Mygazine : เก็บทุกสิ่งที่สนใจ

คนจะแก่ แก่ความรู้ ใช่อยู่นาน

ที่มาของการจั่วหัวอย่างที่ปรากฏหราอยู่ข้างบน ก็คือ การต้องกลับไปบ้านเกิดเมืองนอน เพื่อขอสำเนาสูติบัตรสำหรับใช้ในการรับรองการจดทะเบียนสมรสที่ประเทศสามี

บริการทุกอย่างที่ได้รับจากเจ้าพนักงานที่อำเภอที่ฉันเกิดดีหมด ค้นแฟ้มใบเกิดอย่างขะมักเขม้น เพียงแต่ค้นเท่าไหร่ก็ไม่เจอ ฉันเองก็ช่วยค้นไปหนึ่งรอบ และผลสุดท้ายก็ไม่เจออีกเหมือนกัน

พอดีนึกขึ้นได้ว่า พ่อเคยมาหาแล้วเพื่อประกอบการการเบิกค่าเล่าเรียนบุตร (สมัยที่ฉันเข้าเรียนระดับมัธยมต้น) และก็ไม่เจอเหมือนกัน ดังนั้น จึงจำเป็นต้องขอหนังสือรับรองใบเกิด

เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าพนักงาน ก็ให้คำแนะนำอย่างดีว่า ถ้าต้องขอใบรับรองฯ ต้องนำพ่อแม่ และผู้ใหญ่บ้านมาด้วย เพื่อสอบปากคำเป็นหลักฐานเก็บไว้ตามหลักการ

อ่ะ...อันนี้ ไม่ (น่า) มีปัญหา เพราะพ่อกับแม่ก็ยังอยู่กันครบ แถมผู้ใหญ่บ้านก็เป็นญาติกัน สบายโลด บอกสามีว่า แป๊บเดียวเดี๋ยวก็ได้แล้ว เตรียมร้องเพลงลัลล้าได้เลยว่างั้นเถอะ

พอรวบรวมพยานบุคคลได้ครบก็ยกโขยงกลับมาอำเภออีกครั้งตอนบ่ายโมงตรง

ปัญหาก็เริ่มอุบัติขึ้น ณ บัดเดี๋ยวนั้น..

เมื่อเจ้าหน้าที่ปกครอง (อาวุโส-ฉันเติมให้เองเมื่อดูจากอายุอานาม ซึ่งมีอำนาจตัดสินสูงสุดในฝ่ายทะเบียนราษฎรที่ฉันเข้าไปขอบริการ) อธิบายว่า พยานบุคคลไม่เพียงพอ แม้ว่า พ่อและแม่ของฉันจะยืนยัน (ที่จริงแล้วน่าจะนั่งยันมากกว่า เพราะสองคนอายุเยอะแล้ว ให้ยืนนานๆคงไม่หวาย) แล้วว่า ยายคนนี้เกิดที่บ้านเลขที่นี้ ตำบลนี้ อำเภอนี้จริงๆ (มิได้นึกฝันเอาเองนะเออ)

"ตามระเบียบแล้ว ทางอำเภอไม่สามารถออกใบรับรองได้ทันที โดยไม่สามารถระบุ/หรือมีเอกสารอ้างอิงว่าบุคคลคนนี้ได้เข้ามามีชื่ออยู่ในอำเภอนี้จริง" ท่านเจ้าหน้าที่ปกครอง (อาวุโส) ว่า

แปลให้เข้าใจได้ง่ายอีกทีว่า ต้องไปหาทะเบียนบ้านเก่าแก่ดั้งเดิม (รุ่น 2515) ที่มีชื่อฉันมาแสดงจึงสามารถออกใบรับรองได้

เอ๊า...หาก็หา แต่เนื่องจากทางอำเภอเพิ่งย้ายที่ทำการมาอยู่ที่ใหม่ได้ราวปีเศษ และเจ้าทะเบียนบ้านเก่าแก่ที่ว่านี้ ก็ถูกเก็บไว้หลังที่ว่าการอำเภอเก่า

ได้ความดังนั้น ก็ขับรถไปอำเภอเก่าแล้วค้นกันซิคะ ฉันกับสามีก็ไปด้วย และฉันก็ลงมือช่วยเจ้าหน้าที่ค้นด้วยตัวเอง เอกสารก็เก่า ฝุ่นก็เยอะ สงสัยว่าอยู่ตรงไหนก็เอามาค้นกันซิค่ะ ค้น ค้น ค้น และก็ค้น แต่ค้นเท่าไหร่ก็ไม่เจอ

