All Blog
พาไปทานอาหาร เอธิโอเปีย Ethiopian restaurant Accra, Ghana
วันนี้ ชฎาอาสาพาไป ทานอาหารเย็นที่ร้านอาหาร เอธิโอเปียซึ่งเปิดใหม่ กันค่ะ เราออกจาก ใจกลางเมืองอักกรา กาน่า ตั้งแต่ ทุ่มกว่าๆ ถึงสามทุ่มกว่า รถติดมากๆๆ จนเปลี่ยนจากหิวมาเป็นง่วงนอนแทน แต่ก็อิ่ม อร่อย สมกับที่อุตส่าห์ ฝ่ารถติดมาจนถึง East Legon

Going to eat with friends in a new Ethiopian restaurant in Accra, Ghana. The restaurant is in East Legon, in northern Accrs. On the evening we went it took us 2 hours to drive from central Accra, just 10 km away. The traffic was very bad.



ในที่สุดก็มาถึงจนได้อยู่เลยโรงแรม เมนสวิค ไปไม่ไกล อยู่ฝั่งเดียวกัน เย้ๆๆเห็นป้ายแล้ว

The restaurant is close to Mensvic Hotel, East Legon.



เชิญด้านในครับ พวกเรารีบเดินเข้าไปด้วยความหิว อย่างมากมาย

Ian waiting for Da to arrive at the restaurant. WE were all very hungry.



ในร้านตกแต่งด้วยสีสัน ที่สะดุดตา ตามสไตล์ เอธิโอเปีย

The restaurant was in Ethiopian style with pictures and cloth from Ethiopia.



ที่ บาร์ มีเครื่องดื่มให้เลือก แล้วแต่ความชอบ

There is a bar with many drinks.



เมนูอาหาร สีแสบสัน ตามสไตล์ เอธิโอเปียได้อีกค่ะ

The menu; Ethiopian style.



ดูราคาก็โอเคไม่แพงเกินไป

Prices OK.



ปรึกษากันว่าจะ กินอะไรกันดี ในกลุ่มเราคนหนึ่งมีภรรยาเป็นคนเอธิโอเปีย เขารู้เรื่องเกี่ยวกับอาหาเอธิโอเปียดี ก็เลยตกลงให้เขาสั่งอาหาร

Our friend Ian ordered the food as he knows about Ethiopia and his wife is Ethiopian.



ระหว่างที่รออาหาร เราก็เก็บบรรยากาศภายในร้านมาให้ดู การตกแต่งก็ดูแปลกตาดี เขาว่าโทนร้อนนี้ทำให้เจริญอาหาร (จริงใหม)

While we were waiting for the food I took photos around the restaurant. The colours were warm........they made you eat well?



ชอบภาพวาดของเขา สีสะดุดตาจริงๆ เราโชคดีที่รถติด เพราะมาถึงตอนที่ไม่ค่อยมีคนแล้ว ทำให้เราถ่ายรูปได้อย่างสบายใจ

I like the Ethiopian-style paintings. We were lucky because the traffic meant nobody else came and I could take a lot of photos.



ภาพถ่าย น้ำตก สวยดี

Views of Ethiopia - they are nice.



ภาพถ่ายอีกภาพ

More views of Ethiopia.



ภาพวาด ติดฝาผนัง อีกภาพ

More paintings.



ไปดูผ้าพันคอ มาจากเอธิโอเปีย สวยค่ะคล้ายๆผ้าใหมบ้านเรา

Ethiopian cloth looks like silk from Thailand.



ภาชนะ เอาใว้ใส่ ขนมปัง สีสวย เขาบอกว่า เราขาย แต่เราบอก (ในใจ)ว่าไม่ซื้อนะ อิอิ

A container for serving the Ethiopian Bread at the table - but we did not buy it.



ชมจนทั่วร้านแล้ว ก็ไปล้างมือ หน้าห้องน้ำมีเก้าอี้ไว้ให้ลูกค้านั่งรอเข้าห้องน้ำด้วย

Lots of chairs outside the toilets.....perhaps they were expecting a queue?



กลับมา มีถั่วและ เม็ดบาร์เลย์ มาพร้อมกับเครื่องดื่ม

Roasted barley, ground nuts and spices



แอบถ่าย โต๊ะข้างๆ ภาชนะสวยดี

nice things on the tables nearby.



ก่อนที่อาหารจะมา มีบริการล้างมือถึงโต๊ะเลย ประทับใจมาก

Washing hands before eating the meal.....no need to leave the table.



ล้างเสร็จก็มีผ้าเช็ดมือให้

Everything you need for washing your hands at the table.



อาหารมาแล้ว ถาดใหญ่มากๆ สั่งมาสองถาดใหญ่ๆ

Food coming........BIG portions.



อีกถาดใหญ่ๆ ก็ตามมา เต็มโต๊ะเลย

And more food coming........the table was not big enough.



จานนี้เป็น มังสวิรัต ชื่อเอธิโอเปีย Misir Kik อังกฤษ= Spiced Split Lentils Sauce เป็นถั่วแตกผัดซอส รสชาดใช้ได้




จานนี้เป็น มังสวิรัตอีกจาน ชื่อเอธิโอเปีย Tikus Shiro อังกฤษ= Ground Chick Pea Sauce เป็นถั่วChick Pea ผัดซอส จานนี้อร่อยมากคล้ายๆอาหารอินเดีย



จานนี้เป็น เนื้อ ชื่อเอธิโอเปีย Minchetabish อังกฤษ= Minced Beef served hot and spicy served Ethiopian Style เป็นเนื้อสับผัดเผ็ดสไตล์เอธิโอเปีย จานนี้เราไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แต่ก็กินได้



จานนี้เป็น เนื้อแกะ ชื่อเอธิโอเปีย Tibs อังกฤษ= Tender Slivers of Lamb Spiced and Diced onions and Vegetables เป็นเนื้อแกะหั่นเป็นลูกเต๋าผัดใส่หอมใหญ่ และผัก จานนี้ก็ใช่ได้ แต่โปรดสังเกตุ ในจาน ทะยอย เข้าไปในท้องเสือโหย (คนหิว) ไปเกือบครึ่งจาน สังเกตุ จานข้างบนด้วยนะ ฮิฮิ



ขนมปังเปรี้ยวๆ (Injera)นำแป้งมาหมักสามวันแล้วนำมาทำขนมปัง ใช้กินกับอาหารด้วยมือ

Injera is the Ethiopian bread. The dough ferments for 3 days before cooking.



