สงกรานต์ 52 เที่ยวยุโรป 6 ประเทศ (EZE village-Grasse )
EZE village-Grasse วันที่ 20เมษายน 2552 วันนี้เราจะไปเที่ยว EZE village เราใช้บริการรถบัสเช่นเคย แต่วันนี้เราไม่เดินไปชุมทางรถบัส Gare Routiere แล้วเพราะไม่ทันเวลาตารางรถที่เราแอบดูเมื่อวานนี้ จึงนั่งรถไฟลงที่สถานี Cathedrale-vielle ville ค่าโดยสาร 1 ยูโร เรารอขึ้นรถบัสสาย 82 ตรงช่องที่ 20 เพื่อไปหมู่บ้าน EZE แต่ก่อนขึ้นเราก็เดินไปยังสำนักงานของรถบัสเพื่อขอตารางเวลาของรถ นอกจากสาย 82 แล้วสาย112 ก็ไปยังหมู่บ้าน EZE ได้ แต่เราสังเกตุตั้งแต่เมื่อวานแล้วไม่เห็นสาย 112 เลย ค่าโดยสารคนละ 1 ยูโร ใช้เวลาไปยัง EZE 20 นาที รถบัส หมู่บ้าน EZE กำเนิดมาจากที่พักของพวกคนป่า เมื่อ 2 พันปีก่อนคริสตกาลมาแล้วโดยสร้างอยู่บนเทือกเขาสูง ที่อยู่ติดทะเล ต่อมาเมืองก็ถูกครอบครองโดยชาวโรมัน และสร้างเป็นป้อมปราการอยู่บนภูเขา เพื่อให้มองเห็นข้าศึกได้แต่ไกล หมู่บ้านEZE ที่อุดมไปด้วยต้นมะกอก และวิวอันที่สวยงามริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ที่นี่ต่อมากลายเป็นที่พักผ่อนของพวกราชนิกูล ศิลปิน และกลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของคนจากทั่วทุกมุมโลกในปัจจุบัน หมู่บ้าน EZE เมื่อลงจากรถได้สักพักฝนก็ตกโปรยปรายลงมา เราแอบเซ็งเล็กๆอยู่ และอากาศก็เริ่มเย็นด้วยโชคดีที่เราเตรียมเสื้อหนาวอย่างหนามาด้วยทำให้เราไม่หนาวเท่าที่ควร เราเดินเข้าไปในหนู่บ้านก็เห็นตุ๊กตาพิน็อกคิโอวางไว้ข้างร้านที่ชื่อเหมือนตุ๊กตา ไม่รู้ว่าถูกทิ้งหรือปล่านะ แต่น่ารักดี หมู่บ้าน EZE มองไปข้างหน้าเป็นทางเข้าหมู่บ้านเป็นบันไดทอดยาว หมู่บ้าน EZE ทางเดินในหมู่บ้าน แม้ฝนตกก็ยังสวย หมู่บ้าน EZE บ้านเรือนและทางเดินล้วนทำจากหิน ดูมีเสน่ห์คล้ายเมืองในเทพนิยาย หมู่บ้าน EZE หมู่บ้าน EZE ทางเดินวกวนไปมาแต่ทำให้เราเพลิดเพลินกับตวามงามของสถานที่นี้ หมู่บ้าน EZE โรงแรม Chateau เป็นโรงแรมที่น่ารักแต่ราคาก็แพงเช่นกัน หมู่บ้าน EZE โบสถ์บนหมู่บ้าน EZE ร้านขายของตกแต่งแบบธรรมดาแต่ตัวบ้านทำให้ร้านนี้ดูน่ารัก หมู่บ้าน EZE ร้านขายของตกแต่งอย่างน่ารัก หมู่บ้าน EZE ร้านขายรูปวาด หมู่บ้าน EZE เราชอบร้านนี้ตกแต่งน่ารักดี มีเป็ดน้อยโชว์อยู่หน้าร้านด้วย หมู่บ้าน EZE เดินออกมาเจอประตูรั้วโรงแรม แต่เขาปิดคนนอกเข้าไม่ได้ หมู่บ้าน EZE เมื่อลงออกมาก็เจอกับกองถ่ายภาพยนตร์ หมู่บ้าน EZE มองลงมาเห็นกระดานหมากรุกอันใหญ่มาก หมอกลงพอควร ทำให้เห็นวิวของบ้านเรือนบริวณฝั่งตรงข้ามหมู่บ้านไม่ค่อยขัดเท่าไรนัก แต่ก็ยังคงความงามของธรรมชาติไว้ เราเดินออกจากหมู่บ้าน แต่เราก็แวะซื้อของที่ระลึกที่อยู่ด้านล่างของหมู่บ้าน ราคาไม่แพงมากพอซื้อได้ จากนั้นเราก็เดินทางกลับ Nice ไปยัง Gare Routiere เพื่อต่อรถบัสไปยังเมือง Grasse ต่อรถสาย 500 ค่าโดยสาร 1 ยูโร ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 1.45 ขั่วโมง รถไฟก็ไปเมืองนี้ได้เช่นกันใช้เวลาในการเดินทาง 1.30 ชั่วโมงแต่ค่าโดยสารแพงกว่ามาก เราจึงตัดสินใจนั่งรถบัสดีกว่า Grasse กราซ (Grasse) เมืองที่มีชื่อเสียงทางการผลิตน้ำหอมส่งออกไปทั่วโลก แต่เดิมเคยเป็นแหล่งผลิตเครื่องหนังขึ้นชื่อ และเริ่มมีวิวัฒนาการปรุงแต่งเครื่องหนังด้วยน้ำหอม ความสำคัญของน้ำหอมจึงเริ่มเข้ามาแทนที่เครื่องหนัง นับแต่นั้นมา กราซ จึงกลายเป็นเมืองน้ำหอมอย่างเต็มตัว กราซเคยเป็นแหล่งส่งออกดอกไม้สำหรับสกัดเป็นหัวเชื้อน้ำหอมแหล่งใหญ่ที่สุด พันธุ์ไม้ที่ขึ้นชื่ออย่าง Provence rose เป็นกุหลาบที่มีกลิ่นหอมแรงแต่ราคาสูงมาก ยังมีดอกไม้ที่ใช้ทำหัวน้ำหอมอีก อย่างไวโอเล็ต ดอกมะลิ มิโมชา เพลาร์โกเนียม เจอราเนียม ทิวเบอร์โรส และบรูมส์ พอลงจากรถเราก็เดินเล่นไปเรื่อยๆ แต่ดูเหมือนจะหลงทางเพราะเมืองนี้มีซอกซอยเยอะไปหมด Grasse ร้านนี้เขาเอาสัตว์ตระกูลกิ่งก่ามาติดไว้ที่อาคาร ดูแปลกดี เราจึงเริ่มต้นที่ Hotel de ville หรือศาลาว่าการหมู่บ้าน Hotel de ville เราเดินเข้าไปข้างใน Hotel de ville มีรูปปั้นน้ำพุ Hotel de ville เมื่อเดินเข้าไปข้างในจนสุดจะเห็นจุดชมวิว Hotel de ville จุดชมวิว มองเห็นทิวทัศน์ที่อยู่รอบๆเมืองได้อย่างชัดเจน Hotel de ville