Group Blog
 
All blogs
 

สารพัดรอย เปื้อนเสื้อผ้า

อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอกับเสื้อผ้าแสนสวยของคุณ โดยเฉพาะการทำเบียร์หกหรือเปื้อนเลือด จะทิ้งเสื้อผ้าก็เสียดายเพราะเป็นชุดโปรดที่เพิ่งซื้อมา อย่าเพิ่งตกใจหากทำเสื้อผ้าเลอะโดยไม่ตั้งใจ เรามีวิธีกำจัดรอยเปื้อนให้คุณค่ะ

โดยทั่วๆ ไป หากเสื้อผ้าเปื้อน ก็ให้ใช้ สเปรย์ฉีดผม ฉีดบริเวณที่เปื้อนเพื่อตรึงสิ่งที่เปื้อนไม่ให้เข้าไปในเนื้อผ้า จากนั้นก็ซักล้างออกตามปกติ

เปื้อนยา กำลังกินยาแล้วทำยาหกรดเสื้อ ให้ใช้น้ำเย็นๆ ล้างออก จากนั้นซักผ้าตามปกติ

เปื้อนเบียร์ กำลังซดเบียร์หรือกำลังรินเบียร์ให้สุดที่รัก แต่เบียร์เจ้ากรรมดันหดรดเสื้อผ้า ให้คุณรีบใช้ผ้าชื้นถูออกโดยเร็วหรือใช้น้ำล้างออก จากนั้นซักผ้าตากปกติ

เปื้อนเลือด เนื่องจากเลือดมีโปรตีน จึงไม่ควรใช้น้ำร้อนเช็ดล้าง ควรใช้น้ำเย็นและสบู่ล้างออก หากเป็นผ้าไหม ให้ใช้แอลกอฮอล์ค่อยๆ เช็ดอย่างระวัง

เปื้อนน้ำดำ ให้ใช้ผ้านุ่มกับน้ำสบู่เช็ดถูออกหรือใช้ผ้าชื้นเช็ด จากนั้นซักผ้าตามปกติ

เปื้อนน้ำยาดับกลิ่นตัว สาวๆ หนุ่มๆ มักมีปัญหากับการที่น้ำยาดับกลิ่นตัวเปื้อนติดเสื้อผ้า โดยเฉพาะรักแร้ วิธีแก้ไขก็คือ ให้ใช้น้ำส้มสายชูเจือจางล้างบริเวณที่เปื้อนออกโดยใช้มือ จากนั้นซักผ้าได้ตามปกติ


ที่มา Lisa




 

Create Date : 22 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 26 พฤษภาคม 2552 0:32:42 น.
Counter : 312 Pageviews.  

ยิ่งกิน ยิ่งผอม

ขัดใจจริงๆ เลยค่ะ เวลาเจอคู่มือเรียกความผอมสำหรับสาว กลัวอ้วน ไม่ว่าจะอยู่ในหนังสือเล่มไหน ก็เอาแต่บอกให้เราจำกัดปริมาณอาหาร ด้วยการนับปริมาณแคลอรีของอาหารที่เราทานเข้าไป แล้วเอาไปหักลบกลบหนี้กับปริมาณแคลอรีที่ใช้ไปในกิจกรรมต่างๆ อย่างกับเรามีเครื่องวัดแคลอรีแบบพกพา ยังไงยังงั้น แล้วอีกอย่างใครจะจำได้ว่าวันนี้เรากินอะไรไปบ้าง (อุ๊บส์)

เพราะในชีวิตจริง การกะปริมาณแคลอรีถือเป็นเรื่องที่ยากเอาการทีเดียว WP จึงสรรหาวิธีง่ายๆ ในการเลือกรับประทานอาหาร จะได้ไม่ต้องนั่งนับปริมาณแคลอรีให้ปวดหัวอีกต่อไปก่อนเข้าโปรแกรมศักดิ์สิทธิ์นี้ เราอยากให้คุณชั่งน้ำหนักไว้ก่อนในตอนเช้า แล้วหลังจากนี้ 2 สัปดาห์ลองกลับมาชั่งอีกครั้ง รับรองว่าจะพบกับความเปลี่ยนแปลง แต่มีข้อแม้ว่าคุณต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของเรา ราวกับเป็นกฎเหล็กเลยนะคะ