ในถาดก็มีขนมปัง อีก

The food is served on the plates but under the plates is more bread. In Ethiopia they serve the food on top of the bread.



กินเสร็จ ก็มีบริการล้างมืออีก ชอบนะ แปลกดี

More washing of hands after the meal.



ถ่าย อีกมุมหนึ่ง

more photos of the restaurant.



แล้วไฟก็ดับทั้งแถบนั้นเลยค่ะ เราก็เลยลองถ่ายรูป ตอนไฟดับดู ภาพออกมาสวยค่ะ เขามีตะเกียงมาให้ เลยไม่มีปัญหา แถมออกจะโรแมนติคด้วย

No electricity.......after our meal the electricity went off and we finished our meal with a small lamp on the table. No problem.



กาแฟบดสดๆ กลิ่นหอมมากๆๆ

Fresh Ethiopian coffee, good smell, good taste.



ค่าเสียหายทั้งหมดห้าคน 116 Ghana Cedi = ประมาณ 83 USD ถือว่าไม่แพง มีเบียร์ สามขวด น้ำขวดเล็กสองขวด ไวน์แดงหนึ่งแก้วและอีกหนึ่งขวด กาแฟสี่ี่ถ้วย อาหารสองถาดใหญ่ๆ แถมเหลือห่อกลับบ้านมาฝากลูกอีก

meal for 5 people, 3 beers and a bottle of wine, 4 coffees, 2 water......good value for money.



ปิดท้ายด้วย ภาพ ถาดกาแฟและกลิ่นหอมๆ เป็นควันลอยออกมา

A small burner put on the table containing charcoal and frankincense - gives a good smell and a nice way to finish your meal.





ขอบคุณและสวัสดี ที่ติดตามชมจนจบค่ะ

good bye and thank you for reading my blog.



Create Date : 26 มีนาคม 2552
Last Update : 27 มีนาคม 2552 16:16:58 น.
Counter : 2878 Pageviews.

4 comment
Ghana West Africa
สาธารณรัฐกานา เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ใน แอฟริกาตะวันตก พรมแดนด้านตะวันตกจรดประเทศโกตดิวัวร์ ด้านตะวันออกจรดประเทศบูร์กินาฟาโซ และประเทศโตโก โดยมีชายฝั่งทะเลด้านใต้ติดกับ อ่าวกินี เดิมเป็นอาณานิคมของอังกฤษมีชื่อเรียกว่า โกลด์โคสต์ ชื่อประเทศกานามีต้นกำเนิดมาจากจักรวรรดิกานา (แม้ว่าอาณาเขตของจักรวรรดิดังกล่าวไม่เคยติดกับประเทศกานาในปัจจุบันเลยก็ตาม)



ก่อนยุคล่าอาณานิคมกานาเป็นจักรวรรดิโบราณที่ปกครองด้วยชนเผ่าต่างๆอยู่ในบริเวณลุ่มแม่น้ำไนเจอร์ตั้งแต่ พ.ศ. 943 - 1783 จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2417 ได้ตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ซึ่งเรียกว่า Gold Coast และเป็นรัฐในอารักขา (protectorate) รวมเวลา 113 ปี และในวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2500 กานาจึงได้รับเอกราช จากอังกฤษซึ่งเกิดจากการรวมอาณานิคม Gold Coast และ Togoland เข้าด้วยกันต่อมาเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2503 กานาได้ประกาศเป็นสาธารณรัฐภายใต้เครือจักรภพอังกฤษ



ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ และมีภาษาพื้นเมืองอื่น ๆ ได้แก่ Akan Moshi – Dagomba Ewe และ Ga ส่วนศาสนานับถือความเชื่อดั้งเดิม 38 % ศาสนาอิสลาม 30 % ศาสนาคริสต์ 24% ศาสนาอื่น 8 %



ลักษณะภูมิอากาศ อยู่ในเขตร้อนชื้น โดยมีอากาศค่อนข้างร้อนและแห้ง
บริเวณชายฝั่งนะวันออกเฉียงใต้ และมีอากาศร้อน-แห้งในตอนเหนือ






ทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ ทองคำ ไม้ เพชร แร่แมงกานิส บอกไซต์ ปลา และยางพารา ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่สำคัญ โกโก้ ข้าวโพด ข้าว มันสำปะหลัง กาแฟ กล้วย ถั่ว และไม้




รู้จักกานากันแล้ว เราก็ไปเที่ยวกันเลยค่ะ ที่แรกที่เราไปคือ Kakum อุทยานแห่งชาติ เป็นอุทยานแห่งชาติที่มีความพิเศษและแตกต่างจากที่อื่นเท่าที่รู้จักในกานา ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในปี 1990 จากพื้นที่ 350 ตารางกิโลเมตรที่อยู่ทางตอนเหนือของ CapeCoast และ Elmina ใกล้เมืองเล็กๆของ Abrafo. พื้นที่ทั้งหมดปกคลุมด้วย ป่าฝนเขตร้อน




สะพานแขวนถูกสร้างขึ้นเป็นพิเศษเพื่อให้สามารถเข้าถึงบรรยากาศ และการเยี่ยมชมพืชเขตร้อนในพื้นที่และสมุนไพรที่เกี่ยวข้องกับยาที่สำคัญ นอกจากพืชที่มีเหลือน้อยแล้ว Kakum อุทยานแห่งชาติยังมีสัตว์หายาก เช่น Mona-meerkat ช้างป่า กระบือ, ชะมดเชียง แมวและนกชนิดต่างๆ สัตว์ป่าที่เห็นได้ยากเนื่องจากความหนาแน่นป่าดงดิบ ในหลักสูตรของการพัฒนาการท่องเที่ยว เจ้าหน้าที่ได้วางแผนในอนาคตเพื่อที่จะเพิ่มจุดชมวิว ชมสัตว์ต่างๆ ให้มากกว่าเดิม




Kakum อุทยานแห่งชาติเป็นสถานที่ที่ที่ไม่ซ้ำใครในกานา นักท่องเที่ยวสามารถเดินผ่านสะพานแขวนในป่าที่มีความสูงถึง 40 เมตร นักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นพืชและสัตว์ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ซึ่งถ้าเป็นที่อื่นอาจจะไม่สามารถเข้าถึงได้





