัยชนะ ก็ได้รับการประสานจากแกนนำเพื่อนำเข้าเต้นท์ขอนแก่น ย่านวัดบวร  แต่ตากแดดตากลมที่ผ่านฟ้าได้สักระยะ แกนนำก็แบ่งคนไปร่วมกดดันทหารที่ตั้งจุดตามวัด และสนามม้านางเลิ้งให้กลับกรมกอง และหลังจากทำสำเร็จหัวใจทุกคนก็พองโต เห็นชัยชนะอยู่แค่เอื้อม แกนนำก็ประกาศกร้าวยกระดับการต่อสู้แบบแตกหัก ในวันรุ่งขึ้น

            การยกขบวนชาวเสื้อแดงไปกดดันเพื่อเจรจากับนายกฯอภิสิทธิ์ ที่ราบ 11 เป็นอีกมาตรการหนึ่งที่มวลคนเสื้อแดงหวังลึกๆว่า งานนี้มีโอกาสหอบชัยชนะกลับบ้านตามที่แกนนำประกาศไว้ แต่เมื่อสถานการณ์พลิก3 แกนนำไปนั่งโต๊ะเจรจากับนายกฯอภิสิทธิ์ ที่สถาบันพระปกเกล้าฯ ที่พวกเขาก็เป็นส่วนหนึ่งที่นั่งรอฟังข่าวดีที่สะพานผ่านฟ้า ด้วยใจจดใจจ่อ

        แต่แล้วก็ลงเอยเหมือนเดิม….นอกจากแกนนำจะขึ้นเวทีอธิบายฉายภาพให้เข้าถึงชัยชนะครั้งแล้วครั้งเล่า ท่ามกลางการชุมนุมที่ยืดเยื้อพร้อมกับยกระดับการต่อสู้ และ….พรุ่งนี้เจรจาอีกรอบ...เหมือนวันเดิมๆ

          10 ชีวิตคนที่วาดฝันเห็นสังคมประชาธิปไตย ตามจินตนาการที่แกนนำวาดภาพไว้ ปรึกษาหารือว่าจะทำอย่างไรต่อ หรือจะรอการเจรจาอีกวันสุดท้ายก็ตกลงกลับดีกว่า แล้วค่อยว่ากันใหม่

         เย็นวันอาทิตย์ ก็เก็บข้างของ อำลาเพื่อนฝูงกลับบ้าน พร้อมสัญญาว่าจะกลับมาใหม่ 7 ชีวิตมุ่งหน้ากลับขอนแก่นมือเปล่า ในบรรยากาศที่แตกต่างกับที่ทั้งเหนื่อยทั้งหงอย ไม่คึกคักฮึกเหิมเหมือนช่วงเย็นวันศุกร์ที่ดูเหมือนยิ่งรถเคลื่อนเข้าใกล้เมืองหลวงเท่าไหร่ ดูเหมือนมีแสงเรืองรองไกลลิบ รออยู่เบื้องหน้า

           หกทุ่ม เดินทางถึง  เข้าเขต.อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.นครราชสีมา  ที่เก๋งหน้า นอกจากมีนายสมคิดคนขับแล้ว ยังมีนายสงฆ์กา นั่งคุยเป็นเพื่อน ด้านหลังอีก 8 คน บ้างก็หลับ บ้างก็ปรึกษาหารือถึงการเคลื่อนไหว ที่ก็ไม่พ้นกร่นด่ารัฐบาลที่ไม่ยอมยุบสภา

