สังคมไทยได้อะไรจากนายกอภิสิทธิ์พูดคุยกับแกนนำ นปช.
ต้องถือว่าเป็น surprise ประจำสัปดาห์เมื่อเปิดทีวีเห็นนายกอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คุณกอร์ปศักดิ์ คุณชำนิ กับแกนนำนปช.สามคนคือ หมอเหวง คุณวีระ กับคุณจตุพร นั่งพูดคุยกันด้วยบรรยากาศที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งสองฝ่ายดูมีท่าทีผ่อนคลาย เหมือนคนนั่งคุยกันในห้องรับแขก ผมพยายามจับผิดว่าทั้งสองฝ่ายพยายามเล่นละครสมานฉันท์ตบตาชาวบ้านอยู่หรือเปล่า แต่ต้องหยุดพักความคิดแบบนี้ไว้ก่อน ผมไม่อยากเรียกเหตุการณ์ครั้งนี้ว่าเป็นการเจรจา แต่อยากเรียกว่าเป็นการพูดคุยหรือการสนทนา (dialogue) มากกว่า เพราะถ้าหากเป็นการเจรจาตกลง (negotiation)จะกลายเป็นพิธีการและถูกคาดหวังแบบกดดันทันทีว่า สองฝ่ายจะต้องได้บรรลุข้อตกลงหรือได้ข้อยุติอะไรสักอย่าง ซึ่งเป็นเรื่องยากมาก เพราะการที่คนเพียงไม่กี่คนนั่งพูดคุยกันในเวลาเพียงเท่านี้ จะหวังข้อตกลงเพื่อยุติปัญหาความขัดแย้งที่บาดลึกและเรื้อรังมาเป็นเวลานาน คงไม่ได้ แต่การที่ทั้งสองฝ่ายหยุดตั้งป้อม นั่งลง คุยกันยอมเปิดใจรับฟังเหตุผลความต้องการของอีกฝ่ายด้วยท่าทีที่ให้เกียรติ ก็ถือเป็นการเริ่มต้นของการยุติปัญหาความขัดแย้งในตัวของมันเองอยู่แล้ว สังคมไทยส่วนใหญ่ก็คงร่วมโมทนาสาธุกับเหตุการณ์ครั้งนี้ ทุกท่านคงเห็นแล้วว่า เพียงแค่ใส่ใจทำสิ่งเล็กๆน้อยๆก็ช่วยลดอุณหภูมิการเมือง ลดความร้อนรุ่มในใจของคนลงได้ตั้งเยอะ ความรู้สึกของแต่ละคนย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ ยกเว้นคนที่ไม่ยอมมองโลกในแง่ดีซะบ้าง ตามทฤษฎีของการสนทนาแลกเลี่ยนแบบนี้ ถือว่าทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกันแบบ win-win ถึงแม้ไม่ได้เต็มที่ แต่ก็ไม่มีใครเสียไปทั้งหมด ผมอยากลองแยกแยะดูว่า การพูดคุยครั้งนี้ แต่ละฝ่ายได้รับประโยชน์อะไรบ้าง ฝ่ายแรกคือ ฝ่ายสังคมซึ่งได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งเรื้อรังมาเป็นเวลานานโดยไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร เชิญนักวิเคราะห์ นักวิชาการ ผู้รู้สารพัดเรื่องมาออกความเห็นก็แล้ว แต่บรรยากาศความขัดแย้งก็ยังดำรงอยู่ พาลให้เกิดความเครียด โรคประสาทจะกินเอา แต่พอเปิดทีวีเห็นสองฝ่ายมานั่งคุยกันด้วยท่าทีที่ไม่คุกคามอีกฝ่าย ทุกคนรู้สึกโล่งอกขึ้นมาทันทีโดยที่ยังไม่รู้เลยว่าสองฝ่ายจะตกลงกันได้หรือไม่อย่างไร เพียงแค่เห็นภาพก็รู้สึกดีแล้ว หวังว่า ความรู้สึกดีๆเหล่านี้ จะอยู่กับคนไทยต่อไป เพื่อให้คนไทยนำไปใช้ในการส่องดูเหตุการณ์ที่มีความสลับซับซ้อนอื่นๆและหาทางออกร่วมกันอย่างมีสติ ภูมิปัญญาไทยแท้แต่โบราณก็สอนกันไว้ ทำให้เห็นกันมานักต่อนักแล้วว่า เมื่อลูกหลานมีเหตุขัดแย้ง ก็ให้ทั้งสองฝ่ายมานั่งพูดนั่งคุย มองหาสิ่งดีๆร่วมกัน คุยกันเสร็จก็ขอขมาลาโทษ ต้มไก่สู่กันกินเป็นที่เบิกบานสำราญใจ เราคงไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไปไกลขนาดนั้น เพียงแค่คิดถึงทุกข์ของคนอื่นแบบอกเขาอกเรา ไม่รีบด่วนชี้หน้า ประณาม ตัดสินคนอื่นจนเกิดความรู้สึกต่อต้าน เกลียดชังกัน ก็เป็นการเริ่มต้นแก้ปัญหาที่ดีแล้ว ฝ่ายที่สองคือฝ่ายนปช.เอง ที่สามารถลบภาพอันธพาลการเมืองลงไปได้ไม่น้อย แม้หลายคนจะมองว่าเป็นการปฏิบัติตัวหน้ากล้องโทรทัศน์เพื่อให้เป็นไปตามความคาดหวังของผู้ชม แต่ภาพที่ออกมาก็ทำให้คนดูรู้สึกสบายใจที่จะนั่งดูจนจบ เพราะไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า คนสวมเสื้อแดงที่มีภาพจำก้าวร้าว พูดจาสามหาว จะนั่งลงอย่างสงบเสงี่ยม พูดจาด้วยความนุ่มนวลและเรียกคุณอภิสิทธิ์ว่าท่านนายกทุกคำ ภาพเหล่านี้ฉายให้เห็นความเป็นมนุษย์ของแกนนำเสื้อแดงว่า อย่างน้อยคนเหล่านี้ก็ยังมีด้านที่สุภาพอ่อนโยน พอให้สัมผัสได้ หากสามารถนำเสนอด้านดีๆเหล่านี้ให้ปรากฏบ่อยๆ ภาพจำอันเลวร้ายของสังคมก็อาจถูกลบเลือนไปในไม่ช้า จับความรู้สึกลึกๆอันเป็นที่มาของการต่อสู้ข้างถนนของแกนนำ นปช.ได้ว่า นี่เป็นวิธีการแก้เผ็ดพรรคประชาธิปัตย์ที่จับมือกับการเมืองภาคประชาชนและระบบราชการ (ซึ่งพวกเขาเรียกว่า อำมาตย์) ออกมาบดขยี้ กวาดล้างเครือข่ายจนไม่มีที่ยืน ตามด้วยการปฏิวัติรัฐประหาร 19 กันยาเพื่อกวาดล้าง หัวเรือใหญ่หนีไปอยู่ต่างระเทศ อีกพวกถูกจับใส่กุญแจมือ (ตัดสิทธิ์ทางการเมือง) จับความจากคำพูดบางคำ แกนนำนปช.คงเห็นว่า วิธีการต่อสู้แบบเกลือจิ้มเกลือ ระดมสรรพกำลังทุกอย่างออกมาใช้เท่านั้น ที่จะช่วยรักษาสถานการณ์หรือ “พื้นที่” การต่อสู้ทางการเมืองของตนเองไว้ได้ การที่รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ ใจกว้างยอมนั่งลงพูดคุยกับแกนนำ นปช. และรับฟังโดยไม่ตอบโต้ (บางครั้งแสดงสีหน้า ส่งสัญญาณยอมรับความจริง)จึงถือว่าเป็นความสำเร็จอย่างหนึ่งของ นปช. เพราะถือว่าผู้กุมอำนาจรัฐได้ “ให้ราคา” คู่ต่อสู้ทางการเมืองของตนแล้วนั่นเอง ถ้าผมเป็นนักการเมืองฝ่ายเสื้อแดง ผมจะถือว่านี่เป็นชัยชนะเชิงสัญลักษณ์ครั้งสำคัญ ฝ่ายที่สาม ฝ่ายรัฐบาล ตอนแรกหลายฝ่ายมองสถานการณ์ด้วยความเป็นห่วงว่า ความนุ่มนวล ของคุณอภิสิทธิ์อาจจะทำให้ฝ่ายนปช.