วันนี้มีทั้งเด็ก วัยรุ่น ผู้สูงวัย เยอะพอสมควรในรอบแรก เก้าโมงเช้า พร้อมแล้วลุยยยย





คำเตือนสำหรับผู้ที่ไม่ชอบความสูง อาจจะทำให้ท่านเวียนหัวหน้ามืดได้เพราะมองลงไปข้างล่างรู้สึกหวาดเสียวพอสมควร แต่เด็กน้อยคนนี้บอกว่าสบายมากสำหรับเขา เพราะเขาชอบความตื่นเต้นและท้าทาย





มากันเป็นทีมเป็นครอบครัวเลยค่ะ




ต้นไม้ในต้นไม้




ออกจากอุทยาน เราก็ไป elmina Castle กันต่อ ที่มีประวัติความเป็นมาที่น่าศึกษาไม่น้อย ระหว่างทางเห็นเขาลากอวนกัน ร้องเพลงไปด้วย




ผ่านบ้านชาวประมง




ผ่านที่เขาขุดหรือทำเรือ




ที่เห็นไกลๆนั้นแหละค่ะ ปราสาท เอลมินา ที่เราจะไปย้อนยุคกัน




Elmina ปราสาท ก่อตั้งขึ้น โดย ชาวโปรตุเกส ในปี ค.ศ 1482 เป็น เซา Jorge da Mina (เซนต์ George ของข้า) ปราสาทรู้จักกันเป็นเพียง Mina หรือ Feitoria da Mina) Elmina, กานา (เดิมชื่อ โกล์ดโคสต์) มันเป็นสถานที่แรกที่ซื้อขายโพสต์,ที่สร้างขึ้นจาก อ่าวกินี ดังนั้นเป็นอาคารเก่าแก่ที่สุดในยุโรปมีอยู่ด้านล่างของ ทะเลทรายซาฮารา แรกที่จัดตั้งปราสาทขึ้นเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน สินค้า ภายหลังกลายเส้นทางหนึ่งที่สำคัญที่สุดในการแวะจอดในเส้นทางของ การค้าทาสแอตแลนติก ต่อมาชาว ดัตช์ ได้ครอบครองป้อมถาวรขนาดเล็กจากโปรตุเกสในปี ค.ศ 1637 และเอาทุกๆโกล์ดโคสต์ของ โปรตุเกส ในปี ค.ศ 1642 การค้าทาสต่อเนื่องภายใต้ดัตช์จนกว่าปี ค.ศ 1871 เมื่อป้อมถาวรขนาดเล็กกลายเป็นที่ครอบครองของ บริติชเอ็มไพร์ อังกฤษอนุญาตให้โกล์ดโคสต์ เป็นอิสระในปี ค.ศ 1957 และการควบคุมของปราสาทถูกโอนไปยังประชาชาติ elmina Castle กานา วันนี้เป็นที่นิยมของเว็บไซต์ประวัติศาสตร์ ปราสาทที่ได้รับการยอมรับจาก ยูเนสโก ให้เป็น มรดกโลกเว็บไซต์ มีนักท่องเที่ยว นักศึกษา มาเยี่ยมชมเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นชาวกานาเอง และชาวต่างชาติ



แอตแลนติกค้าทาส ในศตวรรษ ที่เจ็ดสิบโดยส่วนใหญ่การค้าใน แอฟริกาตะวันตก จะเป็นการค้าขายทาส เซา Jorge da Mina จึงเป็นสถานที่สำคัญส่วนหนึ่งใน การค้าทาสแอตแลนติก ที่ปราสาท ปวงบ่าวที่ถูกซื้อหรือ ถูกแลกเปลี่ยนมาจากหัวหน้าหรือ ผ้นำเผ่าท้องถิ่นแอฟริกา ปวงบ่าว มักจะถูกกักขังในปราสาท ของชายฝั่ง เพื่อขายหรือแลกเปลี่ยนสินค้าเช่น สิ่งทอ และ ม้า ปวงบ่าวถูกจองจำในปราสาทก่อน ที่จะผ่าน "ประตูที่ไม่มีวันกลับ" เพื่อจะขนส่ง ไปยังโปรตุเกส บราซิล และที่อื่นๆ (โปรดสังเกตุภาพนี้ไม่ใช่ทาสแต่เป็นผู้สนใจเรื่องราวของทาสค่ะ)



ประตูสำหรับขังทาส (นรกบนดินดีดีนี้เองค่ะ) แค่ลองเข้าไปอยู่ห้านาทีก็จะเป็นลมแล้ว




ภาพนี้ผู้ที่ลองโดนขังกำลังออกมา




ท่าเรือที่เคยขนส่งทาสที่ผ่านประตูที่ไม่มีวันหวนกลับมาอีก




แผนที่ Elmina ปราสาท และ เซนต์ George ปราสาท




จาก Elmina ปราสาท เราปยัง CapeCoast ปราสาท ซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน และมีประวัติคล้ายๆกันด้วย
ปราสาทเคพโคสต์ เป็นป้อมปราการในกานา ครั้งแรกก่อสร้างด้วยไม้ในปีค.ศ. 1653 หลังจากคิง Charles เอ็กซ์สวีเดน มันถูกสร้างใหม่ในภายหลังด้วยหิน


//www.bloggang.com/data/boutiquehome/picture/1234279202.jpg width='450' height='337' border=0>


ในเมษายนปีค.ศ. 1663 สวีเดนโกล์ดโคสต์ทั้งหมด ได้ถูกครอบครองโดย Danes และรวม เดนมาร์กโกล์ดโคสต์ด้วย ในปีค.ศ. 1664 ปราสาทได้ตกเป็นของบริติช และได้ถูกสร้างใหม่โดยคณะกรรมการของร้านค้า (ผู้ว่าราชการปกครองอังกฤษ) ในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ในปีค.ศ. 1844 มันเป็นที่นั่งของรัฐบาลอาณานิคมของอังกฤษโกล์ดโคสต์ ปราสาทที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อการค้าไม้และทองคำ (ในภายหลังต่อมาใช้ในการ ขนย้าย แอตแลนติกค้าทาส)



