ซ็อป แซะ เที่ยวอิตาลี่ Sirmione







 


ซีรมิโอเน่

31 พฤษภาคม 2557 (ต่อ)

คลิกก่อนหน้านี้ เวโรน่า

พวกเราจากเมืองเวโรน่าอย่างประทับใจ จากนั้นพวกเราก็เดินทางต่อไปยังเมืองซีรมิโอเน่เพื่อไปชมทะเลสาบการ์ดา

ระยะทางจากเมืองเวโรน่าไปเมืองซีรมิโอเน่ เป็นระยะทาง 45 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 45 นาที

เมืองซีรมิโอเน่(Sirmione) เป็นเมืองเก่าแก่อายุนับ 2000 พันปีด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เป็นแหลมยื่นเข้าไปในทะเลสาบการ์ดา(Garda)ที่สวยงาม ดังนั้น Sirmione จึงถูกล้อมรอบด้วยทะเลสาบทั้งสองด้าน ในอดีตเคยเป็นเมืองที่มีผู้คนที่มีฐานะในยุคสมัยโรมันใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจและปัจจุบันก็เป็นเมืองพักผ่อนริมทะเลสาบ



รถกำลังผ่านเข้ามาในเมือง



เมืองนี้เป็นเมืองตากอากาศของชาวอิตาลี่ ชาวอิตาลี่ที่มีสตางค์จะซื้อบ้านที่นี่ไว้มาพักผ่อนหย่อนใจในช่วงหน้าร้อนหรือวันหยุด



คนมาเที่ยวกันเยอะมากดังนั้นรถจึงติดยาวมาก พวกเราจึงเดินดีกว่า

บรรยากาศริมทะเลสาบ

ต้นสนรูปร่างแปลกดี คุณโจบอกว่าต้นสนเหล่าไม่ได้มีการตกแต่งแต่อย่างใด มันเป็นทรงอย่างนี้เอง



ร้านขาย wine ตกแต่งอย่างน่ารัก



ก่อนศตวรรษที่ 15 Sirmione อยู่ภายใต้การปกครองของเมืองเวนิส หรือจะเรียกได้ว่าเป็นอาณาบริเวณหนึ่งของเมืองเวนิสนั่นเองเพราะสมัยนั้นเมืองต่างๆ ในประเทศอิตาลียังไม่ได้รวมตัวกันต่างเป็นเอกเทศปกครองกันเอง แถมมีการทำสงครามเพื่อแย่งชิงเมือง Sirmione เลยเป็นเมืองที่มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน ที่สำคัญมีหลักฐานและร่องรอยทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่ยุคสมัยโรมันทั้งกำแพงเมืองที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อป้องกันสงคราม

ปราสาทเก่าแก่ของเมืองชื่อ The Scaliger Castle of Sirmione เมืองนี้เคยอยู่ในการปกครองของตระกูล Scaliger สร้างในปี 1277



เดินผ่านกำแพงมาจะเป็นคูน้ำ



กำแพงเมืองโบราณมีน้ำล้อมรอบ ใช้เป็นป้อมปราการร่วมกับเมืองเวโรน่าเพื่อป้องกันการโจมตีของข้าศึก



ใกล้กำแพงเมืองมีบันได 165 ขั้นสามารถขึ้นไปชมวิวของเมืองได้



มีเป็ดว่ายน้ำเต็มไปหมด



กำแพงด้านบนเป็นตัว M ลักษณะคล้ายคลึงกับเมืองVerona



ทะเลสาบการ์ดา(Garda) ทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดทางตอนเหนือของอิตาลี อยู่ระหว่างเมืองเวโรนา(Verona)และเบรสชา (Brescia) บริเวณเชิงเทือกเขาแอลป์ มีความยาวจากเหนือจรดใต้กว่า 55 กม.ความกว้างประมาณ3-17 กม. ครอบคลุมเนื้อที่ 360 ตารางกิโลเมตร และเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลี่



อาคารสีสวยๆตัดกับท้องฟ้าและทะเลดูสวยงาม ใกล้ๆกันก็เห็นทะเลกับท่าเทียบเรือ



เราเดินไปตามทางอาคารสีสันเหล่านี้



เดินมาจนสุดซอยก็เจอกับชายหาด





ทะเลที่นี่ไม่น่าเล่นเลย มีแต่หินเต็มไปหมด



พวกเราไปรับประทานอาหารเที่ยงซึ่งอยู่ในร้านอาหารติดชายทะเลในบริเวณนี้ชื่อร้าน La Speranzina ร้านตกแต่งอย่างสวยงาม



ช่วงรอเพื่อนๆที่ยังเดินมาไม่ถึง เราก็ถ่ายรูปเล่นไปพลางๆก่อน

ร้านตกแต่งแนว Vintage ทุกมุมน่าถ่ายรูปไปหมด



วิวทะเลจากระเบียงร้านอาหาร



ระเบียงของร้านก็ดูน่านั่งดื่มด่ำกับบรรยากาศแสนงดงาม



อาหารกลางวันที่ดูหรูหรามากและที่สำคัญอร่อยมากเลยคะ



หลังจากรับประทานอาหารเสร็จพวกเราก็ออกไปเดินเล่นกันต่อ

บริเวณซอยนี้จะเป็นร้านขายของ มีของที่ระลึกมากมาย



ที่เมืองซีรมิโอเน่แห่งนี้จะมีไอศกรีม “เจลาโต”ว่ากันว่าร้านไอศกรีมที่นี่มีการแข่งขันกันมาก มีไอศกรีมรสชาติต่างๆ ให้เลือกมากที่สุดในอิตาลี

ร้านนี้เป็นร้านเก่าแก่มากตั้งมาตั้งแต่ปี 1948



ใกล้ทางออกกำแพงมีโบสถ์เก่าชื่อ Sant’Anna della Rocca สร้างในศตวรรษที่ 12



ด้านในตกแต่งเรียบง่าย



ท่าจอดเรือใกล้ทางออก



เราเห็นคนมุงร้านนี้มาก นักท่องเที่ยวรุมซื้อผลไม้กันใหญ่เลย

หน้าตาน่ากินมาก ราคาก็ประมาณกล่องละ 3-6 เหรียญคะ



พวกเราเดินกลับมาที่จอดรถ ซึ่งจอดอยู่ริมทะเลสาบ

บริเวณนี้มีท่าจอดเรือเช่นกัน น่าจะเป็นเรือพานักท่องเที่ยวชมรอบเกาะ



จากนั้นพวกเราก็เดินทางต่อไปยัง เซรราวาลเล เอาท์เล็ต ( Serravalle Disgner Outlet)ซึ่งตั้งอยู่เมือง Serravalle Scrivia ระยะทาง 215 กิโลเมตร ใช้เวลา 2.40 ชั่วโมง

เป็น Outlet ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป มีร้านค้าประมาณ 180 ร้านค้า มีร้านค้า brand name มากมายเช่น Prada, Gucci, Ferragamo, Versace, Burberry และอีกมากมาย



ถ้าต้องการ Tax Refund ต้องซื้อของให้ได้มากกว่า 160 ยูโรต่อ 1 บิล วันนี้พวกเราซื้อของกันสนุกสนานจนลืมรับประทานอาหารเย็นจนต้องพึ่ง Burger King



เราว่าถ้าต้องการมา Shopping ควรจะใช้เวลาทั้งวันเพราะมีของให้เลือกหลากหลายดี พวกเราใช้เวลาเดินซื้อของใน Outlet ประมาณ 2 ชั่วโมงยังเลือกไม่ซ์ื้อของไม่ครบเลยแต่ก็ต้องเดินทางต่อไปยังเมืองเจนัว(Genoa)

เจนัว(Genoa)เมืองใหญ่สุดของอิตาลีทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือในแคว้นลิกูเรีย(Liguria) ด้วยสภาพภูมิประเทศที่เหมาะสมต่อการเดินเรือนี่เอง จึงส่งผลให้เมืองเจนัวกลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญ และเป็นบ้านเกิดของนักเดินเรือผู้บุกเบิกอันเลื่องชื่อ หรือ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ที่เชื่อกันว่าเป็นชาวยุโรปคนแรกที่ค้นพบทวีปอเมริกา



จาก Serravalle Disgner Outlet ถึง Holiday Inn Genoa City Hotel ระยะทาง 54 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 45 นาที



ท่าเรืออยู่ตรงข้ามกับโรงแรม



หลังจาก check in พวกเราก็เดินไปยัง Coop ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับโรงแรมเพื่อจะซื้อของกินเพิ่มเติม พอเดินไปถึงห้างก็กำลังปิดพอดี ห้างที่นี่ปิด 20.00 น.

เรามาถึง coop เวลา 19.55 น. พนักงานใจดีมากยอมให้เข้าไปซื้อได้ ทั้งที่เหลือเวลาแค่ 5 นาที เราได้แต่ของกินเพราะไม่มีเวลาดูอย่างอื่นเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้กลับมาซื้อใหม่



เราเดินเล่นร้านค้ารอบๆ coop ไม่นานก็กลับไปจัดกระเป๋าเพราะเมื่อรืนจะกลับประเทศไทยแล้ว รู้สึกว่าเวลาเที่ยวมันน้อยจังเลย...



โปรแกรมพรุ่งนี้เที่ยว Cinque Terre
 




 

Create Date : 07 กรกฎาคม 2557    
Last Update : 3 กันยายน 2562 0:07:18 น.
Counter : 3570 Pageviews.  

ช้อป แซะเที่ยวอิตาลี่ เวโรน่า







 
 
เวโรน่า

31 พฤษภาคม 2557

คลิกก่อนหน้านี้ เวนิส

โปรแกรมวันนี้พวกเราจะไปเที่ยวเมืองซีรมิโอเน่ ชมทะเลสาบกราด้า แต่คุณโจใจดีจึงจัดให้พวกเราเที่ยวเวโรน่าด้วยเพราะเป็นเมืองที่อยู่ใกล้กัน ดังนั้นพวกเราจึงยินดีพร้อมใจกันจ่ายเงินเพิ่มเติม โดยต้องจ่ายภาษีเข้าเมืองเวโรน่า ( โดยปกติการเข้าเมืองในประเทศนี้รถแต่ละคันต้องจ่ายค่าภาษีเข้าเมืองในแต่ละเมืองด้วย ) ค่าน้ำมันและเงินพิเศษให้คนขับรถ พวกเราออกเดินทางแต่เช้า ดังนั้นเวลาที่พวกเราตื่นคือ 0.530 น. 06.30 น.ทานอาหารเช้าและออกเดินทาง 07.00 น

จากแผนที่จะเห็นว่าเวโรน่าเป็นทางผ่านและอยู่ใกล้กับเมืองซีรมิโอเน่ที่เราจะไปพอดี ดังนั้นพวกเราจึงมีโอกาสได้ไปเที่ยวเมืองนี้ด้วย

ระยะทางจากโรงแรม Apogia Sirio Hotel ห่างจาก เวโรน่า ประมาณ 109 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทาง 1 ชั่วโมง 20 นาที