เหิมเกริม หยุดไม่อยู่ แต่พอเหตุการณ์ผ่านไปได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ความนุ่มนวลแบบใจดีสู้เสือ กลายจุดแข็งของรัฐบาล เพราะช่วยลดความเข้มของบรรยากาศการเผชิญหน้าลงอย่างเห็นได้ชัด ลางดีของฝ่ายรัฐบาลปรากฏขึ้นครั้งแรกคือการประกาศว่า ผู้ชุมนุมมิใช่ศัตรู แต่เป็นคนไทยด้วยกัน มีการสั่งการให้เจ้าหน้าที่ใช้ความอดทน อดกลั้นอย่างถึงที่สุด และแสดงท่าทีพร้อมจะพูดคุยตลอดเวลา แม้กระทั่งการยุบสภาซึ่งเป็นข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม ก็ไม่ถึงกับปิดประตูตายเสียทีเดียว ท่าทีทั้งหมดที่เป็นจุดยืนของรัฐบาลมาโดยตลอดได้แสดงให้เป็นที่ปรากฏผ่านคำพูด และการแสดงออกของนายกอภิสิทธิ์ในค่ำวันนั้น (28 มี.ค) แน่นอน เมื่อเทียบกันแบบปอนด์ต่อปอนด์ตามภาษานักมวยแล้ว นายกอภิสิทธิ์ย่อมได้เปรียบ เพราะมีธรรมชาติเป็นคนอ่อนนอกแข็งใน เป็นนักเจรจาชั้นยอด พูดจาให้คนฟังเข้าใจง่าย การที่นักบู๊เสื้อแดงทั้งสามคนสามารถสลัดภาพของความก้าวร้าว เหิมเกริม มานุ่งพูดคุยกับนักเรียนนอก และสามารถกุมสภาพการพูดคุยได้นุ่มนวลขนาดนี้ ก็ควรได้รับการยอมรับเช่นกัน จึงควรถือได้ว่า แม้ยังไม่มีข้อตกลงอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอัน แต่ทุกฝ่ายก็ได้ประโยชน์ร่วมกัน นั่นคือ มีบรรยากาศทางการเมืองที่ผ่อนคลายมากขึ้น (แม้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวก็ยังดี) ชาวบ้านคนทำมาหากินรู้สึกโล่งอก นปช.ก็ได้เสนอภาพตัวแทนของตนในอีกมุมหนึ่งซึ่งแตกต่างจากที่สังคมส่วนใหญ่เข้าใจ ส่วนรัฐบาลก็สามารถกุมสภาพบ้านเมืองให้เป็นปกติ ปราศจากการใช้ความรุนแรง เป็นที่ปรากฏแก่สายตาของชาวโลกว่า อย่างไรเสีย การต่อสู้ทางการเมืองในประเทศไทยก็ยังไม่มีอะไรเลวร้ายเกินไป ทั้งหมดคือการมองเฉพาะส่วนที่ดี (ซึ่งสามารถเลือกได้) แต่อย่างไรก็ตาม ผมยังมีข้อสังเกตเพิ่มเติม และอยากฝากไว้เป็นข้อควรระวัง เท่าที่สติปัญญาจะพึงมี กล่าวคือ ประการที่หนึ่ง ต้องแยกแยะรูปแบบ (mode) ระหว่างการพูดคุยแบบสนทนาแลกเปลี่ยน(dialogue) กับการเจรจาทำความตกลง (negotiation) ออกจากกัน เพราะทั้งสองอย่างมีเป้าหมายต่างกัน การพูดคุยแบบสนทนาแลกเปลี่ยนมีเป้าหมายเพื่อรับฟังความเห็นที่แตกต่าง และสื่อสารให้อีกฝ่ายเข้าใจด้วยท่าทีที่เคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน เพื่อหาทางคลี่คลายวิกฤติโดยทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน แต่หลังจากทั้งสองฝ่ายร่วมกิจกรรมแบบสนทนาแลกเปลี่ยนจนกระทั่งสามารถสื่อสารและยอมรับกันได้แล้ว ก็สามารถเข้าสู่รูปแบบการเจรจาทำความตกลง โดยเชื้อเชิญผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามาร่วมตัดสินใจมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ควรรีบเร่งจนเสียกระบวนเพราะทั้งหมด ต้องใช้เวลาอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน สังคมจะต้องทำหน้าที่เป็นผู้สังเกตที่ดี คือไม่กดดัน