Group Blog
 
All blogs
 
ความฝัน เบียร์ คนจน และ สหภาพ

เมื่อวานได้มีโอกาสพบสหายที่คบกันมานานท่านหนึ่ง ก็เลยได้มีโอกาสนั่งลงพูดคุย เจรจา สอบถามสารทุกข์สุกดิบกัน พร้อมทั้งรำลึกถึงเหตุการณ์ในอดีต

เขากับผมมีเส้นทางเดินที่คล้ายกัน อายุก็เท่ากันเพราะเกิดปีเดียวกัน หลบหลีกออกจากสภาพการเป็นลูกจ้างมาแสวงหาความไฝ่ฝันของผู้ประกอบการเหมือนกัน แล้วก็ล้มลุกคลุกคลาน เพราะความบิดเบี้ยวของสภาพสังคมไทยเหมือนกัน

เขาบอกผมว่า ถ้าผมไปเกิดและทำแบบนี้ในต่างประเทศผมก็คงเป็นเศรษฐีไปแล้ว ในสมัยก่อนโน้นผมก็เออออห่อหมกไปเรื่อย แต่ไม่ได้ครุ่นคิดเอาจริงเอาจังกับความคิดนี้เท่าใดนัก

หลังจากนั้นเส้นทางของเราสองคนก็ค่อยๆ แตกต่างออกไป

เราสองคนผิดหวังในชีวิตรักครั้งแรกเหมือนกัน แต่ในขณะที่เขายังคงดิ้นรนต่อสู้กับมรสุมธุรกิจและชีวิตอยู่อย่างกร้านกรำ ตัวผมเองโบกมือลาจากธุรกิจที่ผมก่อตั้งขึ้น แล้วอพยพชีวิตหลบหนีจากมรสุมธุรกิจไปอยู่ใต้ชายคาในกิจการแห่งหนึ่ง ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมพอมีกำลังไปครุ่นคิดและใคร่ครวญถึงสาเหตุและปัญหาในความล้มเหลวที่ผ่านมาบ้าง

ผมได้รับข่าวคราวเรื่องชีวิตรักที่ล้มเหลวของเขาเพียงผ่านๆ ผมก็ได้แต่รับฟังด้วยความเห็นใจ โดยที่ไม่รู้ว่าเหตุการณ์เดียวกันก็จะเกิดขึ้นกับผมอีกในเวลาต่อมาในอีกไม่ช้าไม่นาน

ผมอุทิศเวลาส่วนหนึ่งเข้าศึกษาต่ออย่างคร่ำเคร่งในสถาบันที่ผมไฝ่ฝันอยากจะเข้ามาเรียนตั้งแต่ปริญญาตรี เพื่อค้นหาว่าที่ผ่านมาผมทำอันใดผิดพลาด ธุรกิจที่ผมเฝ้าฟูมฟักขึ้นมาจึงได้ล้มคว่ำเสียไม่มีดี

ยิ่งเรียนไป ผมก็ยิ่งเข้าใจ สิ่งที่เขาบอกผมจากความรู้สึกและประสบการณ์ "ถ้าเพียงว่า เราไปเติบโตและทำแบบนี้ในต่างประเทศ..." ผมเริ่มเข้าใจถึงสภาพการณ์ที่แตกต่างกันระหว่างสังคมไทยและสังคมต่างประเทศ ที่ดูเหมือนเปิดโอกาสให้ผู้คนที่มีความไฝ่ฝัน มีความคิดสร้างสรรค์ และมุ่งมั่นที่จะทำสิ่งต่างๆให้สังคมดีขึ้น

ในขณะที่สังคมไทย "ในความเป็นจริง" เป็นสังคมที่อัปลักษณ์ เอาเปรียบคนยากไร้ และผู้ด้อยโอกาส แต่กลับฉาบและตกแต่งใบหน้า ด้วยหน้ากากของผู้ดีมีคุณธรรมที่แสนจะเมตตา

ปกติผมเป็นคนไม่ใคร่จะดื่มกินเครื่องดองของเมาเท่าใด หากไม่ใช่กับสหายผู้รู้ใจจริงๆ คือเรียกว่าจะดื่มก็ได้ไม่ดื่มก็ไม่มีปัญหา แต่เมื่อวานก็นั่งลง ดื่มกิน และร่วมพูดคุยกับสหายท่านนี้

วนิพก, คนเลี้ยงช้าง, เด็กขายดอกไม้, คนขายล็อตเตอรี่, นักดนตรีคนจร ผลัดกันเข้ามานำเสนอสินค้าและการบริการของพวกเขาให้กับลูกค้าที่เข้ามาดื่มกินในร้านค้าแห่งนี้