เวโรน่า (Verona) ตั้งอยู่แคว้นเวเนโตซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของอิตาลี่ ซึ่งเป็นแคว้นเดียวกันกับเมืองเวนิช และใกล้กับทะเลสาบกราด้า

เป็นเมืองเก่าแก่ตั้งแต่ยุคโรมันโบราณเมื่อ 2 พันกว่าปี มีความรุ่งเรืองมากภายใต้การปกครองของตระกูลสกาลิเจอร์ (Scaliger family) ในค.ศ. 13-14 และเคยเป็นเมืองขึ้นของสาธารณรัฐเวนิช (Republic of Venice)ในค.ศ. 15-18 ได้รับสมญานามว่า "LITTLE ROMAN" ยังคงรักษาโบราณสถานไว้ได้เป็นจำนวนมาก จากยุคโบราณ ยุคกลางและยุคเรอเนสซองส์ ได้ขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรมจากองค์การยูเนสโกเมื่อปี คศ. 2000



ระหว่างทางเราจะเห็นไร่องุ่น อยู่ตลอด 2 ข้างทาง

นอกจากนี้ยังเป็นเมืองที่เป็นแหล่งกำเนิดตำนานรักอันแสนเศร้าของหนุ่มสาวคู่หนึ่งคือ โรเมโอและจูเลียต Romeo and Juliet ซึ่ง กวีเอก Shakespeare เชคสเปียร์ ของอังกฤษได้นำเรื่องมาแต่งเมื่อ ค.ศ. 1595 จนคนทั่วทั้งโลกต่างพากันหลั่งน้ำตาให้กับความรักอันเป็นอมตะและแสนเศร้าของคนทั้งสอง

มีแม่น้ำอดิเจ (Adige River)ไหลผ่าน เมืองตั้งอยู่ตรงโค้งของแม่น้ำอดิเจ (Adige River) และแบ่งตัวเมืองเป็นสองฝั่ง



รถขับพาพวกเราข้ามสะพานก็ไปเจอกับกำแพงเมืองที่ใหญ่มาก ภายในเป็นปราสาทเก่า ก่อสร้างโดยเจ้าเมืองจากตระกูล Scaliger ผู้ปกครองเวโรน่า ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม

Castelvecchio เมือง สร้างในปี 1350 สร้างจากอิฐแดง ในสมัยก่อนเป็นกำแพงเมืองป้องกันการรุกรานจากศัตรู เป็นป้อมปราการทางการทหาร



รถบัส hop on hop off พานักท่องเที่ยวชมเมือง ราคา 18 เหรียญต่อ 1 ต่อคนต่อวัน ขึ้นลงกี่รอบก็ได้



ทางผ่านไปยัง Arena



Arena เป็น stadium มีรูปแบบเหมือนโคลอสเซียมในกรุงโรมแต่มีขนาดเล็กกว่า ที่ชาวโรมันสร้างไว้นอกกำแพงเมืองมีอายุยืนยาวกว่า 2000 ปี ซึ่งเคยเป็นโรงมหรสพที่ใหญ่โตเรียกว่า Amphitheatre ของชาวโรมัน เขาได้สร้างสถานที่นี้ขึ้นมาเพื่อจัดงานที่ใหญ่โตและสำคัญๆ เช่น ถูกใช้เป็นที่ต่อสู้ของเหล่า Gladiator รวมถึงงานรื่นเริงต่าง ๆ ของเมือง ซึ่งปัจจุุบันทุกๆปีในช่วงฤดูร้อน จะมีการแสดงมหาอุปรากรที่มีชื่อเสียงและคอนเสิร์ทในรูปแบบต่างๆ

มีสภาพสมบูรณ์ไม่แพ้โคลอสเซียมในโรมแต่มีขนาดเล็กกว่า วัดจากภายนอกได้ 153 เมตร คูณ 124 เมตร มีความสูง 30 เมตร บรรจุผู้ชมได้ถึง 30000 คน



เราเดินผ่านประตูเมือง ด้านบนสุดของกำแพงเมืองมีการก่ออิฐเป็นรูปตัว M โดยรอบปราสาทและสะพาน



เราเดินมายัง Piazza Bra จตุรัสที่ใหญ่ที่สุดของเวโรนา จะเห็น Arena และ มีตึกสีสันสวยงามอยู่ตรงกันข้าม ชวนให้อยากถ่ายรูปกับตึกเหล่านี้



เราเดินต่อไปยัง Via Mazzini ถนนคนเดินช๊อปปิ้งที่มีแต่ของแบรนด์เนม เช่น Louis Vuitton , Beneton แต่ยังเช้าอยู่มากยังไม่มีร้านไหนเปิดเลย

เป็นเมืองแรกในอิตาลี่ที่เราเห็นคนน้อยมาก...แต่ที่ไหนได้พอสายๆคนมากันเพียบเลย

เราผ่าน รูปปั้น Berto Barbarani กวีเอกของเมืองเวโรน่า



การตกแต่งของแต่ละร้านล้วนน่าสนใจ



ร้านนี้ก็แปลกดี



เดินประมาณ 20 นาทีเราก็มาถึงเป้าหมาย

ด้านตรงข้ามเป็นประตูทางเข้าบ้านจูเลียต (Casa di Giulietta)



ในนิยายกล่าวถึงความรักของหนุ่มสาวชาวเวโรน่าที่มาจากครอบครัวตระกูลของมอนตะคิว(Montague)ซึ่งเป็นตระกูลของโรมิโอและคาปูเล็ต( Capulet)ตระกูลของจูเลียต ที่เป็นศัตรูกันและจบลงด้วยเรื่องอันน่าเศร้า

บ้านจูเลียต(Casa di Giulietta)ตั้งอยู่ที่บ้านเลขที่ 27 ถนน ถนน viacappello เป็นเพียงโรงแรมเก่าแก่ที่ถูกโอปโลกน์ให้กลายเป็นบ้านของตระกูล Capulet เพราะจูเลียตและตระกลูนี้ไม่เคยมีตัวตนจริงและเป็นเพียงตัวละครในนิยายเก่าแก่เท่านั้น



ภายในบริเวณบ้านจูเลียต บริเวณสวน มีรูปปั้นบรอนซ์ของจูเลียตขนาดเท่าคนจริง

ว่ากันว่าใครก็ตามที่จับหน้าอกซ้ายของรูปปั้นพร้อมอธิษฐานขอความรักจะสมหวัง ดูที่หน้าอกจูเลียตได้...มันแพลบเชียว... มีนักท่องเที่ยวต่อคิวไม่ขาดสาย รวมถึงพวกเราด้วยไม่พลาดเช่นกัน



คู่รักจะเอากุญแจมาคล้องที่ประตูนี้....เต็มไปหมดเลย



ชั้น 2 เป็นมุมที่จูเลียตออกมาพบโรมิโอ โดยโรมิโอได้ปีนขึ้นไปหาจูเลียตและสารภาพความรักของเขา



เราอยู่ที่นี่ประมาณ 10 นาทีก็ไปยัง Piazza Erbe หรือ เป็น market square เป็นที่ชุมนุมของชาวบ้านมาตั้งแต่ยุคโรมัน มีอาคารสีสรรสวยงาม ในจตุรัสมีแผงขายผัก ผลไม้ และของที่ระลึกต่างๆ

ปกติลานนี้จะมีแผงขายของอยู่เต็มไปหมด แต่เราไปเช้ามาก ลานยังว่างอยู่เพราะร้านยังไม่เปิดกัน



เราจะเห็น หอคอย Torre dei Lamberti โดดเด่นมาแต่ไกล และเป็นจุดชมวิวด้วย และมี Devotional columm อยู่ด้านหน้า

หอคอยสร้างเมื่อค.ศ. 1172 และใส่นาฬิกาเพิ่มในปี 1779 ถ้าต้องการชมวิวต้องเดินขึ้นบันได 238 ขั้น พวกเราไม่ได้ขึ้นไปชมวิวเพราะไม่มีเวลาพอ



ด้านข้างของลานมีตึกลายแปลกตาตั้งอยู่ชื่อ Domus Mercatorum สร้างเมื่อปี1301



กลางจตุรัสมี น้ำพุเก่าแก่กว่าสองพันปี เดิมรูปปั้นเป็นรูปปั้นโรมัน ต่อมาเปลี่ยนเป็นพระแม่มารี ( Madonna of Verona )



รูปปั้นพระแม่มารีชัดๆ



ศาลาหิน ใช้แขวนตาชั่งใช้ในการซื้อขายสินค้าในสมัยยุคกลาง เป็นพวกผ้าไหม ผ้าขนสัตว์ หรืออื่นๆ



ด้านหลังมีอาคารสไตล์บารอคชื่อ Palazzo Maffei เคยเป็นวังเก่า สร้างในศตวรษที่ 17 ตึกนี้สร้างซ้อนซากโบราณเก่าของพวกโรมัน หอคอยสูงๆด้านข้าง คือหอระฆัง Gardello มีอายุเก่าแก่มากกว่า 600 ปี

บนยอดตึกมีรูปเทพเจ้าของกรีกอยู่หกรูป เรียงตามลำดับคือ Hercules, Jupiter, Venus, Mercury, Apollo และ Minerva



บน Colonna di San Marco มีรูปแกะสลักสิงโตมีปีก สัญลักษณ์ของเวนิส ที่เคยเข้ามายึดครองเมืองนี้อยู่นาน



Casa Mazzanti นี้ด้านบนจะมีภาพวาดลวดลายสวยงาม



เมื่อได้เวลาพอสมควรพวกเราก็เดินทางกลับทางเดิม พวกเรามาทาง Piazza Bra เพื่อกลับไปยังที่จอดรถบัส



ก็มาเห็นแผ่นบรอนซ์บอกเล่าเรื่องราวของโรมิโอกับจูเลียต ตั้งอยู่กลางสนามหญ้า



เรื่องราวของโรมิโอกับจูเลียตตั้งแต่ พบกัน สารภาพรักกัน แอบได้เสียกัน...จนกระทั่งผู้ใหญ่จับได้ และ จบลงด้วยโศกนาฏกรรม



เมืองนี้เป็นเมืองที่่น่ารักมากดูมีเสน่ห์.. ถ้ามีเวลามากกว่านี้อยากจะอยู่นานๆหน่อยเพราะมีหลายที่ๆเราไม่ได้ไปเดินชมเช่น Castelvecchio Bridge หรือขึ้นหอคอยเพื่อชมเมืองในมุม 360องศา... แต่มันไม่ได้อยู่ในโปรแกรมในทัวร์ของเราถือเป็นกำไรที่มีโอกาสมาเที่ยวที่นี่กัน.....

พวกเรานั่งรถต่อไปยังซีรมิโอเน่เพื่อชมทะเลสาบกราด้าและทานข้าวเที่ยงที่นั่น



เที่ยวเมือง ซีรมิโอเน่

 


 




 

Create Date : 04 กรกฎาคม 2557    
Last Update : 2 กันยายน 2562 2:07:47 น.
Counter : 2152 Pageviews.  