            เหลืออีก 100 กว่ากม.ก้ถึงบ้านแล้ว ประมาณว่า ช้าสุดก็ไม่เกิน ตีสอง แต่พวกเขาโชคร้ายบริเวณบ้านหนองแดง ต.หนองงูเหลือม  บริเวณหลัก ก.ม.ที่ 166-157 ที่ด้านซ้ายเป็นปั๊มน้ำมันคาร์ลเท๊กซ์ อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.นครราชสีมา มีรถ พ่วง 18 ล้อ กำลังออกจากปั๊มน้ำมัน เพื่อมุ่งหน้าไปทางขอนแก่น แต่นายสมคิด คนขับที่อาจจะเหนื่อยอ่อนจากการเคลื่อนไหว ไม่ทันสังเกต รถที่วื่งบนถนนมิตรภาพ ถนนสี่เลน ช่วงเวลานี้ก็ล้วนแต่ทำความเร็ว ณ ตอนนั้นจวนตัวเมื่อรถพ่วงโผล่หัวออกมาจากปั๊ม จะหักหลับอย่างไรก็ไม่พ้น

ความสูญเสีย ที่ยังหาคำตอบไม่ได้ว่า ทำเพื่ออะไร ...ทำเพื่อใคร????

          

  ปิคอัพพุ่งเข้าชนกลางลำรถพ่วงตัวแม่โครม 8 ชีวิต คนในกระบะท้ายเทกระจาดไปคนละทิศ คนละทางบาดเจ็บ แข้ง ขา แขนหัก ที่อาการหนักก็ 2 คนที่นั่งในเก๋งหน้า หน่วยกู้ภัยฮุก ต้องระดมเครื่องมือตัดถ่างมาช่วยชีวิต แต่อนิจจา สมคิด ทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตระหว่างนำส่งโรงพยาบาล ส่วนสงกา อาการสาหัส

             สมคิด  ธีรภา เป็นอีกศพหนึ่งที่ต้องสังเวยกับอุบัติเหตุ และเพื่อนบ้านอีก 9 คน บาดเจ็บ แต่อุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ย่อมเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องโยนให้กับ การเมือง 

            สิ่งที่ต้องถามกันต่อก็คือ แรงขับที่ทำให้เขาและเพื่อนบ้านชาวบ้านเหล่าพัฒนา และอีกนับหมื่นนับแสนต้องเสี่ยงทั้งความรุนแรงในการชุมนุม และเสี่ยงกับอุบัติเหตุในการเดินทาง ใครเป็นคนชักชวน หรือคนเหล่านี้สมัครใจไปเองจากการวิเคราะห์ข้อมูล ข่าวสารด้วยตัวเองโดยไม่มีใครมาปลุกระดม หรือยัดเยียดให้เกลียด ให้ชอบ ใครต่อใคร  ถึงจะถูกแกนนำ และผู้อยู่เบื้องหลังจัดที่ให้อยู่ในชนชั้นไพร่ก็ยังไม่ยี่หระ

            หรือชีวิตไพร่ มันมีค่าแค่เป็นปริมาณ ที่ถูกระดมไปโชว์ให้มากๆ เพื่อต่อรองกับรัฐบาลเพื่อให้คนบางคนได้สิ่งต้องการ

             ค่าของชีวิต แม้กระทั่ง ไพร่ ด้วยกันมันช่างต่างกับราวฟ้ากับดิน….คนหนึ่งต้องทุรนทุรายไขว่คว้า ทั้งที่ไม่รู้ว่ามั่นมันหมอกหรือควัน  แต่ไพร่ตัวพ่อผู้ก่อกระแสทั้งมวลแม้คนในครอบครัวกลับนั่งเครื่องบินไปเสพสุขเมืองนอก บงการทุกอย่าง

            มันเรื่องอะไร ที่ชาวนาบ้านเหล่านกชุม และชาวบ้านเหล่าพัฒนา ต้องมาเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายถวายหัว เพียงเพื่อทวงเงิน 4 หมื่นกว่าล้าน และอำนาจให้ทักษิณ ...แต่บอกว่าไปร่วมทวงประชาธิปไตย กันเล่า

Create Date : 29 มีนาคม 2553    
Last Update : 29 มีนาคม 2553 22:51:19 น.
Counter : 486 Pageviews.  




