เที่ยวนิวซีแลนด์ 15 วันจากเกาะเหนือสู่เกาะใต้ Paparoa National Park - Christchurch






 
 
Paparoa National Park - Christchurch


วันที่ 15เมษายน 2554

วันนี้เป็นวันสบายๆเนื่องจากจะจบการเดินทางของพวกเราแล้ว นอกจากนี้การมาเที่ยวนานๆและอากาศก็หนาวมากๆ ทำให้สมาชิกบางคนเริ่มไม่สบาย รวมทั้งเราด้วย โชคดีที่เริ่มเป็นหวัดในช่วงที่กำลังจะกลับพอดี

พวกเราออกจากที่โรงแรมเวลา 09.00 น.เพื่อเดินทางไปยัง Punakaiki & Paparoa National Park

Greymouth - Punakaiki & Paparoa National Park 47 กิโลเมตร

อุทยานแห่งชาติปาปารัว (Punakaiki & Paparoa National Park) หรือที่ชาวนิวซีแลนด์แรียกกันว่า หินแพนเค็ก (Pancake Rock) ซึ่งเป็นความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ อีกรูปแบบหนึ่ง อุทยานแห่งนี้ก่อตั้งในปี 1987 ครอบคลุมเนื้อที่ 306 ตารางกิโลเมตร



ทางเข้าอุทยาน

ป้ายบอกทางใช้เวลาในการเดินครบรอบประมาณ 20 นาที



บริเวณทางเดินจะเห็นต้นปาล์มที่แปลกดี เป็นปาล์มสกุล Rhopalostylis มีถิ่นกำเนิดในประเทศนิวซีแลนด์
มีชื่อว่า Nikau Palm มีความสูงมากกว่า 10 เมตร มีลักษณะแปลกคือใบจะชูขึ้นกาบใบป่องออกลักษณะคล้ายไม้กวาด จึงเรียกกันว่า Feather-duster palm ปาล์มสกุลนี้ส่วนมากชอบอากาศเย็น อุณหภูมิที่ชอบที่สุดคือ ระหว่าง 42-45 องศาฟาเรนไฮ



บริเวณริมทะเลแถบนี้จะเป็นหินปูน ซึ่งถูกกระบวนการทางธรรมชาติ ทำให้เกิดสภาพเหมือนกับเป็น ชั้นหินแผ่นบาง ๆ ซ้อนกันขึ้นไปเป็นตั้ง





Pancake Rock เป็นหินที่โดนลม น้ำ กัดเซาะจนเห็นเป็นชั้น ๆ คล้าย ๆ pancake



หินพวกนี้มีอายุมากกว่า 30 ล้านปี



มาดูชั้นหินใกล้ๆ







สะพานทอดยาว



Blowholes เกิดขึ้นในช่วงน้ำทะเลสูงขึ้นและคลื่นลมแรงๆ น้ำทะเลจะซัดถ้ำที่อยู่ด้านล่าง แล้วพุ่งขึ้นมาที่รูที่เกิดจากการสึกกร่อน คล้ายๆกับน้ำพุ

ช่วงที่เราไปคลื่นไม่แรงเท่าไร น้ำจึงพุ่งแค่นิดเดียว





หินพวกนี้เหมือนตัวอะไรเอ่ย



หลังจากนั้นพวกเราก็เดินทางต่อไปโดยใช้ high way 73 ไปยังเส้นทางArthur's Pass ซี่งเป็นเส้นทางที่สวยอีกเส้นหนึ่ง

Punakaiki - Arthur's Pass ระยะทาง 140 กิโลเมตร ( 2 ชั่วโมง )
บนเส้นทางนี้จะมีจุดชมวิวสวยๆมากมาย

เรามาจอดรถบริเวณนี้และมองลงไปจะเห็น สะพานลอยฟ้า (otira viaduct )

จุดชมวิวแสนสวย จะมองเห็น otira viaduct (สะพานลอยฟ้า ) ของเมือง otira ก่อสร้างเสร็จในปี 1999 และมีความยาว 440 เมตร สูงจากพื้นประมาณ 100 เมตร



อีกด้านหนึ่ง





หลังจากนั้นพวกเราขับรถออกมาประมาณ 14 กิโลเมตร ก็ขับรถมาถึงอุทยานแห่งชาติ Arthur's Pass

พวกเราแวะรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านนี้ ซึ่งส่วนใหญ่มีแต่แซนวิส พายและคุกกี้



พวกเรารับประทานอาหารกลางวันประมาณ 45 นาทีก็รถออกมาอีก 5 กิโลเมตร ก็ถึง สถานีรถไฟ Arthur’s Pass

สถานีรถไฟในวิวไกลออกไป



พวกเราแวะถ่ายรูปห้องน้ำกันที่ สถานีรถไฟ Arthur’s Pass



พวกเราขับรถต่อไปยัง Christchurch

Arthur's Pass - Christchurch ระยะทาง 156 กิโลเมตร ( 2 ชั่วโมง )

arthur's pass ซึ่งเป็นเส้นทางผ่านช่องเขา southen alps ฝั่งตะวันตกบนความสูง 924 เมตร เป็นเส้นทางขนทองไปยังเมืองไครเชิร์ต และชื่อนี้ตั้งชื่อตามชื่อผู้ค้นพบ Arthur Dobson ชาวยุโรปที่ค้นพบเส้นทางในปี 1864



เส้นทางแสนสวย



วิวจากกระจกรถ



วิวเริ่มเปลี่ยนไป สวยงามมากขึ้น





ต้นไม้สีเหลืองตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าแสนสวยงาม



เริ่มเข้าเขต Castle Hill

Castle Hill เป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ของชาวเมารีเผ่าหนึ่ง มีชื่อภาษาเมารีว่า คูราทาฟิติ ( kura tawhiti ) มึความหมายว่า ขุมทรัพย์จากแดนไกล เนื่องจากสมัยก่อน ชาวเมารีจะใช้สถานที่แห่งนี้เป็นที่เก็บรวบรวมอาหาร และใช้เส้นทางไปฝั่งตะวันตกอันเป็นดินแดนแห่งธารน้ำแข็ง



เราเดินไปถ่ายรูป ใกล้ๆ เพราะคนในกลุ่มเราเริ่มล้าจากการเดิน ( คงเพราะวันสุดท้ายแล้วจึงขี้เกียจเดิน )



Castle Hill มีลักษณะเป็นกองหิน ขนาดใหญ่ วางกระจัดกระจายอยู่ตามเทือกเขา





พวกเราแวะเที่ยวเล่นที่เมือง springfield

Springfield เป็นเมืองเล็กๆใน Selwyn บนที่ราบ Canterbury มีประชากรประมาณ 300 คน ห่างจากเมือง Christchurch ประมาณ 1 ชั่วโมง

พวกเราแวะรับประทานพายที่ร้านนี้เพราะอ่านจากหนังสือว่าร้านนี้อร่อยและเป็นแบบ homemade