ช้อป แซะเที่ยวอิตาลี่ เวนิส







 
 
เวนิส

30 พฤษภาคม 2557

คลิกก่อนหน้านี้ ฟลอเรนซ์

วันนี้เราออกเดินทาง 08.00 น. เพื่อเดินทางต่อไปยังเวนิชคะ วันนี้ก็นั่งรถนานเช่นเคย
ระยะทางจากปิซ่าถึงเวนิช 325 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทาง 3ชั่วโมง 45 นาที

เมืองเวนิส (Venice) หรือ เมืองเวเนเซีย (Venezia)อยู่ในแคว้นเวเนโต (Veneto)ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอิตาลี ถูกสร้างขึ้นจากการเชื่อมเกาะเล็กๆ จำนวน 118 เกาะ เข้าด้วยกันในบริเวณทะเลสาบเวนิเทีย(Venetian Lagoon) เป็นเมืองที่มีคลองมากที่สุดในโลก และได้เป็นมรดกโลกในปี 1987

เมืองเวนิสมีประชากรอาศัยอยู่ราว 270,000 คน แบ่งเป็น 62,000 คน บริเวณเมืองเก่า(บนเกาะเวนิส), 176,000 คน ที่แผ่นดินใหญ่ และ 31,000 คนตามเกาะอื่นๆ ในทะเลสาบ



รถมาส่งพวกเราขึ้นเรือที่ท่านี้

ช่วงรอขึ้นเรือเราก็แอบถ่ายนกตัวนี้ เจ้าตัวนี้ไม่กลัวคนเลยโพสท่าถ่ายรูปเยอะมาก



เมืองเวนิสตั้งอยู่ห่างจากแผ่นดินใหญ่ 4 กิโลเมตร ปัจจุบันมีสะพานยาวสำหรับรถยนต์และรถไฟจากแผ่นดินใหญ่ไปถึงตัวเมือง สำหรับโดยสารโดยรถไฟ นั่งรถไฟจากสถานี Venice Mestre บนแผ่นดินใหญ่ ข้ามสะพาน Ponte della Liberta ไปลงที่สถานี Venezia Santa Lucia บนเกาะเวนิส ใช้เวลาราวๆ 10 นาทีเท่านั้น กับโดยสารทางเรือ

บนเกาะเวนิสไม่มีถนนให้รถวิ่ง ผู้คนเดินทางโดยทางน้ำหรือเดินเท่านั้น ทางน้ำจะมีเรือยนต์ประจำคล้ายเรือเมล์และเรือแท็กซี่ที่สามารถเช่าเหมาลำไปได้ทุกที่ที่ต้องการ

รถมาส่งเราที่Mestre ซึ่งเป็นแผ่นดินใหญ่และส่งพวกเราที่ท่าเรือ เพื่อนั่งเรือชื่นชมกับธรรมชาติทางน้ำของเวนิส
โปรแกรมเที่ยวคือนั่งเรือเพื่อขึ้นฝั่งเวนิส(ตามเส้นแดง ) และเดินชมเมืองบริเวณ san marcoจากนั้นพวกเราก็ล่องเรือ Gondola เพื่อชมคลองเล็กคลองน้อย



เมื่อได้เวลาพวกเราก็ขึ้นเรือ ซึ่งเป็นเรือTaxi ลำไม่ใหญ่ไม่เล็ก สามารถจุพวกเรา 13 คนได้หมด ใช้เวลาในการนั่งเรือ 20 นาที

พวกเราขึ้นเรือลักษณะนี้ไปข้ามไปยังเกาะเวนิส



ในสมัยโบราณมีชาวโรมันที่หนีสงครามมาตั้งรกรากอยู่บนเกาะนี้ สมัยก่อนเป็นเกาะเล็กๆ กลางอ่าวที่รกร้าง เมื่อคนเยอะขึ้น เมืองก็ต้องขยายตัวขึ้นตาม ชาวเมืองจึงตอกเสาเข็มไม้จำนวนมากลงไปในท้องทะเลซึ่งเป็นดินเลนอ่อนนุ่ม จนสร้างบ้านขึ้นเป็นกลุ่มๆ และเกิดเป็นเกาะเล็กเกาะน้อยเชื่อมต่อกันด้วยสะพานข้ามคลอง จนกลายเป็นเป็นมหานครเวนิส เอกลักษณ์เฉพาะตัวของเมืองลอยน้ำนี้ คือเกาะเล็กเกาะน้อยที่มีมากถึง 118 เกาะ เชื่อมต่อกันด้วยสะพานกว่า 400 แห่ง ลำคลองใหญ่น้อยเกือบ200 สาย ด้วยเหตุนี้ Venice จึงได้รับการขนานนามว่าเมืองแห่งสายน้ำและเมืองแห่งสะพาน

เรือแล่นผ่านคลอง “Canale della Giudecca”หรือ Grand Canal ลำคลองมีความยาวคดเคี้ยวประมาณประมาณ 3.5 กิโลเมตร กว้าง 30-70 เมตร ลึก 5 เมตร คลอง Grand Canal แบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง โดยจะมีสะพาน 4 สะพานใหญ่เชื่อมระหว่าง 2 ฝั่งเข้าด้วยกัน



วิว 2ข้างทางบน Grand Canal





ออกจากท่าเรือพวกเราก็เดินไปทางขวามือ จะเห็นนักท่องเที่ยวเยอะมากแต่ไกล



เรือมาส่งเราที่ท่าเรือ เมื่อเดินออกจากท่าเรือเราก็เห็น เปียซซ่า ซาน มาร์โก (Piazza San Marco) แล้ว จุดเด่นคือจะมีเสาสูง 2 ต้นที่นำมาจากเมืองคอนสแตนติโนเปิลตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 และข้างๆกันจะเห็น หอสมุดแห่งชาติ มาร์ชีอานา (Biblioteca Nazionale Marciana)



พวกเราก็เจอกับจตุรัสที่ใหญ่มาก

Piazza San Marco จตุรัสนี้มีลักษณะเป็นตัวแอลกลับด้าน ยาว 175 เมตร กว้าง 160 เมตร มีอาคารล้อมรอบสามด้าน เต็มไปด้วยฝูงนกพิราบ ร้านกาแฟ และร้านค้าต่างๆ นโปเลียนเคยนิยามความงดงามของเปียซซ่า ซานมาร์โก ว่าเป็น ซานมาร์โกว่าเป็น "ห้องวาดภาพแห่งยุโรป" (The finest drawing room in Europe) เพราะไม่ว่าจะมองไปมุมไหนในจัตุรัสกลางเมืองเวนิสแห่งนี้ล้วนเต็มไปด้วยศิลปะอันงดงาม เพราะรวบรวมสถานที่สำคัญหลายแห่ง เช่น มหาวิหารและหอนาฬิกาซานมาร์โค , พระราชวังดอจ์ด , หอสมุดแห่งชาติ มาร์ชีอานา เป็นต้น



ตรงทางเข้าที่ติดกับGrand Canal มีเสาคอลัมน์ใหญ่สองต้นเป็นเหมือนกับประตูบ้านที่เปิดเข้าสู่จัตุรัสแห่งนี้ ต้นแรกมีรูปสิงโตมีปีกเท้าข้างขวาเหยียบพระคัมภีร์ สัญลักษณ์ของนักบุญมาร์ค (St. Mark)ผู้นิพนธ์พระวรสารและองค์อุปถัมภ์ของเมืองปัจจุบัน ต้นที่สองมีรูปนักบุญเทโอโดโร (St. Theodore)เหยียบจรเข้ องค์อุปถัมภ์ของเมืองในอดีต

หอสมุดแห่งชาติ มาร์ชีอานา (Biblioteca Nazionale Marciana) เป็นสถาปัตยกรรมแบบเรเนซองส์ (renaissance) เป็นหอสมุดเก่าแก่แห่งหนึ่งและ เป็นที่รวบรวมหนังสือสมัยโบราณที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก



ฝั่งตรงข้ามจะเป็นและพระราชวังดอร์จ
พระราชวังดอจ์ด (Doges Palace) หรือวังดูคาเล (Palazzo Ducale) เป็นสถาปัตยกรรมแบบโกธิค ในอดีตเป็นที่พักของผู้ปกครองเวนิซ ซึ่งเรียกว่า Doge ก่อสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 แต่เกิดเพลิงไหม้และได้รับการบูรณะและก่อสร้างเพิ่มเติมในระหว่างศตวรรษที่ 14 และ 15 ได้รับการตกแต่งและก่อสร้างเพิ่มเติมหลายครั้ง ภายในตกแต่งด้วยศิลปะหลายยุคสมัย แบ่งเป็นห้องต่างๆ มากมาย ประดับไว้ด้วยภาพวาดโดยศิลปินเวนิสหลายราย



วังแห่งนี้ยังมีคุกขังนักโทษอยู่ชั้นใต้ดิน ซึ่งถูกเชื่อมด้วยทางเดินแคบๆ ไปยังสะพานข้ามคลองสู่แดนคุมขัง สะพานแห่งนี้จึงมีชื่อเรียกว่า สะพานถอนหายใจ (Ponte dei Sospiri หรือ Bridge of Sighs) ตามอาการของนักโทษที่เดินข้ามสะพานก่อนที่จะหมดอิสรภาพ

ปัจจุบันกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ เปิดให้ผู้สนใจได้เข้าชม



เดินผ่านพระราชวังดอจ์ด เราก็เจอกับฝูงชนจำนวนมากจริงๆ



ใกล้ๆกับพระราชวังเราก็เห็น สะพานถอนหายใจอยู่ข้างๆกัน

สะพานถอนหายใจ ( Bridge of Sighs) เป็นสะพานเก่าแก่ที่เชื่อมต่อระหว่างวังดูคาเล กับคุกเก่า ออกแบบโดย Antoni Contino ในปี ค.ศ.1602 สร้างจากหินปูนสีขาว สะพานนี้ใช้เดินข้ามเพื่อไปเข้าคุกที่อยู่อีกฝั่ง วิวที่เห็นจากสะพานนี้จะเป็นวิวที่สวยงามของเมืองเวนิส แสงสว่างที่เห็นจากช่องสะพาน นักโทษจะได้เห็นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเข้าคุก และจะถอนหายใจด้วยเหตุผลนี้ เพราะรู้ตัวว่าจะไม่มีโอกาสเดินออกมาเห็นแสงสว่างอีกแล้ว



เรามารับประทานอาหารเที่ยงโดยทาน สปาเก็ตตี้หมึกดำ กับ seafood และ ทิรามิสุเป็นขนมหวาน พอกินสปาเก็ตตี้ไปแล้วทั้งปากและฟันดำกันทุกคนเลย



หลังจากรับประทานอาหารแล้วพวกเราก็ไปนั่งเรือ Gondola กัน

มีการอ้างถึงเรือชนิดนี้เป็นครั้งแรกใน ปี ค.ศ. 1094 เรือกอนโดล่าได้รับการออกแบบมาให้เหมาะกับสภาพของคลองที่มีความตื้นเขิน เต็มไปด้วยโคลน แรกเริ่มเดิมทีเรือกอนโดล่ามีขนาดใหญ่กว่าปัจจุบันมาก มักมีเก๋งวางอยู่กลางลำเรือ พอถึงปี1930 จึงได้มีการนำเก๋งออกไป พร้อมกับมีการดัดแปลงลำเรือ ด้านซ้ายเรือจะยาวกว่าด้านขวาเรือ เพื่อให้ได้ดุลกับน้ำหนักตัวคนแจวที่เอียงไปข้างหนึ่ง ซึ่งจะทำให้ความเร็วของเรือดีขึ้น จึงนิยมใช้เป็นพาหนะที่ชาวเวนิสใช้ในการเดินทางไปยังพื้นที่ต่างๆ