สหายท่านนี้ ไม่อิดออดลังเลใจที่จะควักกระเป๋าหยิบจ่ายเงินให้กับคนเหล่านี้ ซึ่งในช่วงแรกผมก็นึกค้านอยู่ในใจ เพราะเอาเข้าจริงฐานะของเขาและผมก็ไม่ได้แตกต่างกันมาก คือใช่ว่าจะเป็นคนมีฐานะร่ำรวยอะไรกันนัก แต่พอผมเห็นสายตาของเขาภายหลังจากการแจกจ่ายเงิน และสายตาของผู้คนที่ได้รับเงินจากเขาในจำนวนที่ไม่มากนัก ผมก็เริ่มเข้าใจ และอดไม่ได้ ที่จะต้องร่วมหยิบจ่ายเงินให้กับ "หน่วยเศรษฐกิจ" ย่อมๆ ที่เข้ามานำเสนอบริการ โดยที่เจ้าของพื้นที่ไม่ได้เชื้อเชิญเข้ามาแต่อย่างใด

พอเห็นผมไม่มีท่าทีขัดขวางเขา เขาก็ยิ้มแล้วเริ่มพูด "เวลาผมลำบาก ไม่มีเงินเนี่ย ผมรู้ความรู้สึกการขาดเงินจริงๆ ถ้าเราช่วยพวกเขาได้ สิบบาทยี่สิบบาท แม้จะเป็นเงินเล็กน้อย แต่เขาก็อาจจะเอาไปทำประโยชน์ได้"

"ผมเสียดายที่รัฐบาลชุดที่แล้วโดนล้มไป เพราะรัฐบาลชุดนั้นทำเพื่อคนจนอย่างมาก... ถ้าผมมีโอกาส ผมก็อยากจะทำอะไรเพื่อคนยากจนบ้าง"

ผมพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ แต่ในใจก็ยังมีความคิดเห็นแย้งกับเขาบ้าง

ที่ผ่านมาใช่หรือไม่ว่า คนชั้นกลางในสังคมไทยพึงพอใจกับสังคมฉาบฉวยที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน พอใจกับการใส่หน้ากากเข้าหากัน พอใจกับสภาพอย่างที่มันเป็นอยู่ เพราะอันที่จริงคนชั้นกลางก็ได้รับประโยชน์ไม่น้อยจากสภาพสังคมอย่างที่มันเป็น จนไม่มีใครคิด หรือบางทีก็ลืมไปแล้วว่าจะไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขมันด้วยเหตุผลอันใด

คนชั้นกลางในสังคมไทยที่ก้าวหน้าบางคน พึงพอใจกับการไต่เต้าเข้าสู่วงสังคมที่เป็นกลุ่มที่อยู่สูงกว่า บ้างก็พยายามทุกอย่างเพื่อเข้าไปให้ถึง "สโมสร" ของชนชั้นนำเหล่านั้นบ้าง

ผมนึกไปถึงการปกครองอาณานิคมของอังกฤษ ที่ฝึกผู้นำให้ "เป็น" และ "มีชั้นเชิง" ในการควบคุมคนในปกครองให้มีความสุขและพอใจในความเป็นอยู่ของการปกครอง และถ้าเขาเห็นแววของคนใต้ปกครองบางคน ที่พอจะขึ้นมาช่วยอำนวยการปกครองนี้บ้าง ก็อาจจะช่วยฉุดดึงให้ขึ้นมาปกครอง คนเหล่านั้นก็จะได้โอกาสไต่เต้าขึ้นไปตามขั้นบันไดที่กลุ่มผู้ปกครองได้ออกแบบไว้แล้ว ซึ่งแน่นอนว่ามีคนจำนวนน้อยที่ทำได้ และผลประโยชน์ส่วนใหญ่นั้นโดยที่สุดก็ถูกกักเก็บไว้เพียงแต่ในกลุ่มของตนเอง

ผมได้ยินข่าวการที่กรรมกร ผู้ใช้แรงงาน หรือคนที่ทำงานรัฐวิสาหกิจหรือที่สมัยนี้เรียกกันว่าพนักงานคอปกน้ำเงิน (blue collar) มีการจัดตั้งองค์กรสหภาพผู้ใช้แรงงานอย่างเข้มแข็ง