ฉันเริ่มล้า แต่ยังไม่ท้อ ทำใจดีสู้เสือ และเย้าเจ้าหน้าที่ว่า "อย่างนี้ตลอด 30 กว่าปีที่ผ่านมาฉันก็เป็นคนเถื่อนที่ไร้หัวนอนปลายเท้าหน่ะสิ และมีทางออกที่จะได้ใบรับรองที่ว่านี้ โดยไม่มีทะเบียนบ้านเก่าไปแสดงได้มั๊ย"

เจ้าหน้าที่คนนั้น บอกว่า "มันต้องมีทางออกสิ ทีพม่ายังช่วยกันให้ได้สัญชาติไทยได้เลย แล้วนี่คนไทยแท้ๆ ทำอะไรไม่ได้เลยก็ให้มันรู้ไป"

เมื่อหากันหมดไส้หมดพุงแล้วก็พากันกลับไปที่อำเภอใหม่ ซึ่งห่างจากที่เก่าประมาณ 10 กิโลเมตร

ไปถึงเจ้าหน้าที่ที่ไปค้นทะเบียนบ้านเก่า รายงานกับเจ้าหน้าที่ปกครอง (อาวุโส) ทันทีว่า หาไม่เจอ

คุณเจ้าหน้าที่ปกครองท่านนี้ เรียกฉันไปคุยและสาธยายว่า เป็นไปไม่ได้ที่ทางเรา (อำเภอ) จะออกใบรับรองใบเกิดให้ดิฉัน เพราะพิสูจน์ไม่ได้ว่า ดิฉันเกิดที่อำเภอนี้จริง...โดยท่านคนนี้ จะพูดซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายประโยค แต่พอสรุปแล้วก็คือ เรื่องเดิม ว่า "ไม่กล้าออกให้เพราะกลัวว่าฉันไม่ได้เกิดที่อำเภอที่ว่านี้จริง"

เอาหล่ะซิตรู...เหงื่อหยดติ๋งติ๋ง...จากที่นึกเอาว่าจะง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากทุกอย่างกลับกลายเป็นยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก

เท่าทันความคิดและความเชื่อที่เคยท่องไว้ในใจเสมอว่า "ทุกปัญหามีทางออก" ปากก็เปิดพูดและถามเจ้าหน้าที่ปกครอง(อาวุโส)ท่านเดิมว่า "แล้วจะไม่มีทางจะออกใบรับรองให้ได้เลยเหรอค่ะ"

(ก็เอ๊ะ บอกไปแล้วว่าออกให้ไม่ได้ ยังจะมาเซ้าซี้ถามอยู่ได้-ฉันติ๊ต่างว่าเจ้าหน้าที่ปกครองอาวุโสท่านนั้นคงคิดอย่างนี้ ณ วินาทีนั้น)

ท่านทำท่าเหนื่อยหน่าย และเรียกให้เจ้าพนักงานไปค้นระเบียบปฏิบัติว่า ถ้าเป็นแบบนี้ ทางกระทรวงฯมีระเบียบปฏิบัติว่าไว้อย่างไร

ระหว่างที่เจ้าพนักงานค้นระเบียบปฏิบัติ...ปีศาจร้ายในตัวฉันถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา

ฉันนั่งเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ปกครองท่านนี้ ท่านก็ยังคงอธิบายว่าทำไมถึงออกให้ไม่ได้ บลา บลา บลา

ฉันคิดว่าฉันเริ่มเบื่อกับคำอธิบายที่สรุปความได้เหมือนเดิมแล้ว และเชื่อแน่ว่าหน้าตาที่มองเท่าไหร่ก็ไม่ค่อยจะโสภาของฉัน คงเริ่มจะแสดงออกถึงอารมณ์ที่ฉันพยายามปกปิดอยู่ภายในออกมาแล้ว จนผู้ใหญ่บ้านที่เป็นญาติกันบอกว่า ไม่มีปัญหาหรอก เดี๋ยวก็ได้แล้วหล่ะ

