การผสมเทียมและการเลือกเพศ โดย พ.ต.อ.นพ.เสรี ธีรพงษ์
ช่วงนี้กำลังศึกษาการเลือกเพศบุตรอยู่
เพราะอยากเอาฤกษ์เอาชัย ว่าให้คนแรกเป็นผู้ชาย คนต่อๆ ไปจะได้ไม่ต้องลุ้นเพศ เป็นหญิงก็ได้ชายก็ได้

หาข้อมูลใน internet มาหลายวิธี ก็คิดว่าบทความนี้ค่อนข้างครบถ้วนแม้จะยาวหน่อย

แต่เนื่องจากคุณหมอ เสรี โพสไว้ในเวบไซด์แล้วอ่านยาก เลยนำมาจัดย่อหน้าใหม่ โดยไม่ได้เปลี่ยนข้อความ

ที่มา

//drseri.com/node/258

การผสมเทียมและการเลือกเพศ (ARTIFICIAL INSEMINATION & SEX SELECTION)25 April, 2008 - 10:52 — drseri

"การผสมเทียม" เป็นคำศัพท์ภาษาไทยที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่ไม่ว่าจะเป็น ชาวบ้านหรือคนมีความรู้ ต่างยากที่จะเข้าใจความหมาย หากถ้ารู้ที่มาจะเข้าใจทันที เพราะแปลมาจากคำว่า ARTIFICIAL INSEMINATION ซึ่งแปลว่า การฉีดเชื้ออสุจิด้วยอาศัยสิ่งประดิษฐ์

ทางวิทยาศาสตร์ช่วย หมายความว่า เป็นการช่วยเหลือการผสมพันธุ์ โดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ เลียนแบบธรรมชาติ ด้วยการฉีดน้ำเชื้ออสุจิ ของสามีหรือของผู้อื่น เข้าไปในช่องคลอดหรือมดลูก

ในราว ค.ศ.1790 (พ.ศ.2333) มีรายงานเป็นครั้งแรกเกี่ยวกับการผสมเทียมโดยJOHN HUNTER ด้วยการฉีดเชื้ออสุจิของสามีที่มีองคชาติพิการ(HYPOSPADIAS) เข้าไปในช่องคลอดของสตรีนางหนึ่ง ผลปรากฎว่า มีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นตามปกติต่อมา MARION SIMS ประยุกต์ใช้วิธีฉีดเชื้ออสุจิไว้ที่คอมดลูกแทน ประสบความสำเร็จ 1 ราย ในคนไข้สตรี 6 ราย

ในระยะไม่กีปีมานี้ การฉีดเชื้ออสุจิเข้าในโพรงมดลูกโดยตรง เป็นที่นิยมแพร่หลายในหมู่แพทย์ผู้ทำการรักษาคนมีลูกยาก ยิ่งโดยเฉพาะปัจจุบันนี้ เราสามารถทำนายการตกไข่ได้อย่างแม่นยำด้วยแล้ว การฉีดเชื้อเข้าโพรงมดลูกจะถือเป็น วิธีการแรกที่ให้การรักษากับคนไข้สตรีที่มีปีกมดลูกดีอย่างน้อยหนึ่งข้าง

คำถามก็คือ เมื่อไรควรเริ่มต้น มีข้อบ่งชี้อย่างไร,มีวิธีการอย่างไร และเมื่อไรควรจะหยุดใช้วิธีการนี้


เมื่อไรควรเริ่มต้น

การตัดสินใจเริ่มต้นให้การรักษาด้วยวิธีการฉีดเชื้อนี้ เป็นหน้าที่ของหมอ เพราะขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยโรค,อายุ,ระยะเวลาที่อยู่ด้วยกัน,ประวัติทางสูติ และผลการตรวจน้ำเชื้ออสุจิ

โดยปกติ จะเริ่มต้นให้การรักษาด้วยวิธีการนี้ได้เลย ตราบใดที่คนไข้สตรีมีปีกมดลูกไม่ตันอย่างน้อยหนึ่งข้าง แต่ในบางครั้งเราอาจเปลี่ยนแปลงไปใช้วิธีการอื่นที่เหมาะสมก่อนก็เป็นได้