พายที่นี่มีหลายแบบให้เลือก ราคาเริ่มต้นที่ 5.50 เหรียญ

เราเลือกรับประทานพายไก่ รสชาดอร่อยดี



ใกล้ๆกับร้านมีรูปโดนัททำจากยางดึงดูดความสนใจของเรา

โดนัทแหว่งสีชมพูนี้สร้างขึ้นมาในปี 2007 เพื่อโปรโมทหนังการ์ตูนเรื่อง The simpsons



เส้นทางผ่านไปยัง Christchurch ก็มีฟาร์มเลี้ยงแกะแสนน่ารัก



พวกเราถึงเมือง Christchurch ประมาณ 5 โมงเย็น เพื่อ check in ที่โรงแรมChristchurch Motel โรงแรมเดิมที่เราพักเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว พวกเราล้างหน้าล้างตา แล้วก็ไปรับประทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารไทยใกล้กับ Westfield superstore จากนั้นพวกเราก็ไปซื้อของฝากญาติทั้งหลาย ได้ซ็อกโกแลต cadbury ส่วนอาหารเสริมก็ได้ fish oil เพราะราคาถูกดี
หลังจากนั้นพวกเราก็กลับไปแพ็คกระเป๋า และเข้านอนเพื่อเตรียมตัวกลับกรุงเทพ

วันที่ 16 เมษายน 2554 พวกเราcheck out จากโรงแรม เวลา 07.00 น.ใช้เวลาไปถึงสนามบินประมาณ 20 นาที พวกเราก็ไปคืนรถที่ Budget ในสนามบิน เรา ออกเดินทางสู่สิงคโปร์ โดยสิงคโปร์ SQ 298 ใช้เวลาประมาณ 11 ชั่วโมง และ กลับกรุงเทพโดย SQ 978 ใช้เวลาอีก 2 ชั่วโมง ถึงเวลา 20.00 น.โดยสวัสดิภาพ

 




 

Create Date : 29 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 24 สิงหาคม 2562 0:02:54 น.
Counter : 2489 Pageviews.  

เที่ยวนิวซีแลนด์ 15 วันจากเกาะเหนือสู่เกาะใต้ Fox Glacier - Franz Josef- Greymouth







 


Fox Glacier - Franz Josef- Greymouth


วันที่ 14เมษายน 2554

พวกเราตื่นแต่เช้าเพระมีนัดที่จะต้องขึ้นเฮลิคอปเตอร์รอบ 7 โมงเช้า แต่เช้านี้อากาศไม่ดีเลยฝนตกตลอด

เราขับรถไปถึงบริษํทเฮลิคอปเตอร์ โดยเจ้าหน้าที่เปิดบริษัทรอเราอยู่

ใน Fox glacier มีบริษัททัวร์เฮลิคอปเตอร์ 4 บริษัท แต่เราเลือกบริษัทนี้เพราะเราดูตั้งแต่เมื่อวานและเจ้าของเขาก็ใจดีมาก

การขึ้น Helicopter มี 4 ราคา ได้แก่
Flight A 10 MIN GLACIER FLIGHT ราคา 95 เหรียญ
Flight B 20 MIN TWIN GLACIER FLIGHT ราคา 190 เหรียญ
Flight C 30 MIN MT COOK & FOX GLACIER FLIGHT ราคา 260 เหรียญ
Flight D 40 MIN MT COOK & MT TASMAN / TASMAN GLACIER ราคา 360 เหรียญ

เราเลือกโปรแกรม C พร้อมคูปองส่วนลด 10% แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าอากาศไม่ค่อยดี ไม่รู้จะบินได้ไหม ต้องไปถามนักบินก่อน



พวกเราขับรถตามรถของเจ้าหน้าที่ไปจนถึงลานจอดเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งอยู่ห่างจากเมือง ประมาณ 4 กิโลเมตร

เฮลิคอปเตอร์ที่นี่ค่อนข้างใหม่ดี และนักบินก็บอกว่าจะลองพาบินไปก่อนแต่ไม่รู้จะได้บินแค่ไหน



ฟอกซ์กลาเซียร์และฟรานซ์ โจเซฟ (Fox Glacier&Franz Josef ) คือธารน้ำแข็งใน "เวสต์แลนด์เนชั่นแนลปาร์ (Westland National Park)" ที่มีชื่อเสียงมาก เพราะเป็นกลาเซียร์ ที่อยู่ต่ำจากระดับน้ำทะเลมากที่สุด เพียง 300 เมตร รวมทั้งเป็นกลาเซียร์ที่อยู่ในเขตป่าฝนเขตร้อนเพียงแห่งเดียวในโลก

ฟอกซ์กลาเซียร์ ถูกตั้งชื่อขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ Sir William fox นายกรัฐมนตรี นิวซีแลนด์ในขณะที่มาเยือนธารน้ำแข็งในปี ค.ศ. 1872 มีประชากรอยู่ประมาณ 300 กว่าคน

เริ่มบินมองเห็นถนนอยู่เบื้องล่าง



วิวบนเทือกเขา Fox



กลาเซียร์หรือธารน้ำแข็งนั้น เกิดจากการที่น้ำแข็ง และหิมะทับถมกัน แล้วไหลเคลื่อนจากยอดเขาลงสู่หุบเบื้องล่าง ด้วยปริมาณน้ำฝนที่ตกหนักในเขตภาคตะวันตก เมื่อกระทบความเย็นบนยอดเขา ก็เกิดเป็นหิมะทับถมจนหนาหนัก แล้วกลายเป็นน้ำแข็งเคลื่อนตัวลงมา ตามหน้าผาและหุบเหวด้วยความเร็ว 1 - 5 เมตรต่อวัน





ธารน้ำแข็ง Fox มีความยาว 13 กิโลเมตร





มองใกล้ๆแล้วจะเห็นธารน้ำแข็งเป็นสีฟ้า



เห็นน้ำตกอยู่เบื้องหน้า



อากาศไม่ดีมากๆ นักบินจึงพาเราบินไปแค่เทือกเขา Fox เท่านั้น

ใกล้ถึงจะลงแล้ว



นักบินพาเราบินแค่ 10 นาทีบนเทือกเขา Fox คิดราคาเราคนละ 85.5 เหรียญ จากราคาเต็ม 95 เหรียญพร้อมส่วนลด 10%

พวกเรากลงจากเฮลิคอปเตอร์ด้วยความเซ็งเพราะยังไม่ได้เหยียบหิมะเลย แต่ยังดีที่นักบินยังใจดีทีบินให้เรา เพราะรอบต่อไปเขายังยกเลิกเลย เนื่องจากอากาศไม่ดีมากๆ

พวกเราขับรถตรงไปยัง ทะเลสาบแมทีสัน (Lake Matheson)อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 6 กิโลเมตร บนถนน Lake Matheson Road

