Genre : Action/Drama Director : ภวัติ พนังคศิริ Actors : สมชาย เข็มกลัด, เร แมคโดนัลด์, ปิติศักดิ์ เยาวนานนท์, ทราย เจริญปุระ, สะอาด เปี่ยมพงษ์สานต์
ตอนที่ผมได้ดูหนังตัวอย่างเรื่องนี้ ปฏิกิริยาแรกก็คือตาลุกวาวครับ เพราะดูเป็นหนังที่น่าสนใจมาก ถึงขนาดแอบหวังว่าหนังเรื่องนี้อาจจะเป็นหนัง Action/Drama สัญชาติไทยที่ดีเทียบชั้นกับที่ครั้งหนึ่งหนังเรื่อง “ต้องปล้น” ซึ่งนำแสดงโดยอำพล ลำพูน พงษ์พัฒน์ วชิระบรรจง และวรเชฐษ์ นิ่มสุวรรณ เคยทำได้ในยุค 80 หรือแม้แต่เคียงไหล่ไปกับ “เฉือน” ที่เป็น Suspense ไทยดีเด่นยุคนี้ จึงตั้งหน้าตั้งตารอดูมาหลายวัน จนในที่สุดก็ปลีกตัวไปดูในวันพุธตามประสาคนรักความประหยัด เพราะราคาเพียง 60 บาทเท่านั้น 555 แต่เมื่อดูจบก็รู้สึกว่าคิดถูกแล้วที่รอดูหนังเรื่องนี้ในราคา 60 บาท
นาคปรกว่าด้วยเรื่องของโจรสามคน ป่าน ปอ และสิงห์ ที่ปล้นเงินมาได้จำนวนหนึ่งแต่ไม่ทันได้แบ่งกันตำรวจก็ตามมาจนทั้งสามต้องแยกกัน ระหว่างที่หนีตำรวจอยู่นั่นเอง ปอดันทำกระเป๋าใส่เงินหล่นลงไปในหลุมในเขตก่อสร้างของวัดป่าล้อม โจรหนุ่มทั้งสามจึงรวมตัวกันกลับมาที่วัดซอมซ่อเพื่อเอาเงินที่ปอทำหล่นไว้ แต่เรื่องก็ยุ่งยากขึ้นเมื่อหลุมที่ปอทำเงินหล่นไว้โดนโบสถ์สร้างใหม่ทับไปซะแล้ว พวกเขาจึงต้องปลอมเป็นพระเพื่อหาทางขุดเงินที่อยู่ใต้โบสถ์ขึ้นมาให้ได้
บอกตามตรงตอนผมดูหนังตัวอย่างนี่ผมอยากดูมาก เพราะมีไม่บ่อยหรืออาจจะไม่มีเลยมั้งที่จะมีหนังเสียดสีวงการสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ยิ่งโฆษณาว่าถูกเซนเซอร์จนไม่ได้ฉายมา 3 ปียิ่งอยากดูใหญ่ว่าหนังมีประเด็นอะไรที่แรงได้มากขนาดนั้นหว่า? แต่เอาเข้าจริงหนังก็ไม่ได้แรงอย่างที่คิด ในทางกลับกัน ออกจะเบาบางและอ่อนแอด้วยซ้ำ
ยังไม่ต้องพูดถึงประเด็นศาสนาเลยครับ เอาแค่ในทางหนังที่วางไว้เป็น Action/Drama ที่จริงจัง เข้มข้นนาคปรกก็สอบตกทันที แม้พล็อตและสถานการณ์ของหนังจะดูน่าสนุกมาก (เห็นได้จากหนังตัวอย่างที่น่าดูสุดๆ) แต่พอแตกออกมาแล้วกลับไม่สนุกจนแทบจะน่าเบื่อเลยทีเดียว เทียบไม่ได้กับหนังฝาแฝดคนละยุคอย่าง “ต้องปล้น” ที่ทั้งเข้มข้น จริงจัง และลุ้นสนุก แม้แต่นิด (หากใครเคยดูคงจำได้ว่าหนังต้องปล้นก็เป็นเรื่องของโจรสามคนที่ปล้นธนาคารแล้วหนีตำรวจที่ไล่ล่าเหมือนกัน