Group Blog
 
All blogs
 

การตั้งพรรคการเมืองเป็น mission ของกลุ่ม ผจก. ที่ต้องการให้บรรลุผลสำเร็จไม่ใช่เรื่องการพูดกันเล่นๆ

คำนูณ เขียนถึงเรื่อง "พรรคยามเฝ้าแผ่นดิน" เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2550 ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นการโยนหินถามทาง (อ่าน พรรคยามเฝ้าแผ่นดิน)

คำนูณเขียนโดยอ้างคำปราศรัยของสนธิ ที่ปราณบุรี คืนวันที่ 18 สิงหาคม 2550 ที่พูดถึงพรรคการเมืองเพื่อชนชั้นกลาง...
เรื่องนี้ได้รับความสนใจพอควร (ดูจากสถิติคนอ่านบทความของคำนูณ -- ปกติจะไม่มาก , ในข่าวปนคนฯ ของเซี่ยงฯ จะมากกว่านี้) และผลโหวตแสดงความเห็นก็ออกไปในทางก้ำกึ่ง คือทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยพอๆกัน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คาดเดาได้ไม่ยาก ก็เหมือนกับแนวทางที่ผู้จัดการพยายามผลักดันในหลายๆ วาระที่ผ่านมา (กรณี สมคิด จะกลับมาทำงานให้ รัฐบาลสุรยุทธ์, กรณีผู้จัดการจะเข้าจัดรายการในช่อง 9, กรณีธีรภัทร "เชิญ" ผู้จัดการเข้าไปเชื่อมต่อสถานีกับช่อง 11, การโจมตี คมช. และรัฐบาลสุรยุทธ์ในช่วงแรกๆ, ฯลฯ) คือถ้าเมื่อไหร่ผู้จัดการ หันเดินออกจากแนวทางที่มวลชนมองว่าควรจะเป็น (เสียสละ, อย่าไปยุ่งการเมือง, อย่าไปหาประโยชน์, ฯลฯ) ก็จะเกิดอาการอย่างนี้ขึ้นเสมอ

เท่าที่ผมตามสังเกตการเคลื่อนไหวมา ผมก็พอเดาได้ว่าสุดท้ายก็จะต้องลงมาในรูปการตั้งพรรคการเมืองแบบนี้ แต่ยังไม่แน่ใจว่าสนธิ จะแก้ไขคำพูดที่เขาเคยไปพูดกึ่งๆ คำให้สัญญาประชาคม กลางเวทีปราศรัยสมัยไล่ทักษิณในทำนองว่า การออกมาไล่ทักษิณนี้เขาไม่ได้ทำเพื่อตนเอง (คือความขัดแย้งส่วนตัว หรือการแก้หนี้ของตัวเอง หรือเพื่อหวังผลประโยชน์ในอนาคต ฯลฯ) โดยถึงกับท้าว่าหากเขามีผลประโยชน์จริง แล้วเมื่อเจอเขาที่ไหนก็ให้ถอดรองเท้าแล้วเอามาตบหน้าเขาได้เลย, ผู้เข้าชมข้อเขียนของคำนูณหลายคนก็ยกประโยคและ "คำสัญญา" ทำนองนี้ของคำนูณขึ้นมาคัดค้านการตั้งพรรคด้วย

แต่ก็มีกลุ่ม "ผู้ติดตาม" บางคนยังคงเชื่อมั่นในแนวทางของสนธิ ว่าในท้ายที่สุดแล้วแม้จะผิดคำมั่นไปบ้างก็น่าจะเป็นผลลัพธ์ที่ดี โดยเฉพาะยกตัวอย่างปัญหาว่า ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองในปัจจุบัน (ที่ไม่เอาทักษิณ) ก็ดี, คมช. ก็ดี ไม่ได้เป็นทางเลือกที่ดีเลย

เรื่องนี้ค่อนข้างซีเรียส, ขอให้ดูการออกมาให้ความเห็นของ "สุวินัย ภรณวลัย" ซึ่งปัจจุบันก็ยังทำหน้าที่เป็น 1 ใน 5 กรรมการมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินด้วย (อีก 4 คนที่เหลือมาจากกลุ่มผู้จัดการทั้งหมด) ตัวมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน มีเป้าหมายในเชิงองค์กรเอกชนที่ไม่แสวงหาผลกำไร

สุวินัย ไม่ได้คัดค้านไอเดียพรรคการเมืองเสียทีเดียว แต่เขาเสนอแนวทางที่ compromise คือให้แยก "พรรค" ออกจาก "มูลนิธิ" และหัวหน้าพรรคไม่ควรเป็น "สนธิ ลิ้มทองกุล" (ดูความเห็นที่ 17 และความเห็นที่ 8 ในท้ายบทความของคำนูณข้างต้น)

ผมไม่แน่ใจว่า คำนูณและสุวินัยได้มีการพูดคุยอะไรกันภายหลังจากนี้หรือไม่

แต่คำนูณก็ได้ออกมา "ผลักดัน" พรรคการเมืองซึ่งเขาเรียกว่า "เป็นขั้วที่ 3" แต่ครั้งนี้เปลี่ยนจาก "พรรคยามเฝ้าแผ่นดิน" เป็น "พรรคเทียนแห่งธรรม" ต่อ :

- รบเถิด..อรชุน ! พรรคเทียนแห่งธรรม..ในฝัน !! (ตอนที่ 1)

- รบเถิด..อรชุน! พรรคเทียนแห่งธรรม..ในฝัน!! (ตอนที่ 2)


- เทียนแห่งธรรม..ในฝัน ! บททดลองเสนอนโยบาย !!

จากไอเดีย "พรรคเทียนแห่งธรรม" จะเห็นได้ว่า ภายในกลุ่มผู้จัดการได้มีแนวคิดการตั้งพรรคการเมืองกันมานานแล้ว (จะเชื่อมโยงกับพรรคการเมืองภาคประชาชนของสุวิทย์ วัดหนู หรือไม่ผมไม่แน่ใจ) คำนูณพูดในทำนองว่า "เป็นเรื่องพูดกันเล่น" แต่ก็มีการเสนอ ชื่อพรรค, สัญลักษณ์พรรค, คำขวัญพรรค, และนโยบายพรรคอย่างเป็นการเป็นงาน

ชื่อพรรค : พรรคเทียนแห่งธรรม
คำขวัญพรรค : ยโต ธรฺมสุตโต ชยะ -- ที่ใดมีธรรม ที่นั่นมีชัย
สัญลักษณ์พรรค : ภาพลายเส้น “อรชุน” น้าวศร “คาณฑีพ” ( อันเป็นตอนหลังจากที่สดับอนุสาสน์ “ภควัทคีตา” จากพระกฤษณะ สารถีประจำพระองค์)
คำขวัญและนโยบาย : “เทียนแห่งธรรม : ปัญญานำพาแผ่นดิน”
มีเทียนสามเล่ม เพื่อส่องสว่างหนทางปัญญา ที่ประกอบไปด้วย

เทียนราชาธรรม : คือ แสงแห่งปัญญาจากแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงที่ส่องสว่างถึงประชาชนทุกระดับ
เทียนคุณธรรม : คือ แสงแห่งปัญญาที่ขับทำลายความมืดมิดฉ้อฉล เพื่อกอบกู้คุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาล คืนสู่สังคมเทียนภารดรธรรม : คือ แสงแห่งปัญญาที่มุ่งเสริมสร้างภูมิปัญญาประชาชนให้เดินไปบนหนทางแห่งโลกาภิวัตน์อย่างมีสติ อันมีเป้าหมายสูงสุดคือประโยชน์สุขแห่งมหาประชาชน

...