1. กะปริมาณอาหารให้น้อยลงมื้อละ 20% ของที่เคยทาน เช่น ปกติทานข้าว 1 จาน ให้ลดลง 1 ใน 4 ทำเช่นนี้ทุกมื้อ อย่าไปคิดว่าคุณกำลังอดอาหาร เพราะการคิดแบบนี้จะทำให้มื้อต่อไปคุณรู้สึกหิวกว่าปกติ แต่แค่เตือนตัวเองไม่ให้กินซะจนอิ่มแปล้เท่านั้น

2. เลิกคิดถึงปริมาณแคลอรีของอาหารทุกชนิดที่คุณทาน ไม่ต้องห่วงว่าอาหารที่ทานเข้าไปจะมีปริมาณกี่แคลอรี ให้นึกไว้เสมอว่าการทานอาหารเป็นกิจกรรมที่มีความสุข หากคุณต้องทานอาหารด้วยความเครียด จะทำให้ขาดสติในการควบคุม และสุดท้ายจะหมดความอดทนในการควบคุมอาหารไปซะงั้น

3. อาหารบางอย่าง เช่น ของหวานจำพวกไอศกรีม ขนมขบเคี้ยว ข้อดีของขนมหวานๆ พวกนี้คือ ยิ่งกินยิ่งอร่อย ยิ่งเคี้ยวยิ่งเพลิน ทานเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม แต่ข้อเสียคือ แค่กินไปนิดเดียว แต่ปริมาณแคลอรีทะลักสุดๆ แล้วรสชาติหวานหอมของมันก็จะทำให้เราปลอบใจตัวเองว่า ‘กินไปนิดเดียวไม่อ้วนเท่าไหร่หรอก’

4. ดื่มน้ำเปล่า 1-2 แก้วก่อนมื้ออาหาร หรือในระหว่างมื้อเมื่อรู้สึกหิว

5. ในอาหารแต่ละมื้อให้ทานผักสด หรือ ผลไม้มากๆ เข้าไว้ มากกว่าครึ่งหนึ่งของมื้ออาหารยิ่งดี และถ้าคุณเป็นคนที่ไม่ถนัดเรื่องการทานผักสด ให้ทานกับน้ำสลัดแล้วค่อยๆ ลดปริมาณน้ำสลัดลงจนคุ้นเคยกับรสชาติของผักสด หรือแรกๆ อาจทานผักลวกหรือผักนึ่งก็ได้และก่อนที่จะลงมือ ควรทานผักก่อนอาหารอย่างอื่นนะจ๊ะ

6. หากมีอาหารมากมายวางอยู่ตรงหน้าให้คุณเลือกรับประทาน (อย่างเช่นในมื้อบุฟเฟ่ต์) ให้ฝึกจนเป็นนิสัยว่า ควรเลือกอาหารจำพวกต้มหรือนึ่ง มากกว่าอาหารจำพวกผัดหรือทอด

7. ของหวาน ทานได้แต่แค่พอให้รู้สึกถึงรสชาติ เพราะถ้าคุณอดของหวานอาจมีข้ออ้างในใจได้ว่า ทำให้ฉันไม่สดชื่นเพราะร่างกายขาดน้ำตาล ทั้งที่จริงแล้วนี่เป็นเพียงข้ออ้างในใจ จึงแนะนำให้ทานขนมหวานได้พอรู้รสเท่านั้น

8. เครื่องดื่มประจำตัวของคุณต้องเป็นน้ำเปล่าเท่านั้น เพราะไม่มีน้ำตาล แถมยังช่วยให้การเผาผลาญพลังงานระดับเซลล์ทำงานได้ดีขึ้น

9. หยุดทันทีที่อิ่ม จงอย่าเสียดายของเป็นอันขาด ถ้าคุณยังอยากทานต่อให้นึกเทียบค่าอาหารที่เหลือกับค่ายารักษาตัวเมื่อป่วยด้วยโรคที่มากับความอ้วน อันไหนน่าเสียดายมากกว่ากัน