จุดขึ้นเรือ Gondola มีให้ขึ้นหลายจุด พวกเราขึ้นท่าเรือตรงนี้

ในศตวรรษที่16 เวนิสมีกอนโดลาถึงหนึ่งหมื่นลำ แต่ละลำตกแต่งด้วยเครื่องประดับและการแกะสลักอย่างหรูหราเป็นการอวดฐานะของเจ้าของเรือที่มักเป็นเศรษฐี จนกระทั่งทางการเห็นว่าจะมากเกิน จึงสั่งห้ามตกแต่งเรือกอนโดลาอีกต่อไป จึงเป็นสาเหตุที่กอนโดลากลายเป็นสีดำ

Gondola คล้ายเรือแจวท้องแบน แต่ที่หัวมีซี่หกซี่และท้ายที่โค้งงอ หนัก 700 กิโลกรัม ประกอบด้วยชิ้นส่วนที่แยกกันถึง 280 ชิ้น ด้านซ้ายเรือจะยาวกว่าด้านขวาเรือ เพื่อให้ต้านทานแรงขณะพายหมุนไปทางซ้ายตามลักษณะการพายที่สืบทอดกันมา



ไฮไลท์ของการมาเวนิสก็คือการนั่งเรือ Gondola สักครั้งหนึ่ง จะเห็นว่ามีคนต่อแถวรอขึ้นเรือยาวมาก ค่าโดยสารราคา120 ยูโรต่อเที่ยวต่อ 6 คนใ ช้เวลาประมาณ40 นาที พวกเรานั่งเรือกัน 4 คน กำลังพอดี เพราะพอจะขยับที่ทางเวลานั่งเรือพอได้บ้าง

คลองเล็กๆแต่มีเรือจำนวนมากทั้งเรือยนตร์และ Gondola กลิ่นของคลองไม่น่าภิรมย์เท่าไหร่ ด้วยกิจกรรมต้องหามุมสวยๆถ่ายรูป ทำให้พวกเราลืมเรื่องกลิ่นของคลองไปเลย พวกเราถ่ายรูปสนุกสนาน และพยายามที่จะย้ายที่เพื่อถ่ายรูปแต่คนพายเรือดุไม่ให้ย้ายเพราะเดี่ยวเรือจะเสียสมดุล



คนพายเรือพาเราไปยังคลองแคบๆก่อนจากนั้นก็พาออกไป Grand Canal ซึ่งเป็นไฮไลท์ในการนั่งเรือ Gondola เรือ Gondola พาเราสู่ Grand Canal



สะพานริอัลโต (Rialto )เป็นหนึ่งในสะพานข้ามแกรนด์คาแนลที่นักท่องเที่ยวนิยมแวะมาถ่ายรูปมากที่สุด สะพานแห่งนี้มีความเก่าแก่ที่สุด สร้างขึ้นครั้งแรกด้วยไม้ในปี ค.ศ.1181 แต่เกิดการผุพังขึ้นเรื่อยๆกระทั่งในช่วงปี ค.ศ.1588-1591 ได้มีการรื้อและสร้างใหม่ด้วยหินอย่างแข็งแรงดังที่เห็นในปัจจุบัน สะพานรีอัลโตเชื่อมระหว่างเกาะ San macro กับเกาะ San polo โดยบริเวณตีนสะพานทั้งสองฝั่งคลาดคล่ำไปด้วยร้านอาหาร คาเฟ่ ตลาดสด และร้านรวงขายสินค้านานาชนิด



เราเห็นสะพาน Rialtoอยู่เบื้องหลังเรา

ปัจจุบันมีเรือกอนโดลาเหลืออยู่ในเวนิสเพียง 400 ลำ และมีการต่อขึ้นใหม่แค่ 4 ลำต่อปี เรือแต่ละลำจะใช้การได้อยู่ประมาณ 20 ปี จากนั้นจะถูกส่งไปเกาะ Murano เพื่อทำเป็นฟืนในการหลอมแก้ว



ราคาเรือประมาณ 6หมืนกว่ายูโร หรือ 2ล้าน5แสนบาทต่อลำ

Gondoliers หรือคนแจวเรือ เป็นอาชีพสงวนของที่นี่ เพราะต้องเป็นคนในตระกูล Gondolier เท่านั้นถึงจะทำได้และ เป็นการปกป้องวิชาชีพของพวกเขาอีกด้วย

โฉมหน้าคนพายเรือ Gondola ขณะที่ล่องเรือเขาไม่ร้องเพลงเหมือนที่มีการบอกเล่ามา



ชื่นชม 2 ข้างทาง



ปัจจุบัน นครเวนิสกำลังเผชิญปัญหาใหญ่ เนื่องจากเวนิสอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลเพียงไม่กี่นิ้ว ทำให้ต้องเผชิญกับภาวะน้ำท่วมเกือบทุกปีและทำให้นครแห่งนี้ทรุดลง 1 นิ้ว ทุก ๆ สิบปี ทำให้มีความพยายามของผู้ที่เกี่ยวข้องในการที่จะป้องกันไม่ให้เมืองนี้ต้องจมลงสู่ท้องทะเล

ถ้านั่งเป็นคู่ก็จะได้บรรยากาศไปอีกแบบ



หลังจากนั่งเรือจนเมื่อยแล้ว พวกเรา เดินผ่าน Piazza San Marco เพื่อไปเดินดูแหล่งShopping ของที่นี่ มีร้านขายของมากมายทั้งร้านค้า Brand name เช่น Louis Vuttion , Dior ,Channel เป็นต้น และร้านขายของที่ระลึก



ด้านในอาคารเป็นร้านขายของมากมาย โดยเฉพาะร้านขายของที่ระลึก ราคาไม่แพง เหมาะที่จะเป็นของฝากได้อย่างดี เราก็ได้ของฝากจากร้านแถวๆนี้แหละ

นอกจากการท่องเที่ยวแล้วเวนิส ยังเป็นแหล่งอุตสาหกรรม เครื่องแก้ว เครื่องประดับ ผ้าลูกไม้



มีแก้วเป่าจากโรงงานเป่าแก้วมูราโน จัดเป็นงานฝีมือที่มีชื่อเสียงของเวนิส มีให้เลือกหลากหลายตั้งแต่เครื่องประดับชิ้นเล็ก เครื่องแก้ว กรอบรูป แจกัน ฯลฯ



หน้ากากแฟนซี เวนิสนั้นขึ้นชื่อในเรื่องของเทศกาลคาร์นิวัล จึงมีหน้ากากแฟนซีหลากแบบหลายสไตล์ให้เลือกมากมาย ประดับประดาด้วยวัสดุสวยงาม



หลังจากนั้นเราก็เดินไปจนปลายสุดของจตุรัส เราก็เห็น มหาวิหารซานมาร์โก

มหาวิหารซานมาร์โก( Basilica di San Marco)โบสถ์สำคัญแห่งเมืองเวนิสที่เริ่มสร้างขึ้นครั้งแรกตั้งแต่ ค.ศ.823 เพื่ออุทิศให้แก่นักบุญมาร์ค (St.Mark) ที่ชาวเวนิสนับถือ แต่เกิดเพลิงไหม้ในปี ค.ศ.1071 ด้วยเหตุนี้มหาวิหารแห่งนี้จึงผสมผสานศิลปะของหลายยุคขึ้นไว้ด้วยกัน ตั้งแต่ไบเซนไทน์ โรมาเนสก์ โกธิค จนถึงเรอเนสซองซ์ หลังคาของมหาวิหารซานมาร์โกสร้างแบบโดมสุเหร่าของศาสนาอิสลาม มีทั้งหมด 5 โดม โดมกลางมีขนาดใหญ่ที่สุด และ ด้วยความงดงามอลังการของการประดับโมเสกสีทองอร่ามตั้งแต่หลังคาจรดพื้น จึงได้รับสมญานามว่า "Church of Gold" มาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 11 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงอำนาจและความเจริญรุ่งเรืองของเวนิสในยุคนั้นอีกด้วย



ภายในมหาวิหารยังมีแท่นบูชาซึ่งบรรจุร่างของนักบุญมาร์คไว้ด้านล่าง โดยด้านหลังของแท่นบูชา คือ ปาลา โดโร (Pala D'oro หรือ Golden Altarpiece) ภาพชีวิตของพระเยซูที่ทำด้วยทองคำลงยา 255 แผ่น ตลอดจนภาพเขียนเก่าแก่อื่นๆ หลายภาพที่ประดับด้วยทองคำและอัญมณีล้ำค่า

โดม ได้รับการตกแต่งด้วยศิลปะที่แตกต่างกัน ทางด้านหน้าได้รับการประดับด้วยรูปปั้นของนักบุญมาร์ค
ตอนนี้กำลังซ่อมแซมอยู่จึงเห็นโดมแค่อันเดียว ขนาดเห็นอันเดียวยังสวยขนาดนี้ เสียดายจังที่ไม่ได้เห็นทั้งหมด

Basilica di San Marco



ด้านหน้าโบสถ์เป็นซุ้มประตูโค้ง 5 ช่อง แต่ละช่องประดับด้วยโมเสกสีทองจากกรีซ มีภาพการเชิญศพนักบุญมาร์คมาเวนิส





ลานกว้างซานมาร์โค เห็นหอระฆัง Campanile สร้างขึ้นแทนหอเดิมที่ล้มลงในปี ค.ศ. 1902 สร้างเสร็จสมบูรณ์ ค.ศ. 1912 สร้างจาก อิฐสี่เหลี่ยมเรียงกันเป็นชั้นๆ เหนือขึ้นไปมีระเบียงล้อมรอบหอระฆัง ซึ่งประกอบด้วยระฆัง 5 ใบ

หอระฆัง Campanile di San Marco หอนี้สูง 98.6 เมตร สูงเด่นอย่างชัดเจน และเป็นจุดชมวิวของเมืองเวนิส



หอนาฬิกา Clock Tower (Torre dell’Orologio)สร้างประมาณ ปี ค.ศ.1496 เป็นนาฬิกาโบราณ ตั้งอยู่บริเวณลานกว้างข้างโบสถ์ San Marco



บนยอดมีเครื่องกลรูปแขกมัวร์ทำจากสำริดทำหน้าที่คอยตีบอกเวลา



ลานนี้มีคนนั่งพักผ่อนและอาบแสงแดดดูสบายๆ



พวกเราไม่ได้ขึ้นไปชมวิวบนหอระฆังเลย เพราะมัวแต่ห่วงซื้อของฝาก เมื่อได้เวลานัดแล้วพวกเราจึงเดินทางกลับไปขึ้นเรือที่ท่าเดิม

ตรงข้ามกับท่าเรือจะเห็นโบสถ์ San Giorgio Maggior ตั้งอยู่บนเกาะ Giorgio Maggior ออกแบบโดย Andrea Palladio เป็นสถาปัตยกรรมแบบเรเนซองส์(renaissance) สร้างในช่วงค.ศ.1566 ถึง ค.ศ. 1610.



