เราเดินตามแผนที่เส้นสีชมพูซึ่งก็คือถนน Stradun หลังจากนั้นก็เดินเลียบชายทะเลเส้นสีส้มเพื่อขึ้นไปชมวิวกำแพงเมืองที่ Fort St. Luke ที่มีเครื่องหมายดาวในแผนที่
Dubrovnik Cathedral วิหารโรมันแคธอลิค สไตล์ โรมาเนสค์ (Romanesque) สร้างในศตวรรษที่ 12 ประวัติบันทึกไว้ว่า พระเจ้าริชาร์ดใจสิงห์ (The English king Richard the Lion Heart )เคยประสบเหตุเรืออัปปางใกล้เกาะ Lokrum เมื่อครั้งกลับจากสงครามครูเสดครั้งที่สามในปี 1192 และหลังจากนั้นท่านได้พระราชทานเงินบางส่วนเพื่อสร้างมหาวิหารแห่งนี้
ภายในชั้นล่าง เป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำและชั้นบน Maritime Museum จัดแสดงประวัติเรือเดินสมุทรและพาณิชย์นาวีที่เกรียงไกรของดูบรอฟนิค
เดินเข้าไปใกล้ๆ
จะเห็นรูปท่านนักบุญเบลสบนกำแพงตลอด
กล้องวางไม่ลงเลย
การขึ้นชมดูวิวของเมืองมีทั้งแบบเดินบนกำแพงเมืองและขึ้น Cable car พวกเราเลือกเดินมาขึ้นกำแพงเมืองเพื่อชมวิว
พวกเราเดินผ่านประตูนี้เพื่อเดินทางไปขึ้นกำแพง
ทางขึ้นชมกำแพงมี 3 จุดได้แก่ 1. บน ถนน Stradun ประตู Pile gate 2. ทาง Fort St. Johns และ Fort St. Luke 3. ทาง Od sv. Dominika street.
การเดินชมกำแพงมี 2 ฝั่งคือ Ocean side และ Land side ไกด์แนะนำว่าถ้ามีเวลาน้อยให้เลือกชม Ocean side ก่อนเพราะวิวสวยกว่า... แต่ถ้าต้องการเดินจนครบต้องใช้เวลา 1 ชั่วโมงกว่าๆ ซึ่งหมายความว่า จะต้องไม่หยุดพักเลย
ได้ตั๋วมาแล้ว ค่าเข้าชม 100 คูนา เราขึ้นกำแพงตรงจุดหมายเลข 3 ซึ่งเป็นฝั่ง Land Side
พวกเราเดินขึ้นกำแพงเวลา 11.00 น. ทาง Fort St. Luke เหลือเวลาเดินแค่ 1 ชั่วโมง ก็เลยตัดสินใจลุ้นดูว่าถ้าเวลาไม่พอจะเดินแค่ครึ่งรอบก็ได้ เพราะทางขึ้นลงชมวิวกำแพงมี 3จุดอยากลงตรงไหนก็ได้
วิวสวยจริงๆ คุ้มค่ากับที่ขึ้นมา
ซูมให้ใหญ่ขึ้นหน่อย
มุมนี้ก็สวย
หลังคาสีส้มตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าดูสวยงาม
บนนี้แดดร้อนแรงมากแต่เราก็ไม่ย่อท้อ
เห็นกำแพงยาวและป้อม St. Lawrence Fortress
มองลงมาเห็นถนน
บนนี้มีสนามบาสเกตบอลด้วย
มองลงมาเห็นน้ำพุโบราณ (Onfrio Fountain)
พวกเราเดินมาถึงฝั่ง Ocean side แล้ว แต่เวลายังเหลืออีกครึ่งชั่วโมง จึงตัดสินใจกันเดินให้ครบรอบดีกว่า..เพราะไหนๆก็ขึ้นมาแล้ว
เราคิดว่าฝั่ง Land Side สวยกว่าฝั่ง Ocean Side นะ อาจจะเพราะบ้านเรามีวิวทะเลเยอะแล้วก็ได้ ดังนั้นเราจึงดีใจมากเลยที่ไม่เชื่อไกด์เดินแค่ Ocean Side อย่างเดียว ไม่งั้นคงอดเห็นวิวสวยๆเช่นนี้