เราเดินเล่นต่อไปในซอกซอยของเมือง มีร้านขายน้ำหอมตกแต่งอย่างน่ารักเต็มไปหมด ร้านขายน้ำหอมตกแต่งอย่างน่ารักหลายร้านตามซอยต่างๆ ร้านขายน้ำหอม น้ำหอมกลิ่นต่างๆมีให้เลือกมากมาย และราคาไม่แพงด้วย น้ำหอม ที่นี่เป็นแหล่งผลิตน้ำหอมที่ขึ้นชื่อของโลกมีประวัติยาวนานเกือบ 200 ปี โรงงานรับจ้างผลิตน้ำหอมกลิ่นต่างๆให้กับ Brand ดังๆทั่วโลกและทำ Brand ของตัวเองด้วย fragonard น้ำหอมกลิ่นต่างๆที่เหมือนกับ Brand ชั้นนำ แต่ใส่ Packaging ชอง fragonard ราคาไม่แพงจนเราอดใจซื้อกลับไม่ไหว และยังมี Gift set น่ารักๆ ที่เหมาะจะเป็นของฝากอีกมากมาย น้ำหอม ข้างๆกันนั้น จะเป็นพิพิธภัณฑ์น้ำหอม เปิดให้เข้าชมฟรี แต่ห้ามถ่ายรูปนะ ข้างในมีประวัติเรื่องราวของน้ำหอม ขั้นตอนการผลิต ตลอดจน บรรจุภัณฑ์ของน้ำหอมในแต่ละยุคสมัย พิพิธภัณฑ์น้ำหอม เราเที่ยวชมเมืองเรื่อยๆ จะเห็นอนุเสาวรีย์คนขายน้ำหอม เมืองนี้สมกับเป็นเมิองเกี่ยวกับน้ำหอมจริงๆ เพราะวงเวียนน้ำพุยังเป็นรูปกุหลาบเลย ด้านหลังพิพิธภัณฑ์ เป็นสวน ตกแต่งด้วยต้นปาล์มดูสวยงาม จากนั้นเราเดินเล่นเที่ยวชมน้ำหอมอยู่ในเมืองนี้ประมาณ 2.30 ชั่วโมง ก็เดินทางกลับตามตารางรถ เพื่อกลับไปยังนีช เรานั่งสบายๆบนรถบัส และแอบงีบหลับไป พอตื่นขึ้นมาพบว่าผู้โดยสารแน่นเต็มรถไปหมด รถบัสผ่านโรงแรมที่เราพักด้วยเราจึงแวะลงที่หาด rivera อยู่ด้านหลังโรงแรม |
Create Date : 23 พฤษภาคม 2552 | | |
Last Update : 26 กรกฎาคม 2562 1:09:49 น. |
Counter : 2667 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
สงกรานต์ 52 เที่ยวยุโรป 6 ประเทศ (โมนาโค - คานส์ )
Create Date : 18 พฤษภาคม 2552 | | |
Last Update : 18 กรกฎาคม 2560 2:34:56 น. |
Counter : 3022 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
สงกรานต์ 52 เที่ยวยุโรป 6 ประเทศ (พระราชวังแวร์ซาย- ฝรั่งเศส )
ฝรั่งเศส วันที่ 18เมษายน 2552 เดินทางไปแวร์ซาย พอออกจากโรงแรมเราสังเกตุว่าท้องฟ้ามืดคลื้มคล้ายฝนจะตก เมื่อไปถึงพระราชวังแวร์ชาย ฝนก็ตกปรอยปรายลงมา แต่ไม่เป็นไรหรอกก็ได้อีกบรรยากาศ เดิมนั้น เมืองแวร์ซายเป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น มีผู้คนอาศัยอยู่เบาบาง บริเวณส่วนใหญ่เป็นป่าเขา เยี่ยงชนบทอื่น ๆ ของฝรั่งเศส เมื่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ยังทรงพระเยาว์ ขณะพระชนมายุได้ 23 พระชันษา ทรงนิยมล่าสัตว์ในป่า และทรงเห็นว่าตำบลแวร์ซายส์น่าจะเหมาะแก่การประทับเพื่อล่าสัตว์ จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระตำหนักขึ้นมาใน พ.ศ. 2167 โดยในช่วงแรกเป็นเพียงกระท่อมเล็กๆ สำหรับพักชั่วคราวเท่านั้น เมื่อ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ขึ้นครองบัลลังก์ มีประสงค์ที่จะสร้างพระราชวังแห่งใหม่ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการปกครองของพระองค์ จึงเริ่มปรับปรุงพระตำหนักเดิมในปี พ.ศ. 2204 ใช้เงินทั้งหมด 500,000,000 ฟรังก์ คนงาน 30,000 คน และใช้เวลาอยู่ถึง 30 ปีจึงแล้วเสร็จในพ.ศ. 2231 ทุกส่วนทำด้วยหินอ่อนสีขาว เป็นแบบอย่างศิลปกรรมที่งดงามมาก ภาย ในแบ่งออกเป็นห้องๆ เช่น ห้องบรรทม ห้องเสวย ห้องสำราญ ฯลฯ ทุกห้องล้วนมีเครื่องประดับงดงามตระการตาและภาพเขียนที่มีชื่อเสียง การก่อสร้างพระราชวังแวร์ซายส์แห่งนี้ได้นำเงินมาจากค่าภาษีอากรของราษฎรชาวฝรั่งเศส ต่อมาจึงได้มีกองทัพประชาชนบุกเข้ายึดพระราชวังและจับพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 กับพระนางมารี อองตัวเนต ประหารด้วย "กิโยติน" ในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2332 ปัจจุบันพระราชวังแวร์ซายส์ยังอยู่ในสภาพดีและเปิดให้ประชาชนเข้าชมได้ พระราชวังแวร์ซาย เราเข้ามาพบกับความยิ่งใหญ่และสวยงามของพระราชวัง ซึ่งช่วงเวลาที่เรามายังเช้านักท่องเที่ยวจึงยังไม่เยอะมาก จากนั้นเราก็เดินเข้าไปด้านในเพื่อพบกับไกด์ซึ่งเป็นคนไทยโดยไกด์คนนี้จะเป็นคนบรรยายเกี่ยวกับประวัติและพระราชวังให้พวกเราฟัง พวกเราเข้าชมห้องในพระราชวัง 17 ห้องได้แก่ มีห้องบรรทม ห้องเสวย ห้องสำราญ ห้องทรงพระอักษร ห้องโถง ห้องรับแขก ฯลฯ เมื่อเราเดินเข้าไปห้องแรก