พวกเรานั่งเรือกลับไปทางเดิมเพื่อขึ้นรถบัส โรงแรมที่พวกเราพักอยู่ฝั่ง Mestre ใช้เวลาเดินทาง 30 นาที เย็นนี้ทานอาหารจีนที่ข้างโรงแรม

มื้อนี้อร่อยมากคะ มีไข่เจียวด้วย คิดถึงอาหารไทย



หลังจากทานอาหารเย็นแล้วพวกเราก็กลับห้องนอน วันนี้นอนที่โรงแรม Apogia Sirio Hotel



เที่ยวเมืองเวโรน่า

 




 

Create Date : 01 กรกฎาคม 2557    
Last Update : 2 กันยายน 2562 1:39:45 น.
Counter : 3503 Pageviews.  

ช้อป แซะเที่ยวอิตาลี่ ฟลอเรนซ์-ปิซ่า






 
 
ฟลอเรนซ์- ปิซ่า

29 พฤษภาคม 2557

คลิกก่อนหน้านี้ กรุงโรม


เช้าวันนี้มีีเรื่องที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น น้องคนหนึ่งในกลุ่มของเราโดนขโมยกระเป๋าในโรงแรมที่เราพักในช่วงรับประทานอาหารเช้า วันนี้พวกเราจึงต้องออกเดินทางไปเที่ยวในช่วงบ่าย เพื่อให้น้องเขาไปทำเอกสารจากสถานทูต พวกเราจึงนั่งรออยู่ที่โรงแรมและรับประทานอาหารเที่ยงใกล้ๆกับโรงแรมที่เราพักคะ

มื้อนี้พวกเรารับประทานพิซซ่าและสลัดเป็นอาหารเที่ยง ขอบอกว่าร้านนี้อร่อยมาก



พวกเราออกเดินทางจากโรงแรมประมาณ 14.00 น. เพื่อเดินทางไปฟลอเรนซ์

ระยะทางจากโรงแรมไปฟลอเรนซ์เป็นระยะทาง 281 กิโลเมตร ใช้เวลา 3 ชั่วโมง 30 นาที

ตลอดข้างทางไปเมืองฟลอเรนซ์เริ่มมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น มีต้นไม้เขียวๆปลูกเต็มไปหมด วันนี้มีฝนตกด้วย



เมืองฟลอเรนซ์ (Florence) หรือ เมืองฟีเรนเซ (Firenze) ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำอาร์โน (Arno River)ตั้งอยู่ในแคว้น แคว้นทัสกานี (Tuscany) เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของประเทศอิตาลี และเป็นเมืองหลวงของจังหวัดฟลอเรนซ์ (Firenze) เมืองนี้ถูกปกครองโดยตระกูลเมดิชิ (Medici)เป็นเวลานาน และคนตระกูลนี้ทำให้เมืองฟลอเรนซ์กลายเป็นศูนย์กลางของศิลปะตะวันตกอย่างแท้จริงด้วยการอุปถัมถ์ศิลปินที่มีชื่อเสียงมากมาย เช่น ไมเคิลแอนเจโล (Michelangelo), บอตติเชลลิ (Botticelli)

ปัจจุบันเมืองแห่งนี้ได้กลายเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงทางด้านประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมมากเป็นอันดับต้นๆของโลก เมืองแห่งนี้มีมีพิพิธภัณฑ์ที่เก็บชิ้นงานศิลปะที่มีชื่อไว้มากมาย ใจกลางเมืองเก่าของฟลอเรนซ์ได้รับเลือกให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เมื่อปี ค.ศ. 1982 โดยองค์การยูเนสโก (Unesco)

พอลงจากรถฝนก็หยุดตกแล้ว เป็นโชคดีของพวกเราที่ไม่ต้องเปียกฝน รถมาส่งเราที่สถานีรถไฟ Florence S.M.N ซึ่งเป็นเวลา 17.30 น. พวกเราเดินต่อไปยังสถานที่ท่องเที่ยว



จากสถานีรถไฟพวกเราเดินชมเมืองตามเส้นสีแดง และก็เดินย้อนกลับมาทางเดิม ด้วยเวลาที่จำกัดพวกเราจึงเดินชมเมืองเท่านั้น



พวกเราเดินผ่านมายัง piazza dell'unità italiana และเราก็เห็นโบสถ์ขนาดใหญ่อยู่ข้างหน้า ซื่อเดียวกับสถานีรถไฟ

โบสถ์ซันตามาเรียโนเวลลา (Santa Maria Novella )เป็นโบสถ์จากสมัยศตวรรษที่ 13 สร้างขึ้นเพื่อเป็นวัดหลักของนิกายโดมินิกัน แต่สร้างและตกแต่งเสร็จสมบูรณ์ในปีค.ศ. 1360 สถาปัตยกรรมที่เห็นอยู่เป็นแบบโกธิคและเรอเนซองส์ตอนต้น



เดินเข้ามาเรื่อยๆก็เห็นอีกโบสถ์ Santa Maria Maggiore



เมื่อเราเดินเข้ามาอีกก็เห็น high light ของที่นี่ มหาวิหารฟลอเรนซ์ (Florence Cathedral) หรือ วิหารซานตา มาเรีย เดล ฟิออเร (Basilica di Santa Maria del Fiore) มหาวิหารที่ตั้งอยู่ในเขตจัตุรัสเปียซซ่า เดล ดูโอโม โม (Piazza del Duomo) ถูกสร้างขึ้นในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 13 ออกแบบโดยฟีลิปโป บรูเนลเลสกี (Filippo Brunelleschi) มหาวิหารแห่งนี้ประกอบไปด้วยอาคาร 3 ส่วนด้วยกัน คือ

ตัวมหาวิหารและโดม ตัวมหาวิหารสร้างขึ้นมาจากหินอ่อน 3 สีจาก 3 เมืองในทัสคานี สีขาวจากเมือง carrara สีชมพูจาก Siena สีเขียวจาก Prado ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 170 กว่าปี
ส่วนที่ 2 คือหอศีลจุ่ม (Baptistery San Giovanni) หอทรง 8 เหลี่ยม ตั้งอยู่ทางด้านหน้าของมหาวิหาร เป็นหนึ่งในสถานที่ทางศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในฟลอเรนซ์
ส่วนที่ 3 คือ หอระฆัง (Campanile di Giotto) สูง 85 เมตร สร้างขึ้นมาจากหินอ่อน 3 สีเช่นกัน



มหาวิหารฟลอเรนซ์ เป็นมหาวิหารที่มีขนาดใหญ่เป็นลำดับที่ 4 ของทวีปยุโรป รองลงมาจากมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ มหาวิหารเซนต์พอล และมหาวิหารมิลาน มีความยาว 153 เมตร และฐานของโดมกว้างถึง 90 เมตร ปัจจุบันมหาวิหารอยู่ภายใต้การดูแลของสังฆมณฑลโรมันคาทอลิกแห่งฟลอเรนซ์ (Roman Catholic Archdiocese of Florence)



อีกด้านหนึ่งจะเห็นโดมทีใหญ่ ว่ากันว่าเป็นโดมอิฐที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย

หอระฆัง Campanile di Giotto หอแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในช่วงระหว่างปี 1059 – 1128 สร้างขึ้นในรูปแบบสถาปัตยกรรมโกธิค ด้วยความสูงประมาณ 85 เมตร หอคอยนี้มีจุดชมวิวของเมือง ไม่มีลิฟท์ต้องเดินชึ้นบันไดถึง 414 ขั้น





ด้านบนของประตูเป็นงานโมเสกของ Nicolò Barabino

ประตูด้านหน้าของ Duomo สร้างขึ้นมาจากทองสัมฤทธิ์



ด้านนอกของมหาวิหารตกแต่งด้วยรูปปั้นแกะสลัก อ่อนช้อยและงดงาม



ความละเอียดละออของงาน



ตรงข้ามจะพบกับหอศีลจุ่ม (Baptistery San Giovanni) ซึ่งปิดซ่อมแซมคะ

ในส่วนของ Baptistery เราถ่ายได้แต่ประตูซึ่งทำจากทองสัมฤทธิ์ เป็นเรื่องราวต่างๆจากพระคัมภีร์เก่า ไมเคิลแองเจลโล่ เรียกประตูบานนี้ว่า “Porta del Paradiso" (the Gates of Paradise)” แต่บานที่เราเห็นกันในปัจจุบันเป็นบานที่ทำจำลองขึ้น ของจริงได้นำไปไว้ในพิพิธภัณฑ์



ประตูมีรั้วเหล็กกั้นไว้อยู่คะ ซูมใกล้เข้ามา



เดินไปได้อีกสักพักก็ถึง Piazza della Repubblica ซึ่งเป็นย่านช็อปปิ้ง



ข้างทางเป็นร้านขายของ



จากนั้นเราก็เดินเข้า Piazza della Signoria ต่อเมื่อเข้าไปปุ๊บก็เจอกับ Palazzo Vecchio แปลเป็นไทยว่าปราสาทเก่า ซึ่งเคยเป็นวังของตระกูลเมดิซี่

ตระกูลเมดิซี่ ( Medici ) เป็นตระกูลที่มีอำนาจในเมืองฟลอเรนซ์มานานถึง4ศตวรรษ นับตั้งแต่ศตวรรษที่13-17 โดยมีองค์สันตะปาปาจากตระกูลนี้ถึง3 พระองค์คือ พระสันตะปาปา ลีโอที่10,คลีเมนซ์ทรา8 และ ลีโอที่11 นอกจากนี้ยังมีนักปกครองที่มีบทบาทสำคัญอย่าง ลอเรนโซ่ เมดิซี รวมถึงยังมีส่วนเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับราชวงศ์อังกฤษและฝรั่งเศส และยังเป้น 1ใน3ตระกูลผู้ริเริ่มยุคเรสเนซองในอิตาลีร่วมกับ ตระกูล สฟอร์ซ่า และ วินคอนสติ รวมทั้งกิจการธนาคารเมดิซี ตระกูลนี้ยังเป็นที่นับหน้าถือตาและมั่นคงที่สุดในยุโรป และยังเป็นตระกูลที่มีอำนาจทางการเมืองกว้างขวางทั้งในฟลอเรนซ์และทั่วยุโรป

ตระกูลเมดิชิมีชื่อเสียงในการเป็นผู้อุปถัมภ์นักดาราศาสตร์คนสำคัญคือ กาลิเลโอ กาลิเลอี ผู้เป็นครูของลูกหลานในตระกูลเมดิชิหลายคน แต่มาหยุดการสนับสนุนเอาในสมัยเฟอร์ดินานโดที่ 2 (Ferdinando II de Medici) เมื่อกาลิเลโอถูกกล่าวหาโดยศาลศาสนาโรมัน (Roman Inquisition) ว่าคำสอนของกาลิเลโอเป็นคำสอนนอกรีต แต่ตระกูลเมดิชิก็ปกป้องกาลิเลโออยู่หลายปี