ทะเลสาบแมทีสัน (Lake Matheson) มีอายุมากกว่า 14,000 ปี ใกล้กับฟอกซ์กลาเซียร์ ทะเลสาบแห่งนี้มีน้ำใสนิ่ง ในตอนเช้าของวันที่ฟ้าใสและเห็นหิมะ ปกคลุมบริเวณยอดสะท้อนลงในน้ำ ราวกับกระจกเงาเลยทีเดียว

ระยะทางจากบริเวณที่จอดรถถึงทะเลสาบประมาณ 2.6 กิโลเมตรหรือ 1.5 ชั่วโมง เราเดินไปเรื่อยๆและเจอสะพาน

Lake Matheson



น้ำสีน้ำตาลในทะเลสาบเกิดจากการละลายของน้ำแข็งที่แตกสะเก็ดจากธารน้ำแข็งผสมผสานกับแร่ธาตุและพืชนานาชนิดที่ทับถมกันมาช้านาน





จากจุดนี้เราเดินต่อไปอีก

จะเห็น เงาสะท้อน ยอดเมาท์คุก( Mount Cook )และยอดเขาทาสมาน ( Mount Tasman )



จากนั้นพวกเราก็เดินทางไปยัง Franz Josef ตั้งอยู่ห่างจาก Fox Glacier 24 กิโลเมตร

Franz Josef เมืองเล็กๆน่ารัก ตั้งชื่อตามจักรพรรดิ์ Franz Josef แห่งออสเตรีย มีประชากรเพียง 270 คนและมีธารน้ำแข็งยาวประมาณ 12 กิโลเมตร



I-siteที่นี่จะมี นิทรรศการบอกเล่าความเป็นมาของธารน้ำแข็ง

ข้างในมีบอร์ทนิทรรศการและสัตว์สตาฟที่อาศัยอยู่ในละแวกนี้



นก kea สายพันธ์นกแก้วที่ใหญ่ที่สุด ลำตัวสีเขียวหม่น ปีกหลังมีสีแดง มีจงอยปากที่แหลมคมและแข็งแรงมาก มีนิสัยขี้เล่น ไม่กลัวคน พบได้มากบริเวณ Fox Glacier Franz Josef และ Arthur' pass nation park เกาะใต้



พวกเรารับประทานอาหารกลางวันที่ Franz Josep ร้านอาหารที่นี่มีน้อยมาก เรารับประทานอาหารพื้นเมืองของที่นี่ ขณะรับประทานอาหารฝนก็ยังคงตกอยู่

ปลายทางของเราวันนี้อยู่ที่ Greymouth
Franz Josef - Hokitika (136 km./1.58 hrs.)

Hokitika เมืองแห่งหยก ศูนย์กลางการผลิตและเจียรไนหยก โดยมีการขยายตัวเป็นศูนย์กลางทางการค้าในปี ค.ศ. 1864 เนื่งจากความรุ่งเรืองของการขุดทอง จึงดึงดูดนักแสวงโชคมาลงทุนในเมืองนี้

จะมีหอนาฬิกาที่โดดเด่นอยู่กลางเมือง



Jade Factory โรงงานเจียรไนและจำหน่ายหยก



ชาวเมารีมีความเชื่อว่า หินสีเขียวจะรักษาความสงบ แข็งแรงและนำอำนาจมาสู่ตนและครอบครัว



Jade Factory มีหยกมากมายนานาชนิด มีทั้งถูกและแพง นอกจากนี้ยังมีแบบลดราคา 50 % ด้วย



พวกเราขับรถไปยัง Greymouth
Hokitika - Greymouth (44 km./ 38 mins)

Greymouth ตั้งอยู่ปากแม่น้ำเกรย์ ( Grey river ) เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของชายฝั่งตะวันตก (West Coast ) และเป็นศูนย์กลางทางการค้า ในอดีตเคยมีการทำเหมืองทอง ในยุคตื่นทอง มีประชากรอยู่ประมาณ 10,000 คน

พวกเราเข้าพักที่โรงแรม Charles Court Motel เป็นโมเต็ลที่สะอาด จากนั้นพวกเราก็ไปหาอาหารค่ำทาน





เราเดินเล่นที่บริเวณแม่น้ำเกรย์และเดินชมรอบๆเมือง แต่เมืองนี้งียบเหงาอย่างไรก็ไม่รู้

เราเดินเล่นในเมืองประมาณ 1 ชั่วโมงแต่เนื่องจากร้านค้าปิด 17.00 น. จึงมีร้านอาหารเปิดอยู่ไม่กี่ร้าน พวกเราจึงต้องทาน KFC เป็นมื้อเย็น จากนั้นเราก็ไปหาผลไม้และไอศครีมที่ New World supermarket กินเล่น


 

 




 

Create Date : 27 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 23 สิงหาคม 2562 23:39:31 น.
Counter : 4021 Pageviews.  

เที่ยวนิวซีแลนด์ 15 วันจากเกาะเหนือสู่เกาะใต้ Te Anau - Wanaka






 


Te Anau - Wanaka
 

วันที่ 13เมษายน 2554

วันนี้เป็นวันที่พวกเราขับรถไกลมาก จุดหมายปลายทางเราอยู่ที่ Fox Glacier
รวมระยะทางเกือบ 500 กิโลเมตร แต่วันนี้ไมมีนัดหมายเวลากับที่ไหนจึงไม่ต้องออกเช้ามาก เราออกจากโรงแรม 8.00 น.

Te Anau -Wanaka (230km/3.2 hrs)
Wanaka - lake Hawea -Haast (145km/2.6hrs)
Haast - Fox Glacier (117km/1.42hrs)

เราขับตาม High way 94 รถเลียบทะเลสาบผ่านวิวที่สวยงาม



ถ้าเจอกรวยแบบนี้แสดงว่าต้องแบ่งทางกัน โดยจะมีเจ้าหน้าที่คอยโบกให้รถฝั่งใดฝั่งหนึ่งไปก่อนหรือคอยสังเกตุว่าใครมาก่อนก็ให้รถที่มาถึงก่อนผ่านก่อนแล้วพอรถว่างแล้วพวกเราก็ค่อยขับ





วิวเปลี่ยนไปเป็นวิวภูเขา



จากนั้นขับไปตาม High way 6 ที่ castlerock ขับรถไปตามเส้นทาง แล้วใช้เส้นทาง Cardrona Valley โดยไม่ผ่าน เมือง Cromwell ระยะทางสั้นกว่า เส้นทางสวยงามแต่ต้องขึ้นเขาที่ชัน

Cardrona valley เป็นที่ตั้งของลานสกี คาร์โดรนา (Cardrona) และ ทรีเบิลโคน (Treble Cone) 2 ลานสกีขึ้นชื่อที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเล่นกัน