ในปีค.ศ. 1957 เมื่อ กานากลายอิสระ ปราสาทก็ตกอยู่ภายใต้การดูแลของกานาพิพิธภัณฑ์และ Monuments คณะกรรมการ (GMMB). ในช่วงต้นปีค.ศ. 1990 อาคารถูกเรียกคืนโดยรัฐบาลกานาและได้เงินสนับสนุนจาก สหประชาชาติเพื่อพื้นฟู พัฒนา (UNDP), สหรัฐอเมริกาให้ความช่วยเหลือสำหรับการพัฒนาระหว่างประเทศ [USAID] โดยมีความช่วยเหลือทางเทคนิคจากสถาบัน Smithsonian องค์กรเอกชนและ อื่นๆ เพื่อพื้นฟู ปราสาท Elmina และ ปราสาท Christiansborg



ปืนใหญ่เพื่อป้องกันความปลอดภัยในอดีต




ปัจจุบันนี้ข้างๆปราสาทมีหมู่บ้านชาวประมงเต็มไปหมด




ภ่ายจากบนปราสาท สวยดี




ชีวิตของชาวประมง




เรือหลายลำจอดพักหลังกลับมาจากหาปลา




เด็กชายช่วยพ่อ แม่เก็บอวน




ส่วนแม่บ้านก็ รมควัน ปลาให้เพื่อเอาไปขาย




พ่อบ้านก็เก็บ ทำความสะอาด อวน เตรียมพร้อมสำหรับวันใหม่




เรือบางลำพึ่งจะกลับเข้าฝั่ง




เด็กๆกำลังเล่นน้ำ




โบสถ์ข้างปราสาท




ศิลป์ดี




ภาพสุดทาย ก่อนกลับบ้าน




เห็นห้องขังทาส โซ่ตรวนต่างๆแล้วรู้สึกสลด หดหู่ใจ ทำไมต้องทารุณ กักขังกัน ในเมื่อจะต้องตายด้วยกันทั้งนั้น อยากให้ชาวโลกรักกัน สันติสุขกับจิตรา อุ้ยไม่ใช่สันติสุขจะเกิดขึ้นแก่ชาวโลก สวัสดีค่ะ



Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2552
Last Update : 11 กุมภาพันธ์ 2552 15:22:25 น.
Counter : 4308 Pageviews.

5 comment
Lesotho The Land in The Sky
เลโซโทเป็นหนึ่งในสามของประเทศในทวีปแอฟริกาที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (อีก 2 ประเทศ คือ ประเทศโมร็อกโก และประเทศสวาซิแลนด์) เดิมประเทศเลโซโทมีชื่อว่าบาซูโต ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2361 โดยมีสมเด็จพระราชาธิบดีโมโชโชที่ 1เป็นผู้ปกครองต่อมา ชนเผ่าซูลู และคนผิวขาวเข้าไปตั้งหลักแหล่งในประเทศ และถูกแอฟริกาใต้รุกราน บาซูโตจึงต้องขอรับความคุ้มครองจากรัฐบาลสหราชอาณาจักร และมีฐานะเป็นรัฐในปกครองของสหราชอาณาจักร (British protectorate of Basutoland) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2411 ต่อมาเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2509 ได้ประกาศเอกราชและเปลี่ยนชื่อประเทศเป็นเลโซโท



ที่ตั้ง อยู่ในภูมิภาคแอฟริกาตอนใต้ อาณาบริเวณล้อมรอบด้วยประเทศแอฟริกาใต้ พื้นที่ 30,355 ตารางกิโลเมตร (11,720 ตารางไมล์) เมืองหลวง กรุงมาเซรุ (Maseru) ภูมิอากาศ อบอุ่นและเย็น มีฝนตกทั่วประเทศในฤดูร้อน (เดือนตุลาคม –เมษายน) ประชากร 2.14 ล้านคน (2543) โดยมีอัตราการเจริญเติบโตร้อยละ 1.65 ภาษา ภาษาอังกฤษและภาษาเซโซโท (Sesotho) เป็นภาษาราชการนอกจากนี้ ก็มีการใช้ภาษา Zulu และ Xhosa ศาสนา ร้อยละ 80 นับถือศาสนาคริสต์ ที่เหลือเป็นความเชื่อท้องถิ่น



ในฤดูหิมะ บนเขาเต็มไปด้วย หิมะ อากาศจะคล้ายกับ แอฟริกาใต้ เพื่อนไปทำงานที่นั่น บอกว่าหนาวจนปวดกระดูกเลย




แทบไม่น่าเชื่อว่า เป็นประเทศ เลโซโท คิดว่าเป็นยุโรปเสียอีกค่ะ




เปรียบเทียบให้ดูบ้านบนเขา






Icyroad in Lesotho




ขออีกสักภาพ เด็กน่ารักจัง




มาชมความงามของดอกไม้กันบ้าง




ไม่รู้ว่าดอกอะไร สวยดีค่ะ




ที่เลโซโท จะมีฟนตกมาก เพราะพื้นที่สวนใหญ่เป็นภูเขา มีแม่น้ำที่สวยงาม




สายน้ำที่เป็นน้ำแข็งในฤดูหนาว




ความงดงามมีให้ชมเยอะค่ะ




ภูเขาที่สูงเสียดฟ้า สวรรค์บนดิน หรือที่เขาเรียกว่า The Land in The Sky




มาดูวิถีชีวิต ชาวเขา เลโซโท กันบ้างเป็นชีวิตที่เรียบง่าย ใช้พื้นและถ่านในการทำอาหารข้างนอกบ้าน




ที่ตากผ้าของพวกชาวเขา




ผู้หญิง เลโซโท




เด็กชาย สายน้ำและขุนเขา กับธรรมชาติที่ชวนหลงไหล




ภาพเขียนจากมนุษย์ถ้ำซึ่งมีอายุนับพันปี แต่ยังเหลือภาพให้เห็นอย่างชัดเจน




นอกจากจะเป็นThe Land in The Sky แล้ว เลโซโท ยังมีเพชรเม็ดโต ที่แสง แวววาวที่สุดในโลก อีกด้วย