เป็นโบสถ์ที่ประกอบพิธีทางศาสนาของพระมหากษัตริย์ ณ โบสถ์แห่งนี้พระราชโอรสธิดาเจ้าทั้งหลายได้รับการตั้งพระนาม และทำพิธีอภิเษกสมรด้วย โบสถ์นี้วิจิตรตระการตาด้วยลายสลักหินทั้งแท่ง สูงชะลูดขึ้นไปเป็นระเบียงชั้น พระราชวังแวร์ซาย ห้องเฮอร์คิวลิส เป็นห้องหินอ่อนอิตาลีล้วน จัดเป็นพระอักษรที่ใหญ่ที่สุดของตัวประสาทบน เพดานวิจิตรตระการตาด้วยภาพวาดเรื่องราวของเทพเจ้าเฮอร์คิวลิส ผู้ทรงพลังตามตำนานกรีก สถาปนิกผู้ออกแบบห้องนี้ คือ โรแบร์ เดอ คอท ห้องวีนัส เป็นห้องพักราชทูตที่เดินทางมาถวายพระราชสาส์นตราตั้งก่อนเข้าเฝ้า พระราชวังแวร์ซาย ภาพวาดบนเพดานเล่าเกี่ยวกับเทพเจ้าเฮอร์คิวลิส เพดาน เตาผิง รูปพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 และเฟอร์นิเจอร์โบราณ ซึ่งไกด์บอกว่าครั้งหนึ่งเฟอร์นิเจอร์พวกนี้เคยโดนขโมย แต่ฝรั่งเศสหาซื้อกลับได้หมดเลย รูปพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ครองราชย์เป็นเวลา 72 ปี จัดว่าเป็นผู้ที่ครองประเทศฝรั่งเศสนานที่สุด อีกทั้งยังเป็นพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชที่ครองราชย์นานที่สุดในยุโรปอีกด้วย รูปปั้นหลุยส์ที่ 14 ห้องกระจก (The Hall of Mirrors )ห้องนี้เป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดของแวร์ซายส์ในรอบ 4 ศตวรรษ ออกแบบได้เลิศหรู โดยสถาปนิกเอก มอนสาร์ท ห้องนี้พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงกำกับการก่อสร้างเอง ทั้งห้องประกอบด้วยกระจกบานยักษ์ 17 บาน เมื่อเปิดออกแล้ว สวนแวร์ซายส์อันสวยสดงดงามดุจสวนสวรรค์จะปรากฏบนกระจกทั้งแถบของกำแพงด้านใน เป็นที่ตระการตาแก่ผู้ได้พบเห็นยิ่งนัก ห้องนี้ ได้ใช้ต้อนรับแขกเมือง หรือจัดพิธีเลี้ยงรับรองคณะราชทูต เป็นเวลาถึง 300 ปี หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ห้องนี้ได้ใช้เซ็นสนธิสัญญาครั้งสำคัญถึง 2 ครั้ง คือ สนธิสัญญาตั้งอาณาจักรเยอรมัน และสนธิสัญญาแวร์ซายส์ "สงบศึกสงครามโลกครั้งที่ 1" ห้องกระจก (The Hall of Mirrors ) จากเตียงนอนที่เห็นเป็นเตียงที่สั้นมากไม่น่าเชื่อว่าพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ซึ่งสูง 190 ซม. จะบรรทมที่เตียงนี้ได้ เตียงพระบรรทม พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 เป็นกษัตริย์ฝรั่งเศสร์ตั้งแต่ 10 พฤษภาคม ค.ศ. 1774 - 10 สิงหาคม ค.ศ. 1792 ในช่วงที่อยู่ในราชสมบัติประเทศต้องเจอปัญหาเศรษฐกิจอย่างรุนแรงมากจนเกิดการปฏิวัติฝรั่งเศส (French Revolution) ซึ่งพระองค์ถูกประหารชีวิตอายุเพียง 37 ปี พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 เจ้าหญิงมารี อังตัวเนต ถือกำเนิดในราชวงศ์แห่งออสเตรียเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน1755 และได้อภิเษกกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 (ซึ่งตอนนั้นยังเป็นเจ้าชาย)ในปี 1770 ได้รับการสถาปนาเป็นราชินีแห่งฝรั่งเศสด้วยวัยเพียง 19 ชันษาในอีก 4 ปีต่อมา พระนางมีบุตรและธิดา 4 พระองค์ แต่เสียชีวิต 1 คนตั้งแต่แบเบาะ สังเกตูจากรูปจะเห็นว่าข้างในเปลเด็กจะว่าง พระนางพร้อมทั้งลูกๆถูกประหารด้วยกิโยตินระหว่างการปฏิวัติฝรั่งเศส พระนางมารีอังตัวเนต หลังจากไกด์พาชมทั้ง 17 ห้องแล้ว พวกเราก็เดินไปยังร้านขายของที่ระลึก พวกเราเดินอยู่ในนี้ประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง เมื่อออกมานอกปราสาทฝนยังตกอยู่เลย เราถ่ายรูปพระราชวังแวร์ซายอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากฝนตกเราจึงไม่ได้ไปชมสวนและการเที่ยวนี้เป็นรอบ 2 แล้วพวกเราเลยไม่ได้กระตือรือล้นดูสวนเท่าไรด้วย พระราชวังแวร์ซาย ก่อนออกจากพระราชวังขอถ่ายรูปประตูอีกครั้ง ประตูนี้สมัยก่อนทำด้วยทองคำด้วยนะ พระราชวังแวร์ซาย พวกเราก็ไปรับประทานอาหารเที่ยงกัน จากนั้นพวกเราก็ไปเดินเล่นที่พิพิธภัณฑ์ลุฟร์กัน เมื่อรถมาส่งที่พิพิธภัณฑ์แล้ว ก่อนเข้าไปพวกเราก็ไปถ่ายรูปที่ประตูชัยเก่ากันก่อน ประตูชัยการูเซล อยู่ในสวน Tuilerie ในบริเวณพิพิธภัณฑ์ Louvre สร้างในสมัยพระเจ้านโปเลียนที่ 1 ค่าก่อสร้างร่วมล้านฟรัง มีความสูง 14.90 เมตร ยาว 19.50 เมตร มีซุ้มประตูโค้ง 3 ซุ้ม ซุ้มตรงกลางใหญ่ที่สุด