บนเส้นทางนี้มีจุดชมวิวจะเห็นเส้นทางที่สวยงาม



มองลงไปเห็นถนนตัดกับต้นไม้สีเหลืองทอง





เราขับรถไปเรื่อยๆบน Cardtona valley เจอจุดชมวิวอีกจุด





จากจุดนี้จะมองเห็นเมืองและทะเลสาบวานากาที่สวยงาม



ขับไปได้ประมาณ 5 กิโลเมตร เราก็เริ่มมองเห็นทะเลสาบวานากา

เข้าสู่เมืองวานากา เมืองเล็กๆที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของทะเลสาบวานากา ล้อมรอบด้วยเทือกเขา Mount Roy เป็นเมืองตากอากาศที่มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวมาก นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมหลายอย่าง เช่น ล่องเรือ ตกปลา เล่นสกี และอื่นๆ



ทะเลสาบวานากาใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของประเทศนิวซีแลนด์ มีเนื้อที่ 192 ตารางกิโลเมตร มีความลึกโดยเฉลี่ย 300 เมตร







เป็นเมืองเล็กๆมีร้านค้าเรียงรายมากมาย เราแวะรับประทานอาหารกลางวันที่นี่



พวกเราขับรถออกจากทะเลสาบวานาก้าทาง High way 6 ประมาณ 2 กิโลเมตร ก็ถึง puzzle world

โลกปริศนาของ “สจ๊วต แลนด์สโบโรว์ (Stuart Landsborough’s Puzzling World)” มีหลายสิ่งหลายอย่าง เกี่ยวกับปริศนาแปลกประหลาดมากมาย เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย มีจุดเด่นอยู่ที่เขาวงกต (The Great Maze) นอกจากนี้ก็ยังมีห้องสิ่งลวงตาหลายแบบแบ่งเป็นส่วนๆ เช่น โถงมองตาม (Hall of following faces )โถงห้องนี้จะมีใบหน้าของคนมีชื่อเสียงถึง 168 ใบหน้า ซึ่งจะมองมาที่เราทุกทิศทางไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของห้อง หรือบ้านลวงตา (Tilted House )ที่สร้างให้เอียงทำมุม 15 องศา แต่เมื่อเข้าไปข้างในจะโดนหลอกให้รู้สึกว่าบ้านไม่ได้เอียง รวมถึงห้องน้ำสาธารณะที่จำลองห้องน้ำโบราณสไตล์โรมัน



การเข้าชมแบ่งเป็นส่วนๆ The Great Maze และ Illusion Rooms
ค่าเข้าชมคนละ 12 เหรียญต่อส่วน ถ้าเข้าชมทั้ง 2 ส่วน ราคา 15 เหรียญ

ภายนอกจะเห็นสถาปัตยกรรมที่แปลก มี หอคอยเอน และมีหอคอยเอียงติดกันอยู่ 4 หอคอย



หอคอยเอน (Leaning Tower of Wanaka )หอคอยนี้จะเหมือนว่าถูกดึงออกมาจากพื้น และตั้งอยู่ได้ด้วยมุมด้านเดียวซึ่งทำมุม 53 องศาได้อย่างน่าประหลาดใจ



The Great Maze ( Labyrinth ) เขาวงกตแห่งนี้ถูกสร้างและออกแบบขึ้นเพื่อสร้างความตื่นเต้นสนุกสนานให้กับผู้เข้าชมทุกเพศทุกวัย ซึ่งประกอบด้วยทางเดินซิกแซ็กไปมา 1.5 กิโลเมตร จะใช้เวลาประมาณ 30 นาทีเพื่ออกจากเขาวงกต สำหรับผู้มีเวลาจำกัดจะมีประตูทางออกพิเศษให้



พวกเราใช้เส้น High way 6 ไปตลอด

lake Hawea เป็นทะเลสาบที่ขนานกับทะเลสาบวานากา มีพื้นที่ครอบคลุม 141 ตารางกิโลเมตร มีความลึก 392 เมตร



พวกเรายังคงใช้ High way 6 ตามเส้นทาง Haast Pass เห็นเราก็แวะที่ blue pool ป่าที่นี่ยังคงอุดมสมบูรณ์อยู่มาก



พวกเราเดินเข้าไปประมาณ 500 เมตร ถึงสะพานแขวนข้ามแม่น้ำมาคารัว ( Makarora river ) ก็เห็น สระสีฟ้า หรือThe blue pool



The blue pool เกิดจากการละลายของน้ำแข็ง น้ำสีฟ้าใสสวยงามมาก



สีฟ้าจริงๆ





ที่นิวซีแลนด์จะมีป้ายให้ทางอยู่ตลอดทาง ซึ่งทำให้เรามีสติคอยระมัดระวังอยู่ตลอด



Knights Point บริเวณ Bruce Bay เป็นจุดชมวิวอยู่กึ่งกลางระหว่างเมือง haast และเมือง Fox ประมาณ 30 กิโลเมตร

เราเดินมาที่ศาลาจะเห็นชายฝั่งทะเล Tasman







อนุเสาวรีย์สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองความสำเร็จของเส้นทาง High way Westland กับ Otago.

The obelisk monument



Knights Point - Fox glacier 30 กิโลเมตร ( 30 นาที )

พวกเราออกจากที่นี่ขับตรงไปยังเมือง Fox เกือบ 6 โมงเย็น เราไปติดต่อ Helicopter ของบริษัท Mountain hericopter เพราะยังเป็นบริษัทเดียวที่ยังเปิดอยู่

การขึ้น Helicopter มี 4 ราคา ได้แก่
Flight A 10 MIN GLACIER FLIGHT ราคา 95 เหรียญ
Flight B 20 MIN TWIN GLACIER FLIGHT ราคา 190 เหรียญ
Flight C 30 MIN MT COOK & FOX GLACIER FLIGHT ราคา 260 เหรียญ
Flight D 40 MIN MT COOK & MT TASMAN / TASMAN GLACIER ราคา 360 เหรียญ

เราเลือกโปรแกรม C เพราะอยากเหยียบหิมะเล่นและดูเทือกเขา Mount cook ด้วย และใช้คูปองส่วนลด10% จากบริษัทที่เราซื้อ package tour มาใช้ด้วย
เราเลือกรอบ 07.00 น. ของวันพรุ่งนี้



จากนั้นเราก็กลับไป check in ที่โรงแรม เจ้าของบริษัทนี้ใจดีมาก ขับรถนำพวกเราไปที่โรงแรม Fox Glacier Motel & Holiday Park

เมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆมีร้านอาหารอยู่ไม่กี่ร้าน เราเลือกร้านที่ดูแล้วบรรยากาศดีที่สุด ( ในความคิดเรานะ ) ชื่อร้าน Saddle

รอนานนิดนึงเนื่องจากคนเยอะมาก เราสั่ง Rib steak แต่ก็คุ้มกับที่รอเพราะอร่อยดี



อีกจานเป็นไก่ทอด น้ำจิ้มอร่อยมาก



พวกเรารับประทานอาหารเย็นเสร็จเวลา 19.30 น. แต่เมืองนี้เงียบมากจริงๆไม่มีที่ซื้อของเลย แม้แต่ร้านสะดวกซื้อยังปิดเลย พวกเราจึงกลับไปโรงแรมเพื่อพักผ่อน

 




 

Create Date : 24 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 23 สิงหาคม 2562 0:54:48 น.
Counter : 1997 Pageviews.  