ปิ๊ง!!! เหมือนสวรรค์มาโปรด เราเจอทางออกของปัญหาโลกแตก (อาจจะเป็นสำหรับฉันคนเดียว) แล้ว เมื่อเจ้าพนักงานนำระเบียบปฏิบัติมาให้กับท่านเจ้าหน้าที่ปกครอง (อาวุโส)

สักพักท่านก็อ่านเสียงดังให้ฉัน ผู้ใหญ่บ้านที่นั่งอยู่แถวนั้นฟังอย่างชัดถ้อยชัดคำ

ฉันจำระเบียบที่เขียนไว้ได้ไม่หมด แต่ขอสรุปว่า "ถ้าไม่มีหลักฐานใดๆมาแสดงได้ว่าบุคคลใดบุคคลหนึ่งเกิดที่อำเภอใดอำเภอหนึ่งจริง ให้นายอำเภอท้องที่มีอำนาจสอบสวนพ่อแม่และ/หรือพยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง และออกใบรับรองใบเกิดได้"

โดยเจ้าหน้าที่ปกครองอาวุโสท่านนี้ ตีความว่า ต้องเป็นนายอำเภอท้องที่ที่ฉันมีทะเบียนบ้านอยู่ในปัจจุบันเท่านั้น เมื่อฉันถามว่า ทำไมต้องเป็นนายอำเภอท้องที่ที่ฉันมีทะเบียนบ้านอยู่ในปัจจุบัน (คือ กรุงเทพเมืองฟ้าอมร) แทนที่จะเป็นนายอำเภอที่ฉันคิดว่าฉันเกิด?

ท่านก็ตอบด้วยคำตอบที่ฟังดูมีเหตุผล ว่า "กฏหมายไม่อยากให้ประชาชนต้องลำบากเดินทางมาไกลยังอำเภอบ้านเกิด หรือจะเรียกว่า อำเภอที่คิดว่าตัวเองเกิดก็ได้ เพราะท่านไม่เชื่อว่า ฉันเกิดที่อำเภอนี้จริง"

แต่ตัวฉันเอง กลับเห็นในทางตรงข้าม ว่า ถ้าให้เมคเซนส์ควรจะเป็นนายอำเภอที่ฉันคิดว่าฉันเกิด (แม้ว่าฉันและพ่อแม่จะยืนยันว่าฉันนั้นลืมตาดูโลกที่อำเภอนี้จริง)

เพราะถ้าเรารู้ว่าเราต้องขอใบรับรองใบเกิด นั้นแสดงว่าเราได้เดินทางมาบ้านเกิดเราแล้ว และพบว่าใบเกิดเราได้อันตรธานหายไปจากโลกนี้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น จึงเป็นการสมเหตุสมผลว่า ควรจะเป็นนายอำเภอท้องที่ที่เราคิดว่าเราเกิด ไม่ใช่ต้องหอบสังขารฉัน ที่สำคัญพ่อแม่ และผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านที่ฉันคิดว่าฉันเกิด กลับไปให้นายอำเภอท้องที่ที่ฉันมีทะเบียนบ้านสอบสวนและออกใบรับรองใบเกิดให้ด้วยประการหล่ะฉะนี้

แหละการถกเล็กๆน้อยๆ ก็เกิด โดยเจ้าหน้าที่ปกครองอาวุโสยืนยันว่าต้องเป็นนายอำเภอท้องที่ที่ฉันมีทะเบียนบ้านเท่านั้น ส่วนฉันก็บอกว่าด้วยสามัญสำนึกแล้วควรจะเป็นนายอำเภอท้องที่ที่ฉันคิดว่าฉันเกิด

ผู้ใหญ่บ้านเห็นท่าไม่ค่อยดี หรือกลัวฉันจะยั้งใจไม่อยู่ทำร้ายเจ้าหน้าที่ปกครอง (อาวุโส) หรืออย่างไร ไม่สามารถรู้ได้ ก็หอบแฟ้ม เอกสาร พร้อมหนังสือว่าด้วยระเบียบปฏิบัติไปให้นายอำเภอช่วยตีความ

นายอำเภอถามรายละเอียด แล้วอ่านตัวระเบียบปฏิบัติ ก็เรียกให้เจ้าหน้าที่ปกครอง (อาวุโส) ท่านเดิมขึ้นไปหาที่ห้อง และบอกว่าให้ดำเนินการสอบสวนพ่อแม่ และผู้ใหญ่และออกใบรับรองใบเกิดให้กับฉัน โดยท่านจะเซ็นให้เอง ซึ่งสิริรวมเวลาที่ฉันใช้ไปทั้งหมดนับตั้งแต่บ่ายโมงจนนายอำเภอบอกว่าดำเนินการได้ก็ล่วงเข้าไปจะบ่ายสามโมงแล้ว