สนธิ ลิ้มทองกุล ออกมาจัดรายการยามเฝ้าแผ่นดินเมื่อวันศุกร์ ก็ย้ำไอเดียเรื่อง "พรรคเทียนแห่งธรรม" อีกครั้ง


สนธิ - ขั้วที่ 3 ในนัยที่ถูกต้องของผม คือขั้วที่ 3 ที่เกิดขึ้นโดยพึ่งพาประชาชนเป็นฐานทั่วประเทศไทย ถ้าพรรคพลังประชาชนซื้อรากหญ้าได้ เราไม่ต้องไปแข่งซื้อกับเขา ก็ชนชั้นกลาง พวกผมไงล่ะ เขต 1 ทั่วประเทศไทย 76 จังหวัด รวมกรุงเทพมหานคร คนพวกนี้ไม่ต้องให้ 300-500 เขาจะไปลงคะแนนเสียงด้วยใจ ผมยังไม่เห็นขั้วที่ 3 ขั้วไหนเลยที่มาทำเช่นนี้ ถ้าจะมีขั้วที่ 3 มันควรเป็นพรรคเทียนแห่งธรรม ถ้าจะมีพรรคเทียนแห่งธรรมเกิดขึ้น ขอให้พ่อแม่พี่น้องรู้ พรรคนี้เกิดขึ้นไม่ใช่เพื่อการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่เพื่อเป็นทางเลือกขั้วที่ 3 จริงๆ ในปี 2552 ที่พรรคการเมืองทั้งหมดจะล่มสลายเพราะกัดกันเอง แล้ววันนั้นพรรคเทียนแห่งธรรมจะเป็นทางเลือกที่ 3 ของพ่อแม่พี่น้องจริงๆ

สนธิ - พรรคเทียนแห่งธรรมจะเป็นพรรคที่มุ่งกับชนชั้นกลางทั่วประเทศไทย ปกป้องสิทธิเขา ปกป้องเสรีภาพในการทำมาหากินของคนทุนน้อยไม่ให้คนทุนใหญ่มารังแก เน้นการศึกษาให้ลูกหลานเขาได้คุณภาพการศึกษาที่ได้ระดับมาตรฐาน ในราคาที่ถูก ปกป้องสิทธิในฐานะผู้บริโภค ซื้อรถยนต์ใหม่เอี่ยมมา 1 คัน ส่งซ่อม 5 ครั้ง ยังซ่อมไม่เสร็จ บริษัทรถยนต์ต้องเปลี่ยนรถให้เขา ทานอาหารที่ไหน ซื้อของจากตลาด ซื้อของยี่ห้ออะไร ถ้ามีสารพิษเจือปน ต้องดำเนินคดีกับผู้ผลิต ตรงไปตรงมาต่อหน้าเขา นี่คือการปกป้อง ต้องการจะลดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน นี่คือเรา นี่คือสิ่งซึ่งเราสู้มาตลอด ผมไม่ได้ต้องการตั้งพรรคการเมือง แต่ถึงตอนนั้นผมพร้อมเป็นผู้ประสานงานแล้วจัดตั้งให้เกิดพรรคเทียนแห่งธรรมขึ้นมา


รายการยามเฝ้าแผ่นดินเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

ข้อมูลที่ผมเรียบเรียงมานี้ พอจะเชื่อได้ว่าไอเดีย "พรรคเทียนแห่งธรรม" คงไม่ใช่เรื่องพูดกันเล่นๆ แต่คงเป็นแนวคิดที่ถูกขับเคลื่อนเอาจริงเอาจัง โดยมี target group ที่จะจับกลุ่มคนชั้นกลาง (สนธิใช้คำว่า "พ่อแม่พี่น้องที่อยู่ ชนชั้นกลางที่อยู่เขต 1")

ผมคิดว่าวิธีคิด และแนวทางหลายทางก็น่าสนใจดี เมื่อประกอบกับมวลชนพื้นฐาน (ทั้งจากพันธมิตรฯ และมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน), และขุมกำลังที่เป็นช่องทางการนำเสนอผ่านสื่อมวลชนแบบ fully integrated ของกลุ่มผู้จัดการ ก็น่าเชื่อว่า "พรรคเทียนแห่งธรรม" ที่กำลังจะก่อตั้งขึ้น -- โดยมีเป้าหมายในการลงสนามเลือกตั้งครั้งถัดไป -- สนธิคาดว่าจะเป็น 2552 คือคาดว่ารัฐบาลผสม ฝ่ายค้านเก่า และกลุ่มขั้วกลางที่แตกออกไปจากไทยรักไทย จะอยู่ได้ไม่เกิน 2 ปี

แต่ผมคงไม่สนับสนุน เมื่อคำนึงถึงวิธีคิดและการเคลื่อนไหวที่ผ่านมา, เผลอๆ ไปอาจจะต้องมาทำสงครามทางอุดมการณ์กับกลุ่มนี้อีกก็ได้




 

Create Date : 16 กันยายน 2550    
Last Update : 16 กันยายน 2550 12:25:59 น.
Counter : 472 Pageviews.  

อย่าละเลยการดูแลสุขภาพ

ไม่สบายไปสองวันครับ

สภาพร่างกายย่ำแย่ หมดแรง ไม่ค่อยอยากกินอยากทานอะไร แต่ก็ต้องแข็งใจดูแลตัวเอง โชคดีที่อายุยังไม่มากก็เลยฟื้นตัวได้เร็ว ถ้าอายุน้อยกว่านี้ก็จะฟื้นตัวได้เร็วกว่านี้

แต่นี่ก็ทำให้เห็นถึงความจำเป็นของการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเมื่อสักสองปีก่อนผมจะออกกำลังกายค่อนข้างสม่ำเสมอ แต่ปีที่ผ่านมาและปีนี้ลดน้อยลง ด้วยเหตุผลว่าไปติดงอมแงมกับการเมืองแทน (ฮา) ซึ่งเรื่องนี้ก็คงต้องหาทางแก้ไขและจัดตารางเวลาชีวิตให้หาทางกลับไปออกกำลังกายให้สม่ำเสมอขึ้นให้ได้

อยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยแข็งแรงทำให้กำลังใจไม่กล้าแข็งเหมือนเดิม ก็ต้องคิดถึงคำพูดเก่าๆในทำนองว่า ร่างกายที่แข็งแรงเป็นรากฐานของจิตใจที่แข็งแรง (ทำนองนี้ ผมจำได้ไม่ชัดนัก)