เที่ยวนิวซีแลนด์ 15 วันจากเกาะเหนือสู่เกาะใต้ Milford Sound







 
 
Milford Sound

วันที่ 12เมษายน 2554

พวกเรา check out ออกจากโรงแรม 06.30 น. ฟ้ายังไม่ทันสว่างเลย
เป้าหมายของเราอยู่ที่การล่องเรือที่ Milford Sound เพราะพวกเราต้องขึ้นเรือเวลา 13.00 น. และนอนค้างที่ ทะเลสาบ Te Anua ซึ่งอยู่ในอุทยานแห่งชาติ ฟยอร์ดแลนด์ ( Fiordland )

อุทยานแห่งชาติ ฟยอร์ดแลนด์ ( Fiordland )มีพื้นที่ทั้งหมด 1.25 ล้านเฮตเตอร์ หรือ 3 ล้านเอเคอร์ เนื่องจากมีลักษณะภูมิประเทศที่สูงชันและซับซ้อน มีชายฝั่งที่ขรุขระ และมีป่าทึบ และสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทำให้บริเวณนี้ไม่มีการพัฒนาให้เป็นถนนหรือเมืองมากนัก

ในปีค.ศ. 1986 อุทยานแห่งชาติ ฟยอร์ดแลนด์ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลก และในปี 1990 ได้ถูกรวมเข้ากับพื้นที่ของ Mount Aspiring, Westland และ Aoraki/Mount cook National parks และขยายรวมเป็นมรดกโลกที่เรียกว่า Te Wahipounamu หรือนิวซีแลนด์ตะวันตกเฉียงใต้

พวกเราวิ่งไปทาง High way 94 แวะถ่ายรูปที่ Eglinton Valley ห่างจากทะเลสาบ Te Anau ประมาณ 30 นาที

Eglinton Valley เป็นที่ราบกว้างที่เกิดจากการไหลของธารน้ำแข็ง ตั้งอยู่ในหุบเขาสูงชัน กว้างระหว่าง 500 ม. ถึง 2 กม. กรมอนุรักษ์ธรรมชาติของนิวซีแลนด์ ( Department of concervation ) ได้จัดจุดพักผ่อนและบริเวณสำหรับตั้งค่ายพักแรม ตามจุดต่างๆในหุบเขาแห่งนี้



เป็นทะเลสาบเล็กๆบนภูเขาที่มีภาพสะท้อนของภูเขา Earl Mountain ในทะเลสาบ

Mirror Lake



สะพานเดินเพื่อไปดู Mirror Lake



เดินประมาณ 5 นาที ก็ถึงจุดถ่ายรูป น้ำใสจนเห็นเงาสะท้อนของภูเขา



ป้ายตัวหนังสือกลับหัว โชคดีที่ไม่มีลม น้ำใสจนเห็นตัวหนังสือชัด



Homer Tunnel ( อุโมงค์โฮเมอร์ ) ก่อสร้างเริ่มขึ้นในเดือนกรกฎาคม 1935 เป็นอุโมงที่สร้างด้วยมือมนุษย์เพียง 5 คน มีอุปสรรคอย่างมากในการก่อสร้าง เช่นหิมะถล่ม มีคนเสียชีวิตถึง 3 คน ต่อมามีการร่วมมือกันสร้างจนเสร็จในปี 1953 และเปิดทำการในปี 1954 พื้นอุโมงค์เป็นทางลาดเอียงไปสู่มิลฟอร์ด มีอัตราความลาดเอียงเป็น 1 ใน 10 มีความยาว 1,219 เมตร และมีการเดินรถแบบทางเดียว



ทิวทัศน์รอบๆ



หิมะละลายไหลเป็นทางอยู่โดยรอบ



หมอกลงจัด



วิวพาโนรามา



Queenstown - Milford Sound 300 km. / 4 hrs

พวกเรามาถึงเวลา 11.30 น. จอดรถที่ลานจอดรถ เดินมารับตั๋วที่Blue duck cafe and bar ที่นี่มีตัว sandfly ( แมลงตัวเล็กๆชนิดหนึ่ง) มารุมกัดและดูดเลือด เจ็บจนรำคาญ ที่บริเวณนี้มีแมลงชนิดนี้บินเยอะแยะไปหมด พวกเราจึงรีบเข้าไปในร้าน

ภายในนี้เป็นบริเวณที่จำหน่ายตั๋วและร้านขายอาหารและเครื่องดื่ม
การล่องเรือชม Milford sound ของบริษัท Real Journeys เริ่มตั้งแต่รอบ 9.00 น จนถึง 15.30 น มีทั้งสื้น 7 รอบ ราคาแต่ละรอบไม่เท่ากันขึ้นอยู่ระยะเวลาเราล่องเรือ

Blue duck cafe and bar



พวกเราล่องเรือรอบ 13.30 น. Scenic Cruise ราคา 89 เหรียญ ระยะเวลา 1.45 ชม. แต่พวกเราซื้อ package tour ซึ่งรวมอยู่มีโปรแกรมนี้รวมอยู่ด้วย

พวกเราไปรับตั๋วเพื่อขึ้นเรือและรับประทานอาหารกลางวันที่นี่ จากนั้นเราจึงเดินเพื่อที่จะขึ้นท่าเทียบเรือ ใช้เวลาประมาณ 15 นาที

Scenic Cruise



Milford Sound (ช่องแคบมิลฟอร์ด หรือ Piopiotahi )น่าจะถูกค้นพบโดย iwi Maori มากกว่า 1,000 กว่าปีแล้ว ที่เกิดจากการละลายของหิมะและธารน้ำแข็งหลายล้านปีมาแล้ว ซึ่งมีความยาวถึง 19 กม. มีวิวสวยงามให้ชมทั้ง สองฝั่ง เรือจะแล่นไปจนถึงปากอ่าวแล้ววกกลับ เมื่อชมวิวชั้นบนอากาศจะหนาวมากและแดดแรงมาก





เริ่มออกเดินทาง

ด้านขวามือของเรือ เราจะเห็น น้ำตกโบเวน (Bowen Fall) ที่มีความหมายในภาษาเมารีว่า “น้ำตกนารีแห่งลำธาร” น้ำตกแห่งนี้ตั้งชื่อตามภรรยาท่านผู้ว่าการนิวซีแลนด์ที่มาเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้สูง 160 เมตร ซึ่งเกิดจากการละลายของหิมะ และธารน้ำแข็ง