แต่ต่างตรงใน “ต้องปล้น” โจรทั้งสามหนีขึ้นไปจนมุมอยู่บนคอนโดแห่งหนึ่ง) การเดินเรื่องเป็นไปอย่างอืดเอื่อย งง แถมใส่มุกตลกอย่างไม่ถูกกาละเทศะ ทำให้หนังหลงทางไปในท้ายที่สุด โชคยังดีที่มีการแสดงที่ดีของนักแสดงหลักทั้งสามบวกสาวทรายอีกหนึ่งให้ตามดู ไม่งั้นคงหลับไปตั้งแต่ยังไม่ครึ่งเรื่องดี เต๋าเหมาะกับบทคนเลวกลับใจแบบนี้มาก ส่วนเรนั้น แม้บทจะไม่มีอะไรเลยนอกจากให้เลวๆๆ เขาก็ยังไม่คิดมากและก็ทำได้สถุลถึงใจ ส่วนปิติศักดิ์ก็ทำเท่าที่บทจะอำนวยแล้ว ทั้งสามเล่นดีมาก
ทีนี้ก็มาถึงประเด็นศาสนาครับ คอนเซ็ปท์ในการโฆษณาของหนังเรื่องนี้ชัดเจน คือ “แรงและหมิ่นเหม่ที่จะลบหลู่พุทธศาสนา” โดยขายคำที่ว่า “แรงจนถูกดองมา 3 ปี” “ครบทุกฉาก ไม่มีตัด” และยังตามมาด้วยคำอธิบายคร่าวๆ ว่าอย่าเพิ่งด่าว่าเรื่องความรุนแรงต่างๆ ในหนัง เช่นภาพพระถือปืนหรือพระอยู่กับสีกา เพราะทั้งหมดนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมเชิดชูพระศาสนา
กับผมแล้ว ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้ลบหลู่พระศาสนาจริงครับ แต่ไม่ได้ลบหลู่เพราะภาพพระถือปืน พระถูกปืนจ่อหัว หรือพระปิดห้องอยู่กับสีกาอะไรนั่นหรอกนะครับ เพราะสำหรับผมหรือใครที่เคยดูหนังรุนแรงอย่างหนัง Cult ทั้งหลายหรือหนังที่มีประเด็นหมิ่นเหม่ทางวัฒนธรรมความเชื่ออื่น ไม่ว่าจะเป็นบรรดาหนังก่อการร้ายที่ลบหลู่ศาสนาอิสลามตรงๆ หรือแม้แต่ The Passion Of The Christ ที่หมิ่นเหม่ต่อผู้นับถือมากกว่านาคปรกหลายขุมแล้ว ภาพในหนังนาคปรกก็เป็นเพียงแค่ของเด็กเล่นเท่านั้นเอง
ดังนั้นการลบหลู่พระศาสนาจึงไม่ได้เกิดจากภาพเด็กเล่นเหล่านั้น แต่อยู่ที่ “แก่น” ของหนังที่นอกจากคนทำหนังจะไม่เข้าใจพระศาสนาแล้ว หนำซ้ำยังจะพาคนดูที่ความรู้เรื่องพุทธไม่แข็งแรงออกทะเลไปด้วยกันอีกต่างหาก
(ต่อจากนี้อาจมีสปอยล์เล็กน้อยและต่อว่ามากเป็นพิเศษครับ) นาคปรกดูจะพยายามตั้งคำถามว่าพระศาสนาจะขัดเกลาคนเลวให้เป็นคนดีได้มั้ย โดยพล็อตให้มีคนเลวหนีเข้าวัดแล้วตอนจบก็จะกลายเป็นคนดี ตามพล็อตแบบนี้โจรจะกลับใจได้ก็ด้วยการได้สัมผัสความดีงามอีกด้านจากพระ ซึ่งพวกเขาที่อยู่ในสังคมเลวไม่เคยพบเจอ แต่จากที่ผมได้ดูก็ต้องบอกว่า พระในหนังไม่ได้เกี่ยวข้องหรือช่วยเหลืออะไรพวกโจรอะไรเลย