เมื่อเดือนกันยายนปี ๕๑ ที่ผ่านมา ก็มีการขุดพบโคตรเพชร ในเลโซโท

พบ โครตเพชร แสง วาวที่สุดในโลก คนงานเหมืองแร่ในประเทศเลโซโธพบเพชรก้อนขนาดใหญ่ที่อาจได้ชื่อว่าเป็นเพชรที่มีความสุกแวววาวมากที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการค้นพบกันเลยทีเดียวเพราะหนักถึง 478 กะรัต แต่หากเป็นเพชรที่มีขนาดใหญ่แต่ยังไม่ได้เจียระไน ก็จัดได้ว่ามีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 20ของโลกเช่นกัน ข่าวนี้เปิดเผยเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยสำนักข่าวบีบีซี การค้นพบเพชรเม็ดขนาดใหญ่นี้ มีขึ้นในเหมืองแร่ Letseng mine โดยบริษัทเหมืองแร่นี้ตั้งอยู่ที่ประเทศ Lesotho ในทวีปแอฟริกา ชื่อบริษัท Gem Diamonds ถือหุ้น 70% ขณะที่รัฐบาล Lesotho ถืออยู่30 %.รายงานแจ้งว่า เจ้าโคตรเพชรก้อนนี้สามารถนำมาเจียระไนเป็นเพชรขนาด 150 กะรัต และขายได้ในมูลค่าเม็ดละถึงสิบ ๆ ล้านเหรียญสหรัฐทีเดียว จากการสำรวจในเบื้องต้นในเรื่องความสุกใสเป็นแวววาวของเพชรได้รับการเปิดเผยจาก Clifford Elphick. ซึ่งเป็นหัวหน้าผู้บริหารของบริษัทเหมืองแร่แห่งนี้ว่า มีความเป็นไปได้ว่าเมื่อเจียระไนออกมาแล้วจะได้เนื้อเพชรที่มีสีงดงามที่สุดอย่างแน่นอน และจะมีขนาดใหญ่กว่า 105 กะรัต ที่เป็นเพชรชื่อดัง Koh-i-Noor diamond ซึ่งใช้ทำเป็นส่วนประกอบของมงกุฎเพชรของราชวงค์อังกฤษซะอีก




รู้จักเลโซโท กันดีแล้ว เราก็ไปเที่ยวกันโหลด


เดินทางจาก สนามบิน Kotoka โดยสายการบิน South Africa มีรถโคช มารับค่ะ




ไปพักที่ โรงแรม วิคตอเรีย มาเซรุ




ภายในห้องพัก(กระเป๋าสีแดงๆ บนเตียงพึ่งซื้อมาจากร้านขายสินค้าแฮนด์เมค) ชมภาพร้านค้าด้านล่างค่ะ




วิวด้านนอกถ่ายจากหน้าต่างห้องพัก




Gallery and information Center near Hotel







ไปดูสินค้า แฮนด์เมค ที่ร้านค่ะ ได้กระเป๋าสีแดงที่เห็นอยู่บนเตียงมา และเสื้อทอมือ




วันที่ท้องฟ้าสดใสเราออกไปเที่ยวนอกเมือง ไปดูที่ฝังศพ ของกษัตริย์และบรมสานุวงค์ เลโซโท นั่งรถไปประมาณสามสิบกิโลเมตร




นำทางโดยไกด์ผู้น่ารักของเรา




หลุมฝังศพของกษัตริย์




ดอกไม้บนเขา




ดูสวยงามตามธรรมชาติ




ดอกตะบองเพชร สีเหลืองดูโดดเด่น บนเนินเขา




ไปดูภาพเขียนฝีมือมนุษย์ถ้ำในวันฝนพรำค่ะ




จิตรกรรมภาพเขียนโดยฝีมือมนุษย์นับพันปี




เสียดายที่ฝนตกเลยได้ภาพที่ไม่สดใส แต่ก็ได้บรรยากาศอีกแบบ




บ้านทรงกลมที่สร้างด้วยหิน ดูสวยงามท่ามกลางสายฝน




ลาก่อน เลโซโธ ลาก่อน The Land in The Sky



Create Date : 05 กุมภาพันธ์ 2552
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2552 16:53:38 น.
Counter : 4452 Pageviews.

2 comment
อาหารประจำชาติบรรยากาศในวังที่Marrakech
ด้วยเหตุผลที่ว่าโมร็อกโกเป็นประเทศที่มีจุดเชื่อมต่อระหว่างทวีปแอฟริกาและยุโรป ทำให้ภูมิประเทศและภูมิอากาศนั้นมีความหลากหลาย ผนวกกับเคยมีประวัติศาสตร์การเป็นเมืองขึ้นของทั้งฝรั่งเศส และสเปนมาอย่างยาวนาน ส่งผลให้โมร็อกโกกลายเป็นดินแดนต้องมนต์ที่ทรงเสน่ห์อันลี้ลับ ร่ำรวยทั้งศิลปะและวัฒนธรรม เฉกเช่นเดียวกับอาหารของโมร็อกโกที่ได้รับอิทธิพลจากทั้งยุโรปและแอฟริกาทำให้มีความโดดเด่นและลงตัวที่สุด จึงไม่รู้สึกแปลกใจเลยสักนิดว่าทำไมอาหารประจำชาติของโมร็อกโกจึงกำลังเป็นที่นิยมไปทั่วโลก อาหารโมร็อกโกนั้นขึ้นชื่อในเรื่องรสชาติและกลิ่นหอม ด้วยนำนานาเครื่องเทศจากท้องถิ่นมาผสมผสานกันอย่างลงตัว รวมถึงการจัดตกแต่งที่ได้รับอิทธิพลจากทางยุโรปและแอฟริกา ที่ใช้น้ำมันมะกอก ผลมะกอก อบเชยมาผสมกับยี่หร่า การใช้ผงปาปริก้า หญ้าฝรั่น ขมิ้นป่น เม็ดผักชี ผงคาราเวย์ ผลไม้และธัญพืชต่างๆ อีกมากมาย รวมถึงสมุนไพรนานาชนิดมาใช้เป็นส่วนประกอบในแบบตอนใต้ของสเปน ผสมกับอาหารจากชาติแอฟริกา ที่มีการใช้ขนมปังนานาชนิดกับเมล็ดธัญพืชต่างๆ นอกจากนี้ยังได้รับอิทธิพลของอาหารฝรั่งเศส และอิตาเลียนที่นำมาปรับใช้กับอาหารโมร็อกโกในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเพื่อปรุงรสชาติอาหาร และสร้างความสดชื่นให้กลิ่นหอมรัญจวนใจ ยิ่งทำให้ชื่อเสียงของอาหารโมร็อกโกไม่เป็นรองอาหารชาติใดในโลก แม้จะอุดมไปด้วยเครื่องเทศมากมาย แต่การใช้เครื่องเทศของทางโมร็อกโกจะไม่ได้ใช้ในปริมาณมากเหมือนทางอินเดีย แต่จะใช้ปริมาณน้อยเพียงเพื่อเพิ่มกลิ่นและรสชาติของอาหารเท่านั้น เพราะโดยแท้จริงแล้วอาหารโมร็อกโกจะเน้นรสชาติของพืชผลที่นำมาปรุงอาหารมากกว่า เช่น ความหวานของผักต่างๆ ความหวานของอินทผาลัมและลูกพรุน ความเปรี้ยวของมะนาวดอง กลิ่นหอมสดชื่นของน้ำดอกส้ม ที่นอกจากนิยมนำมาใช้เป็นน้ำหอมแล้ว ยังนำมาใช้ปรุงอาหารที่มีรสชาติหวานอีกด้วย