ตัวอย่างเช่น กรณีที่ผู้ป่วยได้รับการเจาะท้องส่องกล้องแล้วพบว่าภายในมีพังผืดอยู่เต็มไปหมด แม้ปีกมดลูกจะดีก็ตาม "ไข่" ที่ตกออกมาย่อมไม่สามารถเข้าสู่ปีกมดลูกได้ หรือกรณีสตรีอายุมากกว่า 45 ปี หรืออายุน้อย แต่มีรังไข่ไม่ทำงาน และใจยังอยากมีลูกสืบสกุล หรือกรณีสามีเชื้ออ่อนมาก (จำนวนตัวอสุจิน้อยกว่า 5-10 ล้านตัว ต่อ มิลลิลิตร)

กรณีเหล่านี้ การฉีดเชื้อเข้าโพรงมดลูก มีโอกาสน้อยมากที่จะสัมฤทธิ์ผล
สำหรับข้อบ่งชี้ มีมากมายจนไม่จำเป็นต้องไปคำนึงถึงมาก เพราะครอบคลุมเกือบทุกกรณี ดังนี้

1. ผู้ชายที่มีปัญหาด้านการหลั่งน้ำอสุจิ (EJACULATORY FAILURE)
2. ผู้ชายที่มีปัญหาเรื่อง "ตัวอสุจิ" เช่น จำนวนน้อยเกินไป หรือจำนวนที่เคลื่อนไหวน้อยกว่ามาตรฐานมาก
3. ในสตรีที่ปากมดลูกมีปัญหา เช่น มีปริมาณมูกน้อยเกินไป
4. ปัญหาด้านภูมิต้านทานทั้งของผู้หญิงและของผู้ชาย
5. ปัญหาที่หาสาเหตุไม่ได้
6. ปัญหาที่มีหลาย ๆ ปัญหารวมกัน
7. การเลือกเพศ

ส่วนการใช้เชื้ออสุจิของชายอื่น เราจะทำในกรณี
1. สามีเป็นหมันหรือมีจำนวนตัวอสุจิน้อยมาก
2. สามีเป็นโรคทางกรรมพันธุ์ร้ายแรง
3. หมู่เลือดชนิด Rh.ของสามีภริยาเข้ากันไม่ได้ (Rh INCOMPATIBILITY)
4. สตรีโสดที่ต้องการจะมีบุตร

ปัจจุบันนี้ การใช้ "เชื้ออสุจิ" จากชายอื่น เราจะใช้เชื้ออสุจิแช่แข็ง (FROZEN
SPERM) มากกว่า เชื้ออสุจิบริจาคที่เก็บได้ใหม่ ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงโรคที่ติดต่อได้จากน้ำอสุจิ เช่นกามโรค,โรคทางกรรมพันธุ์ และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะโรคเอดส์ เนื่องจากผู้บริจาคเชื้อจะได้รับการตรวจเลือด เพื่อหาความผิดปกติดังที่กล่าวแล้ว เป็นระยะ ๆ จนแน่ใจว่าน้ำอสุจิที่แช่แข็งนั้นปลอดภัย

"เชื้ออสุจิ" ที่แช่แข็ง สามารถนำกลับมาใช้ได้ผลดีในช่วงระยะเวลาที่ยาวนานพอควร แต่หากนานเกินกว่า 3 ปี จะทำให้อัตราการเคลื่อนไหวของ "ตัวอสุจิ" ลดน้อยลง อย่างไรก็ตามมีรายงานว่า "อสุจิ" ที่ถูกแช่แข็งนานถึง 17 ปี ยังนำมาใช้ผสมเทียมได้สำเร็จ

ดังนั้น ในบางครั้ง สามีอาจต้องการเก็บเชื้อแช่แข็งไว้ใช้ยามจำเป็นก็อาจทำได้ เช่น

* ไปออกรบ หรือเดินทางไกล ๆ ซึ่งไม่แน่จะรอดชีวิตกลับมา หรือ
* ต้องการทำหมัน เก็บเชื้อแช่แข็งเผื่อไว้ภายภาคหน้ายังต้องการมีบุตรอีก หรือ
* ต้องการรักษาโรคร้ายแรง เช่น มะเร็ง โดยใช้ยาเคมีบำบัด ผ่าตัด รังสี อันจะมีผลต่อการสร้าง "อสุจิ"