ซึ่งก็น่าจะเป็นอย่างนั้นอยู่หรอก เพราะคนสร้างจงใจให้พระวัดป่าล้อมทั้งหมดดูโง่ ขี้กลัว ขี้โมโห อ่อนต่อโลกทั้งสิ้น ไม่ได้สอนอะไรโจรทั้งสามเลย เห็นสอนก็ย้ำอยู่แต่เรื่อง “บัวสี่เหล่า” ซึ่งเป็นเพียงคำสอนเล็กๆ ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ยังมีที่สำคัญกว่านี้อีกมากกกก ก็อาจจะคิดเข้าข้างคนทำหนังไปได้ว่า เขาอาจจะพยายามสื่อเรื่องตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ซึ่งเป็นอีกคำสอนหนึ่งของพระพุทธเจ้า แต่ถ้าจะสื่อเรื่องนั้น ก็ไม่เห็นต้องเสี่ยงเซทฉากหลังเป็นวัดมาล่อเป้ากองเซนเซอร์เลย อีกอย่าง หากพระสอนแต่เรื่องบัวสี่เหล่านี้แบบนี้ มันจะเปลี่ยนโจรเลวๆ ให้กลับใจได้ยังไงเล่า อย่างนี้กลุ่มโจรอำพล พงษ์พัฒน์ในหนัง “ต้องปล้น” หนีขึ้นคอนโดไปยังได้แง่มุมดีๆ กว่ากลุ่มโจรเต๋า เรที่หนีเข้าวัดเสียอีก 555
อย่างที่บอก ในหนังไม่มีพระดีๆ ให้เห็นเลย พระในวัดป่าล้อมทั้งหมดดูโง่ ขี้กลัว ขี้โมโห อ่อนต่อโลกทั้งสิ้น ไม่ตรงกับภาพของพระศาสดาที่เป็น “ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน” หรือ “ผู้ชนะโลก” เลยสักนิด จริงอยู่แม้สถาบันสงฆ์ปัจจุบันจะมี "พระไม่ดี" อยู่มาก แต่ก็มี "พระดี" มากกว่าเสมอ ทำไมคนสร้างไม่คิดจะฉายภาพของพระดีที่เข้าถึงพุทธรรมออกมาบาลานซ์บ้างหนอ ก็เข้าใจว่าคนทำหนังคงพยายามให้คนดูเห็นภาพพระที่ไม่ดีเพื่อสะท้อนความดีตามภาษาหนัง แต่ผมว่าหากใส่พระดีๆ เข้าไปสักรูปนอกจากจะเชิดชูพระศาสนาอย่างที่คุยไว้ มันยังน่าจะส่งผลต่อการตัดสินใจของตัวละครและทำให้หนังลงตัวกว่านี้เยอะเลย
ที่หนักคือ ฉากสำคัญในช่วงท้ายหลายฉากอาจทำให้คนที่มีความรู้ในศาสนาไม่แข็งแรงเข้าใจศาสนาพุทธผิดอย่างรุนแรง เช่น ฉากการฆ่าตัวตายของใครบางคนที่อาจทำให้เข้าใจคำว่า “หลุดพ้น” ในทางพุทธผิดไปไกลจนกู่ไม่กลับ หรือฉากที่พยายามสื่อให้เห็นถึงข้อห้ามในอริยวินัยก็ทำออกมาจนกฏเหล่านั้นดูตื้นเขิน ไร้สาระ และไร้ใจซะเหลือเกิน