ท่านที่สนใจการดูแลสุขภาพตนเอง ซึ่งนอกจากจะเป็นเรื่องการทานอาหารแล้ว ที่ควรทำอย่างยิ่งผมก็คิดว่าควรเป็นเรื่องการออกกำลังกายนี่แหละ และเพื่อเป็นการยิงกระสุนนัดเดียวได้นกสองตัว แทนที่จะทำการออกกำลังกายทั่วๆไป ผมก็อยากเสนอให้ท่านได้ออกกำลังกายที่เป็นเชิง ศิลปะการป้องกันตัว อันนี้นี่นอกจากจะทำให้เราได้รักษาสุขภาพแล้ว ก็จะได้ทักษะในการป้องกันตัวเผื่อในกรณีฉุกเฉินได้ด้วย

สำหรับคนวัยรุ่นหน่อย ก็คงไปฝึกศิลปะการป้องกันตัวแบบไหนก็ได้ แต่สำหรับท่านที่มีอายุ และอยากเอาจริงเอาจังกับทักษะด้านนี้ ผมอยากแนะนำให้ท่านฝึกฝน ศิลปะการป้องกันตัวเชิงรับ ซึ่งวิทยายุทธ์แนวนี้ก็จะมีหลายแนวเช่น ไอคิโด, ยูโด, ไทเก็ก, ปากัว, ฯลฯ ยิ่งถ้าอายุมากผมก็แนะนำให้ลองหัด ไทเก็ก ดูนะครับ เห็นคนแก่รำไทเก็กตอนเช้าอากาศดีๆ โปร่ง เย็นสบาย ตามสวนสาธารณะนั่นน่ะ ลองรำตามดูสำหรับคนเพิ่งหัดผมรับรองว่า แข้งขาสั่น และเหงื่อท่วมตัวทีเดียวเชียว

ผมเคยหัดไทเก็กกับซินแสอายุเฉียดแปดสิบ นี่ปรากฎว่าท่าร่างของท่านคล่องแคล่วแต่นุ่มเนียน แถมสุขภาพก็ยังดูดีมากๆ เห็นแล้วผมนี่อิจฉาเลย (ว่าถ้ายังขี้เกียจออกกำลังกายแบบนี้ ตอนอายุแปดสิบผมจะโทรมขนาดไหน) หรือจะเปรียบเทียบกับเซ็นเซ (อาจารย์) สอนไอคิโดผมที่อายุเฉียดหกสิบ แต่สามารถลงเบาะไปทุ่มพวกลูกศิษย์สายดำหนุ่มๆได้ตัวปลิว หรือเวลามีงานสัมมนาไอคิโดระดับนานาชาติ ก็มักจะมีเซ็นเซอาวุโสหลายท่านมาถ่ายทอดความรู้ให้ ท่านเหล่านั้นก็ยังดูแข็งแรงดีแทบทุกคน

พร่ำบ่นมายาวๆเนี่ย เพื่อทำสัญญากลายๆกับตัวเองให้จัดระเบียบชีวิตตัวเองให้มากกว่านี้ จะได้กลับมาทำอะไรที่คั่งค้างหลายอย่างให้บรรลุลงเสียที

ว่าจะเขียนวิเคราะห์เรื่อง การแต่งตั้งผบ. ทบ. คงต้องยกยอดไว้วันถัดไปนะครับ แหะๆ




 

Create Date : 13 กันยายน 2550    
Last Update : 13 กันยายน 2550 20:26:44 น.
Counter : 392 Pageviews.  

คาดการณ์สถานการณ์การเมืองในอนาคต : มองจากวันที่ 10 กันยายน 2550

ใครที่เพิ่งมาอ่านบล็อกของผม อาจจะเข้าใจว่าผมเป็นพวกที่อยู่ในตระกูลเดียวกับ กลุ่มสนับสนุนทักษิณ

แต่ถ้าเคยอ่านข้อเขียนในบล็อกเก่าๆ ของผม จะเห็นว่าผมเคยวิจารณ์ทักษิณ ในหลายๆ กรณี (แต่ตอนนั้นยอมรับว่าความรู้ด้านการเมืองอาจจะไม่เข้มแข็งเท่าตอนนี้ -- และแม้แต่ตอนนี้ก็ยังโง่อยู่หลายเรื่อง)

ผมเคยเสนอ โหวตเชิงยุทธศาสตร์ ตั้งแต่ตอนก่อนการเลือกตั้งในช่วงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548 เนื่องจากมองว่าความนิยมของพรรคไทยรักไทย จะทำให้เกิดชัยชนะแบบ land slide (ซึ่งก็เกิดขึ้นเป็นจริงตามนั้น) การเลือกพรรคฝ่ายค้านเข้าไปคานอำนาจพรรคไทยรักไทย (ในขณะนั้น) อาจจะช่วยทำให้สถานการณ์ไม่ดำเนินมาจนถึงขนาดนี้ก็ได้ -- เกิดการเมืองในท้องถนน, ชนแบบไม่ชนะไม่เลิก, อ้างพระราชอำนาจลงมาอย่างฟุ่มเฟือย, เกิดการรัฐประหาร, มีการประท้วงจากฝ่ายสนับสนุนไทยรักไทย, มีการแบ่งแยกความคิดในประเทศชาติอย่างรุนแรง, ฯลฯ

ผมเคยถาม รัฐมนตรีท่านหนึ่งในครม. ทักษิณ 1 โดยตรง ซึ่งท่านผู้นี้ได้รับเชิญมาบรรยายให้กับนักศึกษาในชั้นเรียน (ซึ่งตอนนี้ได้ข่าวว่าออกมาเป็นแกนนำคนหนึ่งที่กำลังคิดจะจัดตั้งพรรคการเมืองขั้วที่สามขึ้นมา) เกี่ยวกับความโปร่งใสในเรื่องการอนุมัติเงินกู้ให้รัฐบาลพม่าในโครงการไอพีสตาร์ แต่รัฐมนตรีท่านนี้ก็บ่ายเบี่ยงและไม่ได้ให้คำตอบตามความเป็นจริง

ผมเคยเข้าร่วม การสัมมนาของคณะเศรษฐศาสตร์ มธ. เพื่อตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการจะเข้าซื้อสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล ซึ่งในขณะนั้นหลายๆคนยังชื่นชอบ รัฐบาลของ พ.ต.ท. ทักษิณ อยู่

ผมเริ่มสังเกตความเคลื่อนไหวของ สนธิ ลิ้มทองกุล และกลุ่มผู้จัดการด้วยความสนใจ จากช่วงแรกที่เขายังให้การสนับสนุนและปกป้องรัฐบาลทักษิณต่อฝ่ายตรงข้ามที่เข้ามาโจมตีอย่างดุเดือด (สนธิ ทั้งเขียนบทความ และพูดผ่านรายการที่ตอนนั้นยังจัดอยู่ที่ช่อง 9 อสมท. โดยโจมตี กลุ่มของ เอกยุทธ์ อัญชัญบุตร ที่พยายามจะเคลื่อนไหวโจมตีทักษิณหลายครั้ง -- แต่ฟาล์วไปเสียหมด เวทีชุมนุม กลายเป็นเวทีนักดนตรีลูกทุ่งและมีผู้ให้ความสนใจไม่กี่คน)