ผลสำเร็จของการแช่แข็งขึ้นอยู่กับ คุณภาพของน้ำอสุจิก่อนแช่แข็ง, กรรมวิธีเทคนิค,อุปกรณ์เครื่องมือและความชำนาญของบุคคลากรผู้ทำ


วิธีการทำอย่างไร

ก่อนฉีดเชื้อเข้าโพรงมดลูก เชื้ออสุจิต้องผ่านกระบวนการ "คัดเชื้อ" ก่อน เพราะปริมาณน้ำอสุจิที่ฉีดเข้าไปในโพรงมดลูกเราใช้จำนวนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นอกจากนี้ การ"คัดเชื้อ" ยังทำให้ "ตัวอสุจิ" มีความสามารถในการปฏิสนธิได้ในทันทีด้วย

การฉีดเชื้อ "อสุจิ" จริง ๆ แล้วมี 4 วิธีการ แต่ถ้าเป็นไปได้ เราจะฉีดเชื้อเข้า
สู่ในโพรงมดลูก เพราะเป็นการย่นระยะทางที่ "ตัวอสุจิ" จะว่ายไปยัง "ปีกมดลูก" ตำแหน่งที่มีการปฏิสนธิเริ่มแรกของมนุษย์

การฉีดเชื้อเข้าโพรงมดลูก มาจากคำว่า "INTRAUTERINE INSEMINATION" ใช้ย่อว่า IUI (ไอยูไอ) หากไม่สามารถฉีดเข้าไปในโพรงมดลูกได้ เราก็ฉีดเชื้อไว้ที่ปากมดลูก(INTRACERVICAL INSEMINATION หรือ ICI) หรือร่วมกับใส่หมวกพลาสติกคลุมปากมดลูกกันเชื้ออสุจิไหลย้อนออกมาภายนอก (PERICERVICAL WITH CERVICAL CAP) สุดท้ายจริง ๆ ที่เราจะฉีดเชื้ออสุจิไว้ในช่องคลอด (INTRAVAGINAL INSEMINATION) เหมือนกับในวิธีเริ่มแรกที่คนคิดขึ้นมาใหม่ ๆ

การกระตุ้นไข่ เป็นวิธีการหนึ่ง ที่ใช้ร่วมกับการฉีดเชื้อเข้าโพรงมดลูกที่ได้ผลดี อาจจะเป็นการกระตุ้นโดยใช้ยากินธรรมดา (CLOMIPHENE CITRATE) หรือ ใช้ยาฉีดกระตุ้นให้"ไข่" เจริญขึ้นมาจำนวนมาก ( OVARIAN HYPERSTIMULATION) ก็ได้

หลังจากกระตุ้นไข่ ต้องติดตามเฝ้าดูโดยใช้อัลตราซาวน์ และผลฮอร์โมนจากเลือดจน "ไข่" ได้ขนาดที่เหมาะสมและมีคุณภาพดี จึงกระตุ้นให้ "ไข่" ตกอีกที

ปัจจุบันนี้ เราสามารถกำหนดเวลาให้ "ไข่" ตกได้ค่อนข้างแม่นยำ "ไข่" มีอายุการใช้งานประมาณ 24 ชั่วโมง ดังนั้น เราจึงควรฉีดเชื้อเข้าในโพรงมดลูกในช่วงระยะเวลาดังกล่าว โดยอาจจะฉีดหนึ่งครั้งหรือฉีดซ้ำสองครั้งในระยะเวลาที่ห่างกัน 24-48 ชั่วโมงก็ได้

การตัดสินใจว่า เมื่อไรควรจะยุติ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ทำการรักษา,รายจ่ายเทียบกับผลที่ได้รับและการตัดสินใจของผู้ป่วยร่วมด้วย