สิ่งที่ทำให้ประตูชัยนี้มีคุณค่าสูงคือภาพสลักหินอ่อนสีชมพู รสนิยมแบบโบราณมาผสมผสานเข้ากับศิลปะยุค นโปเลียนได้อย่างกลมกลืน เสากลม 8 ต้น ที่ตั้งประดับอยู่นี้ทำด้วยหินอ่อนสีแดง ตุ๊กตา 8 ตัวบนยอดเสาสลักเป็นทหารเหล่าต่าง ๆ ในสมัยนโปเลียนประตูชัยการูเซลไม่เด่นสง่าเท่าประตูเอตวล เพราะประตูชัยเอตวลเป็นจัตุรัส แต่จากประตูชัยการูเซลจะได้ภาพที่สวยงามมาก เมื่อดูหันหน้าไปทางทิศตะวันออก มองลอดซุ้มโค้งของ Le Carrousel จะเห็นเสาหินObélisque อยู่ถัดไปและจะเห็น L’Arc de Triomphe de l’Etoile อยู่ลึกสุดของภาพ ซึ่งเป็นแนวตรง เป็นภาพที่สวยงามหาดูได้ยาก ประตูชัยการูเซล( L’Arc de Triomphe de Carrousel) บนซุ้มประตูเป็นรถแบบโรมัน เทียมม้า 4 ตัว มี 2 ล้อ กำลังแล่นนำผู้มีชัยชนะ แต่งตัวแบบโรมัน ในมือชูคบเพลิงแห่งชัยชนะเข้าในเมือง มีเทพธิดา 2 นาง ขนาบข้างม้าทั้ง 4 มาด้วย รูปปั้นบนซุ้มประตู หลังจากถ่ายรูปแล้วพวกเราก็ไปถ่ายรูปพิพิธภัณฑ์ลุฟร์ต่อไป เป็นพิพิธภัณฑสถานทางศิลปะอันตั้งอยู่ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ที่มีชื่อเสียงที่สุด เก่าแก่ที่สุด และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งได้เปิดให้สาธารณะชนเข้าชมได้เมื่อปี พ.ศ. 2336 (ค.ศ. 1793) มีประวัติความเป็นมายาวนานตั้งแต่สมัยราชวงศ์คาเปเทียง ตัวอาคารเดิมทีเคยเป็นพระราชวังหลวง ซึ่งปัจจุบันเป็นสถานที่ที่จัดแสดงและเก็บรักษาผลงานทางศิลปะที่ทรงคุณค่าระดับโลกเป็นจำนวนมาก อย่างเช่น ภาพเขียนโมนาลิซา, The Virgin and Child with St. Anne, Madonna of the Rocks ผลงานของเลโอนาร์โด ดาวินชี หรือภาพ Venus de Milo ของอเล็กซานดรอสแห่ง Antioch พิพิธภัณฑสถานลูฟร์ (Musée du Louvre) เมื่อเดินเข้าไปใกล้จะเห็นปิรามิดแก้วซึ่งเป็นทางเข้าพิพิธภัณฑ์ผู้ออกแบบคือไอ. เอ็ม. เป สถาปนิกชาวจีน-อเมริกันชื่อดัง พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ภาพวาดสีน้ำมัน สูง 77 เซนติเมตร กว้าง 53 เซนติเมตร วาดโดยเลโอนาร์โด ดา วินชี ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ระหว่าง พ.ศ. 2046 (ค.ศ. 1503) ถึงปี พ.ศ. 2050 (ค.ศ. 1507)เป็นภาพที่ทั่วโลกรู้จักกันดีภาพหนึ่ง ในฐานะสุภาพสตรีที่มี รอยยิ้มอันเป็นปริศนา ที่ไม่รู้ว่าเธอจะยิ้ม หัวเราะ หรือร้องไห้กันแน่ ปัจจุบันอยู่ในความครอบครองของรัฐบาลฝรั่งเศส และเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โมนาลิซ่า เราเข้าไปเที่ยวชมแต่ด้านนอกเท่านั้นไม่ได้เข้าไปข้างใน เพราะรอบแรกเราเที่ยวชมมาหลังเดินเล่นกันสักพักเราก็ออกจากที่นี่เพื่อไปเดินซื้อของที่ Gallary Lafayettle และร้านขายเครื่องสำอางปลอดภาษี เราใช้เวลาในการเดินเล่นประมาณ 2 ชั่วโมงก็ต้องเดินทางไปสนามบินปารีส-ชาลเดอโกล เพื่อ ต่อไปnice โดย air france นั่งอยู่บนเครื่องประมาณ 1.30 ชั่วโมง เราถึง Nice ประมาณ 21.40 น. แล้วเราก็นั่ง Taxi เพื่อไปโรงแรม Beau Rivage ซึ่งอยู่ใกล้ชายหาด ค่า Taxi 32 ยูโร ใช้เวลาจากสนามบินถึงโรงแรมประมาณ 15 นาที ค่าโดยสารแพงมากๆเลย |
Create Date : 15 พฤษภาคม 2552 | | |
Last Update : 25 กรกฎาคม 2562 22:24:02 น. |
Counter : 4327 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
สงกรานต์ 52 เที่ยวยุโรป 6 ประเทศ (หอไอเฟล - ฝรั่งเศส )
ฝรั่งเศส วันที่ 17เมษายน 2552 วันนี้เป็นวันที่เดินทางมาราธอนที่สุดก็ว่าได้พวกเราออกจากโรงแรมประมาณ 08.00น. เพื่อเดินทางเข้าสู่กรุงปารีส กว่าจะถึงปารีสก็ประมาณ 13.00 น.ต้องบอกว่านั่งจนเมื่อยเลย หอไอเฟลถูกออกแบบและก่อสร้างโดยวิศวกรชาวฝรั่งเศส *อเล็กซ์ซานเดอร์ กุสตาฟ เอฟเฟล* สร้างขึ้นเป็นสัญลักษณ์ และซุ้มทางเข้างานแสดงสินค้าระดับนานาชาติ ในปีค.ศ.1889 หรือ พ.ศ.2432 เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปีของการปฏิวัติฝรั่งเศส ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากว่าเป็นโครงเหล็กน่าเกลียด แต่มาวันนี้หอไอเฟลก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของมหานครปารีสไปซะแล้ว มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาเข้าชมมากมาย เมื่อหอไอเฟลสร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) หอไอเฟลกลายเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลกแทนที่อนุสาวรีย์วอชิงตัน และได้ครองตำแหน่งนี้มาเรื่อยๆ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2473 (ค.