ไม่เรียกร้องให้แต่ละฝ่ายตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งตามคำเรียกร้องของอีกฝ่ายควรเคารพวิจารณญาณของแต่ละฝ่ายและปล่อยให้การตัดสินใจเป็นไปตามอำนาจหน้าที่ที่พึงกระทำ ประการที่สอง การรักษาบรรยากาศการพูดคุย (rapport) และการทำให้เกิดความต่อเนื่อง มีความสำคัญกว่าผลของการเจรจา (ระวังอย่าทำให้วงแตก) ดังนั้น คู่สนทนาทั้งสองฝ่ายจะต้องระมัดระวังท่าทีของตนเองมิให้เสียบรรยากาศ เช่น ต้องแสดงท่าทีรับฟังอีกฝ่ายด้วยความตั้งใจด้วยการ ไม่แทรก ไม่สวน ไม่ตอบโต้ แม้จะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม ควรพูดจากจุดยืนและความรู้สึกที่แท้จริงของตนเอง ไม่เตรียมคำตอบจากข้างนอกไปเสนอ และหลีกเลี่ยงการพาดพิงถึงบุคคลที่สาม และเรื่องที่นำมาพูด ควรอยู่ภายใต้กรอบหรือหัวข้อการพูดคุยที่ตกลงกันในแต่ละครั้งเท่านั้น นอกจากนี้ ควรพูดให้พอเหมาะ หนึ่งผลัด(turn)ต่อหนึ่งประเด็น (issue) ไม่ควรพูดทุกเรื่องในคราวเดียวกัน แบ่งปันโอกาสการพูด (floor) ให้คนอื่น ไม่ผูกขาดการพูดโดยเชื่อว่าตนเองเป็นผู้ที่รู้ดีที่สุด ประการที่สาม ต้องไม่นำสิ่งที่ได้ยินได้ฟังจากคู่สนทนา มาขยายความเพื่อประโยชน์หรือเป็นโทษต่อคนใดคนหนึ่ง การตัดสินใจแต่ละครั้งเป็นเรื่องของแต่ละบุคคลซึ่งสามารถใช้วิจารณญาณได้อย่างอิสระและรับผิดชอบเอง คู่สนทนาจะต้องไม่แสดงท่าทีกดดัน หรือบีบบังคับให้อีกฝ่าย ปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ตนเองต้องการได้ เช่น แกนนำ นปช.สามารถอธิบายเหตุผลของตัวเองได้ว่า ทำไมต้องยุบสภา แต่การตัดสินใจทั้งหมด เป็นของนายกอภิสิทธิ์ เป็นต้น ประการที่สี่ ต้องมีคณะทำงานสนับสนุน (back stage performer) ที่เข้มแข็งและเพียงพอ เพื่อทำหน้าที่ช่วยวิเคราะห์ วางกรอบ หัวข้อ (frame/agenda) ที่เหมาะสมสำหรับการพูดคุยในแต่ละครั้ง อาจมีความจำเป็นต้องมีวงสนทนาหลายวง หรือหลายเวทีแยกย้ายกันไปตามความจำเป็น โดยมีการสื่อสารสาธารณะอย่างต่อเนื่อง สถาบันพระปกเกล้าซึ่งเป็นผู้ริเริ่ม อาจจะต้องระดมคนจากที่อื่นเข้าไปช่วย (หากต้องการอาสาสมัคร ผมซึ่งเป็นเจ้าของบล็อกเกอร์นี้ ยินดีเข้าไปช่วยทำ) ประการที่ห้า สังคมจะต้องทำหน้าที่เป็นผู้สังเกตที่ดี คือไม่กดดัน ไม่เรียกร้องให้แต่ละฝ่ายตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งตามคำเรียกร้องของอีกฝ่ายควรเคารพวิจารณญาณของแต่ละฝ่ายและปล่อยให้การตัดสินใจเป็นไปตามอำนาจหน้าที่ที่พึงกระทำ อย่าเพิ่งคาดคั้นคำตอบสุดท้าย ปล่อยให้กระบวนการพูดคุยดำเนินไปสักระยะ เหตุการณ์น่าจะคลี่คลาย แต่สังคมต้องช่วยกันจับตา เพราะหากใครไม่ทำอย่างที่พูด จะเป็นฝ่ายเสียหายเอง
.................................
|