บทที่ ๖ ความลับบ้านทาวน์เฮ้าส์สองชั้นพื้นที่สามสิบตารางวา ชั้นสองมีห้องนอนสองห้องน้ำหนึ่งส่วนด้านล่างเปิดประตูเข้ามาจะพบโซฟารับแขก ใกล้กันเป็นตู้โชว์วางทีวีจอพลาสมาขนาดไม่ใหญ่ ถัดหลังโซฟาไปเป็นพื้นที่โล่งซึ่งเจ้าของบ้านใช้เป็นพื้นที่ทำงาน ตรงไปอีกนิดเป็นห้องครัวและห้องน้ำ กับลานซักล้างที่ไม่กว้างสักเท่าไหร่ป้าวันดียกกะละมังเผือกมาวางตรงหน้าลูกสาวคนโตที่กำลังหั่นผักตรงโถงกลางบ้าน ร่างอวบจนเกือบอ้วนทิ้งตัวลงนั่งขัดสมาธิ เลื่อนกระจาดเครื่องแกงที่มีหัวหอม กระเทียม พริก ข่าตะไคร้ ลูกมะกรูดมาหั่นเตรียมบด“เผือกในกะละมังเอามาปอกเปลือกให้หมด เกลี้ยงๆ หน่อย ตรงผิวรูดำๆ นั่นก็คว้านออกซะนะ”“จ้ะแม่”นางบอกกับลูกสาวคนโตที่เลิกจากเรียนก็จะรีบมาช่วยแม่ทำงาน ไม่เคยเที่ยวเตร่ไปกับเพื่อนฝูง ต่างกับน้องสาวคนเล็กลิบลับ“ช่วงนี้เตรียมสอบแล้วใช่ไหม”“จ้ะ” ปานวาดแล้วยิ้มรับ“นอนดึกทุกวันเลยสิ” นางถามเพราะกลางคืนลุกมาเข้าห้องน้ำก็ยังเห็นแสงไฟในห้องลูกสาวสว่างโร่ “ปอกเผือกเสร็จก็พอนะ ที่เหลือแม่ทำเอง เอาเวลาไปอ่านหนังสือซะ จะได้ไม่ต้องนอนดึก นอนไม่พอเดี๋ยวก็สอบไม่รู้เรื่องกันพอดี”“ไม่เป็นไรจ้ะแม่ แค่นี้เองช่วยกันทำแป๊บเดียวก็เสร็จ”ปานวาดลากกะละมังเผือกมาตรงหน้า เหลือบตามองเห็นแม่กำลังง่วนกับเครื่องแกงคงไม่ลุกไปไหนอีกหญิงสาวจึงเอ่ยถามเรื่องที่ทำงานของพ่อและลามไปถึงเจ้าของโรงแรม“คุณวศินเจ้าของโรงแรม ที่พ่อแกทำงานด้วยน่ะหรือ”“ใช่จ้ะแม่เคยเจอเขาไหม รู้จักหรือเปล่า เขานิสัยดีไหม” ปานวาดถามมารดารัวๆ เพราะจะได้เอามาประกอบการตัดสินใจในหัวข้อที่เธอกำลังสงสัย ว่าเขาเป็นต้นเหตุในการหายตัวไปของพ่อหรือเปล่า“แกอยากรู้เรื่องเขาทำไม”“แค่อยากรู้เฉยๆ พ่อทำงานกับเขาตั้งนานก็น่าจะพูดอะไรให้แม่ฟังบ้าง เช่นว่าเขาเป็นคนยังไง เป็นคนแบบไหน มีครอบครัวหรือยังอะไรประมาณนั้น” หญิงสาวแสร้งเฉไฉ“นอนดึกจนประสาทกลับรึยังไง ไปอยากรู้เรื่องเขาทำไม ถามแปลกๆ หรือว่าที่กลับบ้านดึกเมื่อคืนเพราะแกไปกับเขา!” ป้าวันดีหรี่ตามองอย่างจับผิด“เปล๊า...” ปานวาดรีบปฏิเสธ “หนูจะไปกับเขาได้ยังไงเล่ายังไม่รู้จักกันเล้ยยย...”“ไม่รู้จักเขาแล้วมาถามทำไมแกแอบชอบเขาเรอะ”“โอ๊ยยย...