ศ. 1930) ก็ได้เสียตำแหน่งให้แก่ตึกไครส์เลอร์ (319 เมตร หรือ 1,047 ฟุต) ปัจจุบันฟอไอเฟลสูงเป็นอันดับที่ 5 ในประเทศฝรั่งเศสและสูงที่สุดในกรุงปารีส หอไอเฟล เวลาขึ้นหอไอเฟลประมาณ 15.00 น. พวกเราจึงเดินทางไปยังจตุรัสทรอคคาเดโร ซึ่งเป็นจุดที่มองเห็นวิวและถ่ายภาพกับหอไอเฟล ได้อย่างชัดเจนที่สุด เมื่อพวกเราถ่ายรูปกันจนเต็มอิ่มแล้วจึงนั่งรถกลับมายังหอไอเฟล ซึ่งพวกเราก็มารอคิวเพื่อขึ้นไปยังชั้น 2 ของหอไอเฟล วันนี้ลมแรงและหนาวกว่าทุกวันโชคดีที่เราเอา overcoat ตัวหนาติดมาด้วย หอไอเฟล หอไอเฟลมีความสูง 300 เมตร (986 ฟุต) ซึ่งไม่รวม เสาอากาศ 24 เมตร (72 ฟุต) ด้านบน ถ้าเปรียบเทียบกับตึกแล้วจะมีประมาณ 75 ชั้น น้ำหนักเหล็กที่ใช้ก่อสร้างนั้นทั้งหมด 7,300 ตัน และถ้ารวมทั้งหมดก็เป็น 10,000 ตัน ด้านล่างเป็นทางขึ้นหอไอเฟล ซึ่งมีทั้งลิฟต์และบันได จำนวนบันไดนั้นเปลี่ยนแปลงตลอด เมื่อแรกเริ่มนั้นมี 1710 ขั้น ในทศวรรษที่ 1980 มี 1920 ขั้น และในปัจจุบัน มี 1665 ขั้น ข้างบนหอไอเฟลจะมีให้เลือก 3 ระดับ ชั้นแรกสามารถเดินขึ้นไปได้ ชั้นสองและสามอาจจะต้องขึ้นลิฟท์ ราคาตั๋วก็แล้วแต่ว่าขึ้นไปชั้นไหน ชั้นบนสุดก็ประมาณ 10.50 ยูโร หรือ 500 บาท แต่ชั้น 2 เป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุด เพราะจะเห็นทัศนียภาพโดยรอบ หอไอเฟล มีหุ่นคนขับลิฟต์ด้วยนะแต่เขาไม่ได้ขับจริง หอไอเฟล เห็นทิวทัศน์แม่น้ำแซน แม่น้ำแชน กลุ่มอาคารโค้งนั้นก็คือ Palais de Chaillot ตัวตึกเป็นปีกโค้ง 2 ข้างหันหน้าลงสู่แม่น้ำแซนน์ ภายในเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ โรงละครแห่งชาติ และสวน Jadin de Trocadero ส่วนที่เห็นอาคารสูงอยู่ไกลๆนั้นเป็นเขตธุรกิจ La Defense จตุรัสทรอคคาเดโร วิวบนหอไอเฟล หลังจากถ่ายรูปซักพักเราก็มาหลบความหนาวด้วยการซื้อของที่ระลึกกัน จากนั่งพวกเราก็เตรียมลงเรือเพื่อล่องแม่น้ำแซน แม่น้ำแซนรู้จักกันทั่วไปว่าเป็นแม่น้ำแห่งชาติฝรั่งเศส เป็นเอกลักษณ์ที่แสดงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่ของชาวฝรั่งเศส มีความขลังในความโรแมนติกปรากฏอยู่ในภาพยนตร์รักหวานชื่นของฮอลลีวูดหลายเรื่อง และล่าสุดก็เป็น scene ของหนังโด่งดังเรื่อง Da Vinci Code จริงๆ แล้ว แม่น้ำเซนมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม มาตั้งแต่สมัยที่โรมันยึดครองฝรั่งเศสเมื่อกว่าพันปีมาแล้ว แม่น้ำเซนมีต้นกำเนิดจากที่ราบสูงในภาคตะวันออกของฝรั่งเศส แถบเทือกเขาแอลป์ (Alps) ไหลมารวมกับแม่น้ำสาขาหลายสายก่อนจะไหลผ่านเมืองปารีส เป็นสายใย แห่งชีวิตของชาวฝรั่งเศส ตั้งแต่ที่ราบสูง ทางตะวันออกไปจนจรดที่ราบลุ่มทางตะวันตกเฉียงเหนือ เรือล่องแม่น้ำแชน พวกเรานั่งเรือหน้าตาแบบในรูปแต่ไม่ใช่เรือ 2 ลำนี้ เรือล่องตามเส้นทางในแผนที่ ใช้เวลาในการล่องเรือ 1 ชั่วโมง เส้นทางการล่องแม่น้ำแซน สะพานนี้เป็นทางเชื่อมระหว่าง Grand Palais & Petit Palais กับ Hotel des Invalides ซึ่งอยู่คนละฝั่งของแม่น้ำ แซน สะพานแห่งนี้สร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 1900 ก้อนหินก้อนแรกในการสร้าสะพานได้ถูกวางลงโดยพระเจ้าซาร์ นิโคลัส ที่ 2 แห่งรัสเซีย ในเดือนตุลาคม ปี1896 จึงถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างรัสเซีย กับฝรั่งเศส และได้ตั้งชื่อตามชื่อพระราชบิดาของพระเจ้าซาร์ นิโคลัสที่ 3 ซึ่งก็คือ "พระเจ้าซาร์ อเล็กซานเดอร์ ที่ 3 " สะพาน Alexandreที่3 Grand Palais เป็นสถาปัตยกรรมโครงสร้างเหล็กและแก้ว ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นสถานจัดแสดง exhibition ขนาดใหญ่ ถูกสร้างขึ้นในปี 1900 ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เพื่องาน exposition universelle de 1900 งาน world fair ครั้งใหญ่ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 15 เมษายน ถึงวันที่ 12 พฤศจิกายน ปี 1900 ซี่งมีผู้เข้าชมรวมทั้งหมดกว่า 50 ล้านคน Grand Palais Place de la concorde เป็นจัตุรัสที่กว้างใหญ่ที่สุดของกรุงปารีส สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ระหว่างปี ค.