 

หมาแดดเดียว ภาพชุดที่ถูกถาม ว่าเป็นภาพจริง เรื่องจริง หรือเปล่า

ตอบครับเป็นภาพจริง ไม่มีรีทัช  ขอบคุณสำหรับเพื่อนที่ส่งภาพชุดนี้มาทดสอบระบบ การจับเท็จทางภาพถ่าย หลังจากได้ดูภาพชุดนี้ เจ้าของเป็นเวปไซด์เมืองจีน ที่โพสต์กันมา ได้ระยะหนึ่ง เป็นเรื่องราวของความนิยมในการเปิบพิศดารในมณฑลทางใต้ของประเทศจีน ตำบลหนึ่งที่มีประชาการก็ สามแสนกว่าๆ ประชากรส่วนใหญ่ทำการเกษตร แต่มีประมาณ สัก สามสิบครับครัวที่หันมาประกอบอาชีพ โรงชำแหละ สุนัข เพื่อนำไปตากแห้ง จำหน่ายกลับไปยังเมืองใหญ่ๆ รวมถึงแถวชายแดน ที่ส่งสุนัขเข้าไป อาทิ ลาว เวียดนาม

ความนิยมการรับประทานสุนัข  หลายคงคงได้ข้อมูล จากเงือนไข แก้หนาว กินแล้วร่างกายจะอบอุ่น  เนื่องจากสุนัขเป็นเนื้อสัตว์ประเภท  ธาต หยาง เหงื่อจะถูกขับมาก  กรุตุ้นระบบหมุนเวียนโลหิต และทำให้ร่างกายกระชุมกระชวย นั้นเป็นข้ออ้าง  แต่ประเทศไทยเป็นเพียงประเทศผู้ส่งสุนัข อายุไม่เกิน 1 ปี น้ำหนักไม่เกิน 8 กก.เป็นสุนัขพันธุ์ทาง ทั่วไป ไม่มีโรคติดต่อ  ซึ่งเป็น หมายเอเซียก็ว่าได้ ถามว่าต้องเป็นสุนัขดำหรือเปล่า ไม่จำเป็น ขอให้เป็นสุนัขขนสั้น  (ไม่มีเชื้อโรค)  ไม่ได้สั่งเข้ามาขาย เหมือนยาโป๊วของจีนประเภทอื่น เนื่องจากไม่นิยม และถูกต่อต้าน

การบวนการทำก็จะ นำสุนัขมาทุบหัวให้น๊อค หรือ ตาย จากนั้นก็จะนำไปลวกด้วยน้ำร้อนเพื่อ ลอกหนังออก  และจะผ่าเอาใส้ เอาพุง ออก แล้วล้างน้ำให้สะอาด จากนั้นจะหมักเกลือ และ สมุนทรไพร (เครื่องเทศ)  แล้วพึ่ง กับแดด ให้แห้งไม่ให้มีเชื้อโรค  สามารถเก็บได้ นานถึง 3 เดือน เป็นอย่างต่ำ ขณะที่ ในปีหนึ่งจะทำกันเพียง 2 เดือนเท่านั้น คือช่วง เดือน ตุลาคม ที่มีอากาศโล่ง แดดแรง และเป็นช่วงที่มียอดการสั่งเนื้อสุนัข เพื่อกินในช่วงหน้าหนาว และจะหมดพอดีช่วงตรุษจีน

จนในปัจจุบันมียอดสั่งเนื้อสุนัขมากถึงกับมีการ เพาะพันธุ์สุนัขเพื่อการบริโภค เพาะเหมือนหมู เหมือนวัว  เล่นเอาทำเป็นอุตสาหกรรม  มีการขยับทำฟาร์มเลี้ยงสุนัข พันธุ์ทาง ฟาร์มหนึ่งมีเป็นร้อยๆ ต้ว 

ขอบคุณภาพจาก นุ้ย ณ.เมืองจีน

ขอโทษ สำหรับ ผู้ที่รักสุนัข  ไม่มีเจตนาที่จะทำให้เกิดความรุนแรงหรือต่อต้านทุกชนิด  เจตนาเพื่อนำมาอธิบาย และตอบคำถามในเชิงสารคดี และปรากฏการณ์ในสังคม ทั่วไป

Create Date : 29 มีนาคม 2553    
Last Update : 29 มีนาคม 2553 22:51:11 น.
Counter : 1746 Pageviews.  