Palazzo Vecchio ปัจจุบันเป็น ศาลาว่าการเมืองฟลอเรนซ์



ยังมีรูปปั้นที่น่าสนใจอีกมากมาย ในบริเวณจตุรัสและในอาคารปะรำพิธีแบบโรมัน Loggia dei Lanzi ใกล้กัน

มีน้ำพุเทพเจ้าเนปจูนตั้งอยู่กลางจตุรัส ชื่อว่า Fontana di Nettuno



ที่ด้านหน้าประตูของPalazzo Vecchio มีปฏิมากรรมหินอ่อนรูปเดวิด เป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดของ Michelangelo 1ใน 2 ชิ้นกับปีเอต้าที่อยู่ในมหาวิหารวาติกัน

รูปปั้นเป็นชายหนุ่มยืนเปลือยกาย แสดงให้เห็นถึงความแข็งแรงและความงดงามของร่างกายมนุษย์ ว่ากันว่าเดวิดคือบุรุษหนุ่มในอุดมคติของไมเคิลแองเจโล

รูปปั้นเดวิดผลงาน Michelangelo แสดง กล้ามเนื้อ เส้นเลือด มือเท้า ละเอียดเหมือนคนจริงมาก ที่เห็นนี่เป็นรูปปั้นจำลองของจริงหาดูได้ที่หอศิลป์ Galleria dell’Accademia




รูปปั้นหินอ่อนแกะสลักฝีมือ Baccio Bandinelli ตั้งอยู่ด้านหน้าประตูทางเข้าPalazzo Vecchio เช่นกัน เป็นรูปปั้นที่ดูเหมือนจริงเช่นกัน ขนาดเห็นข้างหลังจนอดใจถ่ายรูปไม่ได้

Hercules and Cacus



ในอาคารนี้มีรูปปั้นหลากหลาย

Loggia dei Lanzi



รวมทั้งรูปปั้นของเพอร์ซีอุส (Perseus) ถือดาบและตัดหัวนางเมดูซา (Medusa) ผู้มีงูบนศีรษะ

Perseus



รูปปั้นอื่นๆก็งดงามไม่แพ้กัน



Uffizi Gallery เป็นพิพิธภัณฑ์ทางศิลปะที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของอิตาลี ถือเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่มีชื่อเสียงที่สุด 1 ใน 8 แห่งของโลก เต็มไปด้วยงานศิลปะยุคเรอเนสซองส์ สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1560 เพื่อใช้เป็นสำนักงานของผู้พิพากษาแห่งเมือง Florenze ดังจะเห็นได้จากความหมายของคำว่า Uffizi ซึ่งก็คือ Office ในภาษาอังกฤษในเวลาต่อมาอาคารแห่งนี้ถูกปรับเปลี่ยนเพื่อใช้เป็นที่เก็บรวบรวม และจัดแสดงงานสะสมของตระกูลเมดิซี

อยู่ด้านข้างอาคารปาลัซโซเวคคิโอ มีผลงานชั้นยอดของ Giotto, Raphael, Caravaggio, Michelangelo, Botticelli และท่านอื่น ๆ ที่มีชื่อเสียงอีกมากมาย มีภาพวาดฝีมือบอตติเชลลี (Botticelli) ที่สำคัญ 2 รูปคือ Birth of Venus และ Primavera ( Allegory of Spring )บริเวณี้ มีศิลปินขายภาพวาดด้วยคะ



พวกเราเดินต่อมายัง Ponte Vecchio สะพานนี้เป็นสะพานเดียวที่หลงเหลือจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นสะพานที่มีชื่อเสียงมาก สะพานทอดตัวข้ามฝั่งแม่น้ำอาโน สมัยก่อนเป็นร้านขายเนื้อสัตว์ ต่อมามีการปรับปรุงทัศนียภาพเลยเปลี่ยนให้กลายเป็นร้านศิลปะ อัญมณีและของที่ระลึก



พวกเราไม่ได้เดินไปที่สะพาน ได้แต่มองในระยะไกลๆ

พวกเราเดินเล่นสักพักก็เดินย้อนกลับไปทางเดิมเพื่อไปขึ้นรถ ออกจากที่ฟลอเรนซ์ก็เกือบ1ทุ่มแล้ว ต้องลุ้นว่าจะทันดูหอเอนปิซ่าหรือไม่

ระยะทางจากจุดที่เราขึ้นรถฟลอเรนซ์ไปปิซ่า 81 กิโเมตร ใช้เวลา 1 ชั่วโมงกว่าๆ มาถึงที่นี่ก็ 2 ทุ่มกว่าๆ ฟ้ายังสว่างอยู่บ้าง เพราะมาเที่ยวช่วงนี้โชคดีหน่อยเพราะพระอาทิตย์จะตกดินประมาณ 3ทุ่มกว่าๆ

รถมาส่งเราที่ลานจอดรถต้องเดินต่อไปยัง Piazza Dei Miracoli หรือ Piazza del Duomo เดินประมาณ 15 นาทีถึงจะได้เห็นหอเอนปิซ่า เป้าหมายของเรา

ปิซา ( Pisa )อยู่ในแคว้นทัสคานี อยู่บนฝั่งแม่น้ำอาร์โน เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยปิซ่า (University of Pisa) ซึ่งเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุดของอิตาลี และเก่าเป็นอันดับที่ 19 ของโลก มีชื่อเสียงที่ผู้คนและนักท่องเที่ยวรู้จักกันในนาม “หอเอนแห่งเมืองปิซ่า”และเมืองนี้เป็นบ้านเกิดของนักวิทยาศาสตร์ผู้โด่งดังของโลกชื่อ กาลิเลโอ กาลิเลอี (Galileo Galilei) เมื่อ ค.ศ. 1564-1642



พวกเราเข้ามาก็เห็นกำแพงที่สูงใหญ่ และมีร้านขายของขำร่วยแต่ร้านขายของปิดแล้ว

หอเอนปิซา (Pisa Leaning Tower) เป็น1ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง และถูกประกาศให้เป็นมรดกโลก โดยเป็นส่วนหนึ่งของ Piazza Dei Miracoli ในค.ศ.1987 รวมเวลาสร้างทั้งสิ้นเกือบ 200 ปี

การก่อสร้างเป็น 3 ช่วง ช่วงแรกเริ่มสร้างเมื่อ ค.ศ. 1173 เมื่อสร้างไปได้ 3 ชั้น ก่อสร้างหยุดชะงักเนื่องจากพื้นใต้ดินเป็นพื้นดินที่นิ่ม ทำให้ยุบตัว
ช่วงที่ 2 ค.ศ.1272 โดย จิโอวานนี ดิ ซิโมเน (Giovanni di Simone) เขาสร้างให้เอนกลับไปอีกด้านหนึ่งเพื่อให้สมดุล โดยสร้างเพิ่มอีก 4 ชั้น ก็ต้องยุติลงเพราะสงคราม
ช่วงสุดท้ายในปี ค.ศ.1319 มีการสร้างหอระฆัง สร้างโดย ทอมมาโซ ดิ แอนเดรีย ปิซาโน (Tommaso di Andrea Pisano) หอระฆังถูกสร้างเสร็จ 7 ชั้น ค.ศ.1372
หลังจากนั้น รัฐบาลพยายามพยายามหยุดการเอียงของหอเอนเมืองปิซา โดยผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ แต่กลับทำให้หอยิ่งเอียงมากขึ้นไป
ในปี ค.ศ. 1990-2001ได้ปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าชมเพื่อความปลอดภัย และทำการปรับปรุงฐานให้แข็งแรงยิ่งขึ้นโดยโดยขุดดินด้านที่สูงกว่าออกทีละน้อยสามารถดึงกลับมาได้เพียง 44 ซม.เพื่อป้องกันไม่ให้หอล้มลงมา และเปิดให้ประชาชมเข้าชมได้ใน15 ธันวาคม 2001



เมื่อเดินเข้ามาจะเห็น 3อาคาร หน้าสุดคือหอศีลจุ่ม โบสถ์ และ หอเอน

เมื่อเข้ามาภายในกำแพง Piazza Dei Miracoli จะมี 4 อาคาร ก็คือ

1. Baptistery – หอศีลจุ่ม
2. Pisa Cathedral – โบสถ์
3. Leaning Tower of Pisa – หอเอน (หอระฆัง)
4. Campo Santo – สุสาน



เห็นแล้วหายเหนื่อยเลย

หอพิธีเจิมน้ำมนต์ ( Baptistery) เป็นหอทรงกลมสถาปัตยกรรมแบบโรมาเนสก์(Romanesque) แต่ยอดโดมหลังคาเป็นแบบโกธิก โดยมีลวดลายแบบอาหรับประปนอยู่เล็กน้อย เนื่องจากปิซ่าเคยทำมาค้าขายกับพวกแขกมัวร์ในสเปนและอัฟริกาเหนือมาก่อนในช่วงที่ปิซ่าเป็นเมืองท่าสำคัญ



Pisa Cathedral มหาวิหาร เป็นอาคารแรกที่สร้างขึ้น เริ่มก่อสร้างในปี 1064 ด้วสถาปัตยกรรมแบบโรมาเนสก์เช่นเดียวกัน ประตูเข้าทางด้านหน้า ซึ่งหันไปทางด้านตะวันตก สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะของชาวปิซ่าที่มีเหนือพวกซาราเซนที่สมรภูมิชิชิลี ตกแต่งเป็นลวดลายหินอ่อนหลากสีสัน บานประตู 3 บานหล่อด้วยสำริดแสดงเรื่องราวทางศาสนา สร้างขึ้นแทนไม้เก่าที่ถูกไฟไหม้ในปี ค.ศ. 1595



หอระฆังของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก เป็นหอทรงกระบอก 8 ชั้น สร้างด้วยหินอ่อนสีขาว สูง 55.86 เมตร น้ำหนักรวม 14,500 ตันโดยประมาณ มีบันได 293 ขั้น เอียง 3.97 องศา ยอดของหอห่างจากแนวตั้งฉาก 3.9 เมตร



กาลิเลโอ เคยใช้หอนี้ทดลองเกี่ยวกับเรื่อง แรงโน้มถ่วง โดยใช้ลูกบอล 2 ลูกที่น้ำหนักไม่เท่ากันทิ้งลงมา เพื่อพิสูจน์ว่า ลูกบอล 2 ลูกจะตกถึงพื้นพร้อมกัน ซึ่งก็เป็นไปตามที่กาลิเลโอคาด ซึ่งการทดลองนั้นค้านกับหลักการที่มีมากว่า 2,000 ปีของ อาริสโตเติล (Aristotle ) ที่ทำทุกคนเชื่อกันว่าวัตถุ “หนัก” จะตกลงพื้นเร็วกว่าวัตถุ “เบา” ทำให้พวกนักวิชาการสายกรีก ที่พากันมาดูการทดลองไม่ให้ความสำคัญ และเลือกที่จะเชื่ออย่างเดิม แต่ปัจจุบันเป็นที่รู้กันแล้วว่าทฤษฎีของกาลิเลโอนั้นถูกต้อง



