อย่าไปค้ำประกันใคร ถ้าไม่อยากได้หนี้กองโตโดยไม่รู้ตัว
เมื่อตอนเป็นเด็กได้ยินพ่อแม่ ผู้ใหญ่คุยกันว่า อย่าเผลอไปค้ำประกันใครเข้าหล่ะ เดี๋ยวจะได้หนี้กองโตโดยไม่รู้ตัว ตอนนั้นไม่เข้าใจ ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ใส่ใจเพราะยังเป็นเด็ก
แต่ตอนนี้แก่เป็นผู้ใหญ่เองแล้ว ก็ยังไม่ค่อยรู้สึกรู้สาอะไรกับประโยคที่ว่าไว้ข้างบน อาจจะเพราะไม่เคยหลวมตัวไปเซ็นค้ำประกันอะไรให้ใคร จนกระทั่งวันหนึ่งได้รับข่าวมิสู้ดีจากญาติสนิทมิตรสหายว่า ต้องเข้าไปรับผิดชอบหนี้ที่เกิดขึ้นจากการไปค้ำประกันการซื้อรถกระบะให้กับญาติๆกัน แล้วตัวการก็หนีหายเข้ากลีบเมฆ เพราะรับภาระหาเงินมาผ่อนไฟแนนซ์ไม่ไหว บริษัทไฟแนนซ์ก็เลยมาตามเอากับคนค้ำประกันแทน
จขบ.อยากจะช่วยญาติ เลยลองหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตดู และได้รู้ว่า
1. เมื่อไปจรดปลายปากกาลงนามค้ำประกันการทำสัญญาเช่าซื้อ หรืออะไรก็แล้วแต่ นั่นหมายความว่า คุณยินยอมพร้อมใจจะรับผิดชอบในหนี้ที่คนอื่นก่อโดยไม่มีข้อแม้
คุณมีชัย ฤชุพันธุ์ อธิบายความหมายของการค้ำประกันสั้นๆแต่ได้ใจความไว้ในเวบไซต์ของท่าน //www.meechaithailand.com ว่า "การค้ำประกันคนนั้น ก็คือ การยอมตัวเข้ารับชำระหนี้แทนคนอื่นในกรณีที่คนที่เป็นลูกหนี้เขาไม่ชำระ ไม่ว่าจะเป็นเพราะเขาไม่มีชำระ ตายไปแล้ว หรือเพราะไม่อยากชำระ และทันทีที่เขาไม่ชำระไม่ว่าเขาจะยังมีทรัพย์สินเงินทองมากมายเพียงไร มีฐานะดีอย่างไร เจ้าหนี้เขาก็มีสิทธิมาเอาจากผู้ค้ำประกันได้ทันที"
2. ครั้นอยากจะยกเลิกการค้ำประกัน เมื่อได้กลิ่นตุๆ ว่าคนซื้อเริ่มเบี้ยวการผ่อนชำระ กม.ท่านบอกว่า ทำได้ถ้าหาคนค้ำใหม่ ที่เจ้าหนี้พอใจมาค้ำแทนแต่ความจริง คือ ไม่มีใครอยากเข้ามาค้ำสัญญาที่ส่งกลิ่นไม่ดี และแน่นอนเจ้าหนี้ก็ย่อมไม่ให้มีการเปลี่ยนคนค้ำประกันกันง่ายๆ
3. ถ้าคนซื้อไม่ผ่อนบริษัท ก็ปล่อยให้บริษัทยึดรถคืนไปนั้น ย่อมทำกันได้ แต่ช้าก่อน บริษัทไฟแนนซ์จะเอารถออกขายในราคาที่ถูกแสนถูก ได้มาเท่าไหร่ก็เอามาหักลบกลบหนี้ ซึ่งแน่นอนว่ายังเหลือหนี้ที่ต้องชดใช้บริษัทอีกจำนวนหนึ่ง และบริษัทไฟแนนซ์ในฐานะเจ้าหนี้ก็จะมารีดเอากับคนซื้อ รวมถึงคนค้ำประกันด้วยค่ะ และเผลอๆอาจต้องเสียดอกเบี้ยร้อยละ 20 ให้กับมูลค่าหนี้ที่ค้างชำระ ระหว่างรอบริษัทไฟแนนซ์เอารถออกขายด้วย
4. และในที่สุด ถ้าหากยังไม่มีการชำระหนี้กันทั้งจากผู้ซื้อ หรือคนค้ำ บริษัทไฟแนนซ์ ก็จะส่งเรื่องฟ้องศาล คนซื้อ คนค้ำ ต้องเสียเวลาไปศาล เสียค่าทนาย และผลสุดท้าย เรื่องก็จะเป็นแบบข้อ 3 ค่ะ
5. การค้ำประกันนั้นจะสิ้นสุดลงเมื่อได้มีการชำระหนี้จนครบถ้วนแล้ว
สรุปสุดท้าย คือ การเป็นคนค้ำประกันนั้นมีแต่เสียกับเสียค่ะ ถ้าจะให้ดีมีลูกสอนลูก มีหลานสอนหลานว่า "ชีวิตนี้อย่าไปเผลอค้ำประกันอะไรให้ใครโดยเด็ดขาด"
เหมือนดังที่คุณมีชัย ฤชุพันธุ์ ไขข้อข้องใจเรื่องการค้ำประกันไว้ในเวบไซต์ของท่านว่า
"การค้ำประกันให้ใครนั้น เป็นเรื่องง่าย ๆ เหมือนปลอกกล้วยเข้าปาก ทำแล้วก็ไม่ได้มีบุญคุณอะไร เพราะส่วนใหญ่เขาจะมาบอกว่า ช่วยเซ็นต์ให้หน่อย ซึ่งแปลว่าในความรู้สึกของเขา เป็นเรื่องหน่อยเดียวจริง ๆ แต่เมื่อค้ำประกันแล้วเป็นเรื่องยากยิ่งกว่าภูเขาทับอก จะต้องนอนฝันผวาไปจนกว่าเขาจะชำระหนี้กันหมด คนไม่รู้เรื่องอะไรและไม่เห็นความสำคัญของตัวเองเท่านั้นแหละจึงจะนอนหลับได้ในระหว่างนั้น"
ส่วนจขบ. หลังจากนั้งหลังขดหลังแข็งหาข้อมูลด้วยหวังว่าจะช่วยอะไรญาติได้บ้าง ก็ได้ให้สัญญาไว้กับตัวเองว่า ชาตินี้ดิฉันจะไม่เซ็นค้ำประกันอะไรให้ใครโดยเด็ดขาดค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก //www.meechaithailand.com และอีกหลายเวบที่จขบ.เข้าไปฉกข้อมูลมาแต่จำไม่ได้เพราะเยอะมากกกกก |
Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2552 |
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2552 14:37:13 น. |
|
0 comments
|
Counter : 848 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|