 

บล็อกเกอร์โอเคเนชั่น..ร่วมสร้างเครือข่าย รายงานสดจากพื้นที่ (update 28 มี.ค.53)

Blog to Book
Create Date : 29 มีนาคม 2553    
Last Update : 29 มีนาคม 2553 22:51:00 น.
Counter : 454 Pageviews.  




 

ภาพน้ำตก...ในวันฝนตก

         ปีนี้ดูจะเป็นปีที่เผชิญกับความแห้งแล้งได้ยาวนานอีกปีหนึ่ง ฝนฟ้าไม่ตกมาหลายวัน...จะมองไปทางไหนก็เห็นต้นไม้ใบหญ้า กลายเป็นสีน้ำตาล เห็นแล้วใจก็ห่อเหี่ยวตามไปด้วย แต่อย่างอื่นไม่เหี่ยวนะคร้าบ 555...จนเมื่อเช้าวันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม 2553 ณ อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช ฝนเทลงมาอย่างหนัก ต่อเนื่องมาตั้งแต่เมื่อคืน หยุดบ้าง ตกบ้าง จนถึงรุ่งเช้าวันนี้ เห็นฝนตกลงแบบนี้แล้ว รู้สึกสดชื่นสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

          ยามใดที่ฝนตกตอนเช้า หากเป็นวันหยุดด้วยแล้ว ช่างเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของการนอนเป็นอย่างยิ่ง...คุณเห็นด้วยไหมครับ? ในวันฝนพรำ วันสบายๆ แบบนี้ หากได้นั่งวาดภาพแล้วรู้สึกสบายใจ วันนี้อยากท้าทายตัวเองอีกแล้ว ด้วยการหัดวาดภาพน้ำตกภาพนี้ครับ



          และนี่เป็นครั้งแรกที่จะลองหัดวาดภาพน้ำตก ภาพที่เห็นนี้คือ น้ำตกโตนเต๊ะ ตั้งอยู่ในเขตอำเภอย่านตาขาว จังหวัดตรัง (ที่มาจากหนังสือ TRIPS) งานนี้จึงมีลุ้นอีกแล้วว่า...ภาพนี้จะลงเอยอย่างไร มาลุ้นไปด้วยกันนะ

1. ร่างภาพ โดยไม่เก็บรายละเอียดมาก แค่ให้เห็นโครงร่างคร่าวๆ ก็พอ

2. เติมสีโขดหิน น้ำ และต้นไม้ ถึงขั้นตอนนี้แล้ว บอกตามตรงว่า ยังมองไม่เห็นอนาคต สุดท้ายจะออกมาเป็นอย่างไร ลุ้นเช่นเดียวกัน




3. เพิ่มน้ำหนักสีให้กับต้นไม้ และโขดหินไปเรื่อยๆ มั่วๆ ไปบ้าง พยายามมองใกล้บ้าง ไกลบ้าง เพื่อหาจุดที่จะเติมสี และให้เกิดแสงเงา มีมิติ




4. ภาพสุดท้ายก็เกิดขึ้น พยายามได้แค่นี้แล้วครับ มากกว่านี้ก็คงจะเน่า...คงพอรับได้นะ

Create Date : 29 มีนาคม 2553    
Last Update : 29 มีนาคม 2553 22:50:35 น.
Counter : 1113 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  109  110  111  112  113  114  115  116  

boyberm
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




boyberm
Friends' blogs
[Add boyberm's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.