พูดถึงอาหารประจำชาติที่ชาวโมร็อกโกภูมิใจเป็นหนักหนาคงหนีไม่พ้น “คูซคูซ” (couscous) ซึ่งทำมาจากแป้งสาลี ข้าวบาร์เลย์หรือเมล็ดข้าวเซโมลินา นำมาคลึงจนกลายเป็นเม็ดเล็กๆ หน้าละม้ายกับขนม ขี้หนูในบ้านเรา แล้วนำมานึ่งจนนุ่มกับครีม น้ำสต๊อกเนื้อแกะ ที่มีส่วนผสมของเครื่องเทศ และผัก 7 ชนิด ซึ่งเป็นลักกี้นัมเบอร์ คือ กะหล่ำ พริก มะเขือเทศ ฟักทอง ซูกินี หัวไชเท้า หอมแดง แล้วเสิร์ฟพร้อมเนื้อและผัก ทั้งนุ่มละมุนลิ้นและเป็นความอร่อยที่แสนจะลงตัว



วัฒนธรรมในการรับประทานอาหารของชาวโมร็อกโกจะคล้ายกับคนไทยคือเวลารับประทานจะนั่งล้อมวง และแบ่งอาหารตรงกลางวงกันรับประทาน ซึ่งการแบ่งในลักษณะนี้ ชาวโมร็อกโกเชื่อว่าเป็นการแสดงออกถึงความเอื้ออารีต่อกัน และชาวโมร็อกโกให้ความสำคัญกับอาหารแต่ละมื้อไม่แพ้ชาติใดในโลก เริ่มต้นที่อาหารเช้าชาวโมร็อกโกนั้นนิยมรับประทานแพนเค้กพร้อมนมสด หรือซุปฮาริรา ซุปข้นประจำชาติที่ใช้ส่วนผสมของเครื่องเทศซึ่งใช้ในการปรุงอาหารและน้ำต้มกระดูก รับประทานพร้อมกับขนมปัง อินทผาลัม และผลฟิกส์



ส่วนอาหารกลางวันและเย็นของโมร็อกโกนิยมรับประทานเป็นคอร์สคล้ายทางยุโรป เริ่มต้นด้วยการทานซุป สลัด และตามด้วยทาจีนที่นิยมเสิร์ฟพร้อมขนมปัง จากนั้นจึงรับประทานคูซคูซพร้อมสตู ก่อนจะตบท้ายระหว่างมื้อด้วยขนมหวานพร้อมด้วยชามินต์ที่ให้รสชาติสดชื่นชุ่มคอตามสูตรต้นตำรับแท้ๆ ของโมร็อกโก



มีเหตุผลตั้งมากมายที่ทำให้อาหารโมร็อกโกเลอรส และหอมล้ำในรสชาติ สิ่งหนึ่งที่ขาดไปเสียมิได้คือการปรุงอาหารจาก “ทาจีน” ภาชนะทำอาหารที่สำคัญของโมร็อกโกมีลักษณะกลมและตื้น และมีฝาครอบทรงสูงเป็นรูปกรวยสลักลวดลายสวยงาม โดยอาหารที่ทำในทาจีนนั้นจะถูกตุ๋นเป็นเวลานาน โดยนำทาจีนวางบนเตาไฟ และปล่อยให้อาหารถูกตุ๋นอยู่ภายใน ส่งผลให้เนื้อสัตว์พืชผลรวมถึงเครื่องเทศที่อยู่ในทาจีนนั้นนุ่มละมุน คงความอร่อยและมีกลิ่นหอมยวนใจเป็นที่สุด คำว่าทาจีนนั้นหมายรวมถึงอาหารอีกด้วย

เรามาดูตัวอย่างอาหารโมร็อกโกกันค่ะ


Harrira bel Hammus ซุบผักน้ำข้นที่ใส่ Chickpeas (ถั่วไก่) ที่ได้กลิ่นหอมของเครื่องเทศ มีรสชาติที่เผ็ดจากขิงและเปรี้ยวเล็กน้อยจากมะนาว นอกจากนี้ยังมีกลิ่นหอมของอบเชยด้วย บางครั้งจะรับประทานคู่กับอินทผาลัม, ฟิกส์ หรือขนมปัง นับเป็นซุปยอดนิยมของชาวโมร็อกโก

Chicken pasteela พายไก่สไตล์โมร็อกแคน ที่จะออกหวาน มัน จากอัลมอนด์ที่เป็นส่วนผสม และมีกลิ่นหอมจากอบเชยที่โรยหน้าคู่กับน้ำตาลไอซิง นุ่มด้วยแป้งและส่วนผสมที่ลงตัว

Couscous with vegetable อาหารประจำชาติของโมร็อกโก โดยจะนำคูซคูซมานึ่งพร้อมกับผักเจ็ดชนิดในทาจีนเพื่อรับประทาน ข้าวและผักที่ได้จึงนุ่มหอม และน้ำซุปที่นำมาราดบนผักจะก็มีความหอมของเครื่องเทศ เช่น ยี่หร่าป่น และเม็ดผักชีป่น การรับประทานผักทั้งเจ็ดชนิดนั้นเพราะชาวโมร็อกโกเชื่อว่าเลขเจ็ดเป็นเลขแห่งความโชคดี

Chicken tagine with lemon and olive เมนูนี้เป็นอาหารที่ขาดไม่ได้เมื่อมีงานเฉลิมฉลอง เป็นเมนูที่ได้รับความนิยมมาก ซึ่งมีความเป็นเอกลักษณ์ของรสชาติที่ผสมผสานกันเป็นอย่างดีระหว่างไก่ มะนาว มะกอก และซัฟฟรอน
เมื่อเรารู้จักอาหารประจำชาติของโมร็อกโก กันแล้ว