วันนี้ประชาไท ตีพิมพ์บทความเชิงวิเคราะห์เรื่องกรณีสหภาพไอทีวีว่ามีส่วนช่วยในการปกป้ององค์กรของตนเอง ผมต้องมาตั้งคำถามกับตนเอง และนั่งใคร่ครวญเรื่องนี้ดู ก็พบกับความแปลกใจ เพราะในฐานะที่ตนเองก็เป็นพนักงาน (แต่งานที่ทำเป็นงานที่ใช้แรงงานน้อย ใช้ความคิดมากกว่า) ที่เขาเรียกกันว่าพนักงานคอปกขาว (white collar) ดูเหมือนจะแทบไม่มีการจัดตั้งสหภาพแรงงานของคนกลุ่มนี้เกิดขึ้นเลย สหภาพฯ ของพวกคอปกขาวที่ใกล้เคียงที่สุดที่จะถูกจัดตั้งขึ้นก็คือ สหภาพของนักข่าวในเครือเนชั่น ก็ถูกทริกทำให้ล้มไป ไม่แตกต่างกับแนวทางผู้บริหารไอทีวีที่พยายามทำกับสหภาพไอทีวี ด้วยวิธีการหลากหลายไม่ว่าจะเป็นการขู่โดยผ่านการไม่ออกโบนัส และการฟ้องร้องเชิงกฎหมาย

การจัดตั้งสหภาพนั้น ผู้นำหรือผู้ริเริ่มจึงต้องมีความแม่นยำในเรื่องตัวบทกฎหมาย ต้องรู้จักวิธีการและเครื่องมือในการต่อสู้ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้กฎหมาย หรือการเคลื่อนไหวผ่านมวลชน การเจรจาต่อรอง ตลอดจนการรวมตัวกับสหภาพอื่นๆ

คนที่เป็นแกนนำสหภาพเหล่านี้ มักจะถูกหมายหัวจากผู้บริหารระดับสูงไม่ให้ขึ้นมามีบทบาทในการบริหารงาน แต่ถ้าสหภาพมีการจัดตั้งได้เข้มแข็งจริงๆ ก็อาจมีการส่งตัวแทนขึ้นไปนั่งดูแลในระดับบอร์ดด้วยซ้ำ

ซึ่งในที่สุดผู้บริหารก็จะถูกตรวจสอบจากทั้ง คณะผู้ถือหุ้น, พนักงาน และการตรวจสอบตามระบบที่มีอยู่ (เช่นกรณีจากทางการ หรือตลาดหุ้น หากเป็นบริษัทมหาชน)

เมื่อดูอย่างนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่จะไม่มีสหภาพเกิดขึ้น เพราะจะต้องถูกกีดกันทุกวิถีทาง และที่สำคัญคือพวกคอปกขาวยังรู้สึก "สบายๆ" กับระบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน จึงยัง "ไม่ตื่นตัวขึ้น"

เรื่องเหล่านี้อาจจะเปลี่ยนไป ถ้าพวกเขาได้ตระหนักรู้ถึงพลังที่แท้จริงของตนเอง

แต่ละคนทำอะไรด้วยกำลังตนเองไม่ได้ แต่หากเมื่อไหร่ที่พวกเขารวมตัวกัน พลังของพวกคอปกขาวที่บังเกิดขึ้นใหม่จะไม่มีอะไรมาต่อต้านได้อีกต่อไป ที่สำคัญผลประโยชน์ของพวกคอปกขาวมักจะสอดคล้องกับพวกคอปกน้ำเงิน และเป็นพลังที่อาจสามารถผลักดันสังคมให้ก้าวไปข้างหน้า

และนั่นอาจหมายถึงคำตอบใหม่ ที่สังคมไทยเฝ้ารอคอยมานานแสนนาน.

ข้อมูลอ้างอิง



Create Date : 15 มีนาคม 2550
Last Update : 15 มีนาคม 2550 20:19:23 น. 5 comments
Counter : 467 Pageviews.

 


นานๆ กลับมาเขียนบทความบ้านหลังนี้ก็ดีนะคะ

กลับมาทีไร ก็ยังชอบอ่านเหมือนเดิมทุกที

สะท้อนใจหลายอย่าง กับสังคมทุกวันนี้



โดย: jengly วันที่: 15 มีนาคม 2550 เวลา:21:28:41 น.  

 
ผมเองก็กำลังเริ่มต้นใหม่เหมือนกัน

ประสบการณ์ คือสิ่งที่จำเป็นที่สุดกับผมตอนนี้ครับ


ผมว่าสังคมไทย เรามันก็ใส่หน้ากากจริงๆ แหล่ะครับ
ไม่ว่าจะชนชั้นใหน

แต่สำหรับผม

ถ้ามันทำให้ความหวังและความฝันเป็นจริงได้

ถึงให้ใส่หน้ากากหนัก 10 โล เดินขึ้น ชั้น 10 ก็จะทำ


ทุกวันนี้หลายๆ เช้าที่ผมต้อง เถียงกับ พ่อแม่
เรื่องการแต่งตัว

แต่เอาเข้าจริง ผมก็ต้อง เอาความจริงเข้าว่า
เพราะเรายังต้องรับผิดชอบความรู้สึกต่อคนรอบข้างอยู่ดี
ผมแต่งตัวตามสบาย ผมสบายใจ
แต่แม่ เศร้า

สุดท้าย ก็ใส่หน้ากากกันต่อไป

แต่อย่าลืม ถ้าว่างเมื่อใหร่ ให้ทบทวนความเป็นตัวเองก็พอ

ปล.เรื่องธุรกิจเจ๊ง ผมก็เคยล่มตั้งแต่แรกเหมือนกัน ยังไม่ทันทำเสร็จเลย ก็โดนอุปสรรคที่แก้ไม่ได้เข้ามาถล่มเหมือนกัน ไม่ปลอบใจให้อย่ายอมแพ้น่ะครับ เพราะบางทีปัญหามันก็โลกแตกจริงๆ คนไม่เคยโดนไม่รู้หรอก


โดย: greensign (GreenSign ) วันที่: 15 มีนาคม 2550 เวลา:21:30:39 น.  

 
ขอบคุณครับ สำหรับบทความดี ๆ แนวคิดดี ๆ ..... กลับไปเมืองไทย จะขอเจอตัวนะครับท่าน


โดย: POL_US (POL_US ) วันที่: 16 มีนาคม 2550 เวลา:2:11:51 น.  

 
เห็นด้วยกับตรงนี้มากๆเลย

"ยิ่งเรียนไป ผมก็ยิ่งเข้าใจ สิ่งที่เขาบอกผมจากความรู้สึกและประสบการณ์ "ถ้าเพียงว่า เราไปเติบโตและทำแบบนี้ในต่างประเทศ..." ผมเริ่มเข้าใจถึงสภาพการณ์ที่แตกต่างกันระหว่างสังคมไทยและสังคมต่างประเทศ ที่ดูเหมือนเปิดโอกาสให้ผู้คนที่มีความไฝ่ฝัน มีความคิดสร้างสรรค์ และมุ่งมั่นที่จะทำสิ่งต่างๆให้สังคมดีขึ้น

ในขณะที่สังคมไทย "ในความเป็นจริง" เป็นสังคมที่อัปลักษณ์ เอาเปรียบคนยากไร้ และผู้ด้อยโอกาส แต่กลับฉาบและตกแต่งใบหน้า ด้วยหน้ากากของผู้ดีมีคุณธรรมที่แสนจะเมตตา"


โดย: Rive Gauche วันที่: 16 มีนาคม 2550 เวลา:7:24:34 น.  

 
เพลง Frgt/10 ของ Linkin Park feat. Alchemist, Chali 2na (จากชุด Reanimation)

I’m here at this podium talking
The ceremonial offerings dedicated to
urban dysfunctional offspring
What’s happening?
City governments are eternally napping
Trapped in greedy covenants
Causing urban collapse
And bullets that scar souls with dark holes

Get more than your car stole,
some parts be blacker than charcoal

This society’s deprivation depends now on
our differences but the separation within


No preparation is made
Limited aid, minimum wage

Living in a tenement cage where rent isn't paid
Tragedy within a parade
The darkness overspreads like a permanent plague

I’m the forgotten


โดย: หมาเลี้ยงแกะ วันที่: 8 กรกฎาคม 2550 เวลา:21:16:26 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฮันโซ
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




สหายสิกขา Lite version

สหายสิกขาตั้งคำถามกับการเป็นอยู่ของสรรพสิ่งตรงหน้า พร้อมกันนั้นก็เปิดรับแนวคิดของคำตอบในมุมมองที่แตกต่างอย่างเท่าเทียมกัน

สหายสิกขาจะมีความยินดียิ่ง หากคุณได้นำความรู้ที่ได้จุดประกายนี้ไปตีความต่อให้ลึกซึ้งยิ่งๆขึ้น เพราะยิ่งแลกเปลี่ยนยิ่งถกเถียงยิ่งสนทนาก็สามารถแตกประเด็นไปอีกได้มาก

สหายสิกขาต้องการกระตุ้นให้คนอ่านได้คิด และสัมผัสถึงขอบเขตที่ไม่สิ้นสุดแห่งจินตนาการ

พร้อมกันนั้นสหายสิกขา ก็พร้อมอยู่เป็นเพื่อนคู่คิด เพื่อนสนทนา เพื่อจับมือกันเรียนรู้ไปในโลกกว้าง ...ด้วยกัน

CC Developing Nations
Friends' blogs
[Add ฮันโซ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.