พ่อแม่ ฉัน สามี และผู้ใหญ่บ้าน ไม่มีใครมีข้าวเที่ยงตกท้องกันซักคน สงสารที่สุด คือ พ่อแม่ของฉัน ที่จะต้องโดนท่านเจ้าหน้าที่ปกครอง (อาวุโส) สอบสวนอยู่อีกนานสองนานกว่าจะเสร็จ เพราะท่านเขียนหนังสือช้า เขียนผิดเขียนถูก เพราะเวลาทำการใกล้หมดแล้ว

จนเกือบ 16.30 ซึ่งเป็นเวลาปิดทำการ นายอำเภอลงไปหาเจ้าหน้าที่ปกครองอาวุโส และบอกว่าให้ทำให้เสร็จและให้ปลัดอาวุโสเซ็นแทนได้

ถ้าฉันระบายความรู้สึกได้ ฉันก็จะระบายออกมาได้ว่า ในเมื่อเรื่องมันถึงที่สุดแล้ว หาเอกสาร หลักฐานใดๆไม่เจอ มันมีเหตุผลกลใด ที่จะไม่เชื่อพ่อแม่ฉันที่นั่งยันยืนยันว่า ฉันเกิดที่อำเภอนี้จริง เพราะทั้งสองคนก็ไม่ได้แก่ขนาดความจำเลอะเลือน

ขณะที่ปีศาจร้ายในตัวฉัน ให้ความเห็นแบบก้าวร้าวว่า มรึงไม่น่าจะอยู่เป็นเจ้าหน้าที่ปกครองจนจะเกษียณอายุราชการในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้แล้ว เพราะนอกจากวุฒิภาวะไม่พอแล้ว วุฒิการศึกษาก็เริ่มจะติดลบเสียแล้ว (ตีความผิดๆถูกๆ) และที่สำคัญอยู่ไปก็เปลืองภาษีชาวบ้านโดยเปล่าประโยชน์


แต่ด้วยความเคารพ 2 ย่อหน้าข้างบนเป็นการเขียนระบายความรู้สึกของฉัน แต่ในทางปฏิบัติฉันแสดงความนอบน้อมกับท่านอย่างมีสัมมาคาระวะ และได้แต่ขอให้ท่านมีความสุขหลังเกษียณอายุไปแล้ว รวมทั้งขอแสดงความยินดีกับประชาชนในอำเภอนี้ด้วยว่าต่อไปท่านจะไม่ต้องเจอกับความยากลำบากอีกต่อไป




 

Create Date : 03 พฤศจิกายน 2549    
Last Update : 3 พฤศจิกายน 2549 19:36:39 น.
Counter : 628 Pageviews.  

พัทยามุมใหม่ ไฉไลกว่าที่คิด

เพราะเพิ่งจะย้ายนิวาสถานจากบางกอกมาอยู่พัทยา ดังนั้น ถ้าเรื่องราวในบล็อกจะอุดมไปด้วยแง่มุมต่างๆเกี่ยวกับพัทยา เกี่ยวกับบ้าน บ้าน และก็บ้านไปบ้าง...ไม่ว่ากันนะค่ะ

ต้องยอมรับว่า "พัทยา" ในความคิดของดิฉันก่อนหน้านี้ ไม่ค่อยจะโสภา (สถาพร) ซักเท่าใดนัก

ถ้าถามในฐานะนักท่องเที่ยวคนไทยว่าสนใจจะมาพักผ่อนที่พัทยาบ้างไหม? คำตอบที่ได้ก็คงจะหนีไม่พ้นว่า "ไม่" เพราะถ้าเลือกได้ดิฉันของนั่งรถต่อไปอีกซักหน่อยไปขึ้นเกาะเสม็ดที่ระยองดีกว่า (นิ)...ไม่ต้องพูดถึงว่าจะย้ายมาอยู่ หรือทำงานที่เมืองนี้

เพราะอะไร...ใครๆหลายคน (รวมถึงดิฉันด้วย) คงมีเหตุผลในใจที่พร้อมจะอธิบายเป็นคำพูดอยู่แล้วทุกคน