สรุปแล้ว ผมเข้าใจนะครับว่าคนทำหนังพยายามสะท้อนภาพลบของคนเลวที่เอาศาสนามาบังหน้า จึงทำให้ตัวละครหลักทั้งหลายเลวสุดๆ ซึ่งนั่นก็สะท้อนได้ดีมากทีเดียว และการหมิ่นศาสนาก็ไม่ได้มาจากจุดนั้น แต่ด้วยภาพวัดป่าล้อมอันโกโรโกโส ชีวิตพระอันไม่น่าอภิรมย์ใดๆ สักนิด บวกกับบรรดาพระลูกวัดตัวรองๆ (นอกจากหลวงพ่อชื่น) ที่ไม่ได้ทำหน้าที่สะท้อนความเลวอย่างตัวละครหลัก ซึ่งตัวละครเหล่านี้น่าจะสะท้อนภาพ "พระน้ำดี" เพื่อสะท้อนพระเลวให้ชัดชึ้น แต่กลายเป็นว่าพระน้ำดีในเรื่องกลับถูกจังหวะและภาษาภาพพลิกให้เป็นตัวตลกที่ล้วนขี้กลัว อ่อนต่อโลก และดูน่าสงสารยิ่งกว่าโจรไปซะ สิ่งที่พลาดเหล่านี้ทำให้ผมต้องย้อนกลับมาดูที่คนสร้างบอกว่าทำหนังเรื่องนี้เพื่อส่งเสริมเชิดชูพระศาสนาอีกครั้งว่า มันเชิดชูจริงหรือ เมื่อดูจบ ผมกับพี่ที่ไปดูด้วยกันยังตั้งคำถามเลยว่า “แล้วศาสนาพุทธนี่ดียังไงหว่า?” “การบวชเป็นพระมันไม่ได้ช่วยขัดเกลาคนเลยเหรอ?” ฯลฯ ก็เลยต้องตั้งคำถามไปยังคนทำหนังว่า “ตกลงหนังเรื่องนี้ส่งเสริมเชิดชูพระศาสนายังไง?” เพราะเมื่อผมดูจบแล้ว ไม่เห็นด้านดีของศาสนาพุทธสะท้อนออกมาจากหนังเรื่องนี้เลยจริงๆ
แน่นอน “พุทธรรม” คำสอนของพระพุทธเจ้า รวมทั้งคำสอนของศาสดาในทุกศาสนานั้น มากมายและครอบคลุมไปทั่ว ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ ยันเรื่องใหญ่ๆ เป็นสิทธิ์ของคนทำหนังที่จะหยิบจุดไหนมาสร้างก็ได้ ซึ่งจุดไหนก็สำคัญทั้งสิ้น แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะทำให้คนอื่นเข้าใจได้ ขนาดพระเทศน์ตรงๆ กันทั้งประเทศ ยังหาคนที่ซึมซับไปได้น้อยเลย อย่าว่าแต่นาคปรกใช้วิธีแสดงด้านลบเพื่อสะท้อนให้เห็นด้านดีก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ และในที่นี้บอกได้ว่าผู้สร้างเอาไม่อยู่
สิ่งที่ควรคิดก็คือ ไม่ว่าจะทำหนังแบบแสดงด้านลบฆ่ากันเป็นเบือ หรือแสดงด้านดีพระเอกบวชแล้วมีความสุขจบแบบแฮปปี้เอนดิ้งก็ตาม หนังควรสะท้อนความสวยงามหรือคุณค่าบางอย่างของ “พระ” และ “ธรรม” ในศาสนาพุทธออกมา เหมือนที่ Mel Gibson สื่อแก่นคริสต์เรื่อง "ความรัก" ออกมาจากหนังที่ทรมานเลือดสาดกันทั้งเรื่องอย่าง The Passion Of The Christ ได้ชนิดเหลือเชื่อ แต่หากทำไม่ได้ “ส่งเสริมเชิดชูศาสนา” อาจพลิกเป็น “หมิ่นศาสนา” ได้โดยไม่รู้ตัว
เป็นข้อบกพร่องของตัวบท? วิธีการเล่าเรื่องผิดพลาด? เข้าใจพระศาสนาคลาดเคลื่อน? หรือเพียงเอากระแสต่อต้านการเซนเซอร์และพระศาสนามายำเพื่อขายของเท่านั้น? ตัวคนทำเท่านั้นที่ตอบได้ และหากเป็นอย่างหลังสุดผมว่ามันออกจะบาปกรรมอยู่นะ อิอิ |