จวบจนกระทั่ง การเคลื่อนไหวในระยะหลังของสนธิ อ้างอิงถึงพระราชอำนาจ และพยายามโจมตี ทักษิณ ด้วยข้อหา "การล่วงละเมิดพระราชอำนาจ" ทำให้ผมต้องออกมาคัดค้านการเคลื่อนไหวของสนธิ

เพราะแม้ผมจะทราบว่าทักษิณ จะมีปัญหาหลายด้าน แต่เขาก็ยังเป็นนักการเมืองและพรรคการเมืองที่มีที่มาอย่างถูกต้องตามระบอบประชาธิปไตย ในขณะที่การขับเคลื่อนการเมืองไปนอกระบบ (โดยเฉพาะที่เราไม่ทราบว่า อำนาจของเราที่เป็นประชาชนนั้น จะตกไปอยู่ในมือใครอีก) ทำให้ผมต้องตั้งคำถามกับภาคประชาชนว่า ทำไมเราจึงต้องไว้วางใจปีศาจ เพื่อให้ไปรบกับมารร้าย

จนถึงวันนี้ ผู้จัดการ และกลุ่มพันธมิตร ออกมาอ้างว่า รู้อย่างนี้ไม่ให้ทหารมารัฐประหารดีกว่า ซึ่งขออภัยที่ผมไม่เชื่อ และผมคิดว่าพวกเขา วางแผนกันมาตั้งแต่ต้นแล้ว ดังข้อความข้างล่างนี้ (อยู่ในช่วงสนธิ พูดช่วงที่สองในรายการยามเฝ้าแผ่นดิน)


สนธิ - ทุกคนสนิทหมด ผมถึงเลย คุณไม่ต้องพูดว่าถึงไม่ถึง คุณมีอะไรก็พูดมา รับรองถึงหูพระกรรณ ผมไม่สนใจหรอก เสร็จเรียบร้อยแล้วก็เริ่มมาหนุนหลังกระบวนการเรา หนุนหลังมาตลอด จนกระทั่งเริ่มรุนแรงขึ้นๆ เเละเริ่มที่จะปะทะกัน ตัวชี้ขาดคือเหตุการณ์ของตอนนั้นทหารฮึ่มๆ อยู่ตลอดเวลา คุณสพรั่งเข้า เดินเช้าเดินเย็น กินข้าวกับ พล.อ.สนธิ กินข้าวจานเดียวกัน ยุให้ พล.อ.สนธิ ยึดอำนาจ ตลอดเวลา พล.อ.สนธิ คือสนธิ บัง คือยังดำรงความเจ้าเล่ห์เเสนกลเอาไว้ นั่งเงียบๆ คงคำนวณดีๆ ว่าจะมูฟอย่างไร จนกระทั่งมีสัญญาณบางสัญญาณมาถึงผม จู่ๆ ผมสู้อยู่ก็มีของขวัญชิ้นหนึ่งมาจากราชสำนัก ผ่านมาทางท่านผู้หญิงบุษบา ซึ่งเป็นน้องสาวพระราชินี ปรากฏว่าผมได้รับแค่วันเดียว ผมเข้าไปรับด้วยตัวเองกับท่านผู้หญิงบุษบา โทรศัพท์มาหาผมเต็มเลย ป๋าเปรมให้คนสนิทโทรมา พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ทุกคนโทรมาหมดถามว่าจริงหรือเปล่า


----


จนถึงวันนี้ที่สถานการณ์ก้าวหน้ามาไกลแล้ว, ผมขอคาดการณ์สถานการณ์เอาไว้ เพื่อเป็นบันทึกและตรวจสอบในอนาคตอีกครั้งว่าจะมองเหตุการณ์ได้แม่นยำไกล้เคียงขึ้นหรือไม่

สถานการณ์ในขณะนี้ ผมค่อนข้างจะเห็นด้วยกับความคิดของ "อภิชาต จงสถิตนิรามัย" ว่า

มองอีกแง่หนึ่ง การเมืองแบบชนชั้นที่จะ เข้มข้นขึ้นนี้จะเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาทางการเมือง ซึ่งอาจจะทำให้วงจรอุบาทว์ที่จะเกิดขึ้นครั้งหน้ากลายเป็นวงจรสุดท้าย พูดอีกแบบคือความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้นอาจเป็นความขัดแย้งครั้งสุดท้าย ก็เป็นไปได้ เพราะจะเป็นความขัดแย้งที่รุนแรงมากและเป็นขั้นแตกหัก อาจจะไม่มีการประนีประนอมภายใต้ "คนกลาง" แบบปี 2535 เพราะคนกลางกลายเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้ง หรือเพราะ just ไม่มีคนกลาง และไม่ว่า ฝ่ายใดจะชนะ ราคาที่สังคมโดยรวมจะต้องจ่าย ในครั้งนี้จะสูงมาก อาจจะทั้งในรูปของจำนวนศพ ผู้บาดเจ็บ และแผลเป็นของสังคม


ดูข้อมูลเพิ่มเติม จุดเริ่มต้นของ การเมืองทางชนชั้น? การเมืองหลังการลงประชามติ - คอลัมน์ มองซ้าย มองขวา

เพราะสถานการณ์ความขัดแย้งของสังคมไทยในขณะนี้ ผ่านเลยจุดประนีประนอมมานานแล้ว

ข้อเท็จจริงก็คือ มีความขัดแย้งระหว่างสองอุดมการณ์ในสังคมไทยมายาวนานแล้ว คือข้างหนึ่งสนับสนุน อุดมการณ์พระราชอำนาจ อีกข้างหนึ่งสนับสนุนอุดมการณ์ประชาธิปไตย

สมัยรัชกาลที่ 7 พวกเจ้าก็คิดว่าพวกตัวมีกำลังมาก กองกำลังพระนครถูกควบคุมโดยพระประยูรญาติ และขุนนางคนสนิท ไม่ว่าจะเป็น กรมพระนครสวรรค์วรพินิต , พระยาสีหราชเดโชชัย และพระยาเสนาสงคราม

แต่ขุนนางเหล่านี้ก็ต้อง พลาดท่าให้กับแผนการจับกุมตัว ของพระประศาสน์พิทยายุทธ จนทำให้ฝ่ายเจ้าที่ตั้งมั่นที่หัวหินต้องขอเข้ามาเจรจาต่อรอง และคิดว่าประชาชนคงไม่ยอมเพราะประชาชนนั้นภักดีกับพวกเจ้า

แต่ครั้นแล้วพวกเจ้าก็ได้ตระหนักถึงข้อเท็จจริงว่า ไม่มีไพร่ฟ้าราษฎรคนไหนคิดจะต่อสู้ เพื่อพวกตนเลยแม้แต่น้อย จนในที่สุดก็ต้องยินยอมการเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าพลิกดินครั้งนี้

ความผิดพลาดของคณะราษฎรมีหลายประการ แต่นั่นก็เป็นช่วงอายุ ช่วงวัยของพวกเขา แต่คณูปการที่สำคัญก็คือ พวกเขาได้เปลี่ยนแปลงการปกครอง ได้ผลักดันสังคมให้ก้าวเดินไปข้างหน้า มีคนบอกว่า พวกคณะราษฎรชิงสุกก่อนห่าม เจ้าเขาก็อยากจะเปลี่ยนแปลงระบอบอยู่แล้ว แต่จะค่อยทำค่อยไป แต่จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ก็บ่งชี้ว่า เวลานั้นจะมาถึงหรือไม่ก็ไม่ทราบ ไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์ใดๆที่แน่นอน ได้แต่เลื่อนบิดพริ้วไปเรื่อย

สถานการณ์ในขณะนี้ก็เช่นกัน

ความจริง ถ้าความขัดแย้งในเชิงผลประโยชน์และอุดมการณ์ มีการเคลื่อนไหวอยู่ในระบบ แม้จะมีการเคลื่อนไหวบนท้องถนน และถ้าไม่มีการเล่นนอกกติกา โดยไปเชื้อเชิญทหารมายึดอำนาจ แถมยังมีการตามล้างตามผลาญ ให้สิ้นซาก ก็ย่อมไม่มีใครคิดตอบโต้แบบตาต่อตาฟันต่อฟันดังที่เห็นเป็นอยู่แน่

การต่อสู้ต่อไปนี้จะเป็นการต่อสู้ขั้นแตกหัก (ในเชิงอุดมการณ์)

การสนับสนุนขั้วกลางไม่มีประโยชน์นอกจากจะถูลู่ถูกังสถานการณ์ให้บาดแผลเกิดการ "อักเสบ" ต่อไปเรื่อย จนอาจติดเชื้อรุนแรง และเมื่อนั้น "ก็จะมีการตัดอวัยวะบางอย่างทิ้ง"

ในฐานะที่ผมเป็นคนรุ่น พฤษภาทมิฬ ผมไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นอีก แต่ดูเหมือนว่า สถานการณ์โดยรวมขณะนี้ กำลังมุ่งหน้าไปยังทิศทางนี้อย่างรวดเร็ว

ผมเคยพูดถึง และเตือนสถานการณ์แบบนี้ในแวดวงมิตรสหาย แต่ดูเหมือนไม่มีใครรับฟัง

ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครชื่นชอบ "การเตือน" ที่ผม remark เอาไว้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลที่ "แข็งกร้าว" เกินไป หรือว่า "evil" ไปก็ตาม

ในเมื่อสังคม โดยเฉพาะคนชั้นกลาง (ซึ่งเป็นกลุ่มที่ผมตั้งใจจะสื่อความคิดของผมไปถึงมากที่สุด - เพราะเป็นกลุ่มคนที่มีเสียงดังที่สุด - แต่ไม่ได้เข้าใจว่าอำนาจทางการเมืองของตนเองนั้นลดลงอย่างมาก เมื่อเทียบกับสมัยพฤษภาทมิฬแล้ว) ไม่ได้รับฟัง หรือไม่เข้าใจ และสถานการณ์ปัจจุบันก็ยิ่งดูเหมือนเดินไปทางตันมากขึ้นทุกที

ผมจึงขอส่งคำเตือนถึงมิตรสหายทุกท่านว่า ให้ระวัง และรองรับการกระแทกของวิกฤติสังคมไทย ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต


อนึ่ง, ผมไม่เข้าใจว่า ทำไมพวกขั้วกลางถึงได้เชื่อมั่นยุทธศาสตร์นี้นัก

แม้แต่ ดร. ศุภชัย ที่พวกเขาคิดว่าจะไปเชิญตัวมาเป็น candidate หัวหน้าพรรค (และว่าที่นายกฯ) ก็ยังอ่านเกมส์ เหมือนที่ผมอ่านเลย (คือความขัดแย้งยังไม่จบ)


แต่อย่างว่า การเมืองมันเป็นเรื่องไม่แน่ไม่นอน มีถ้อยคำสนทนาเล็กๆ ระหว่าง "ดร.ซุป" กับ "ผู้ใหญ่คนหนึ่ง" ว่า ดร.ซุปยืนยันว่ายังไม่พร้อมลงเล่นการเมือง...

"สถานการณ์อย่างนี้ ใครลงมาเล่นก็โง่เต็มที เพราะมันไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้"

คำพูดของ "ดร.ซุป" จริงจังเป็นอย่างยิ่ง จนน่าแปลกใจว่าความเชื่อมั่นของ "ป๋าเหนาะ" จะเป็นจริงขึ้นมาได้หรือไม่


บนความเคลื่อนไหว : เบญจก๊ก

อย่างไรก็ตามเราคงต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป

ปล. ผมเลิกสนใจการวิเคราะห์ จากมุมมองด้านบุคคลาธิษฐานนานแล้ว การเขียนและการวิเคราะห์หลังๆ ของผม มองจากมุมมองด้านยุทธศาสตร์ และจากการต่อสู้ของสอง "พลังอุดมการณ์" เป็นหลัก (โดยอ้างแนวคิดของกรัมชี่)




 

Create Date : 10 กันยายน 2550    
Last Update : 10 กันยายน 2550 18:27:48 น.
Counter : 435 Pageviews.  

ทางออกอันหดหู่ของมนุษยชาติ

นอกจากเรื่อง ชีวิตของกรรมกรและแท็กซี่ที่ผมได้เล่าไปเมื่อวานแล้ว ผมยังได้มีโอกาสได้อ่านงานวิจัยเรื่อง "กระบวนการทำให้เป็นหมอนวด" และ "ชีวิตคนไร้บ้าน" ซึ่งทั้งสองเล่มเป็นงานวิจัยด้านมานุษยวิทยา ซึ่งเน้นแนวทางการวิจัยแบบมีส่วนร่วม (คือผู้ทำวิจัยเข้าไปสังเกตและใช้ชีวิตอยู่กับกลุ่มคนที่ต้องการศึกษาเป็นเวลานาน)

งานวิจัยชิ้นแรกพูดถึงชีวิตหมอนวด ในสถานอาบอบนวดในกรุงเทพแห่งหนึ่ง ในขณะที่งานวิจัยชิ้นที่สองพูดถึงชีวิตของคนจรจัด คนไร้บ้าน แถวสนามหลวง

งานทั้งสองล้วนแต่นำเสนอข้อมูลว่า เพราะเหตุไร จึงมีคนบางกลุ่มต้องตกอยู่ในสภาพถูกกดขี่ข่มเหง และไม่มีโอกาสปีนป่ายข้ามกำแพงแห่งชนชั้น --- ซึ่งคำตอบง่ายๆ ของชนชั้นกลางที่หลายครั้งก็เอาเปรียบและขูดรีดคนเหล่านี้ ก็คือ "เพราะคนเหล่านี้ ด้อยการศึกษา มักง่าย และโง่"

รายงานฉบับนี้ เขียนว่าในประเทศไทยมีโสเภณีในทุกรูปแบบรวมกันราวมากกว่า 2 แสนคน และทำเป็นธุรกิจที่มีรายได้ราว หนึ่งแสนห้าหมื่นล้านบาทต่อปี (ราว 3% ของ gdp)

เมื่อคำนึงถึงว่า ผู้หญิงทุกคนต่างก็มีความฝันที่จะมีชีวิตครอบครัวที่ดี น้อยคนที่จะยอมแลกการให้บริการทางเพศกับเงินตรา หากเธอเหล่านั้นไม่ถูกข้อจำกัดทางสังคมบีบรัด มันจึงช่างขัดแย้งกับสามัญสำนึกว่าคนมากกว่า 2 แสนคน กระทั่งคนจน คนไร้บ้านทั้งหลาย จะมีปัญหามาจาก การด้อยการศึกษา มักง่าย และโง่ เหมือนกันหมด

น่าคิดอยู่ว่า แทนที่จะโทษเรื่องราวต่างๆ ง่ายๆ และปัดสวะให้พ้นไปจากความรับผิดชอบของคนในสังคมร่วมกัน น่าจะคิดว่ามีอะไรผิดปกติในสังคม จึงทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา?