เครื่องบินเล็กขับเหนือยอดเขา







หิมะละลายอยู่ทั่วไป



เรือล่องมาถึงปากอ่าวจนเห็นทะเล Tasman จึงวนกลับ

Seal Rock ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของแมวน้ำตามธรรมชาติ และอาจจะพบฝูงปลาโลมาว่ายน้ำเล่นคลื่นอวด



แมวน้ำว่ายน้ำอย่างมีความสุข



นอนพึ่งลม



ผ่านน้ำตกอีกครั้ง



เรือขับเข้ามาใกล้น้ำตกอย่างใกล้ชิด



จะเห็น Mitre Peak ( ตรงกลาง ) เชื่อกันว่าน่าจะเป็นภูเขาที่มีฐานอยู่ในทะเลที่สูงที่สุดในโลก มีความสูง 1,692 เมตร เหนือช่องแคบ



เราเก็บรูปสุดท้ายก่อนออกจากที่นี่



ยังคงมีตัว sanfly อยู่เยอะ ควรจะนำ lotion ทากันแมลงมาด้วย

จากนั้นเราขับย้อนกลับออกไปเพื่อไปยังทะเลสาบ Te Anua

เราแวะเที่ยวชม The Chasm ซึ่งเป็นทางผ่านขากลับ
พวกเราใช้เวลาเดินทางไปกลับประมาณ 15 นาที



ที่บริเวณนี้เป็นป่าทึบ มีต้นไม้อยู่เยอะโดยเฉพาะต้นเฟิร์น ยังมีเจ้าตัว sanfly ตามมากัดเช่นเหมือนเดิม โชคดีที่เราเอายาทาสำหรับแมลงกัดมาด้วย ยังพอทุเลาบ้าง

ต้นเฟิร์นที่นี่ต้นใหญ่และสมบูรณ์





เป็นรอยแตกของแผ่นดินและแม่น้ำ Cleddau จะไหลผ่านรอยแตกแคบๆซึ่งมีความลึก 22 เมตร ณ. บริเวณที่เรียกว่า Upper Fall







ป่าที่นี่มีต้นสนแปลกๆอยู่เยอะ



พวกเราขับต่อไปยังทะเลสาบ Te Anua

Milford Sound -Te Anau (116km/1.41hrs)

พวกเราเข้ามา check in ที่โรงแรมอยู่ถนนตรงข้ามทะเลสาบ ก่อนจากนั้นก็ล้างหน้าล้างตา ออกไปเดินเล่น

Distinction Te Anau Hotel & Villas



ทะเลสาบ Te Anau เป็นทะเลสาบที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของนิวซีแลนด์ ทะเลสาบนี้แยกเป็นช่องทางน้ำ 3 ช่อง มีพื้นทีทั้งหมด 352 ตารางกิโลเมตร ยาว 61 กิโลเมตร และส่วนลึกที่สุดมีความลึก 417 เมตร






เราเดินไปข้ามไปอีกฝั่ง ก็เดินไปซื้อของที่ Take away seafood กัน ราคาไม่แพง จานละ 10 - 15 เหรียญ



พวกเราเดินเล่นและแวะซื้ออาหารสำหรับมื้อเช้าพรุ่งนี้ที่ supermarket ที่ขาดไม่ได้น้ำกีวีแสนอร่อย เมืองนี้ร้านค้าปิด 17.00 น. แต่ supermarket ปิด 22.00 น.

 




 

Create Date : 22 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 23 สิงหาคม 2562 0:25:02 น.
Counter : 2730 Pageviews.  

เที่ยวนิวซีแลนด์ 15 วันจากเกาะเหนือสู่เกาะใต้ Queentown







 


Queentown
 

วันที่ 11เมษายน 2554

วันนี้พวกเราเที่ยงแบบสบายๆเพราะเราอยู่ในเมือง queentown ทั้งวัน จากแผนการท่องเที่ยวเรากะว่าจะขึ้นยอดเขา mount peak เพื่อนั่ง sky gondola ชมวิว แต่เรามองจากระเบียงห้องนอน ปรากฎว่ายังไม่เปิด จะเปิดให้ขึ้นประมาณ 9 โมงเช้า เราจึงเปลี่ยนแผนไป เล่น shower jet ก่อนโดยจองจากโรงแรมไป พวกเราจองรอบ 10.00 น.

ค่าเล่น jet boat ผู้ใหญ่ 119 เหรียญ และเด็ก (อายุมากกว่า 5 ปี ) 69 เหรียญ เวลา 9.00 น - 17.00 น. โดยสามารถขึ้นรถของบริษัทที่หน้า office รถจะออกทุกๆ 15 นาที

พวกเราไปจ่ายเงินและรับตั๋วที่ office ในเมืองqueentown จากนั้นก็ขับรถไปยังท่าขึ้นเรือ ที่ Arthurs pont ที่อยู่ Shotover Jet Beach, Gorge Roadระยะทาง 7 กิโลเมตร ( 10 นาที )

พวกเรามาถึงท่าขึ้นเรือเจ็ท สภาพโดยรวมสวยงาม ล้อมรอบด้วยภูเขาและแม่น้ำ



ในช่วงทศวรรษที่ 1950 เรือเจ็ทได้ถูกคิดค้นขึ้นโดย “บิล ฮามิลตั้น (Bill Hamilton)” ซึ่งเป็นวิศวกรและชาวสวนท้องถิ่น ได้ออกแบบเรือเจ็ทซึ่งสามารถขับเคลื่อนไปได้แม้ในแม่น้ำที่ตื้น โดยอาศัยหลักการของน้ำที่ใช้เครื่องยนต์พ่นออกมาอย่างรวดเร็ว (Water - jet) ซึ่งต่อมาภายหลังงานประดิษฐ์ของเขาประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง และได้รับ ความแพร่หลายไปทั่วโลก จนในที่สุดเขาได้รับพระราชทานแต่งตั้งเป็น “เซอร์ วิลเลี่ยม ฮามิลตั้น (Sir William Hamilton)” สำหรับผลงานการประดิษฐ์อันทรงคุณค่า



ในqueentown มีบริษัทเรือเจ็ทหลายแห่งให้เลือกแต่พวกเราเลือกที่นี่เพราะบริษัทแรกที่นำเรือเจ็ทมาบริการ โดยเปิดกิจการตั้งแต่ปี 1970 ก่อนบริษัทอื่น แล้วเส้นทางเรือเจ็ทของที่นี่ดูแล้วน่าตื่นเต้นเร้าใจมากกว่าที่อื่นเพราะเป็นต้นตำรับของ เรือเจ็ท

มองลงไปจะเห็นแม่น้ำ shotover และเกาะแก่ง



ที่นี่จะเตรียมเสื้อกันน้ำและลมให้ใส่ พร้อมทั้งชูชีพ แต่ขณะเล่นอากาศอาจจะหนาวเย็นต้องใส่เสื้อหนาๆด้วย