สาเหตุที่หอเอนลง ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า เป็นเพราะพื้นดินที่ใช้ในการก่อสร้างเป็นดินปนทรายและดินโคลนทำให้ไม่แข็งแรงพอที่จะรองรับน้ำหนักของหอคอยขนาดใหญ่ได้ แต่ด้วยวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างซึ่งทำมาจากหินปูน และปูนขาว มีคุณสมบัติสามารถโค้งงอ และทนต่อแรงต่าง ๆ ได้ดีกว่าวัสดุอื่น ๆ อย่างพวกหินหรืออิฐ นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมหอคอยแห่งนี้จึงไม่ถล่มไปเลย แต่กลับค่อย ๆ เอนลงเรื่อย ๆ

โดยปัจจุบันนี้ หอเอนเมืองปิซ่า ลาดเอียงลงมาประมาณ 13 องศาแล้ว ซึ่งผู้เชี่ยวชาญระบุว่า หอเอนมีโอกาสพังถล่มลงมาแน่นอน โดยทุก ๆ 20 ปี หอคอยแห่งนี้จะเอนลง 1 นิ้ว และมีคนทำนายว่า หอคอยแห่งนี้จะพังถล่มลงมาในปี 2200 หากยังไม่มีใครหาทางป้องกันได้



ปิซ่ายามค่ำคืนสวยไปอีกแบบ

หลังจากชื่นชมและถ่ายรูปกับหอเอนปิซ่าแล้ว พวกเราก็ไปรับประทานอาหารค่ำที่ร้านอาหารอิตาลี่ซึ่งอยู่ใกล้ๆกันและเดินกลับไปที่จอดรถ เวลาเราเดินกลับทำไมรู้สึกมันไกลจัง..

หลังจากนั้นพวกเราก็เดินทางไปยังโรงแรม Galilei Pisa Hotel อยู่ที่เมืองปิซ่า


ตอนต่อไป เวนิส
 

 




 

Create Date : 26 มิถุนายน 2557    
Last Update : 2 กันยายน 2562 1:03:12 น.
Counter : 2530 Pageviews.  

ช้อป แซะเที่ยวอิตาลี่ กรุงโรม







 

กรุงโรม

28 พฤษภาคม 2557(ต่อ)



พวกเราออกจากกรุงวาติกันก็ไปรับประทานอาหารเที่ยงกันในกรุงโรม



อาหารเที่ยงของเราชุดนี้ดีหน่อยไม่ต้องกินเส้นพาสต้า

กรุงโรม เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของแคว้นลาซิโอของประเทศอิตาลี ตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศ ในเขตตัวเมืองมีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 2.5ล้านคน ถ้ารวมเมืองโดยรอบจะมีประมาณ 4.3 ล้านคน โดยมีจำนวนประชากรใกล้เคียงกับมิลานและเนเปิลส์

โรมมีประวัติศาสตร์ยาวนานมากกว่า 2,800 ปี ตั้งอยู่บนเนินเขาทั้งเจ็ดริมฝั่งแม่น้ำไทเบอร์ เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรในอดีตมากมายเช่น ราชอาณาจักรโรมัน สาธารณรัฐโรมันและจักรวรรดิโรมัน โรมเคยเป็นเมืองที่มีบทบาทมากที่สุดของอารยธรรมตะวันตกและในอดีตได้เป็นอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปัจจุบันได้เป็นเมืองหลวงของประเทศอิตาลีตั้งแต่ ค.ศ. 1870และใน พ.ศ. 2550 โรมเป็นเมืองที่มีผู้มาเยือนมากเป็นอันดับที่ 11 ของโลก มากเป็นอันดับสามในสหภาพยุโรป และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในอิตาลี



จากแผนที่จะเห็นว่าสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ล้วนตั้งอยู่ในเขตเมืองเก่า ซึ่งอยู่ไม่ห่างกันนัก สามารถเดินเล่นไปถึงกันได้ ซึ่งทำให้ได้อรรถรสในการชมบ้านเมืองของเขา มากกว่าการนั่งรถชมเมือง

จากกรุงวาติกันรถขับพาพวกเราข้ามแม่น้ำไทเบอร์(Tiber) เป็นแม่น้ำที่ยาวเป็นที่สามของประเทศอิตาลี โดยมีต้นแม่น้ำอยู่ที่เทือกเขาแอเพนไนน์( Apennine Mountains)ในเอมีเลีย-โรมานยา ( Emilia-Romagna )และมีความยาวทั้งสิ้น 406 กิโลเมตร

ปราสาทเซนต์แองเจโล (Castel Sant'angelo)เป็นปราสาทแห่งเดียวที่ตั้งอยู่ในกรุงโรม ตรงกลางมีป้อมทรงกลมขนาดใหญ่เส้นผ่านศูนย์กลางยาว 200 ฟุุต สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าฮาเดรียน( Hadrian XIV) ใช้เป็นที่ฝังพระศพของจักรพรรดิต่างๆของโรมัน จากวังของPope จะมีทางเดินในช่องกำแพงไปจนถึงปราสาทหลังนี้ ซึ่งช่องทางเดินนี้เขาเรียกว่า Passetto di Borgo สร้างโดย Pope Nicolas III และ ในยามฉุกเฉินก็ใช้เป็นทางหนีภัยของPope ด้วย ต่อมาใช้เป็นป้อมปราการ ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งชาติกรุงโรม

เดิมมีชื่อว่า Mausoleum of Hadrian ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Castel Sant’ Angelo
ก็เพราะว่ามีตำนานเล่าขานกันในปี ค.ศ. 590 ว่า Archangel Michael ซึ่งเป็นหนึ่งใน 3 เทวดาองค์ใหญ่ในศาสนาคริสต์ ปรากฏองค์ขึ้นมาบนยอดปราสาท เพื่อยับยั้งกาฬโรคซึ่งกำลังระบาดอยู่ในเวลานั้น และกาฬโรคก็ได้ยุติลงอย่างอัศจรรย์ ปราสาทนี้ก็ได้รับชื่อใหม่นี้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา





รถขับผ่าน Monument of Vittorio Emanuele ​(Vittoriano ) อนุสาวรีย์ของ Victor Emmanuel กษัตย์องค์แรกของอิตาลี สร้างขึ้นเพื่อ​​เป็นสัญญลักษณ์แห่งการรวมแว่นแคว้นต่างๆ​เข้าด้วยกันจนเป็นประเทศ สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1911-1935

ตรงกลางลานมีรูปหล่อจำลองทรงม้าของ Marcus Aurelius อดีตจักรพรรดิโรมัน



เราผ่านกำแพงเมืองที่ใหญ่โต ที่ถูกสร้างขึ้นมาในศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล โดยกษัตริย์เซอร์วิอุส ทูลิอุส กำแพงนี้ถูกขนานนามว่า กำแพงเซอร์เวียน (Servian Wall) โดยกำแพงนี้มีโอกาสปกป้องโรมจากกองทัพของฮันนิบาลในสงครามพูนิค ครั้งที่ 2 (218-201 BC) จนกระทั่งปัจจุบัน ยังคงเหลือซากของกำแพงเซอร์เวียน อยู่ ณ กรุงโรม ให้เราได้เห็น.



โคลอสเซียม (Colosseum) เป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม เริ่มสร้างขึ้นในสมัยรัฐสมัยของจักรพรรดิเวสเปเซียน ( Titus Flavius Vespasianus )แห่งอาณาจักรโรมัน และจักรพรรดิไททัส ( Titus Flavius Vespasianus II) ประมาณปี ค.ศ. 80 โคลอสเซี่ยมได้ถูกใช้จัดการแข่งขันกลาดิเอเตอร์ การประหาร และการแสดงละครเกี่ยวกับทวยเทพเพื่อมอบความบันเทิงให้แก่ผู้ชม

อัฒจันทร์เป็นรูปวงกลมก่อด้วยอิฐและหินทรายวัดโดยรอบได้ประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 50,000 คน มีการออกแบบอย่างชาญฉลาดโดยสร้างให้สนามกีฬามีลักษณะเป็นรูปวงรี เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเข้าใกล้นักกีฬา และมีการออกแบบทางระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำท่วมขังในสนามขณะเกิดฝนตก ถือเป็นต้นแบบของสนามกีฬาต่างๆในปัจจุบัน โคลอสเซียมได้รับเลือกให้เป็น1 ในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ ในวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

การก่อสร้างที่ใช้แรงงานนักโทษกว่า 12,000 คน สร้างจากหินที่ค่อยๆเรียงขึ้นมาแต่ละด้านจนถึงตรงกลางที่วางเป็นก้อนสุดท้าย ใช้เวลาเพียง 8 ปี (คศ 72 – 80) ภายใต้จักรพรรดิ 3 พระองค์



สนามกีฬาแห่งนี้ จึงเป็นสิ่งก่อสร้างที่แสดงถึงความรุ่งโรจน์ของอาณาจักรโรมันโบราณ แต่เมื่ออาณาจักรโรมันเสื่อมลง โคลอสเซียม ก็ถูกข้าศึกทำลายหลายครั้งหลายหน ในปัจจุบันเหลือแต่ซากโครงสร้างอันใหญ่โตมโหฬารไว้ให้ชม



ที่นั่งชม ภายใน โคลอสเซียม แบ่งตามระดับชนชั้น จำนวน 5 ชั้น โดยความจุสูงสุดของสนามกีฬาที่มีความจุผู้ชมประมาณ 50,000 คน เนื่องจากชาวโรมันมีนิสัยเหยียดชนชั้น จึงมีการแบ่งที่นั่งจะแบ่งแยกตามระดับชนชั้น

ชั้นโพเดียม (Podium) คือชั้นที่สามารถมองเห็นการต่อสู้ใน อรีน่าได้ชัดเจนที่สุด ดีที่สุด บริเวณทิศเหนือ จะเป็นที่นั่งชมของ กษัตริย์ เชื้อพระวงศ์ และ นักบวชหญิง (Vestal Virgins) ส่วนบริเวณอื่นของชั้นโพเดียม เป็นที่สำหรับผู้แทนสภา โดยที่นั่งแต่ละตัวจะมีการสลักชื่อไว้ เพื่อเป็นที่นั่งส่วนตัว
ชั้น มีเนียนั่ม พรีเมียม (Maenianum Primum) เป็นชั้นที่ถัดขึ้นไปจากชั้นโพเดียม เป็นที่นั่งสำหรับ ชนชั้นสูง อัศวิน แม่ทัพ
ชั้น Maenianum Secundum แบบ Immum เป็นชั้นที่นั่ง สำหรับ ชาวโรมันที่ร่ำรวย
ชั้น Maenianum Secundum แบบ Summum เป็นชั้นที่นั่ง สำหรับ ชาวโรมันทั่วไป
ชั้น Maenianum Secundum in legneis เป็นชั้นสุดท้าย อยู่ไกลที่สุด ไม่มีที่นั่งเป็นพื้นราบ หรือบางส่วนอาจมีชั้นไม้สำหรับยืนดู เป็นที่สำหรับ ชาวต่างชาติ ทาส และผู้หญิง
หมายเหตุ มีบางอาชีพที่จะไม่ได้รับอนุญาต ให้เข้าสู่ โคลอสเซียม เช่น สัปเหร่อ นักแสดง และ นักสู้แกลดิเอเตอร์ ( Gladiators )