ไปใหญ่แล้วแม่”“อันนู้นก็ไม่ใช่ อันนี้ก็ไม่ใช่ แล้วแกมาถามเรื่องเขาหาพระแสงอะไร” คนแก่เริ่มส่งเสียงดัง“แค่อยากรู้นิสัยเขาเฉยๆ เผื่อวาดจะไปสมัครงานกับเขาไงตกลงว่าเขานิสัยดีไหม”ป้าวันดีมองหน้าลูกสาวที่จ้องตอบมาตาไม่กะพริบนับตั้งแต่วศินยื่นมือเข้ามาช่วย ทำให้นางได้ปรับเปลี่ยนวิธีทำมาหากิน นอกจากรายรับที่ได้จากโรงแรมแล้ว นางยังได้รับออเดอร์จากเพื่อนบ้านแทบทุกวัน หลายคนเริ่มหันมาสั่งอาหารของนางไปจัดเลี้ยงหรือทำบุญ หลายบ้านผูกปิ่นโตมื้อเย็นทุกวันจนนางไม่จำเป็นต้องเปิดหน้าร้านเสี่ยงกับการขาดทุนอีก ชีวิตดีขึ้นเพราะได้รับความช่วยเหลือจากเขา นางจึงไม่อยากให้ลูกสาวเข้าไปสร้างปัญหาให้เขาคนเป็นแม่ส่ายหน้า จำเป็นต้องโกหก“ไม่รู้จักหรอกแม่จะรู้จักเขาได้ไง คนรวยๆ อย่างนั้น เหมือนอยู่คนละโลกกับเรา ไม่มีทางเจอหรือรู้จักกันได้หรอก ว่าแต่...แกไปเจอเขาที่ไหน ยังไง บอกมาเดี๋ยวนี้” นางวันดีคาดคั้นถามกลับอย่างเอาเรื่อง“อย่าบอกนะว่าไปตามหาพ่อที่โรงแรมนั่นอีก”“เปล่าๆๆ ไม่ได้ไปๆ บังเอิญไปทำธุระกับเพื่อนแถวนั้น แล้วคุณวศินอะไรนั่นก็มาพอดี วาดเห็นหน้าเขาแวบเดียวเอง เลยอยากรู้ว่านิสัยดีไหม ก็แค่นั้นแหละแม่ ไม่มีอะไรหรอก”ปานวาดแอบไขว้นิ้วไว้ข้างหลังขณะพูด“แล้วไป พ่อแกน่ะเขาเลือกที่จะมีชีวิตแบบนั้นก็ปล่อยเขา อย่าเข้าไปยุ่งเดี๋ยวจะพากันเดือดร้อนทั้งบ้าน แกก็เหมือนกันตั้งหน้าตั้งตาเรียนให้จบๆ จะได้ช่วยแม่ทำงานส่งน้องเรียนต่อ คุณวศินอะไรนั่นอย่าเข้าไปยุ่งเรากับเขามันคนละชั้นกัน เขารวยเกินไป เราก็จนเกินไป”“จ้ะแม่...” เธอรีบรับคำ“คุณปัฐกรณ์สั่งขนมหวานเพิ่ม ต้องรีบเตรียมเดี๋ยวไม่ทัน แล้วนี่ไอ้ไพมันหายหัวไปไหน ปิดเทอมแล้วยิ่งหายหัวหนักกว่าเดิม งานการไม่เคยช่วยหยิบช่วยจับ... ไอ้ไพ ไอ้ไพเว้ย” นางเรียกหาลูกสาวคนเล็กโหวกเหวก“ไม่อยู่หรอกจ้ะแม่ ไพออกไปกับเพื่อน ตั้งแต่บ่ายแล้ว”“หายหัวตลอด” ป้าวันดีบ่นอุบ แต่ไม่ใส่ใจนักเพราะเริ่มชินกับพฤติกรรมของลูกสาวคนเล็กที่ไม่ค่อยอยู่ช่วยงานเสียเลยปานวาดคว้าเผือกที่ปอกเปลือกแล้วมาผ่าครึ่งแล้วหั่นเป็นท่อนยาวก่อนจับเรียงหั่นเป็นลูกเต๋าอีกที เตรียมไว้ทำบัวลอยเผือก ออเดอร์พิเศษของวันพรุ่งนี้“คุยอะไรกันเหรอพี่วาดเสียงดังออกไปถึงหน้าบ้านโน่นแน่ะ โดนแม่ด่าอีกแล้วเหรอพี่”ไพลินกลับจากบ้านเพื่อนโยนกระเป๋าสะพายลงบนโซฟาแล้วเดินมานั่งข้างพี่สาว“ด่าแกน่ะสินังตัวดี” ป้าวันดีมองลูกคนเล็กตาเขียว “หายหัวไปไหนมาทั้งวันกลับซะป่านนี้ ตะวันไม่ตกดินก็ไม่คิดจะเข้าบ้าน”“ไพไปสมัครงานมา ปิดเทอมตั้งหกเดือนให้อยู่แต่บ้านเบื่อตาย”“ใครให้แกอยู่เฉยๆ งานที่บ้านมีให้ทำเยอะแยะไปสมัครที่อื่นทำไม”ลูกสาวคนเล็กเบะปาก “งานแม่ให้พี่วาดช่วยคนเดียวก็พอแล้วงานพวกนี้ไพไม่ทำหรอกเหม็นมือเหม็นตัวยี้”“เหม็นๆ ยี้ๆ นี่แน่ะๆ”ป้าวันดีหมั่นไส้คว้าลูกมะกรูดในกระจาดขว้างใส่ไพลิน แต่ลูกสาวคนเล็กหลบทันเพราะโดนประจำจนรู้ทาง พอเห็นไพลินทำหน้าตาทะลึ่งทะเล้นใส่ มือหยาบๆ ก็เตรียมควานหามะกรูดในกระจาดอีก“อย่าๆๆ แม่พอแล้ว” ไพลินร้องพร้อมยกมือป้องกันตัว “เสียของหมด ปาไม่เคยโดนก็ปาอยู่นั่นแหละ”“นังคนนี้” ป้าวันดีพูดเสียงเขียว“ไม่เอาน่าไพอย่าแหย่ให้แม่โมโหสิ” ปานวาดยกมือห้ามทัพ “แม่จ๋าพอแล้วนะๆ”“หึ!วอนนัก” คนสูงวัยทำเสียงฟึดฟัดโยนลูกมะกูดกลับที่เดิมแล้วทำงานต่อไพลินยื่นหน้ามาหาพี่สาวไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับอารมณ์ของมารดาเพราะโดนด่าจนชิน“เมื่อกี้พี่วาดถามถึงใครเหรอ”“อ๋อ ไพไม่รู้จักหรอก”ปานวาดตอบเลี่ยงเพราะถูกแม่จ้องมองอยู่ เธอไม่อยากให้แม่สงสัยเรื่องตามหาพ่อ ส่วนที่เธอแอบสงสัยนายวศินก็ต้องถูกเก็บไว้เป็นความลับจนกว่าจะแน่ใจว่าพ่อหายตัวไปเพราะใครเรื่องอะไรป้าวันดีลุกเอาของที่เตรียมเสร็จแล้วเข้าไปเก็บในครัว ปานวาดจึงรีบถามเรื่องที่ค้างไว้“ไปสมัครงานที่ไหน” ปานวาดกระซิบถามน้องสาวสายตาคอยมองแม่ที่เดินไปเดินมาอยู่ระหว่างห้องครัวกับโต๊ะกินข้าวเล็กๆ หน้าห้อง “พี่ว่าไพเตรียมตัวเข้ามหาลัยก่อนดีกว่าไหม”“ไม่อะไพขี้เกียจเรียน” ไพลินยักไหล่“อ้าวไม่ได้นะมันต้องเรียนจะได้มีวุฒิไปสมัครงาน หางานดีๆ ทำ”“ไม่เรียนก็ทำงานหาเงินได้บางทีอาจจะหาได้มากกว่าคนจบปริญญาตรีด้วยซ้ำ กว่าจะเรียนจบปริญญาตรีก็ตั้งสี่ปี เอาเวลามาทำงานหาเงินน่าจะเยอะแล้ว เวลาตั้งสี่ปีเลยนะพี่วาด”“พี่รู้ แต่เรียนก่อนแล้วค่อยทำงานมันก็มั่นคงกับชีวิตเราไง แล้วไพไปได้งานอะไรมาถึงมั่นใจนักว่าจะหาเงินได้เยอะ” คนเป็นพี่สาวเริ่มห่วง“ไพไปสมัครงานที่เดอะเคเอสเขารับไพเข้าทำงานแล้วด้วย”“เดอะเคเอส” ปานวาดพูดตามพลางขมวดคิ้ว “มันคืออะไร เดอะเคเอสทำกิจการอะไร”“โธ่พี่วาด ทำไมถึงเชยอย่างนี้ผับของเขาออกจะดัง”ไพลินหัวเราะแม่เดินกลับมานั่งที่เดิมสองพี่น้องจึงหยุดบทสนทนาปานวาดเหลือบมองหน้าแม่ก่อนละมือจากเผือกที่กำลังหั่น ดึงมือน้องสาวให้ลุกตามมาที่โซฟา“ว่าไง เดอะเคเอสคืออะไร”“กิจการของคุณวศิน หลานชายเจ้าของโรงแรมปราณทองที่พ่อทำงานน่ะแหละ พี่สาวเพื่อนไพเขาทำงานอยู่ที่นั่น บอกได้เงินดี ไพเลยอยากทำบ้าง ทำงานในผับได้เงินเยอะนะพี่”“คนที่เรียนอยู่เมืองนอกน่ะเหรอ”“คงงั้นมั้ง”ไพลินกระซิบข้างหูปานวาดและแอบส่งสายตาทะเล้นให้เมื่อพี่สาวมองกลับด้วยสีหน้าตื่นตระหนกแต่ไม่กล้าเสียงดังกับเธอเพราะกลัวแม่ได้ยินแค่ได้ยินชื่อก็เริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง น้องสาวเธอกำลังจะไปทำงานกับคนที่เธอไม่ไว้ใจ“ไพเจอกับเขา...เอ่อ... สมัครงานกับคุณวศินเองเลยเหรอ”“เปล่าหรอกพี่สาวเพื่อนพาไปสมัครกับผู้จัดการที่ดูแลผับเขามองหน้าไพคุยกันสองสามคำเขาก็รับเลยเป็นไงน้องสาวพี่เจ๋งใช่ไหมล่ะ” คนพูดทำหน้าระรื่นวาดฝันถึงรายรับที่จะตามมาและเป้าหมายที่สำคัญ “แต่ไม่ต้องห่วงหรอกสักวันก็ต้องเจอคุณวศินน่ะ ได้ข่าวว่าหล่อมาก เขาเป็นเป้าหมายหลักของไพ”“หือ...จะดีหรอไพ”ปานวาดใจคอไม่ดี“ดีสิ ดีมากด้วย พี่รู้ไหมคนที่ทั้งหล่อทั้งรวยน่ะหายากแค่ไหน คุณวศินเนี่ยน่าเอามาเป็นแฟนที่สุดในสามโลกเลยแหละ ไพจะทำให้ทุกคนสบายพี่คอยดูนะ”“ไม่เอาน่าไพพี่ว่า...”“ไพโตแล้วน่าพี่วาดโตพอจะสร้างอนาคตที่ดีให้ตัวเองได้อย่าห่วงเลย”คำพูดมาดมั่นของไพลินทำให้ปานวาดหยุดมองน้องสาวที่หยิบกระเป๋าสะพายเดินร้องเพลงอารมณ์ดีขึ้นบันไดไปขณะที่น้องสาวกำลังลั้นลากับงานใหม่ คนเป็นพี่ต้องคิดหนักกับคำพูดกำกวมส่อความคิดไปในทางไม่ดีของไพลินวศินวศินวศินปานวาดนึกถึงใบหน้าคมคายเบื้องหลังกรอบแว่นสีดำกับท่าทางน่าเกรงขามถึงจะเห็นหน้าไม่ชัดนักก็พอดูออกว่าเขาหล่อไม่เบา หญิงสาวคิดหนักรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องนึกสงสารน้องสาวตัวเองที่ต้องอกหักตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มก้าวไพลินคิดไกลเกินไป หวังจะรวยทางลัด เธอไม่เห็นด้วยกับสิ่งนี้แน่ๆ คนหล่อ รวย มีชื่อเสียงมีกิจการมากมายอย่างนายวศิน ไม่มีทางหันมามองผู้หญิงจนๆ ที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินอย่างพวกเธอและที่สำคัญ เขาไม่น่าไว้ใจ เขาอาจไม่ใช่คนดีหรือคนที่ดีที่สุดอย่างไพลินเข้าใจปานวาดถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อนึกถึงชายหนุ่มในชุดสูทราคาแพง