10. ลองแบ่งอาหารเป็นมื้อย่อยๆ สัก 6 มื้อ ห่างกันมื้อละ 2-3 ชั่วโมงเพื่อป้องกันไม่ให้คุณหิวจนเกินควร จนฟาดเรียบ ในมื้อเดียวเพราะนั่นคือการทานมากเกินความจำเป็น ที่สำคัญห้ามทานจุบจิบระหว่างมื้อเด็ดขาด

11. ออกกำลังกายอย่างน้อยครั้งละ 30 นาที อาทิตย์ละ 3 ครั้ง หรือถ้าใครสามารถกว่านั้นก็ตามสบายเลยจ้ะ เพียงแต่อย่าหักโหมจนเกินไป เพราะร่างกายอาจปรับตัวไม่ทัน


ที่มา woman plus




 

Create Date : 22 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 24 พฤษภาคม 2552 14:12:53 น.
Counter : 375 Pageviews.  

โยเกิร์ตระงับกลิ่นปาก

คุณ เคนอิชิ โฮโจ และทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยสึรูมิ ในเมืองโยโกฮามา ประเทศญี่ปุ่น ได้ทำการวิจัยและพบว่า แบคทีเรียที่อยู่ในโยเกิร์ต โดยเฉพาะแบคทีเรียชนิด Streptococcus thermophilus และ Lactobacillus bulgaricus อาจมีผลต่อแบคทีเรียที่ เป็นเหตุให้เกิดกลิ่นเหม็นในปาก ของคนเราได้

โดยจากการทดลองพบว่า การกินโยเกิร์ตเป็นประจำทุกวัน วันละ 6 ออนซ์ (ประมาณ 1 ถ้วย) จะช่วยลดปริมาณสารที่ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นในปาก อย่างเช่น ไฮโดรเจนซัลไฟด์

นอกจากนี้ ในบรรดาผู้ที่ชอบกินโยเกิร์ตนั้น มักจะมีปริมาณคราบแบคทีเรียบนผิวฟัน (plaque) และอาการของโรคเหงืออักเสบน้อยกว่าคนทั่วไป

แม้ว่าจำเป็นที่จะต้องมีการวิจัยมากกว่านี้เพื่อยืนยันผลที่ได้ แต่นักวิจัยก็อ้างว่า การกินโยเกิร์ตน่าจะเป็นวิธีที่ดีและปลอดภัยในการป้องกันปากเหม็น


ข้อมูลเพิ่มเติมสุขภาพดีด้วยโยเกิร์ตแหล่งพลังงานจากนม

นม ๆ ปัจจุบันนี้นมถูกปรับเปลี่ยนไปใช้ในรูปแบบที่ต้องการ ทั้งในด้านการบริโภค อุปโภค จนกระทั้งปัจจุบันนี้ถูกปรับมาเป็นเครื่องสำอาง เพราะในตัวของน้ำนมอุดมไปด้วยต่างๆ มากมายในตัวของนม

โดยถ้าพูดไปแล้ว โยเกิร์ตก็คือนมสดที่นำมาหมักกับเชื้อจุลินทรีย์ จนน้ำตาลแลกโตสในนมเปลี่ยนเป็นกรดแลคติก ทำให้นมมีรสเปรี้ยวและมีความข้นขึ้นจนเป็นลิ่ม การกินโยเกิร์ตเป็นประจำจะช่วยให้ลำไส้มีแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์มากขึ้น ช่วยแก้อาการท้องเสียเรื้อรังได้

ซึ่งในการกินโยเกิร์ตนั้นให้สารอาหารครบถ้วนเหมือนการดื่มนม แต่ไม่ทำให้ท้องเสียเหมือนที่บางคนมักเป็นเวลาดื่มนม นอกจากนั้นโยเกิร์ตยังมีคุณสมบัติกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกายให้สูงขึ้น ช่วยกระตุ้นการสร้างสารแอนติบอดี้ และเพิ่มปริมาณสารอินเฟอร์รอน ซึ่งเป็นสารเคมีที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อต่อสู้กับเชื้อโรค