ใต้อัฒจรรย์โคลอสเซียม (Colosseum) และใต้ดินโคลอสเซียม (Colosseum) มีห้องสำหรับขังนักโทษที่รอการประหารชีวิต และสิงโต หลายร้อยห้อง ใช้เป็นสถานที่ให้นักโทษ ต่อสู้กับสิงโตที่อดอาหาร หากนักโทษผู้ใดเอาชนะ ฆ่าสิงโตได้ด้วยมือเปล่าได้ก็รอดชีวิตไป หรือ ไว้ใช้เป็นที่ประลองฝีมือในเชิงฟันดาบของบรรดาเหล่าทาสให้ต่อสู้กันเอง ยิ่งถ้าต่อสู้กัน จนถึงสามารถฆ่าคู่ต่อสู้ตาย ก็จะได้รับเกียรติอย่างสูงเพราะเป็นการต่อสู้ที่ชาวโรมันนิยมและยกย่องกัน ในปีหนึ่งๆต้องสูญเสียชีวิตนักโทษและทาสไม่ต่ำกว่าร้อยคน

นักสู้กลาดิเอเตอร์จะถูกแบ่งเป็น 10 ระดับ โดยนักสู้ระดับสูงสุดจะได้รับเงินจากการต่อสู้ครั้งเดียวเป็นเงินมากกว่า 15 เท่าของรายได้ทั้งปีของทหารราบแม้ว่านักสู้ในสังเวียนส่วนมากจะเป็นทาส แต่ไม่ใช่ทุกคน เพราะเมื่อถึงคริสต์ศตวรรษที่สองนักสู้กลาดิเอเตอร์มากกว่าหนึ่งในสามเป็นคนที่สมัครใจเข้ามา โดยมีชื่อเสียงและเงินทองเป็นสิ่งล่อใจ และการต่อสู้ทุกครั้งก็ไม่ได้จบลงด้วยความตายเสมอไป พวกเขามีโอกาสที่ดีที่จะเอาชีวิตรอด และหลายคนก็อำลาสังเวียนไปหลังจากประสบความสำเร็จในอาชีพนี้



เหลือแต่ซากอดีตที่ยิ่งใหญ่แต่แฝงไว้ด้วยความโหดร้าย



ประตูชัยคอนสแตนติน (Arch of Constantine) ประตูชัยแห่งนี้มีขนาดใหญ่และสภาพสมบูรณ์ที่สุดในกรุงโรม สร้างขึ้นเพื่อฉลองชัยชนะของจักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 1 ที่มีชัยชนะเหนือ Maxentius ในสงคราม Battle of Milvian Bridge

ข้างๆโคลอสเซียมเป็นประตูชัยคอนสแตนตินคะ กำลังซ่อมแซมพอดี



พวกเราเดินถ่ายรูปกันได้สักพักก็ขึ้นรถเพื่อเดินทางต่อไปยังน้ำพุเทรวี่

รถผ่าน Piazza del Campidoglio ออกแบบและจัดสร้างบางส่วนโดยไมเคิลแองเจโล ตั้งแต่ปี ค.ศ.1536 ประกอบด้วยพระราชวัง 3แห่ง คือ พระราชวังเซเนท (Palazzo Senatorio ) พระราชวังใหม่ (Palazzo Nuovo) และพระราชวังคอนเซอร์วาตอรี่ (Palazzo Dei Conservatori ) ปัจจุบันได้ดัดแปลงพระราชวังทั้ง 3 แห่ง เป็น พิพิธภัณฑ์แสดงผลงานศิลปะโบราณ ที่มีอายุเกือบ 2,000 ปี



น้ำพุเทรวี่ (Trevi fountain)เป็นน้ำพุที่สวยงามและมีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก ชื่อ Trevi นั้นมาจากคำว่า Trivium สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พบกันของถนนสามสาย ออกแบบและก่อสร้างโดย นิโคลา ซาลวี่ ซึ่งองค์สมเด็จสันตะปาปาครีเมนต์ที่ 12 ได้มอบหมายให้สร้างขึ้นในปี 1732

การก่อสร้างดำเนินเรื่อยมาจนกระทั่งภายหลังการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระสันตะปาปา เออร์บันที่ 8 กว่าจะออกมาสวยแบบนี้ มีการสร้างขึ้นมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง จนกระทั่งลงตัวที่แบบดีไซน์ของสถาปนิกชื่อ Francesco Salvi ในช่วงศตวรรษที่ 17 รวมใช้เวลาทั้งสิ้น 30 ปี



มีร้านรวงข้างทางระหว่างไปน้ำพุเทรวี่ มาถึงก็เจอกับจำนวนคนมหาศาลที่ยืนถ่ายรูปกับน้ำพุ



แหล่งต้นน้ำของน้ำพุเทรวี่อยู่ห่างถึงยี่สิบสองกิโลเมตร ซึ่งเป็นต้นน้ำของสะพานส่งน้ำเวอร์โก Aqua Virgo ตำนานว่าทหารโรมันได้รับคำ สั่งให้มาหาแหล่งน้ำ เด็กหญิงคนหนึ่งได้ ชี้ให้มาพบแหล่งน้ำนี้ และปรากฏว่า เป็นน้ำบริสุทธิ์ มีคุณภาพดีมาก จึงตั้งชื่อน้ำนี้ว่า “น้ำแห่งผู้บริสุทธิ์” หรือ Aqua Virgo เท่ากับ Virgin Water หญิงสาวชื่อ ทรีเวีย (Trivia) จึงเป็นที่มาของชื่อน้ำพุ

สร้างจากหินอ่อนในสไตล์บารอก เป็นน้ำพุที่มีความสูง 25.9 เมตร และกว้าง 19.8 เมตร เป็นน้ำพุที่สวยที่สุดในกรุงโรม



ส่วนกลางของน้ำพุนั้นมีรูปปั้นของเทพเจ้าเนปจูน (Neptune) ขี่รถม้าติดปีก ขนาบข้างด้วยไตตันสองตน แสดงถึงความมีสุขภาพที่แข็งแรง และความอุดมสมบูรณ์ของอาณาจักร



ตามความเชื่อที่ว่า หากใครได้มาถึงน้ำพุแห่งนี้ แล้วโยนเหรียญอธิษฐานลงไปในสระ เขาเชื่อว่าคนๆ นั้นจะได้กลับมาเยือนกรุงโรมอีกครั้ง โดยการโยนเหรียญต้องหันหลังให้น้ำพุ โยนจากมือขวา ผ่านไหล่ซ้ายคะ

ใช้นมโคสดเป็นส่วนประกอบหลักและใช้ครีมในปริมาณที่น้อยกว่าไอศครีมทั่วไป ซึ่งทำให้ Gelato มีไขมันต่ำอยู่ที่ประมาณ 3-8% เท่านั้น ขณะที่ไอศครีมทั่วไปจะมีไขมันอยู่ในเกณฑ์ตั่งแต่ 10-17% ขึ้นไป จุดเด่นอีกข้อนึงของ Gelato คือมีเนื้อสัมผัสที่เนียนนุ่ม ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้เครื่องปั่นที่มีประสิทธิภาพสูง เนื่องจากฟองอากาศเข้าไปในเนื้อครีมน้อย



เราหยุดแวะร้านไอศครีมเจลลาโต้ร้านอร่อยร้านนี้ ไอศครีมมีหลายรส ราคาโคนละ2.5 ยูโร มี 2 ลูก รสชาดอร่อยคะ



นอกจากนี้ยังมีร้านขายผลไม้ เราแวะซื้อเชอรี่อีกเพราะอร่อยและราคาไม่แพง



หลังจากถ่ายรูปแล้วพวกเราก็เดินต่อไปยังบันไดเสปนโดยเดินผ่านเข้าซอยเล็กๆ ใช้เวลาในการเดิน 15 นาที



เดินผ่านอนุเสาวรีย์แห่งนี้ก็ถึงที่หมาย



บันไดสเปน ( spagna ) บันไดที่กว้างที่สุดและยาวที่สุดในทวีปยุโรป สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1723-1725 มีทั้งหมด 138 ขั้น เริ่มจากปลายเนินเขา Pincio ขึ้นไปสู่โบสถ์ Trinita dei Monti สาเหตุที่ได้ชื่อว่าบันไดสเปน เนื่องจากในอดีตมีสถานทูตสเปนประจำนครรัฐวาติกันตั้งอยู่ใกล้ๆ ปัจจุบันย่าน บันไดสเปน ได้กลายเป็นแหล่งช้อปปิ้ง ร้านอาหาร ร้านกาแฟ โรงแรม ที่นัดพบวัยรุ่น

คุณโจบอกว่าให้ระวังกระเป๋าสตางค์ให้มากเพราะบริเวณนี้มิจฉาชีพเยอะ แต่เธอก็บอกว่าไม่เฉพาะที่นี่เท่านั้นตราบใดที่ยังไม่เหยียบเท้าออกจากอิตาลี่ให้ระวังให้หมด



บันไดสเปนตั้งอยู่จตุรัส Piazza di Spagna ต่อตรงกับถนน Via Condotti ที่เต็มไปด้วยร้านแบรนด์เนมมากมาย ทั้ง louis Vuitton, Dior, Prada, Gucci, Amarni, Valentio, Versace, Fendi, Ferragamo, Longchamp , Bulgari

ใครชอบซื้ออะไรก็เดินซื้อตามใจชอบเลย



ยังมีมุมน่ารักๆของร้านดอกไม้ด้วย



เราเดินขึ้นไปเพื่อเดินออกจากบันไดสเปน มองลงไปคนมากมาย และตรงกลางที่เห็นล้อมรััวเป็นน้ำพุ Fontana della Barcaccia น้ำพุรูปทรงเรือโบราณ กำลังซ่อมแซมอยู่



ข้างบนมีศิลปินวาดภาพขายเต็มไปหมด



หลังจากซ๊อปปิ้งและเดินเล่นแล้ว พวกเราก็เดินกลับไปขึ้นรถเพื่อรับประทานอาหารเย็นต่อเย็นนี้ทานอาหารจีนคะ ขอบอกว่าอร่อยมากจนลืมถ่ายรูปอาหาร มัวแต่ห่วงกินอีกแล้ว

เรากลับมาโรงแรมเดิม ถึงโรงแรม2ทุ่มกว่า ไม่อยากไปไหนแล้วคะ พักผ่อนดีกว่า เที่ยวแบบสบายๆ จะได้ไม่เหนื่อยมาก

พรุ่งนี้พวกเราจะไปเที่ยวฟลอเรนซ์ กับปิซ่า


คลิกตอนต่อไป ฟลอเรนซ์ - ปิซ่า
 




 

Create Date : 22 มิถุนายน 2557    
Last Update : 2 กันยายน 2562 0:30:47 น.
Counter : 2462 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  

goffymew
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




Flag Counter Welcome to Goffymew Blog
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add goffymew's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.