เป็นการนั่งเรือเร็ว Jet boat ที่ขับไปตามแม่น้ำ Shotover ที่ค่อนข้างคดเคี้ยวที่สวยงามจะแล่นผ่านช่องเขาช็อตโอเวอร์ (ShotoverCanyon) ซึ่งคดเคี้ยวไปมาและหมุน 360 องศา โดยคนขับเรือจะทำโค๊ดมือบอกทุกครั้งที่มีการหมุน 360 องศา ใช้เวลาในการเล่นประมาณ 1ชั่วโมง

เราคิดว่าเป็นกิจกรรมที่สนุกแเต่ยังไม่ตื่นเต้นเท่าที่ควร อาจจะเป็นเพราะเราเล่นกิจกรรมโลดโผนมาเยอะก็ได้







จากนั้นพวกเราก็กลับเข้าเมืองไปยัง i site เพื่อจองตั๋วขึ้น ยอดเขา bob peak
skyline gondola อยู่บนถนน Brecon Street

พวกเราเดินมาจากลานจอดรถก็สะดุดตากับที่นี่ จะมีเจ้านกกีวีเป็นๆให้ชมนอกจากนี้ยังมีนกนานาชนิดเช่น นก kea, falcon เป็นต้น ค่าเข้าชมผู้ใหญ่คนละ 38 เหรียญ ซึ่งจะมีกิจกรรมในการให้อาหารนกกีวี เวลา 10.00 น. 12.00 น. 13.30 น. และ 16.30 น.

Kiwi Birdlife park




ด้านฝั่งตรงกันข้ามก็เป็นที่ตั้งของอาคาร skyline

การจองตั๋วที I site ทำให้เราได้ส่วนลดจากการจองที่นี่ด้วย

gondola ราคา 25 เหรียญ
gondola และ luge 1 รอบ 33 เหรียญ

พวกเราจอง gondola +lude 5 รอบ ราคาปกติ 48 เหรียญ ราคาจองจาก i site ราคา 45 เหรียญได้แถม ludeอีก 1 รอบ รวมเป็น 6 รอบ

อาคารที่จะไปขึ้นกอนโดล่า



Queenstown เมืองท่องเที่ยวยอดนิยมที่สุดจนได้ชื่อว่าเป็น Switzerland of the South ตั้งอยู่ท่ามกลางเทือกเขาขนาดใหญ่ที่ชื่อ The Remarkablesซึ่งอุดมไปด้วยธรรมชาติอันสวยงามบนชายฝั่งของทะเลสาบ วาคาติปู (Wakatipu) ที่ล้อมรอบไปด้วยต้นปอปล่าร์ ( poplar trees )ที่สูงเพรียว และต้นหลิว (Weeping Willow Tree) จึงทำให้วิวทิวทัศน์ของที่นี่งดงามราวกับภาพฝัน ทีเป็นรูป z ล้อมรอบ และเป็นเมืองได้ชื่อว่า "Adventure Capital of the World" ที่นี่มีกิจกรรม เช่น เรือเจ็ท ล่องแก่ง สกี bungy จักรยานเสือภูเขา และล่องเรือกลไฟโบราณ

Gondola โดยเปิดบริการเมื่อ ค.ศ. 1987 ที่ระดับความสูง 790 เมตร เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 3.5 เมตรต่อวินาที



เมื่อขึ้นถึงข้างบนจะสร้างเป็นอาคารอเนกประสงค์ โดยชั้นบนสุดจะร้านอาหารและภัตตาคาร เมื่อเดินออกไปภายนอกมีระเบียงยื่นออกมาด้านนอกสำหรับชมทัศนียภาพรอบควีนส์ทาวน์

ภัตตาคารจะมีบุฟเฟ่ทั้งอาหารกลางวันและอาหารค่ำราคามื้อกลางวัน 26 เหรียญและอาหารค่ำ 36 เหรียญ ซึงควรจะโทรมาสำรองที่นั่งก่อน เราสามารถเห็นวิวของเมืองที่สวยงาม โดยเฉพาะมื้อค่ำ สามารถชมวิวพระอาทิตย์ตกยามเย็น



เราสามารถมองเห็นเมืองควีนทาว์นได้ทั้งเมือง จะเห็น queentown bay , queentown garden และ lake wakatipu โดยมีเทือกเขา remarkable อยู่เบื้องหลัง



lake wakatipu เป็นทะเลสาบที่ใหญ่อันดับที่ 2 ของเกาะใต้ รองลงมาจาก ทะเลสาบ Teanau เป็นทะเลสาบรูป ตัว z ( z shape ) อันเกิดจากการไหลของธารน้ำแข็ง มีความยาว 84 กิโลเมตร มีความกว้างที่สุด 5 กิโลเมตรและลึกสุด 399 เมตร เนื้อที่ครอบคลุมถึง 290 ตารางกิโลเมตร

วิวเมืองควีนทาว์น



เทือกเขา remarkables เป็นแนวยาวสวยงาม



เราสามารถมองเห็น Queentown garden สวนสาธารณะของเมือง queentown ได้อย่างชัดเจน



สามารถชมทัศนียภาพพาโนรามาแบบรอบทิศได้ 220 องศา เมื่ออยู่บนยอดเขาบ็อบพีค



บนยอดเขาบอบพีคมีกิจกรรม bungy ด้วย ซึ่งก็เป็นของบริษัท AJ Hackket
ที่ความสูง 47 เมตร ราคา 180 เหรียญแถม T- shirt 1 ตัว



หลังจากพวกเราถ่ายรูปภาพจนหนำใจแล้ว เราก็รับประทานอาหารกลางวันบนนี้ แล้วก็รีบไปเล่นลูจจ์ ซะหน่อย

พวกเราขึ้นกระเช้าเพื่อไปเล่นลูจจ์



วิวบนกระเช้าที่เล่นลูจสวยงามมาก



เครื่องเล่นยอดนิยม“ลูจจ์ (Luge)” เลื่อนท้องแบนแบบสามล้อ ควบคุมความเร็วด้วยเบรคมือ จะมี2 เส้นทางให้เลือกคือ
1. scenic track เหมาะกับมือใหม่หัดเล่น
2. Advance track เหมาะกับนักซิ่งที่ต้องการความเร็วและตื่นเต้น

เราเล่นแบบ scenic แค่ 1 รอบก่อนเพื่อซ้อมมือหลังจากนั้นเราเล่นแบบ adventure ซึ่งสนุกมาก เล่นจนครบ 6 รอบกินเวลาเกือบ 1.30 ชั่วโมงเพราะ ในแต่ละรอบต้องเสียเวลาขึ้นกระเช้า สนุกมากเล่นจนหน้าดำเลยเพราะแดดแรงมาก



ลานที่ใช้เล่นลูจเป็นเส้นที่สวยงามมาก



รูปสุดท้ายก่อนลงจากยอดเขา




พวกเราเดินทางไปยังGlenorchy

Queenstown-Glenorchy 45 km ( 40 นาที )