----


เมื่อมนุษย์ถือกำเนิดขึ้นมา และเริ่มมีจิตสำนึกรับรู้โลกต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเราได้ เราก็พบว่าเราอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อม เช่น ตึก ราม บ้านช่อง หนังสือ วัฒนธรรม ฯลฯ ที่ถูกสร้างขึ้นจากมนุษย์ผู้มีชีวิตอยู่อาศัยก่อนหน้าเรา และโดยอาศัยความก้าวหน้าทางวิทยาการก็จะเริ่มกลืนทัพสภาพแวดล้อมธรรมชาติมากขึ้นทุกที

นานวันเข้า สภาพแวดล้อมทั้งหลายเหล่านั้น ก็เริ่มมีอิทธิพลเหนือความคิดและครอบงำจิตสำนึกของเรา

แต่อย่างไรก็ตาม, ตัวเราเองเมื่อเข้าใจสภาพแวดล้อมต่างๆ ว่าเป็นเพียง "สิ่งที่ถูกสร้างขึ้น" จากมนุษย์ผู้อื่น เราก็ย่อมสามารถสร้าง "สิ่งแวดล้อมใหม่" ภายใต้จินตภาพของเรา และสภาพแวดล้อมสิ่งที่เราสร้างขึ้นใหม่นั้น ก็จะส่งผลกระทบต่อสามัญสำนึกของ มนุษย์ผู้อื่นได้อีกทอดหนึ่งเช่นกัน (แต่การสร้างสภาพแวดล้อมขึ้นใหม่ ก็มีข้อจำกัดอยู่ว่าอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมแบบเก่า ซึ่งหลายครั้งต้องฟันฝ่า ต่อสู้ เอาชนะกันไป)

นี้คือใจความโดยย่อของ "วัตถุนิยมวิภาษ" (dialectic)

ในพื้นฐานด้านหนึ่ง เมื่ออารยธรรมของมนุษยชาติยังเยาว์วัย พวกเขาอธิบายสิ่งที่ธรรมชาติมีเหนืออิทธิพลของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็น ฟ้าผ่า, ไฟไหม้, แผ่นดินไหว, พายุ, น้ำท่วม, ภูเขาไฟระเบิด ว่าเป็น "สิ่งที่พระผู้เป็นเจ้า" สร้างขึ้น และ "พระเจ้า" นั้นมีตัวตนปรากฎอยู่จริง

ครั้นแล้ว ก็มีมนุษย์อยู่ส่วนน้อย ที่สามารถรวบรวมอำนาจเหนือกลุ่มคน และอ้างอาญาสิทธิ์และความชอบธรรม ว่าได้รับการแต่งตั้งจาก "พระเป็นเจ้า" เขาคนนั้นก็สามารถมีอำนาจเหนือ และครอบงำทั้งสังคม และสถาปนาตนเองเป็นกษัตริย์ ระบบขูดรีดแบบ ไพร่ ทาส ไปจนถึงระบบแบบศักดินา ก็ดำรงอยู่ท่ามกลาง "คำอธิบาย" และ "ความชอบธรรม" เช่นนี้

ตราบจนกระทั่งมีชนชั้นใหม่ สามารถหักโค่นชนชั้นผู้กุมอำนาจเดิม พวกเขาก็จะดัดแปลงสร้างสังคมแบบใหม่ และความชอบธรรมแบบใหม่ ตามจินตภาพของตนเอง ซึ่งแตกต่างไปจากจินตภาพเดิมของชนชั้นนำเก่า ที่กลายเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว เพื่อดำรงคงการขูดรีดสังคมแบบใหม่ ที่นุ่มเนียนและสุภาพขึ้นกว่าเดิม

"เรื่องเล่า" ในเชิงประวัติศาสตร์ ที่อาศัยพื้นฐานแนวคิดจาก "วัตถุนิยมวิภาษ" ก็เรียกว่าเป็น "วัตถุนิยมประวัติศาสตร์"

สองประการนี้ เป็นอาวุธทางความคิดของเหล่ามาร์กซิสต์ และขับเคลื่อนผู้คน เข้าสู่เพลิงปฏิวัตินับสิบล้านคนทั่วโลก ในช่วงศตวรรษที่ 18 - 19

มาร์กซ์สรุปว่า "ประวัติศาสตร์ของมนุษย์นั้นคือการต่อสู้ เพื่อเปลี่ยนแปลงวิถีการผลิต"

วิถีการผลิตประกอบไปด้วย โครงสร้างส่วนล่าง (คือพลังการผลิตและระบบการขูดรีด --หรือความสัมพันธ์ทางสังคมในการผลิต) และโครงสร้างส่วนบน (เช่นระบบกฎหมาย ระบบการเมือง วัฒนธรรม อุดมการณ์ ที่กำกับโครงสร้างส่วนล่างให้ยอมรับการวิถีผลิต)

วิวัฒนาการทางสังคม เกิดขึ้นเพราะ ความขัดแย้งไม่ลงรอยกันระหว่าง โครงสร้างส่วนล่าง (ซึ่งมักมีพัฒนาการที่รวดเร็วกว่า) และโครงสร้างส่วนบน (ซึ่งมักมีลักษณะสถิตย์กว่า) ความขัดแย้งนี้จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเปลี่ยนแปลงวิถีการผลิตจากรูปแบบเดิมออกไป

----


เมื่อผมอ่านกระทู้ตามเว็บบอร์ดสำหรับนักเที่ยวกลางคืนหลายแห่ง ซึ่งก็มักจะเป็นการแนะนำกลเม็ดเคล็ดลับ ประสบการณ์เที่ยวกลางคืน สำหรับนักเที่ยวรุ่นใหม่ ทั้งความสุขทางเพศรส (ศัพท์เฉพาะเรียกว่า "ส่งการบ้าน") กลวิธีการเจรจาต่อรอง ไปจนถึง "ราคาค่าตัว" (ศัพท์เฉพาะเรียกว่า "ค่าเสียหาย")

แต่คงจะมีน้อยคนที่ทราบว่าธุรกิจค้าประเวณีของหมอนวด นั้นเป็นธุรกิจนอกกฎหมาย ผู้ใช้บริการอาจไม่ชำระเงินค่าบริการทางเพศนั้นก็ได้ เธอทั้งหลายจึงเสี่ยงต่อการถูกเบี้ยว "ค่าตัว" อยู่ตลอดเวลา (ในงานวิจัย ก็มีกล่าวถึงเรื่องการเบี้ยวค่าตัวไว้ด้วยเช่นกัน)