แต่พอได้มาสัมผัสจริงๆ (หลังจากอยู่มา 3 เดือน) บอกได้คำเดียวว่า พัทยามิได้เป็นอย่างที่คิด

จากที่ดิฉันเคยคิดเอาเองว่า ถ้าพูดถึงพัทยา ก็ต้องนึกถึงชายหาดที่เต็มไปด้วยทรายสีขุ่น น้ำทะเลสีห่างไกลจากคำว่าฟ้า มองไปทางไหนก็มีแต่นักท่องเที่ยวฝรั่งนอนอาบแดดอยู่ทุกตารางเมตร และอิงแอบด้วยผู้หญิงอาชีพพิเศษ

ไม่เถียงว่า ภาพที่ดิฉันคิดเอาเองยังมีอยู่ แต่มีอยู่แค่เพียงบางส่วน บนถนนบางสายของพัทยาเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งเมืองจะกลายเป็นเมืองของคุณฝรั่งกับเพื่อนหญิงอาชีพพิเศษทั้งหมดซะเมื่อไหร่

"พัทยา" มีพื้นที่อีกมากสำหรับมนุษย์สัญชาติไทยเดินดินคนปกติ

มีห้างสรรพสินค้า ที่ไม่ได้เน้นบริการเฉพาะชาวต่างชาติ (จากที่เห็นทุกห้าง ก็มีทั้งคนไทยและคนฝรั่งเดินกันอย่างขวักไขว่ แต่สัดส่วนคนไทยมากกว่า)

มีโรงแรม ร้านอาหารที่ยินดีต้อนรับทั้งคนไทยและคนต่างชาติ (แต่จะได้รับบริการจากพนักงานบางคนต่างกันหรือไม่ อันนี้ ตาดีได้ตาร้ายเสีย...ถ้าตาเกิดเสีย ก็วีนเลยค่ะ พวกเขาจะได้ตาสว่างเห็นแจ้งรู้จริงซะที)

มีชายหาดที่ได้รับการปรับปรุงให้มีระเบียบ และสะอาดมากกว่าเดิม และที่สำคัญไม่ว่าคุณจะผมสีทอง หรือดำสนิท คุณสามารถเข้ามานอนพึ่งพุงรับลมทะเลกันได้ถ้วนทั่วหน้าทุกคนค่ะ

และเร็วๆนี้ ทางรัฐบาลจะมาเปิดโครงการบ้านเอื้ออาทรที่นี้ ให้ชาวบ้านชาวช่อง ได้มีโอกาสเป็นเจ้าของบ้านในราคาที่สามารถผ่อนจ่ายกันได้โดยไม่ติดขัดแบบชักหน้าไม่ถึงหลัง

ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงบางตัวอย่าง ที่ดิฉันต้องการจะบอกว่า "พัทยา" ไม่ใช่เมืองของฝรั่งอย่างที่ดิฉันเคยเข้าใจ แต่พันเปอร์เซ็น ล้านเปอร์เซ็น ยังไง้ ยังไง "พัทยา" ก็ยังเป็นเมืองของคนไทยค่ะ

และดิฉันก็เป็นอีกหนึ่งคนไทยที่ขอเข้ามาแบ่งพื้นที่อาศัย พื้นที่กิน พื้นที่ทำมาหากิน พื้นที่หายใจ ที่ "พัทยา" ด้วยคน




 

Create Date : 30 กันยายน 2549    
Last Update : 30 กันยายน 2549 20:52:11 น.
Counter : 439 Pageviews.  

1  2  3  4  

Never be Afraid to Dream
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]









หมายเหตุ :
1. ขอขอบคุณเจ้าของโค้ด รูป และของแต่งบล็อกที่รวมกันเป็นบล็อกนี้ทุกท่านและขออภัยที่ไม่สามารถเอ่ยชื่อได้ เนื่องจาก จขบ.เซฟมาเยอะจนไม่สามารถจำได้ว่าเอามาจากบล็อกของท่านใดบ้าง

2. ขอขอบคุณไว้ล่วงหน้า ณ ที่นี้ สำหรับทุกท่านที่แวะมาเยี่ยม มาแสดงความเห็นค่ะ และขออภัยหากไม่ได้กลับไปเยี่ยม
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Never be Afraid to Dream's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.