ที่นี้ Shada จะพาไปชิมค่ะ ตามมาซิค๊ะ เรี่มจากหน้าร้านภายนอกและป้ายชื่อร้านที่ดูแสนจะธรรมดามากๆ ค่ะ



พอเข้ามาด้านในต้องตลึงกับความสวยมากมาก




โอ้ แม่เจ้ายังกะวังเลยค่ะ ทำให้เผลอคิดไปว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิง ตัวน้อยๆ ในฮาเลม...ตื่นๆๆๆ ส่วนตัวคิดว่าร้านอาหารนี้น่าจะเคยเป็นบ้านของขุนนางหรือ คหบดี เศรษฐี อะไรสักอย่างต่อมานำมาตัดแปลงเป็นร้านอาหาร






มาถึงโต๊ะอาหารโรแมนติกมากๆ ทานอาหารใต้แสงเทียน (กับคนรู้ใจ สุขใหนจะปาน ฝันอีกแล้วเรา)




ลวดลายของจานช่างตัดกับแสงไฟสลัวๆ




สักพักมีบริกร มาบริการ จุดเทียนให้ เพี่มความโรแมนติกเข้าไป
อีก




เสน่ห์ของอาหารโมร็อกโกอยู่ที่การผสมผสานเครื่องเทศที่ใช้ในการปรุงอาหาร แตกต่างจากอาหารอินเดีย ที่เน้นเครื่องเทศปริมาณมาก แต่โมร็อกโกจะเน้นที่รสชาติของพืชผลมากกว่า ที่สำคัญชาวโมร็อกโกจะรับประทานอาหารคาว และหวานไปพร้อมๆ กัน โดยความหวานจะมาจากผลอินทผาลัม และลูกพรุนที่ใช้ในการประกอบอาหาร และนิยมนั่งล้อมวง รับประทานอาหารร่วมกันเป็นหมู่คณะมากกว่าทานเดี่ยวๆ บนโต๊ะอาหารของชาวโมร็อกโก จะต้องมีกาน้ำพร้อมถาด สำหรับล้างมือก่อนรับประทานอาหาร ติดโต๊ะไว้เสมอ อีกสิ่งหนึ่งที่อยู่คู่โต๊ะ คือ ขนมปัง Koff เมนูสำคัญที่ชาวโมร็อกโกนิยมทานร่วมกับอาหารจานอื่นๆ



อาหารจานแรก เป็น ซี่โครงแกะ ตุ๋นสมุนไพร มีถั่วไก่ งาขาว พรุน ลูกเกด




จานที่สองเป็น ทาจีนผัก มีแครอท ฟักทอง หอมแดง ถั่ว เสริฟกันร้อนๆเลยค่ะ




นอกจากขนมปัง Koff เมนูสำคัญที่ชาวโมร็อกโกนิยมทานร่วมกับอาหาจานอื่นๆ แล้วยังมี มะเขือเทศ หอมแดงหั่น มาให้ด้วย




ยอมรับเลยค่ะว่ามื้อนี้อิ่มมากๆ ไปเดินย่อยอาหารกันดีกว่า ได้โอกาสที่ลูกค้าทยอยกันกลับ เราก็เรี่มขอถ่ายรูปตามที่ต่างๆ ร้านนี้กว้างใหญ่ค่ะ เรี่มจากห้องที่เรานั่งทานอาหาร




ฝีมือการตกแต่ง สวยงามปราณีต ไม่แพ้ วังบาเอียเลยค่ะ




ขนาดในห้องน้ำยังสวยเลยค่ะ โดยใช้โทนสีที่เข้ากัน ดูแล้วกลมกลืน








ออกมาจากห้องน้าเห็นมุมนี้สวยดีค่ะ




พบว่ายังมีห้องโถงใหญ่ๆอีก เลยขอเข้าไป ถ่ายรูป พนักงานใจดี เปิดไฟให้ถ่ายรูป ตามสบาย ห้องนี้สวยงามมากๆ ดูโอ่อ่า หรูหรา จริงๆค่ะ






กลับออกมาจากร้านไม่ลืม ถ่ายรูปประตูทางเข้าใว้เป็นที่ระลึกว่าครั้งหนึ่งเราได้มาเยือนที่นี่



ทริปต่อไปชม เทือกเขาไฮแอตลัสซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองมาร์ราเกชไปทางตอนใต้ประมาณ ๖๐ กิโลเมตร และน้ำตกค่ะ



Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2552
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2552 19:18:14 น.
Counter : 7102 Pageviews.

1 comment
พระราชวังบาเอีย (Bahia Palace) Marrakeck
สำหรับพระราชวังในเมืองมาร์ราเกชมีหลายแห่ง ที่น่าสนใจมากคือ พระราชวังบาเอีย (Bahia Palace) แปลว่า พระราชวังของผู้เป็นคนโปรด (Palace of the Favorite) สร้างในสมัยศตวรรษที่ 19 โดยผู้สำเร็จราชการ 2 คน
คือ Si Moussa สมัยสุลต่าน Mohammed ben Abderrahman และลูกชายของเขาคือ Ba Ahmed ผู้สำเร็จราชการสมัยสุลต่าน Moulay Abdelaziz ภายในพระราชวังบาเอียแบ่งเป็น 2 ส่วน สร้างขึ้นในแต่ละสมัยของผู้สำเร็จราชการทั้งสองดังกล่าว เป็นอาคารหมู่ที่มีห้องมากมาย ต่างได้รับการประดับตกแต่งด้วยงานไม้แกะสลัก กระเบื้องเซลลิช ปูนปั้น ทาสีและลงทองคำเปลวอย่างงดงาม มีการใช้วัสดุล้ำค่ารวมทั้งหินอ่อน บริเวณสวนมีน้ำพุและดอกไม้โดยรอบ