จากงานวิจัยจากสถาบันต่าง ๆ พบว่า คนไข้สตรีมักจะตั้งครรภ์ขึ้นมาเมื่อทำการรักษาได้ประมาณ 6 รอบเดือน ในบางรายงานอาจถึง 12 รอบเดือน เพราะฉะนั้นโดยหลักการ หากเป็นสตรีที่อายุน้อย ๆ และยังหาสาเหตุอะไรไม่ได้ มีความอดทนที่เพียงพอ ก็ควรทำการกระตุ้นไข่และฉีดเชื้ออสุจิเข้าโพรงมดลูกประมาณ 6 รอบเดือน ก่อนที่จะให้การรักษาวิธีอื่นหรือมาวิเคราะห์การรักษากันใหม่

อย่างไรก็ตาม ต้องคำนึงถึง เศรษฐกิจ,ฐานะและการตัดสินใจของคู่สมรสด้วย นอกจากนี้ เราอาจพบพยาธิสภาพอื่น ๆ ในระหว่างที่ให้การรักษา อันอาจนำมาพิจารณา เพื่อเปลี่ยนแปลงให้การรักษา วิธีอื่นที่เหมาะกว่าตามความเหมาะสม


ผลสำเร็จจากการรักษา

อัตราความสำเร็จจากการกระตุ้นไข่ร่วมกับการฉีดเชื้อเข้าไปในโพรงมดลูกอยู่ในราวร้อยละ 10 - 15 ต่อรอบเดือน แต่จะสูงขึ้นได้ถึงร้อยละ 50 หากพยายามกระทำหลาย ๆ ครั้งในเวลา 1 ปี นั่นหมายถึงว่า จำนวนเชื้ออสุจิของฝ่ายชาย และท่อนำไข่ของฝ่ายหญิงต้องอยู่ในสภาพที่เป็นปกติด้วย



การเลือกเพศ

การที่ครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง ต้องการลูกชายหรือลูกสาวมากเป็นพิเศษนั้น ก็เพราะส่วนหนึ่งมีความเชื่อฝังหัวมาแต่โบราณว่า บุตรชายช่วยเชิดชู สืบสายวงค์ตระกูล บุตรสาวเติบโตขึ้นมาแล้ว ก็แต่งงานเป็นของสกุลอื่น จึงอย่างน้อยในครอบครัวอยากมีบุตรชายสักหนึ่งคนก่อน ส่วนบุตรคนต่อไปจะเป็นหญิงหรือชายได้ทั้งนั้น

ความคิดดังว่านี้ มีมากในสังคมตะวันออก โดยเฉพาะในประเทศจีน ซึ่งมีพลเมืองจำนวนมากและรัฐบาลพยายามจำกัดประชากรที่เกิดใหม่ คนที่ทำงานราชการทุกครอบครัวต้องมีบุตรเพียงคนเดียว ทำให้เกิดโศกนาฎกรรมทำลายทารกมากมาย โดยเฉพาะทารกที่เป็นเพศหญิง

ความจริงแล้ว ผู้หญิงทุกคนยิ่งใหญ่กว่าผู้ชายอีก ไม่ว่าจะเป็นความรัก ความเสียสละ ความอดทนสุดท้ายคนที่มักคอยดูแลพ่อแม่ที่แก่เฒ่า กลับเป็นผู้หญิง ที่ครั้งหนึ่งอาจเคยคิดว่า "ไม่มีค่า"

หลักการพื้นฐาน

การให้กำเนิดทารกเพศหญิงหรือชายนั้น เกิดขึ้นจากการปฏิสนธิรวมกันของ "ตัวอสุจิ"และ "ไข่" "ตัวอสุจิ" มีโครโมโซมเพศ 2 ชนิด คือ "X" และ "Y" ส่วน "ไข่" ของสตรีมีโครโมโซมชนิดเดียว คือ "X"
ถ้า "ตัวอสุจิ" ที่มีโครโมโซม "X" เข้าผสมกับ "ไข่" ก็จะได้ผลเป็น "XX" คือ
เพศหญิงถ้า "ตัวอสุจิ" ที่มีโครโมโซม "Y" เข้าผสมกับ "ไข่" ก็จะได้ผลเป็น "XY" คือเพศชาย

ในธรรมชาติแล้ว จะมีการสร้างตัวอสุจิที่มีโครโมโซม "X" และ "Y" พอ ๆ กัน

คุณสมบัติที่แตกต่างกันคือ
1. ตัวอสุจิ X ขนาดหัวโต ตัวหนัก เคลื่อนไหวช้ากว่า ตัวอสุจิ Y
2. ตัวอสุจิ X ทนสภาวะที่เป็นกรด ส่วนตัวอสุจิ Y ทนสภาวะที่เป็นด่าง