สังคมยุคใหม่จึงไม่เพียงแต่มีด้านมืด ในแง่ของการ "ขูดรีดกำลังแรงงาน" แต่ยังลุกลามไปถึงการขูดรีด ปลดเปลื้องมนุษย์ลงเป็นเพียง เครื่องมือให้บริการทางเพศอีกด้วย ซึ่งเรื่องเหล่านี้ก็มีความขัดแย้งต่อสถาบันครอบครัวอย่างโรแมนติค คือด้านหนึ่ง "เธอทั้งหลาย" ก็นำเอารายได้จากธุรกิจผิดกฎหมายเหล่านี้ ส่งเสียกลับไปเลี้ยงดูครอบครัวที่ต่างจังหวัด ในขณะที่ "ตัวพวกเธอเอง" ก็คาดหวังการสร้างครอบครัวที่ดีได้น้อยเต็มทน

ความเอารัดเอาเปรียบ และความไม่เท่าเทียมกันของสังคมเหล่านี้ จึงเป็นวัตถุดิบชิ้นงาม ให้ขบวนการเพื่อประชาชนยุคเก่า อย่าง "การเคลื่อนไหวของพรรคคอมมิวนิสต์" ในหลายประเทศเบ่งบานอย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้โดยมีจุดมุ่งหมายที่โค่นล้มสังคมที่ขูดรีดกำลังแรงงานและความเป็นมนุษย์เยี่ยงนี้ เพื่อสร้างระบบ "เผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพ" เพื่อโค่นล้มชนชั้นปกครองเก่าลง และสร้างสังคมในอุดมคติขึ้น

แต่ก็เป็นเรื่องโชคร้าย, ที่หลังการปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์ในหลายประเทศ กลับก่อให้เกิดการเข่นฆ่าประชาชนในชาติเดียวกัน และมิใช่การเปลี่ยนผ่านอย่างสันติ ดังเช่นตัวเลขดังต่อไปนี้


  • ผู้เสียชีวิตจากในโซเวียต (ค.ศ. 1917 - 91) : 62 ล้านคน
  • ผู้เสียชีวิตในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมจีน (ค.ศ. 1949 - ) : 35 ล้านคน
  • ผู้เสียชีวิตในช่วงการปกครองของเขมรแดง (ค.ศ. 1975 - 79) : 2 ล้านคน


มิหนำซ้ำ, ภายหลังการพังทลายของโซเวียต, รัสเซียหันกลับไปเดินตามระบอบทุนนิยมตลาดเสรี และในขณะนี้กลับก้าวเดินไปสู่เส้นทางของการควบคุมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดโดยกลุ่มข้าราชการเคจีบีซึ่งเรืองอำนาจในสมัยโซเวียตเก่า ที่นับวันยิ่งกระชับอำนาจมั่นคงยิ่งกว่ายุคเดิมที่ผ่านมา

จีน, เวียดนาม ก็เริ่มเดินตามระบบทุนนิยม

คิวบา ประสบปัญหาค่าครองชีพราคาแพง ภาวะเงินเฟ้อ ต้องหารายได้จากการท่องเที่ยว (นักท่องเที่ยวจะแลกเปลี่ยนเงินในอัตราส่วนที่ราวกับถูกโขกสับ)

เกาหลีเหนือ ก็ประสบปัญหาด้านเศรษฐกิจ มีข่าวว่ามีเด็กอดอยากหิวโหย จำนวนมาก จนคิมแดจุงต้องใช้อาวุธนิวเคลียร์ข่มขู่ชาติตะวันตกเพื่อแลกกับการช่วยเหลือจากต่างประเทศ

เหล่านี้, เป็นผลจากการล่มสลายเป็นลูกโซ่ของ อุดมการณ์คอมมิวนิสต์ ที่ประสบความสำเร็จยึดระบอบการปกครองได้ ตามวิถี มาร์กซ์-เลนิน

ดูราวกับเป็นนิยายเศร้า ที่ชีวิตช่างไร้ความหวังอันใดเช่นนั้น.




 

Create Date : 07 กันยายน 2550    
Last Update : 7 กันยายน 2550 19:01:57 น.
Counter : 424 Pageviews.  

เรากำลังถูกขูดรีด "กำลังแรงงาน" อยู่หรือไม่

ท่ามกลางความเงียบระหว่างผมกับเขาสองคน, จู่ๆ ผมก็ถามเขาซึ่งเป็นคนขับแท็กซี่ขึ้นว่า "พี่ขับแท็กซี่มานานแล้วหรือยังครับ?"

"..."

เขาอึ้งไปพักหนึ่ง, ทำสีหน้าดูอึดอัด แล้วก็ตอบสั้นๆ ห้วนๆ ว่า "ก็ขับมานานแล้ว" แล้วก็เงียบเสียงต่อไป

ผมสังเกตท่าทาง และคำพูดของเขา ก็ต้องประเมินว่าได้พูดอะไรผิดไปหรือไม่ บางทีอาจจะหงุดหงิดหาว่าผมคิดว่าเขาขับรถไม่ดีก็ได้

ผมพยายามชวนคุยต่อ "อ๋อ... ผมอยากรู้ว่าขับแท็กซี่นี่เป็นยังไง รายได้ดีไหม เผื่อผมตกงานจะได้มาขับแท็กซี่กับเขาบ้างน่ะครับ"

"เดี๋ยวนี้แท็กซี่มันเยอะขึ้นนะ" เขาตอบ ท่าทางผ่อนคลายขึ้น

"เห็นเขาว่าเดี๋ยวนี้รายได้ไม่ค่อยดีเหมือนเมื่อก่อนนะครับ?"

"อืม เดี๋ยวนี้แย่ลงเยอะ เมื่อก่อนดีนะ ยิ่งตอนยังไม่มีมิเตอร์ดีกว่านี้อีก"

"โห พี่ขับมาตั้งแต่สมัยไม่มีมิเตอร์เลยเหรอครับ งั้นก็ขับมานานแล้วสิ"

"ยังงี้ นี่ก็เป็นรถพี่เองน่ะสิครับ?"

"อ๋อ นี่ผมเช่าอู่เขาน่ะ ขับเจ็ดวันฟรีวันนึง"

...