เป็นเมืองเล็กๆที่เงียบสงบ อยู่มีทัศนียภาพที่สวยงาม เป็นเมืองที่อยู่ตอนเหนือสุดของทะเลสาบ Wakatipu



ขับรถไปตามเส้นทางทะเลสาบ Wakatipu

เส้นทางที่สวยงามและทะเลสาบที่ใสสะอาด




เป็นเมืองที่สวยเหมือนภาพวาด เห็นแล้วมีความสุขใจ



ต้นไม้สีเหลืองตัดกับท้องฟ้าดูแล้วสวยงาม







สะพานไม้ริมทะเลสาบ









สวยจนบรรยายไม่ถูก



และเราก็อำลาเมืองนี้กลับไปยังควีนทาว์นต่อ

พวกเรากลับมาที่โรงแรมเพื่อล้างหน้าล้างตาจากนั้นพวกเราก็เดินออกไปเล่นในเมืองกันโดยอยู่ไม่ไกลจากที่เราพักเท่าไร

พวกเราเดินข้ามฝั่งมาถึง Church street โบสถ์เซ็นต์ปีเตอร์สร้างขึ้นในปี 1861ตั้งอยู่บนชายฝั่งของอ่าวควีนทาว์น ( Queentown bay )

St Peter's Church



ย่านดาว์นทาวน์ของควีนส์ทาวน์มีความยาวไม่เกิน 2 ตารางกิโลเมตร ทำให้ร้านค้าและร้านอาหารส่วนใหญ่สามารถเดินถึงกันได้

พวกเราเดินข้ามฝั่งมายัง mall street ซึ่งเป๋นย่านดาว์นทาว์น

บริวเวณนี้มี ร้านอาหารทันสมัย ร้านกาแฟ ไนต์คลับ แหล่งช้อปปิ้งมากมาย



พวกเราเดินไปยัง marine parade ที่อยู่ใกล้ๆกัน

ซึ่งบริเวณนี้จะเห็นอ่าวจอดเรือ และ Steamer Wharf building



นักสำรวจ William Gilbert Rees และ Nicholas Von Tunzelman เป็นชาวยุโรปกลุ่มแรกที่มาตั้งรกรากที่นี่ ซึ่ง Rees เคยเดินทางมาสำรวจที่แห่งนี้ก่อนแล้วตั้งแต่ ปี คศ.1860 อย่างไรก็ตามหลังจากช่วงแรก การหาเลี้ยงชีพด้วยการทำฟาร์มแต่ในปี คศ.1862 ได้มีการค้นพบทองที่ แม่น้ำ Arrow ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก โดยมีเมืองใกล้เคียงได้แก่ Arrowtown, Wanaka, Alexandra และ Cromwell



บริเวณนี้จะมีร้านอาหาร มุมเล็กๆน่ารัก บรรยากาศดีน่านั่งเล่น



ท่าจอดเรือ TSS จะมี Steamer Wharf building อยู่ด้านหลัง



เรือกลไฟโบราณ “ทีเอสเอสเอิร์นสลอว์ (Twin Screw Steamer Earnslaw)” เรือที่มีส่วนในการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารมาตั้งแต่ ปี 1912 เป็นเรือกลไฟรุ่นอนุรักษ์ ที่ใช้พลังงานไอน้ำจากถ่านหิน เป็นเครื่องจักรคู่ขนาด 500 แรงม้า เช่นเดียวกับที่เคยใช้เมื่อในอดีตกาลนานมาแล้ว ภายในเรือตกแต่งด้วยไม้และทองเหลืองอย่างงดงาม เป็นเรือโดยสารเพียงหนึ่งในไม่กี่ลำซึ่งเหลือ อยู่ในซีกโลกใต้

เรือล่องทะเลสาบ Wakatipu อันสวยงาม ไปยัง Walter Peak Farm ระยะเวลา 1.50 ชม ค่าชม 50 เหรียญ ต่อคน สามารถเลือกทาน บุฟเฟ่กลางวันและเย็นได้ ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงราคา 115 เหรียญ

TSS Earnslaw



Streamer Wharf



บริเวณนี้นอกจากจะมีท่าจอดเรือแล้ว ก็มีสะพานทอดยาวให้นั่งชมวิว



วิวสวย



อีกฝั่งหนึ่ง










หลังจากชมวิวที่สวยงามแล้ว พวกเราก็เดินกลับมายัง steamer wharf building

ในนี้มีร้านอาหารและบาร์และนี่เป็นบาร์ที่อยู่ใต้ดิน ทุกอย่างทำด้วยน้ำแข็ง ตั้งแต่เก้าอี้ไปจนถึงเเก้ว ทำให้อุณหภูมิติดลบ แต่ไม่ต้องกลัวหนาวเพราะเขาจะมีเสื้อกันหนาวและรองเท้าให้ใส่ ราคาคนละ 32 เหรียญ โดยจะมีว๊อดก้าหรือ เครื่องดื่ม cocktail ให้ 1 แก้ว

Minus 5°



แต่เรามีเป้าหมายอยู่ที่ร้านไอศครีมจึงเดินออกมาทาง marine parade บริเวณ beach street

Chocolate patagonia ไอศครีมเล็กๆน่านั่งนี้ขายไอศครีมและซ็อกโกแลต และวาฟเฟิล รวมทั้งกาแฟด้วย มี 2 สาขาคือที่ Queentown และ Arrowtown



ไอศครีมมีมากกว่า 30 รส ราคา 5.5 เหรียญ เนื้อเนียนอร่อยมาก เรากินไอศครีม 2 ถ้วยแนะ



เราออกมาถ่ายรูปแสงอาทิตย์ยามเย็นอีกครั้ง



แล้วก็ไปเดินเล่นต่อเพื่อซื้อของฝาก ที่เมืองนี้ ราคาของสินค้าที่ระลึกและขนสัตว์จะถูกกว่าเมืองอื่น อาจเป็นเพราะมีร้านค้าเยอะและเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวมากก็ได้ ร้านค้าที่นี่ปิดประมาณ 4 ทุ่ม เมืองนี้เราสามารถหาอาหารเอเชียกินได้ง่ายเพราะมีร้าน supermarket เปิดโดยชาวเกาหลี แต่มีของเอเชียทุกอย่าง รวมทั้งอาหารไทยด้วย เช่น ซาลาเปา น้ำปลา เครื่องแกง มีครบหมด แต่เราเหนื่อยเกินกว่าจะทำกับข้าวกิน ดังนั้นจึงฝากท้องไว้ที่ภัตตาคารเกาหลีเพื่อรับประทาทานหมูย่างเกาหลีแบบเป็น set ราคา 18 เหรียญต่อ 1 set

 

 




 

Create Date : 19 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 22 สิงหาคม 2562 1:20:12 น.
Counter : 2931 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  

goffymew
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




Flag Counter Welcome to Goffymew Blog
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add goffymew's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.