ด้วยคุณสมบัติที่แตกต่างกันเหล่านี้ ทำให้นักวิทยาศาสตร์หาทางแยกตัวอสุจิ X ออกจากตัวอสุจิ Y ได้ โดยแบ่งออกเป็นการเลือกเพศโดยวิธีธรรมชาติ

ผู้ที่คิดวิธีนี้ขึ้นมา คือ นายแพทย์ SHETTLES ชาวฝรั่งเศส รายงานในปี ค.ศ.1960(พ.ศ.2503) โดยอาศัยทฤษฎีที่ว่า ตัวอสุจิ Y มีขนาดเล็กกว่า เคลื่อนที่ได้เร็วกว่า ทนต่อสภาวะด่างได้ดี เขากล่าวว่า โอกาสที่จะได้บุตรตามต้องการด้วยวิธีดังกล่าวมีสูงถึงร้อยละ 80 เลยทีเดียว โดยถ้าต้องการได้บุตรชาย ให้ปฏิบัติดังนี้

1. ร่วมเพศในเวลาที่ใกล้ไข่สุกมากที่สุด
2. ก่อนมีเพศสัมพันธ์ ให้ล้างช่องคลอดด้วยโซดาไบคาบอเนต (โซดาปิ้งขนมปัง)ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะผสมน้ำสะอาด 1 ลิตร ควรล้างช่องคลอดก่อนร่วมเพศ 1 ชั่วโมง
3. ฝ่ายผู้หญิงควรถึงจุดสุดยอดก่อนหรือพร้อม ๆ กับฝ่ายชาย เพื่อให้หลั่งน้ำเมือกที่มีฤทธิ์เป็นด่างออกมา
4. เมื่อถึงจุดสุดยอด ฝ่ายชายควรสอดอวัยวะเพศเข้าไปให้ลึกที่สุด เพื่อทำให้น้ำอสุจิสัมผัสมูกที่ปากมดลูกโดยตรงมากที่สุด
5. ควรงดการร่วมเพศไว้จนกว่าจะถึงวันไข่สุก

ถ้าต้องการได้บุตรหญิง ให้ปฏิบัติดังนี้

1. มีเพศสัมพันธ์ 2-3 วัน ก่อนไข่สุก
2. ก่อนร่วมเพศ ให้ล้างช่องคลอดด้วย ส่วนผสมของน้ำส้มสายชูประมาณ 2 ช้อนโต๊ะกับน้ำสะอาด 1 ลิตร ควรล้างช่องคลอดก่อนร่วมเพศประมาณ 1 ชั่วโมง
3. ฝ่ายหญิงควรกลั้นไม่ให้มีความรู้สึกสุดยอดเอาไว้ หรือ มีความรู้สึกสุดยอดภายหลังที่ฝ่ายชายหลั่งน้ำอสุจิออกมา เพื่อป้องกันการหลั่งน้ำเมือกในช่องคลอดซึ่งมีฤทธิ์เป็นด่าง
4. ฝ่ายชายควรสอดอวัยวะเพศให้อยู่ในช่องคลอดเพียงตื้น ๆ เพื่อให้ "ตัวอสุจิ"ว่ายผ่านสภาวะที่เป็นกรดให้ช่องคลอดเข้าไปหาปากมดลูก
5. ไม่จำเป็นต้องงดการร่วมเพศเป็นเวลานาน นอกจากระยะ 2-3 วัน ก่อนไข่ตก