----


ในขณะที่เศรษฐศาสตร์กระแสหลักแบบคลาสสิก ในสมัยอดัม สมิธ มองว่า เมื่อเราผลิตสินค้าขึ้นมาหนึ่งชิ้น เราก็จะนำสินค้านั้นไปขายในตลาด แล้วได้เงินมา ก็จะนำเอาเงินนั้นไปแลกสินค้าอื่นอีกทอดหนึ่ง

เงินตราจึงเป็นเพียงปัจจัยในการแลกเปลี่ยนสินค้า ในสภาวะตลาดแข่งขันแบบเสรีนั้น ก็เหมือนกับคนแต่ละคนในตลาดเอาสินค้าที่ตนเองผลิตได้มาแลกเปลี่ยนกันอย่างเสรี โดยมีเงินตราเป็นเพียงเครื่องหล่อลื่นการแลกเปลี่ยนนั้นเอง

แต่นักคิดฝ่ายซ้ายอย่างมาร์กซ์นั้นเชื่อว่า แนวคิดแรกนั้นมองโลกตื้นเขินเกินไป

ในยุคสมัยที่มาร์กซ์อยู่นั้น เป็นสังคมแบบอุตสาหกรรมปล่องไฟ ซึ่งเป็นยุคสมัยที่เริ่มมีการปฏิวัติอุตสาหกรรมช่วงแรกๆในยุโรป และเริ่มมีการนำเอาเครื่องจักรไอน้ำมาใช้ ในยุคนี้เองเริ่มปรากฎมีชนชั้นขึ้นสองชนชั้น ซึ่งมาร์กซ์เรียกชนชั้นหนึ่งว่า นายทุน และอีกชนชั้นว่า กรรมาชีพ

มาร์กซ์บอกว่า คนเราไม่ได้เกิดมาเท่าเทียมกันทั้งหมด เพราะชนชั้นนายทุนซึ่งรวมไปถึงทายาทของเขาตั้งต้นที่เงิน คือเอาเงินตรานั้นไปลงทุนสร้างโรงงาน และว่าจ้างกรรมกรเข้ามาทำงานในโรงงาน, ในขณะที่ชนชั้นกรรมาชีพ ไม่ได้เกิดมาพร้อมกับเงิน ก็ต้องยินยอมขายกำลังแรงงานตนเองเพื่อแลกกับค่าจ้าง

ด้วยไม่มีทางเลือก ทำให้กรรมกรนั้นต้องยินยอมขายกำลังแรงงานของตนเองนั้นในราคาถูกกว่าที่ควรจะเป็น ในขณะที่นายทุนสามารถประหยัดต้นทุนลงจากการจ่ายค่าแรงให้กรรมกร เมื่อโรงงานผลิตสินค้าและไปขายในท้องตลาด นายทุนก็จะได้ผลตอบแทนที่มากกว่าที่ควรจะเป็น ก็เพราะส่วนหนึ่งเขาได้ขูดรีดเอาไปจากค่าแรงของกรรมกรนั้นเอง

ในขณะที่กรรมกรต้องทำงานในโรงงาน 10 ชั่วโมง ต่อวัน แต่ค่าจ้างที่เขาได้นั้น ในความเป็นจริงเทียบเท่าได้กับการที่เขาทำงานเพียง 3 ชั่วโมง

คนที่เข้าใจเรื่องมาร์กซิสต์ และแนวคิดฝ่ายซ้ายจึงมองสินค้าต่างๆ ในรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างทุน และการขูดรีด ไม่ได้มองเป็นเพียงสินค้าที่สวยงาม (เช่นมองว่าโต๊ะ-เก้าอี้ที่ใช้อยู่ นีเป็นการขูดรีดแรงงานมาได้เท่าไหร่ๆ)

ดังนั้น นอกเหนือจากความสัมพันธ์แบบการแลกเปลี่ยนสินค้าอย่างเสรีแล้ว ก็ยังมีความสัมพันธ์ในเชิงขูดรีดกำลังแรงงานอยู่ด้วย

----


บทสนทนาระหว่างผมกับคนขับแท็กซี่ ก็เป็นไปในเชิงสอบถามชีวิตความเป็นอยู่ของเขา

ขับรถวันละกี่ชั่วโมง -- ขับกะดึก (ควงกะกับเพื่อนอีกหนึ่งคน) เริ่มตั้งแต่บ่ายสาม จนถึงประมาณเที่ยงคืน
มีวันหยุดบ้างไหม -- ไม่ค่อยมีก็ขับไปเรื่อยๆ บางทีอาศัยช่วงที่อู่ปล่อยเช่ารถฟรีเป็นวันหยุด
มีค่าใช้จ่ายอย่างไร -- ค่าเช่ารถ ค่าแก๊ส ค่าล้างรถเมื่อเปลี่ยนกะ ตกเดือนหนึ่งเมื่อคำนวนค่าใช้จ่ายกับคู่กะ ก็เสียค่าใช้จ่ายให้เจ้าของอู่ในราว 32,000 บาท ในขณะที่เมื่อเทียบหากซื้อรถและผ่อนเองอาจจะเสียแค่เดือนละ 16,000 บาท (แต่อาจจะต้องขับรถนานขึ้นเล็กน้อย)

อู่ย่านที่เช่าอยู่มีขาใหญ่อยู่สองเจ้า ไม่ค่อยถูกกัน อู่ที่หนึ่งมีเจ้าของเป็นสะใภ้ขานั้นเข้มงวดกว่า แต่ที่อู่ที่ขับให้นั้นเป็นเจ้ ดูยืดหยุ่นกว่า ส่งช้าอะไรได้...

บางทีการที่มนุษย์เรา ต้องอดทนทำงานหนัก 9 - 10 ชั่วโมงต่อวัน โดยแทบไม่มีวันหยุดพัก เพื่อแลกกับรายได้เพียงน้อยนิด เมื่อเทียบกับมีอีกหลายคนที่เริ่มต้นด้วยเงินทุน แล้วลงทุนขยายกิจการออกไปเรื่อยๆ และมีรายได้ที่ต่างกัน นี่ก็ทำความเข้าใจได้ยากอยู่เหมือนกัน

ทำไมมนุษย์เราถึงจะ ทำงานพอๆกัน มีโอกาสพักผ่อนพอๆ กัน มีสถานภาพความเป็นอยู่ที่ใกล้เคียงกัน สนับสนุนสังคมตามกำลังของตน และได้รับประโยชน์จากสังคมตามที่ตนจำเป็นเพียงเท่านั้นไม่ได้?

เมื่อมานั่งคิดถึงสถานภาพของคนทำงานกินเงินเดือนส่วนใหญ่ในประเทศ ใช่หรือไม่ว่าก็ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้กันทั้งนั้น?




 

Create Date : 06 กันยายน 2550    
Last Update : 6 กันยายน 2550 12:54:52 น.
Counter : 465 Pageviews.  

1  2  3  

ฮันโซ
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




สหายสิกขา Lite version

สหายสิกขาตั้งคำถามกับการเป็นอยู่ของสรรพสิ่งตรงหน้า พร้อมกันนั้นก็เปิดรับแนวคิดของคำตอบในมุมมองที่แตกต่างอย่างเท่าเทียมกัน

สหายสิกขาจะมีความยินดียิ่ง หากคุณได้นำความรู้ที่ได้จุดประกายนี้ไปตีความต่อให้ลึกซึ้งยิ่งๆขึ้น เพราะยิ่งแลกเปลี่ยนยิ่งถกเถียงยิ่งสนทนาก็สามารถแตกประเด็นไปอีกได้มาก

สหายสิกขาต้องการกระตุ้นให้คนอ่านได้คิด และสัมผัสถึงขอบเขตที่ไม่สิ้นสุดแห่งจินตนาการ

พร้อมกันนั้นสหายสิกขา ก็พร้อมอยู่เป็นเพื่อนคู่คิด เพื่อนสนทนา เพื่อจับมือกันเรียนรู้ไปในโลกกว้าง ...ด้วยกัน

CC Developing Nations
Friends' blogs
[Add ฮันโซ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.