โดยในตัวของโยเกิร์ตยังมีสารไขมันธรรมชาติมีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมน ที่เรียกว่าพรอสตาแกลนดิน อี 2 (Prostaglandin E2) ซึ่งทำหน้าที่ช่วยปกป้องผนังกระเพาะจากสารกระตุ้นต่างๆ

เช่น แอลกอฮอล์และบุหรี่ เพราะฉะนั้น แทนที่จะปล่อยให้ท้องว่าง ก็กินโยเกิร์ตรองท้องสักถ้วยก็คงดี และการกินโยเกิร์ตยังช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดมะเร็งบริเวณเนื้อเยื่อกระดูก และช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือดได้ นอกจากนั้นยังช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งได้อีกด้วย

ปิดท้ายด้วยการแถมสูตรพอกหน้าด้วยโยเกิร์ตให้กับสาวๆ ขั้นแรกล้างหน้าให้สะอาด และเช็ดให้แห้ง แล้วนำโยเกิร์ตชนิดที่ไม่ผสมเนื้อผลไม้มาพอกให้ทั่วผิวหน้า เว้นรอบปากและดวงตา นวดและคลึงเบาๆ พอกไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออก ทำเช่นนี้สัปดาห์ละ 3 ครั้ง รับรองผิวหน้าจะเปล่งปลั่งสดใสแน่นอน

โยเกริ์ตถึงจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่มาจากนมแต่ยังเปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางสารอาหารเพียบที่ช่วยบำรุงผิวพรรณและสมอง


ที่มา //www.thaihealth.or.th




 

Create Date : 21 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 23 พฤษภาคม 2552 18:19:09 น.
Counter : 411 Pageviews.  

10 ความเข้าใจผิดๆ กับเรื่องอาหาร

คนส่วนใหญ่มักจะมีความเชื่อเรื่องอาหารแตกต่างกัน ซึ่งบางทีก็จริงบ้าง ผิดบ้าง วันนี้เลยเอาความเชื่อที่บางคนคิดว่าถูกแต่จริง ๆ แล้วมันผิดมาฝากกัน..

1.งดมื้อเช้า
ถ้าใครกําลังทําอยู่ก็เลิกเสียเถอะค่ะ เพราะมื้อเช้าเป็นมื้อที่สําคัญมาก นอกจากจะเป็นแหล่งพลังงานให้คุณสู้งานได้อย่างไม่มีถอยแล้ว ยังช่วยให้ไม่หิวมากด้วยก่อนที่จะถึงมื้อต่อไป

2.งดกินทุกอย่างก่อนออกกําลังกาย
ไม่ควรค่ะ เพราะร่างกายต้องการพลังงานเพื่อนํามาใช้ในการเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ อยู่แล้ว ฉะนั้น ก่อนออกกําลังกายควรกินพวกอาหารที่มีส่วนประกอบของคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (เพราะมีไฟเบอร์มากและไขมันต่ำด้วย) อย่างโยเกิร์ต นมถั่วเหลือง หรือขนมปังค่ะ

3.หลังออกกําลังกาย
ควรเว้นช่วงนานๆ แล้วจึงค่อยกิน จริงๆ แล้ว ไม่ต้องเว้นไว้นานขนาดนั้นก็ได้ กินหลังจากออกกําลังกายไปแล้ว 1 ชั่วโมงก็โอ.เค.แล้วละ และควรเลือกกินอาหารที่มีโปรตีนและคาร์โบไฮเดรเชิงซ้อนด้วยนะ เพราะจะได้ไปช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญและช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้ดีขึ้นค่ะ

4.กินขนมที่มีส่วนประกอบของโปรตีนหรือโปรตีนเชคแทนข้าว
อาหารขบเคี้ยวเหล่านี้ใช่ว่าจะไม่มีแคลอรีหรือไขมันเลยนะคะ อีกทั้งโปรตีนเชคนั้นก็ไม่มีไฟเบอร์อีกด้วย สรุปแล้วไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้กินอาหารจริงๆ เข้าไปหรอกค่ะ