การรับประทานอาหารหรือยาบางชนิดก็ช่วยในการคัดเลือกเพศได้
วิธีนี้รายงานโดย STOLOSKI โดยอาศัยหลักการที่ว่า อาหารบางอย่างทำให้ภาวะในช่องคลอดมีความเป็นกรดหรือด่างได้ตามต้องการ ยกตัวอย่าง
หากต้องการบุตรชาย ก็ให้รับประทานอาหารที่มีเกลือโซเดียม และโปตัสเซี่ยมสูงเช่น ถั่ว,เนื้อสัตว์ที่สดหรือไม่สุก,ปลาทุกชนิด,ใส้กรอก ผักทุกชนิดที่ไม่แช่เย็น (ยกเว้นผักที่ต้องห้าม),มันฝรั่ง,กล้วยหอม ของหวานต้องรับประทาน แยม,ผลไม้ตากแห้งต่าง ๆ,ลูกพรุน,ลูกเกด,อินทผลัม,ลูกเกาลัด,ผลไม้กวน,ผลมะกอก,แตงต่าง ๆ ขนมปังที่ไม่มีนม รวมทั้งน้ำชา,
กาแฟ,น้ำอัดลมที่มีแอลกอฮอล์

อาหารต้องห้ามสำหรับลูกชาย ก็ให้หลีกเลี่ยงอาหารที่มีแคลเซี่ยมสูง เช่น นมทุกชนิดอาหารทุกชนิดที่ทำจากนม (เนยแข็ง,นมเปรี้ยว ฯลฯ) ขนมปังที่มีนมเป็นส่วนผสม ผักสลัดกระหล่ำปลีสดหรือดอกกระหล่ำ,ผักกาดหอม,ผักบุ้ง,ลูกนัต,โกโก้,ช็อคโคแลต และมัสตาต

หากต้องการบุตรสาว ต้องรับประทานอาหารที่มีโปแตสเซียมน้อย พวก แป้ง,นม,ไข่,ผักสีเขียว สดหรือแช่เย็น ผลไม้แห้งและเนยที่ไม่เค็ม ผลไม้สดทุกชนิด ยกเว้นสับปะรด ยิ่งรับประทานเท่าไร โอกาสมีบุตรสาวยิ่งมากเท่านั้น และหลีกเลี่ยงอาหารรสเค็ม,ชา,กาแฟ,เนยเค็ม,น้ำผลไม้สด,เหล้าองุ่น
ในระหว่างรับประทานอาหารเหล่านี้ ต้องไม่รับประทานยาอื่นใดแม้จะเป็นไข้หรือหวัด

ที่สำคัญ คือ จะต้องรับประทานอาหารดังกล่าวข้างต้นอย่างน้อยสองเดือนครึ่ง ก่อนที่จะตั้งครรภ์จึงจะได้ผล โดยในระหว่างนี้ต้องคุมกำเนิดไว้ก่อน
นายแพทย์ STOLOSKI อ้างว่า ได้ผลถึงร้อยละ 80
การรับประทานยาบางประเภท เช่น ยาโซเดียมใบคาบอเนต ในช่วงระยะเวลาที่"ไข่" ตก เพื่อให้ภาวะในช่องคลอดเป็นด่าง ก็เชื่อว่า ทำให้ได้บุตรชายเช่นกัน

วิธีการแยกเชื้ออสุจิเพศชายและเพศหญิงออกจากกัน มีหลายวิธีที่สำคัญคือ
1. ใช้หลักว่า ความเร็วในการว่ายของอสุจิ X และ Y ไม่เท่ากัน โดยให้นำน้ำอสุจิมาใส่ไว้ในส่วนบน ของหลอดแก้วซึ่งมีสารอัลบูมิน ในความเข้มข้นระดับหนึ่ง แล้วปล่อยให้"ตัวอสุจิ" ว่ายลงมาจากด้านบน พบว่า เมื่อนำเอาส่วนล่างที่มีอสุจิ Y ในความเข้มข้นที่สูง มาฉีดให้ฝ่ายหญิง จะได้ผลสมตามปรารถนาถึงร้อยละ 75-79 วิธีนี้ใช้เลือกบุตรชาย
2. ใช้หลักว่า อสุจิ X ตัวหนักกว่า อสุจิ Y โดยการนำเอาน้ำอสุจิมาปั่นให้ตกตะกอนผ่านสารที่มีความเข้มข้นสูงบางชนิด เป็นตัวกลางช่วยกรองตัวอสุจิ ผลคือ จะได้ "ตัวอสุจิ X" ในส่วนน้ำยาชั้นล่างได้ถึงร้อยละ 80 วิธีนี้ใช้เลือกบุตรเพศหญิง

การเลือกเพศโดยวิธีแยกตัวอสุจิเพศหญิงและชายออกจากกันนี้ จะทำให้จำนวน"ตัวอสุจิ" ที่นำมาใช้งานน้อยลงไปอีก อาจเป็นสาเหตุหนึ่งให้โอกาสปฏิสนธิน้อยลงไปด้วย

ส่วนการเลือกเพศภายหลังปฏิสนธิแล้ว ทำได้โดยการหาโครโมโซม วิธีการคือหากอายุครรภ์น้อย ๆ 6-10 สัปดาห์ ก็ใช้วิธีดูดเซลล์รกมาเลี้ยงโครโมโซม เมื่ออายุครรภ์มากขึ้นประมาณ 14-16 สัปดาห์ ให้เปลี่ยนวิธีมาทำโดย เจาะเอาน้ำคร่ำมาเลี้ยงโครโมโซม หากว่าไม่ได้ทารกเพศตรงตามต้องการ ก็ทำแท้งออกมา วิธีการนี้ไม่เหมาะนักในดินแดนพุทธศาสนาอย่างประเทศไทย



ค่าใช้จ่าย

การฉีดเชื้อเข้าโพรงมดลูกเป็นกรรมวิธีที่ง่ายและพื้นฐาน ดังนั้น ในแต่ละครั้งที่ทำจึงเสียค่าใช้จ่าย ประมาณ 1,000-2,000 บาท ส่วนถ้าเลือกเพศด้วย ค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นเป็น3,000-4,000 บาท เท่านั้นเอง

คนเราเกิดมาเป็นมนุษย์นั้น ถือว่า โชคดีแล้ว โชคดีสำหรับคนที่เกิดมาและพ่อแม่บุพการี สำหรับบุพการี มีโชคดีคือ ได้ผู้สืบสกุล ช่วยดูแลยามแก่เฒ่า และทำให้ชีวิตคู่มีความหมายมากขึ้น สำหรับคนที่เกิดมา มีโชคดี คือ ได้เกิดมาเป็นคน ซึ่งเป็นสัตว์ประเสริฐที่สุดในโลกมีสมองคิดได้ มีดวงตาเห็นความเป็นไปในโลก มีแขนขาทำงานสู้ชีวิต มีจิตใจได้เรียนรู้ ที่จะสร้างคุณความดี
การเลือกเพศ เป็นเพียงเพื่อความพอใจของบุพการีเท่านั้น จะได้ตามต้องการหรือไม่ก็ตาม อย่าไปทำลายหรือทอดทิ้ง "ลูก" ที่กำลังจะเกิดมาเลย ขึ้นชื่อว่า "ลูก" ย่อมน่ารักทุกคน

"ลูก" จะดีหรือชั่ว อยู่ที่พ่อแม่ต้องรับผิดชอบ หน้าที่ของพ่อแม่ มีมากกว่าแค่มี "ลูก" ไว้เชยชมเท่านั้น

&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
พ.ต.อ.นพ.เสรี ธีรพงษ์ ผู้เขียน






Create Date : 21 เมษายน 2552
Last Update : 22 เมษายน 2553 16:16:51 น.
Counter : 1690 Pageviews.

1 comments
  
อยากมีลูกค่ะ ทำอย่างไร ดิฉันอายุ 31 ปี แต่แฟนอายุต่างกันมากถึง 30 ปี แต่อยากมีลูกทำอย่างไรรบกวนให้คำแนะนำหน่อยได้ไหม ค่ะต้องเสียค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ในการผสมเทียม
โดย: ศศิกานต์ อินตา IP: 203.144.144.164 วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:15:47:07 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

la-la-bell
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



ตอนนี้เลี้ยงหลานเป็นงานอดิเรก เลี้ยงจนมีคนหาว่าลูกหรือเปล่านี่ เห่อที่สุด

ในรูปก็เราเองค่ะ ตอนประมาณ 4-5 ขวบได้ ตุ๊กตาแพนด้าตัวนี้ก็ยังอยู่ค่ะ แต่มอมแมมมาก ฮ่าๆๆๆ


ตอนนี้ตั้งเป้าอยากลดน้ำหนัก 15 ก.ก. จะสู้ต่อไปค่ะ