ศ. 1753-1775 โดยทรงให้ Jacques-Ange Gabriel เป็นสถาปนิกออกแบบตกแต่งบริเวณ ในบริเวณลานกว้างใหญ่เนื้อที่ 62,000 ตารางเมตร มีรูปปั้น น้ำพุ มีเสาหินสูง 23 เมตร ชื่อ โลเบลิสต์ เดอ ลุกซอร์ ( L’Obélisque de Lougsor ) ซึ่งปาชาโมฮำเม็ด อาลี แห่งอียิปต์ถวายแก่พระเจ้าหลุยส์-ฟิลลิป ในปี ค.ศ. 1836 จัตุรัสแห่งนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศสเพราะในสมัยปฏิวัติใหญ่ของฝรั่งเศส ปีค.ศ. 1789 นั้น เป็นที่ที่ประหารพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระนางมารีอองตัวเนต ด้วยเครื่องกิโยติน ( Guillotine ) ชื่อของจัตุรัสตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1795 ว่า Place de la Concorde โดยมีเหตุผลที่จะสมานความสามัคคีระหว่างผู้ปฎิวัติและผู้ถูกปฎิวัติ คำว่า concorde หมายความว่า ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน Place de la concorde Conciergerie เคยเป็นที่อยู่ของ gouverneur ของ la maison du Roi ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1392 ได้กลายเป็นคุก ในระหว่างการปฏิวัติใหญ่ของฝรั่งเศส ( ปี ค.ศ. 1793-1794 ) ลาคองแซจเชอคี กลายเป็นคุกของรัฐ ( prison d’Etat ) มีโศกนาฎกรรมต่างๆเกิดขึ้นมากมาย ในช่วงที่เป็น prison d’Etat La Conciergerie สวยงามและเด่นสง่าเมื่อมองจากเกาะกลางแม่น้ำแซน (I’île de la Cité) ส่วนที่เด่นของ la Conciergerie คือหอคอยกลม ( les tours rondes ) และหอนาฬิกาสี่เหลี่ยม ( la tour carée de l’horloge ) La Conciergerie Le Panthéon ( เลอปองเตอง)เป็นอนุสาวรีย์ที่ใหญ่ที่สุดใน le quartier Latin โดมสูง 80 เมตร ตัวอาคารยาว 110 เมตร กว้าง 82 เมตร เริ่มสร้างในสมัยพระเจ้า หลุยส์ที่ 15 โดยพระองค์ทรงวางศิลาฤกษ์เองในปี ค.ศ. 1764 สถาปนิก คือ Soufflot ซึ่งต่อมาได้เป็นชื่อถนนด้านหน้าของ Panthéon เพื่อเป็นเกียรติแก่สถาปนิกผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ Le Panthéon ( เลอปองเตอง) มหาวิหารโนตเตรอดาม สร้างขึ้นในสมัยกษัตริย์ Childbert I ราว ค.ศ. 528 โดยสร้างทับซากโบสถ์แซงต์ เอเตียง ซึ่งเป็นโบสถ์เก่าแก่ ในสมัยที่จักรวรรดิโรมันเรืองอำนาจ และได้มีการดำเนินการก่อสร้างเพิ่มเติมเรื่อย ๆ เริ่มตั้งแต่สมัยของพระสังฆราช (บิชอป) มอริซ เดอ ซุยล์ลี เป็นต้นมา แล้วเสร็จในปี 1888 รวมระยะเวลาการก่อสร้างนานถึง 182 ปี เป็นสถาปัตยกรรมแบบกอธิคที่สมบูรณ์แบบ ทั้งใหญ่โตมโหฬาร และเริ่ดหรูอลังการด้วยงานศิลปะตกแต่ง ด้านหน้ามหาวิหารมีลานกว้าง ประตูทางเข้าเป็นประตูโค้ง 3 บาน แต่ละบานสูง 20 ฟุต โดยประตูทั้งสามมีชื่อเรียกกันเรียงจากซ้ายไปขวา ได้แก่ ประตูบริสุทธิ์ ประตูพิพากษาครั้งสุดท้าย และประตูนักบุญแอนน์ เหนือประตูทั้งสามคือรูปปั้นกษัตริย์ 28 องค์ของชาวยิวโบราณ มหาวิหารโนตเตรอดาม และจุดสุดท้ายที่เรือแล่นผ่านคือหอไอเฟล หอไอเฟล จากนั้นรถบัสก็พาเราไปที่ถนนช็อง-เอลิเซ่ โดยให้พวกเราได้เดิน Shopping กันตามอัทธยาศัย....รถแล่นผ่านประตูชัย ประตูชัย(Arc de Triomphe) ตั้งอยู่บนถนนช็อง-เอลิเซ่ บริเวณจตุรัสแห่งดวงดาว (Place de l'Etoile) เป็นประตูชัยที่สร้างโดยสถาปนิก ชื่อ ช็อง ชาลแกร็ง (Jean Chalgrin) ในสมัย พระเจ้านโปเลียนที่1 และเสร็จในสมัยพระเจ้าหลุยส์-ฟิลลิปส์ (ค.ศ 1810-1836) สูง 50 เมตร หนา 50 เมตร และกว้าง 45 เมตร ประตูชัยแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นการสดุดีวีรชนทหารกล้าที่ได้ร่วมรบเพื่อประเทศฝรั่งเศส โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสงครามนโปเลียน และในปัจจุบันยังเป็นสุสานของทหารนิรนามอีกด้วย ประตูชัย บนถนนเส้นนี้มีร้าน Brand Name ชั้นนำมากมายซึ่งรวมทั้งร้าน Louis Vuitton ซึ่งเป็นร้านที่สาวๆส่วนใหญ่ชื่นชอบ ประวัติของร้าน เมอร์ซิเยอร์ หลุยส์ วิตตอง เปิดร้านขายกระเป๋าเดินทางที่ปารีส เมื่อปี ค.