5.เชื่อมั่นในฉลาก
อย่าเชื่อในทุกๆ สิ่งที่คุณได้อ่าน โดยเฉพาะฉลากที่ติดอยู่ข้างๆ ขวดเครื่องดื่ม เพราะยังมีอีกหลายๆ โรงงานที่ขาดการควบคุมที่เคร่งครัดอยู่ ทางที่ดี ก่อนซื้อควรดูองค์ประกอบหลายๆ อย่างรวมกัน แล้วจึงค่อยตัดสินใจ

6.กินน้อยๆ
คนส่วนมากมักจะกลัวไม่กล้ากินเยอะจนบางครั้งพลังงานที่รับเข้าไปไม่เพียงพอกับ ที่ร่างกายต้องการสําหรับทํากิจกรรมนั้นๆ อย่าลืมสิคะว่า กินน่ะกินได้ แต่ก็อย่าให้มากจนเกินไปนัก เพราะร่างกายจะเผาผลาญไม่ทัน เกิดเป็นไขมันสะสม แล้วต้องมานั่งกลุ้มไดเอ็ทกันใหม่ จะยุ่งเอานะ

7.ออกกําลังกายเท่านั้นคือหนทางการลดอ้วน
ถึงแม้ว่าคุณจะออกกําลังกายบ่อยแค่ไหนก็ตาม แต่หากขาดการวางแผนการกินที่ดีต่อสุขภาพแล้ว การออกกําลังกายที่ทําไปก็ถือว่าสูญเปล่าได้นะ

8.ไม่ควรกินน้ำมากๆ ขณะออกกําลังกาย
ผิดค่ะ การเสียน้ำมากๆ ไม่ดีต่อร่างกายเลยนะคะ โดยเฉพาะเวลาที่กําลังอยู่ในที่ร้อนๆ ฉะนั้น ระหว่างและหลังออกกําลังกายก็อย่าลืมดื่มน้ำเข้าไปให้เพียงพอต่อความต้องการ ของร่างกายด้วยละ

9.ไดเอ็ทแบบอดๆ
แน่นอนค่ะว่าการลดน้ำหนักแบบนี้จะเห็นผลเร็วและง่ายต่อการปฏิบัติด้วย แต่มันก็ไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องนัก คุณควรหันกลับมาใช้วิธีแบบเดิมๆ คือควบคุมอาหารและออกกําลังกายควบคู่ไปด้วยจะดีกว่าค่ะ

10.กินโปรตีนเยอะๆ แป้งน้อยๆ
หลายๆ คน อาจจะกําลังฮิตกับการไดเอ็ทประเภทนี้มาก คือ ไม่กินพวกข้าวหรือขนมปังเลย อย่าลืมสิคะว่า คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนก็มีความสําคัญต่อการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อนะ

เมื่อรู้กันอย่างนี้แล้วก็ควรจะเลือกเชื่อความคิดผิด ๆ เหล่านี้นะคะ แล้วทำสิ่งที่ถูกจะดีกว่า...

ที่มา //variety.teenee.com/foodforbrain/12505.html




 

Create Date : 18 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 24 พฤษภาคม 2552 22:42:37 น.
Counter : 512 Pageviews.  

คนชอบนอนกลางวันสมองบรรเจิดจินตนาการ

ผลวิจัยใหม่ระบุแม้อาจทำให้ใจลอยจากงานไปบ้าง แต่แท้จริงแล้วการฝันกลางวันช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ของคนเรา สำหรับงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยอีสต์ แองเกลีย ยืนยันว่า การฝันกลางวันเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นกระบวนการความคิดที่เปิดทางให้สมองสร้างการเชื่อมโยงใหม่ๆ

แต่แทนที่จะจดจ่อกับสภาพแวดล้อมปัจจุบันรอบข้าง การฝันกลางวันทำให้สมองเป็นอิสระเพียงพอจะคิดถึงความคิดรูปธรรมและจินตนาการไหลลื่น ส่งผลให้คนเราสามารถจินตนาการในสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง

ด้าน เทเรซา เบลตัน นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยอีสต์ แองเกลีย เมืองนอริช อังกฤษ เริ่มสนใจเรื่องฝันกลางวันตอนที่อ่านเรียงความของเด็กประถม แม้เบลตันสนับสนุนให้นักเรียนเขียนสิ่งที่อยากเขียน แต่เธอกลับต้องประหลาดใจว่าเรื่องราวเหล่านั้นขาดแรงบันดาลใจโดยสิ้นเชิง 'เรียงความเหล่านั้นค่อนข้างน่าเบื่อและไร้จินตนาการ ราวกับว่าเด็กๆ ติดอยู่กับวิธีคิดที่ถูกตีกรอบ แม้เราพยายามให้เด็กคิดอย่างสร้างสรรค์ แต่กลับดูเหมือนว่าพวกเขาไม่รู้วิธีการที่จะทำแบบนั้น'

หลังจากตรวจดูตารางเวลาประจำวันของเด็กอยู่หลายเดือน เบลตันได้ข้อสรุปว่าอย่างน้อย ส่วนหนึ่งที่เป็นต้นเหตุของการขาดแคลนจินตนาการคือ การไม่มีเวลาว่าง ซึ่งหมายถึงช่วงเวลาที่ปราศจากสิ่งเร้าให้ทำกิจกรรมหรือสิ่งเร้าด้านอารมณ์เลย เบลตันสังเกตว่า ทันทีที่เด็กเหล่านั้นเริ่มเบื่อ พวกเขาจะหันไปหาทีวีโดยไม่ต้องคิด และภาพเคลื่อนไหวสะกดความคิดของเด็กให้หยุดนิ่ง 'เป็นปฏิกิริยาตอบสนองโดยอัตโนมัติ การดูทีวีเป็นสิ่งที่เด็กๆ ทำเมื่อไม่รู้จะทำอะไร'

ปัญหาจากพฤติกรรมนี้คือ การจำกัดไม่ให้สมองเด็กฝันกลางวัน เนื่องจากเด็กมักไม่ค่อยเบื่อเมื่ออยู่ใกล้ๆ ทีวี เด็กจึงไม่เคยเรียนรู้วิธีใช้จินตนาการเพื่อสร้างความบันเทิงให้ตนเอง 'ความสามารถในการฝันกลางวันเปิดโอกาสให้คนเราเติมเต็มเวลาว่างด้วยกิจกรรมที่น่าสนุกสนานเพลิดเพลินที่ทำที่ไหนก็ได้ แต่ปัญหาก็คือ ทักษะนี้ต้องการการปฏิบัติจริง ทว่าเด็กมากมายไม่เคยได้ทำมาก่อน'

โจนาธาน ชูเลอร์ นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ขานรับว่า ถ้าสมองไม่ได้ท่องเที่ยว ความคิดก็จะถูกพันธนาการกับสิ่งที่ทำอยู่ ในขณะนั้น 'ในทางตรงข้าม คุณสามารถใช้เวลาท่องเที่ยวด้วยความคิดและจำลองสถานการณ์ในรูปแบบอื่นๆ เพราะระหว่างการฝันกลางวัน ความคิดของคุณจะเป็นอิสระไร้ขีดจำกัดอย่างแท้จริง'

ในรายงานที่กำลังจะเผยแพร่ออกมาเร็วๆ นี้ การวิจัยของชูเลอร์แสดงให้เห็นว่า คนที่ฝันกลางวันทำคะแนนการทดสอบความคิดสร้างสรรค์ได้มากกว่าคนอื่นๆ 'การฝันกลางวันเกี่ยวข้องกับรูปแบบการคิดที่ผ่อนคลาย ที่คนเราเต็มใจคิดถึงไอเดียที่ดูเหมือนน่าหัวเราะหรือไกลจากความจริง' เบลตัน กล่าว


ที่มา sanook.com




 

Create Date : 17 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 26 พฤษภาคม 2552 15:23:15 น.
Counter : 406 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  

icy_cute
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]







CO.CC:Free Domain
Friends' blogs
[Add icy_cute's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.