เรามาชมความงามกันค่ะ ว่าจะงดงามสักปานใด ตามมาเลยยยย




ประตูทางเข้าค่ะ




ซื้อบัตรเข้าชมด้านใน คนละ สิบ ดีรัม




สองข้างทางจะมี ส้ม ต้นกล้วย ต้นมะเดื่อ และอื่นๆค่ะ




สุ้มประตูทางเข้าสวยงามมากๆ




งานไม้แกะสลัก






ลวดลายที่สวยงามวิจิตรตระการตา






ตรงกลางเป็นลานกว้าง






นั่งพัก รับแดดอุ่นๆ หายเมื่อยแล้วค่อยไปเดินชมต่อ




มาชมความงาม ของพระราชวัง กันต่อค่ะ






สีสัน และความสวยงาม แตกต่างกันไป










อ่างน้ำพุกลางลาน ช่างสวยงามจริงๆ




ชอบงานแกะสลักภาพนี้มากเลย




ลวดลาย และสีสัน ช่างงดงามประทับใจ








ทะลุมาถึงสวน ที่มีต้นไม้ ดอกไม้ ดูร่มรื่นมากๆ






สิ่งก่อสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้น ก็ยังเหลือใว้ ซึ่งความงดงามให้ได้เห็น แม้จะสร้างมาแล้วนับพันปี ถึงแม้ผู้สร้างผู้อาศัยจะสิ้นไปแล้ว แต่เมื่อหันมามองตัวเราจะมีอะไร เหลือใว้ให้คนรุ่นหลังได้ ชื่นชมบ้าง นอกจากความดีสุด และเล็วที่สุดเท่านั้นเอง ตอนต่อไป จะพาไปทานอาหาร พื้นเมืองในบรรยากาศ ในวัง



Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2552
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2552 15:01:46 น.
Counter : 2259 Pageviews.

3 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  

shada
Location :
น้ำหนาว เพชรบูรณ์ , เกาะพงัน สุราษฯ  Ghana

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



พระไตรปิฏก เป็นตาที่วิเศษยิ่ง.....พระไตรปิฏก เป็นหูที่วิเศษยิ่ง พระไตรปิฏก เป็นจมูกที่วิเศษยิ่ง.....พระไตรปิฏก เป็นลิ้นที่วิเศษยิ่ง พระไตรปิฏก เป็นกายที่วิเศษยิ่ง.....พระไตรปิฏก เป็นใจที่วิเศษยิ่ง พระไตรปิฏก เป็นครู-อาจารย์ที่วิเศษยิ่ง.....พระไตรปิฏก เป็นพ่อ-แม่ที่วิเศษยิ่ง พระไตรปิฏก เป็นมิตรและเข็มทิศที่วิเศษยิ่ง.....พระไตรปิฏก เป็นแผนที่และป้ายบอกทางที่วิเศษยิ่ง
พระไตรปิฏก เป็นแสงสว่างส่องทางสู่นิพพานที่วิเศษยิ่ง

ธรรมวินัยอันพระตถาคตเจ้าประกาศแล้วเปิดเผย ไม่กำบังจึงรุ่งเรือง (เล่ม ๑๐ หน้า ๔๖๕_ปกน้ำเงิน)
บัญญัติของพระพุทธเจ้า จากพระไตรปิฎกชุด 91 เล่ม ของมหามกุฎราชวิทยาลัย เล่ม 3
(ปกสีแดง หน้า 887 ปกสีน้ำเงิน หน้า 940)
พระบัญญัติ อนึ่ง ภิกษุใด รับก็ดี ให้รับก็ดี ซึ่ง ทอง-เงิน หรือยินดี ทอง-เงิน อันเขาเก็บไว้ให้ก็ดี เป็นนิสสัคคียปาจิตตีย์(นิสสัคคียปาจิตตีย์ 1 ตัว ต้องตกโรรุวนรก 1 ชั่วอายุ คือ 4,000 ปีของนรกขุมนี้ เท่ากับ 840,960,000 ล้านปีมนุษย์)

พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535 ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.ให้ไว้ ณ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2535
เป็นปีที่ 47 ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยคณะสงฆ์ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่รัฐสภาดังต่อไปนี้ มาตรา 15 ตรี มหาเถรสมาคมมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
...(4)รักษาหลักพระธรรมวินัยของพระพุทธศาสนา
**หยุดทำร้ายพระพุทธศาสนา(โยมควรเรียนรู้) ทำบุญแล้วเป็นบาป ตกนรกทั้งพระและโยม
1.ตักบาตรด้วยเงินและทอง
2.ตักบาตรด้วยสิ่งของที่ต้องห้าม ข้าวสารอาหารแห้ง-ดิบ
3.ทำบุญกับพระทุศีล(ผิดศีลธรรมและไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย)รับเงิน รับทอง มีบัญชีเงินฝากธนาคารเป็นของตนเอง มีบัตรเอทีเอ็ม มีบัตรเครดิต
4.ฯลฯ
จากพระไตรปิฎกและอรรถกถาแปลไทยฉบับมหามกุฎราชวิทยาลัย 91 เล่ม
**ชาวพุทธทั้งหลาย ขอให้อธิษฐานเพื่อถวาย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดังนี้
"ขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงบันดาลบุญของข้าพระพุทธเจ้าให้เข้าไปรวมเป็นพระราชกุศลของ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พลังบุญทั้งหลาย ที่พระองค์ได้ทรงกระทำต่อพสกนิกรและราชอาณาจักร ขอบุญนั้นทั้งหมด จงเป็นพลังขับดันโรคภัยทั้งหลายที่กำลังเกิดในพระวรกายของพระองค์ให้อันตรธานไป"

จากหลักฐานเทียบเคียงของการใช้สัจอธิษฐาน ในพระไตรปิฎก 91 เล่ม ฉบับมหามกฎราชวิทยาลัย เล่ม 74 หน้า 447-479 ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.2499 มาตรา 1, 3, 341, 342 และ 343 หรือศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักสงฆ์ป่าสามแยก ต.วังกวาง อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ (www.samyaek.com) ผู้มีปัญญาทั้งหลาย ขอจงพิจารณาเอาเถิด เพราะไม่บังคับให้ใครมาเชื่อหรือทำตาม เพียงแต่นำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาเปิดเผย เพื่อให้ชาวพุทธปฏิบัติได้ถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น
ยินดีในบุญกับทุกท่านที่รวมใจกันเปิดเผยพระธรรมวินัยให้รุ่งเรือง ค่ะ

ชฎา มีโครงการ จะเปิด บ้านพักตากอากาศ ติดถนน ติดทะเล ไม่ไกลจาก ท่าเรือ ท้องศาลา บรรยากาศ เหงียบ สงบ เป็นธรรมชาติ ให้เช่าที่เกาะพงัน

"สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 ห้ามผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความใน blog แห่งนี้ไปใช้ ทั้งโดยเผยแพร่และเพื่อการอ้างอิง โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด"