เช้าวันที่ 23 มี.ค. ผมตื่นเช้าเหมือนอยู่ที่บ้าน ประมาณ 6 โมงครึ่ง ล้างหน้า แปรงฟันเสร็จ ก็รีบเปิดประตูไปดูทะเล ทะเลไม่ได้ตื่นก่อน แต่มีใครบางคนบอกว่า ทะเลไม่เคยหลับ เมื่อเดินมาถึง ก็เห็นน้ำกอดรัดกับหาดทราย ยาวสุดตาทั้งซ้าย ทั้งขวา ในทะเลแผ่นเรียบ มีเรือรอเดินทางอยู่บ้างไม่กี่ลำ โยกคลอนไปตามแรงคลื่นเบาๆ น้ำซัดสาดผืนทรายให้เปียกชุ่มอยู่ตลอดเวลา หน้ารีสอร์ทที่เราเข้านอนกันหลังเที่ยงคืน เงียบ... หรือจะยังเช้าจนเกินไป เรือสามสี่ลำถูกลากจูงมาวางเรียงไว้ด้วยกัน คล้ายถูกปลดระวาง แห้งแล้ง ไม่นานนัก 'กุ๊ก' ผช.บก.นสพ.อันดามัน ไทม์ น้องร่วมห้องก็ตื่นตามมา เราช่วยกันเก็บเศษโฟมสีขาวที่คลื่นตีแตกอยู่เกลื่อนหาด บาดสีขาวลงบนหาดทราย กระจัดกระจายจนบาดตา แค่สี่ห้านาที เราก็ลบภาพบาดใจออกไปได้ สุขเล็กๆ ก็พลันเกิด ตาข่ายที่ถูกขึงอยู่ข้ามคืน มิอาจดักเวลาที่ลอดผ่านเอาไว้ได้ นั่นแหละ ความชราจึงมาเยือนทุกผู้คนอย่างไม่หลีกเลี่ยง เงียบๆ ทุกค่ำคืน อีกฟากฝ่ายแห่งตาข่าย เรือชีวิตดูลางเลือนเหมือนไม่เห็น ไม่เป็นไร อีกไม่นานแดดจ้าจะห่มคลุมหาดเงียบ ให้เห็นชัด เป็นจริง เมื่อตะวันลอยข้ามยอดเขาเบื้องหน้าที่พัก เงาแรกก็ค่อยปรากฏ ครอบครัวชาวสวีเดนที่พักอยู่ห้องใกล้เคียงเริ่มเรียงรายอยู่ชายหาด ใบเรือสีขาวไกลๆ เริ่มงานประจำวัน แล่นจากขวามาทางซ้าย ก่อนที่จะค่อยๆ หายไปจากสายตาวันอังคาร ขณะเรือหัวโทงลำเดียวคอยพยักเพยิดทักทายไปตามแรงลมเช้า สาวน้อยจากแดนแสนไกล หันหลังให้ทะเลสีน้ำเงิน เดินผ่านสายตาคนไม่ตั้งใจมอง ไม่สะทกสะท้าน บอกว่า ไม่ได้ตั้งใจจะมอง แต่กล้องเกเรจ้องแทน นานไปหน่อย... เช้าแล้ว... รอยเท้าของบางคนทิ้งหล่นอยู่บนชายหาดจนแยกไม่ออก มีบ้างที่ไม่อยากทิ้งร่องรอย แค่เหยียบเท้าน้อยๆ ไปตามผืนทรายเปียกน้ำ แล้วลมตะวันตกก็พัดคลื่นบางๆ มาลบล้างทุกๆ รอยเท้า เห็นไหม... บางที คนเราก็แทบจะไม่มีร่องรอยของการเดินทาง... |