ศ.1854 สินค้าของเขาก็ได้รับความนิยมมาก จนต้องขยายโรงงานอย่างรวดเร็วจนต่อมาลูกชายของเขาได้ติดตัวอักษร LV มาลงที่เครื่องหนังเพื่อป้องกันคนปลอมแปลงสินค้าและขยายยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน ร้านนี้ปิด 20.00 น. ซึ่งทำให้เราพอมีเวลาในการเลือกชมสินค้า แต่มีลูกค้าจำนวนมากทำให้ต้องรอคิวนานเช่นกัน ร้าน Louis Vuitton จากนั้นเราก็มารับประทานอาหารเย็นบริเวณนั้น พวกเราตกลงใจกันว่าจะดูการแสดงลิโด้คืนนี้จึงให้ไกด์จองที่นั่งเพื่อเข้าชม Lido ตั้งอยู่บนถนนซ็อง-เอลิเช่ เป็นการแสดงคล้ายคาบาเร่บ้านเรา ค่าเข้าชม 120 ยูโร หรือ 6,000 บาทต่อคน Lido รอบที่เราเข้าชมประมาณ 21.30 น. เขาไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปด้านใน เราจึงถ่ายรูปได้แค่นี้ ข้างในจะมีเครื่องดื่มให้ด้วย ถ้าเป็นน้ำอัดลมหรือน้ำส้มจะได้ 2 ที่แต่ถ้าเป็น wine จะได้ที่เดียวหรือถ้าเป็นแชมเปญ 2 คนต่อ 1 ขวด เราไปดูช่วงแรกๆก็ตื่นตาดีแต่หลังๆง่วงนอนอย่างไรไม่รู้ แต่ก็ดูจนจบเพราะเสียดายเงิน แต่หนุ่มๆคงชอบดูเพราะสาวๆที่นี่ ขาว สวยและอึ๋ม LIDO เราออกจากลิโด้ประมาณ 23.00 น. ก็ต้องรีบกลับโรงแรมไม่มีเวลาถ่ายรูปวิวยามค่ำคืนเลย เพราะต้องจัดกระเป๋า กว่าจะได้นอนประมาณ 01.00 น. |
Create Date : 12 พฤษภาคม 2552 | | |
Last Update : 25 กรกฎาคม 2562 1:06:01 น. |
Counter : 2915 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
สงกรานต์ 52 เที่ยวยุโรป 6 ประเทศ (สวนเคอเคนฮอฟ-เบลเยียม )
เนเธอร์แลนด์ วันที่ 16เมษายน 2552 วันนี้เป็นวันที่เราอยากมาเที่ยวมากที่สุดในโปรแกรม เราใส่เสื้อสีขาวเพื่อที่จะได้ถ่ายรูปกับดอกไม้สีสดได้สวยและไม่แข่งกับดอกไม้ด้วย พวกเราออกจากโรงแรมเวลา 08.30 นใช้เวลาในการเดินทางถึงสวนเคอเคนฮอฟ ประมาณ 30 นาที สวนเคอเคนฮอฟ( KEUKENHOF )ตั้งอยู่ที่ชานเมืองลิซเซ่ (Lisse) ซึ่งเป็นแหล่งปลูกทิวลิปที่ใหญ่และสำคัญยิ่งของฮอลแลนด์ สวนเคอเคนฮอฟ เดิมเป็นสวนสาธารณะมาก่อน ต่อมาสมาคมผู้ส่งเสริมการปลูกดอกไม้ประเภทไม้หัวแห่งเมืองลิซเซ่ ได้ใช้สวนแห่งนี้ส่งเสริมการปลูกไม้หัวพันธุ์ใหม่ๆ โดยแบ่งที่ให้กับบริษัทผู้ผลิตไม้หัวเป็นผู้ปลูกและเข้าบำรุงรักษา ซึ่งก็ทำให้เกิดพันธุ์ใหม่ๆ ขึ้นทุกปี ผู้ซื้อทิวลิปจากทั่วโลกจะมาชมและคัดเลือกทิวลิปที่ต้องการจากแปลงสาธิต ในสวนเคอเคนฮอฟแห่งนี้ สวนเคอเคนฮอฟ เป็นสวนที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ด้วยทิวลิปที่มีมากกว่า 7 ล้านต้น ออกดอกบานสะพรั่งอยู่ดูละลานตา สวนจะเปิดให้เข้าชมปีละครั้งประมาณกลางเดือนมีนาคม ไปจนถึงปลายเดือนพฤษภาคมของทุกปี ช่วงที่ทิวลิปจะสวยที่สุด จะอยู่ระหว่างวันที่ 8 เมษายน ไปจนถึง 20 เมษายน ใน1ปีจะมีผู้เข้ามาชมสวนประมาณ 4- 5 ล้านคน ก่อนจะถึงสวนเราก็เจอทุ่งดอกไม้สวยงามอยู่ข้างทาง ค่าเข้าชมคนละ 15 ยูโรหรือ 600 บาท สวนเคอเคนฮอฟ สวนมีพื้นที่ขนาด 200 ไร่ การตกแต่งสวนหลากไสตล์ ทั้งแบบฝรั่งเศส อังกฤษและแบบญี่ปุ่น เมื่อเดินไปจนสุดจะพบกังหันลมและสระน้ำ สวนเคอเคนฮอฟ "ทิวลิป" หรือ Tulip นี้ เชื่อกันว่ามาจากชื่อที่เรียกผ้าโพกศีรษะของชาวสลาฟ ซึ่งชาวตุรกีเรียกผ้าโพกศีรษะนี้ว่า tulbend ทิวลิปดอกแรกที่ปรากฏอยู่ในตำนานนั้น ได้แก่ ดอกทิวลิปสีแดงสด ซึ่งชนชาวเปอร์เซียนโบราณเชื่อกันว่า เป็นสัญลักษณ์ของหยดเลือดและความรักอันจิรังกาล ทิวลิปถูกนำมาสู่ฮอลแลนด์ในราวปี ค.ศ. 1593 ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของประเทศ หากไปถามใครว่าอะไร ที่ทำให้รู้สึกถึงความเป็นฮอลแลนด์ ทุกคนจะกล่าวเหมือนๆ กันว่า “ทิวลิป กังหันลม และรองเท้าไม้” ตามลำดับ และการปลูกทิวลิปจึงกลายเป็นอุตสาหกรรมหลักของชาวฮอลแลนด์ และเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญของฮอลแลนด์ มาจนทุกวันนี้ ดอกทิวลิป มีทิวลิปหลากหลายสี สีเหลือง สีแดง สีชมพูจนถึงสีม่วงซ่งมีทั้งม่วงอ่อนจนไปถึงม่วงเข้มที่มองไกลๆเห็นเป็นสีดำ ทิวลิป ทิวลิปเป็นดอกไม้ที่เราชอบมากที่สุด ได้มาเห็นทิวลิปหลากหลายแบบนี้ทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นและเพลิดเพลินตลอดเวลา ทิวลิป ทิวลิปสีขาวก็ดูสวยเหมือนกันนะ นอกจากนี้สำหรับบางท่านที่มาไม่ทันเห็นดอกทิวลิปบานหรือดอกโรยไปแล้วจะสามารถดูทิวลิปที่เรือนกระจกได้ เป็นเรือนที่มีการเพาะดอกไม้ไว้นานาชนิดและมีการตกแต่งดอกไม้อย่างสวยงาม สำหรับผู้เข้าชมถ้าไม่สามารถเห็นดอกไม้ที่สมบูรณ์จากด้านนอกสามารถมาหาดูได้ที่เรือนกระจกแห่งนี้ เรือนกระจก มีหลากหลายแบบและสวยงาม ดอกไม้ในเรือนกระจก ดอกไม้ในเรือนกระจกดูสวยงามและสมบูรณ์ ทิวลิป ดอกนี้ก็สวยดี ทิวลิปม่วง นอกจากจะมีดอกทิวลิปแล้วก็มีดอกลิลลี่ ไฮยาซินต์ และนาซิสซัสหลากสี เราเดินไปจนสุดสวนพบกับกังหันลม เราจีงขึ้นไปบนกังหันลมเพื่อถ่ายรูปดอกไม้สวยๆเป็นท้องทุ่งราวกับพรมซึ่งอยู่ด้านหลังของสวน ทุ่งดอกไม้ ในสวนมีรูปปั้นแบบต่างๆดูสวยและแปลกดี สวนเคอเคนฮอฟ ดอกทิวลิป ก่อนออกจากสวนเราก็เก็บภาพดอกทิวลิปที่บริเวณประตูมาให้ดู จากนั้นพวกเราก็เดินทางต่อไปประเทศเบลเยี่ยม สิ่งแรกที่พวกเราไปชมคืออะตอม สร้างขึ้นเป็นสัญลักษณ์ของงาน EXPO ในอดีต อะตอมเมียม (Atomium) สร้างในปี ค.ศ.1958 มาจากแนวคิดเรื่องโมเลกุลของเหล็ก (Iron: Fe) ที่มีเหล็ก 8 อะตอม อะโตเมียมสูงราว 108 เมตร น้ำหนัก 2,400 ตัน ประกอบด้วย ลูกบอล 9 ลูกเชื่อมต่อกันด้วยท่อโลหะ ซึ่งภายในเป็นทางเดินบันไดเลื่อนตกแต่งอย่างสวยงาม ลูกบอลแต่ละลูกมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 18 เมตร ใช้เป็นพื้นที่ชมวิว ห้องอาหาร ห้องแสดงนิทรรศการด้านวิทยาศาสตร์วิทยาการหมุนเวียนกันไปในตัว ตรงแกนกลางของอะตอมมีลิฟต์ที่เร็ว 5 เมตรต่อวินาที ค่าเข้าชม 9 ยูโรต่อคน อะตอม มาถึงเบลเยียมถ้าไม่ได้ถ่ายรูปกับสิ่งนี้ถือว่าไม่ได้มา พวกเราไม่ได้เข้าไปข้างในกัน เนื่องจากเวลาไม่พอจึงถ่ายแค่ด้านนอกไปก่อน อาคารแสดงสินค้าอยู่ตรงข้ามกับอะตอม ซึ่งจัดงาน expo ต่างๆ อาคารแสดงสินค้า จากนั้นพวกเราก็ตรงเข้าไปยังกรุงบรัสเซลส์ ณ จตุรัสกลางเมือง กรองด์ปลาซ ซึ่งเป็นจตุรัสที่สวยงามที่สุดในยุโรป อาคารที่สร้างด้วยสถาปัตยกรรมทั้ง บาโร้ค โกธิค นีโอ-โกธิค ฯลฯ แต่ไกด์บอกว่าอย่าพี่งถ่ายรูปให้มาถ่ายรูปกับอนุเสาวรีย์เด็กฉี่อยู่ตรงหัวมุมถนนเลตูฟว์ (Rue de l’Etuve) อนุเสาวรีย์เด็กฉี่ หรือ Manneken pis ไกด์เล่าให้ฟังว่ามีหลายตำนาน บางตำนานเล่าว่าเด็กน้อยหายตัวไปพ่อแม่จึงสร้างอนุเสาวรีย์ให้และอีกตำนานว่า ในช่วงที่กำลังเกิดสงคราม ข้าศึกกำลังจุดชนวนระเบิดกำแพงเมือง แต่หนูน้อยคนนี้ไม่ทราบมาจากไหน เดินมาฉี่รดสายชนวนจนดับ ทำให้เมืองรอดพ้นจากระเบิดไปได้อย่างหวุดหวิด เขาเลยสร้างอนุเสาวรีย์ให้ อนุเสาวรีย์เด็กฉี่ อนุเสาวรีย์นี้เป็นสิ่งหนึ่งที่ต้องถ่ายให้ได้ว่ามาถึงเบลเยียมแล้ว เมื่อมาเห็นพวกเราก็ทำหน้าบอกไม่ถูกเพราะเด็กตัวเล็กเหลือเกิน แต่ไหนๆก็ไหนๆแล้วถ่ายรูปกันดีกว่า ที่นี่บ้านเมืองสะอาดสะอ้าน จะเห็นว่าจะมีรถทำความสะอาดอยู่ทั่วเมือง ดูแล้วสบายตา เป็นสถานที่ซึ่งยูเนสโก้ ยกย่องให้เป็นมรดกโลกตั้งแต่ปี ค.ศ.1983 กลางลานนั้นมีพื้นที่กว้าง 110 เมตร ยาว 70 เมตร ในศตวรรษที่ 14 ซึ่งเป็นสมัยยุคกลาง ที่นี่คือตลาดกลางเมือง มีถนน 7 สาย ทอดตัวสู่จัตุรัสกรองด์ปลาซ ถนนที่ล้อมรอบบ่งบอกถึงสินค้าที่ขาย เช่น ถนนขายเนย, ถนนขายเนื้อ ฯลฯ อาคารโดยรอบงดงามด้วยสไตล์เฟลมมิช-บาร็อค กิลด์เฮ้าส์ เมื่อถึง ค.ศ.1995 อาคารในกรองด์ ปลาซ ถูกทหารฝรั่งเศสยิงระเบิดเข้าทำลาย แก้แค้นที่ฝรั่งเศสเคยแพ้สงครามในเบลเยียมทางตอนใต้ แต่ทุกคนก็ร่วมแรงร่วมใจช่วยกันบูรณะอาคารกระทั่งกลับมาดูดีอย่างเดิม หลังจากนั้นมีการซ่อมแซมอีกหลายครั้ง จนมาถึงปัจจุบัน จัตุรัสกรองด์ปลาซ Town hall เป็นอาคารสไตล์โกธิค ยอดมียอดสูง 215 ฟุต จากมุมไกล เดินเข้ามาใกล้อีกนิดก็จะเห็นความสวยงามของตัวอาคาร Hall Town จากนั้นเราก็เดินดูร้านขายของซึ่งตกแต่งร้านค้าอย่างสวยงาม เบลเยียมเป็นประเทศที่ผลิตซ๊อกโกแลตขึ้นชื่อของโลก แต่ละร้านตกแต่งอย่างน่ารัก แต่ราคาก็อย่าบอกใครเช่นกัน ร้านซ็อกโกแลต มีซ็อกโกแลต hand made และก็ให้เราชิมด้วย ถ้าชิมครบทุกร้านคงอิ่มพอดี ซ็อกโกแลต มีแบบกล่องสวยๆด้วยนะ ซ็อกโกแลต เราเดินซื้อซ็อกโกแลตเป็นของฝากเพื่อนๆ จากนั้นเราก็รับประทานอาหารเย็นบริเวณนี้แล้วก็กลับที่พักเพื่อเดินทางไปปารีสในวันพรุ่งนี้ |
Create Date : 12 พฤษภาคม 2552 | | |
Last Update : 25 กรกฎาคม 2562 0:05:10 น. |
Counter : 4585 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|