ชีวิตคนไทยธรรมดาในเบลเยี่ยม
Group Blog
 
All blogs
 

ไอ้เด็กเยอรมันคนนี้ ไม่รู้จะสงสารมันดีหรือเกลียดมันดี

เมื่อสองวันก่อน ไอ้น้องแอนน์โทรมาตอนตี 5!!
"ฮะโหล ผึ้งเหรอ แอนน์นะ คือว่า ขอโทษที่โทรมาปลุกนะ แต่รถเพิ่งถึงข้าวสารเมื่อกี๊" กรู ดูนาฬิกา แม่งงง ... ตี 5 โทรมาไม่เกรงใจนรกบ้างเลย

แอนน์อายุ 19 มาจากบ้านนาในเยอรมนี แต่บ้านเงินทองเหลือใช้ พ่อแม่มันเลยให้ทุนสนับสนุนมาเที่ยว แล้วมันก็มาของมันคนเดียว ตอนแรกยังคิดว่า เออ มันก็เก่งนะ มันมาของมันคนเดียวได้

จนกระทั่งมันโทรมาปลุกเราตอนตี 5 เมื่อสองวันก่อนนั่นแหละ
ทั้ง ๆ ที่ไม่มีการบอกล่วงหน้าอะไรเลย อยู่ดี ๆ แม่งก็โทรมา

มายา คนอิสราเอลที่มานอนที่บ้านอยู่ตอนนั้นมันยังงง
"ใครวะ"
"จำเด็กผู้หญิงที่เจอที่มีทติ้งครั้งก่อนได้ปะ"
"ที่ไปเที่ยวผับแล้วโดนห้ามเข้าอะ?"
"เออนั่นแหละ"
"ไมวะ"
"มันอยู่ข้าวสาร มันบอกว่าขอมาที่บ้านได้มั้ย"
"นี่มันกี่โมงแล้วเนี่ย"
"ตีห้า.."
"เวร.."
"เออ..แต่ จะปล่อยมันไว้ตรงนั้นก็สงสาร"

แล้วไอ้น้องแอนน์ก็มา พร้อมกระเป๋าเป้ ใบเท่าบ้าน หน้าตาเหมือนศพเดินได้ มาถึงก็นอนหลับปุ๋ย กรูซิ.. ถูกปลุกให้ตื่นมาตอนตี 5 แถมจะกลับไปนอนยังนอนไม่หลับอีก!!

11 โมงเช้า...ไอ้น้องแอนน์ตื่นมา ขยี้ตา แล้วมีหน้ามาถาม
"อ้าวผึ้ง ไม่ได้นอนเหรอ"
เออกูก็อยากนอนอยู่เหมือนกันแหละโว้ย ปะโธ้...

วันรุ่งขึ้นมายาต้องขึ้นเครื่องกลับบ้าน บินจาก กทม ไปรอต่อเครื่อง ที่นิวเดลี ก่อนจะบินต่อไป แอลเอ

ก่อนกลับก็มีของต้องซื้อ เลยบอกแอนน์ว่าจะอยู่บ้านก็ได้นะเดี๋ยวมา มันก็ไม่เอา จะมาด้วย ปรากฎว่ามาเดิมตามต้อย ๆ เหมือนผีตายซาก กินอะไรก็ไม่กิน ทำอะไรก็ไม่ทำ เห็นแล้วเซ็ง

ส่งมายาขึ้นรถไปแล้ว ส่วนไอ้น้องแอนน์บอกให้มันไปเดินเที่ยวซะบ้าง จะใช้อินเตอร์เ็น็ตก็ให้ไปที่ UTC เำพราะมันถูก

ปรากฎว่าตอนค่ำๆ ไอ้น้องแอนน์กลับมา ไม่พูดไม่จา ได้แต่นั่งงุด จดอะไรไม่รู้ยิกๆ คงวางแผนการเดินทางไปกัมพูชา ไอ้เราก็มีงานต้องทำ เลยนั่งทำงานไม่ได้คุยกะมันมาก พองานเสร็จนั่นแหละถึงได้ชวนมันคุย

ปรากฎว่าอีนี่ ร้องไห้เฉยเลย เราก็งง อ้าว เป็นไรอีกล่ะ ใครตายหรือไง เปล๊าาาา มันบอกว่า มันรู้สึกอยากจะร้องไห้ เพราะก่อนหน้านี้มันอยู่กับ ลอร์ (เพื่อนเบลเยี่ยมของเราอีกคน ที่เราส่งมันไปเที่ยวกระบี่พร้อมกัน) ตอนนี้มันต้องไปกัมพูชาคนเดียว ส่วนลอร์ยังอยู่กระบี่ มันบอกว่ามันรู้สึกโดดเดี่ยว

ไอ้ตอนแรกฟังดูก็สงสารอยู่หรอก...

"แล้วคนที่นี่ก็ไม่พูดภาษาอังกฤษกันเลย หนูคุยกะใครไม่รู้เรื่องเลย แงๆๆๆๆ หนูอยากกลับบ้าน!! หนูอยากไปออสเตรเลียแล้ว! ไม่อยากอยู่แล้วเมืองไทยแล้วววว!ทำไมที่นี่มันช่างเที่ยวยากเที่ยวเย็นแบบนี้ อี๊ อี๊ อี๊ อี๊"

เอา เอาเข้าไป ร้องเข้าไป หรือว่ามันลืมว่ามันพูดอยู่กับคนไทยวะ ...

แต่มรึงว่าเมืองไทยเที่ยวยาก มรึงรอให้ไปถึงเขมร ถึงเวียดนามก่อนเหอะเมิ๊ง.. แล้วจะอยากกลับมาแทบไม่ทัน

คิดไปคิดมา แม่ง อายุ 19 เอง แล้วมันเคยไปไหนมาไหนไกล ๆ คนเดียวซะเมื่อไหร่ ทริปแรกแม่งก็เล่น South East Asia เลย ใจนึงก็สมน้ำหน้ามันนะน่ะ (ยอมรับว่าใจร้าย) ก่อนจะมาเที่ยวไม่รู้หรือไง ว่าคนที่นี่ไม่ได้พูดอังกฤษกันทุกคน แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหานี่หว่า

ก็บอกมันไปว่า ถึงคนที่นี่บางคนไม่พูดอังกฤษ แต่ยังไงเ้ค้าก็จะพยายามช่วยนะ ก็พยายามหน่อยซิ! พยายามมากกว่านี้หน่อย ไม่ใช่ว่าเอาแต่นั่งงอแง ว่าทำไมแกไม่พูดภาษาอังกฤษกะชั้นวะ "มันงี่เง่าเกินไปปะ นี่มัน South East Asia นะ ไม่ใช่ ออสฯ ไม่ใช่นิวซีแลนด์ ก่อนมาไม่รู้เหรอไงน้อง" เราด่ามันตรงๆ

มันก็เอาแต่ร้องไห้แง ๆ "อยากหาแม่อ่ะ"

เวรรรรรรรรรรรรรรรรรร มรึงมาทำไมของมึงเนี่ยยยยยยย...
อยู่บ้าน รอให้อายุ 20 กว่า ๆก่อนแล้วค่อยมาเหอะ นี่แม่งไม่เคยไปไหนเลย อยากโชว์เก๋า กูเอาเล้ย มาเมืองไทย ไปเขมร ไปลาว เป็นไงล่ะ มานั่งร้องไห้ซะอย่างนั้น บอกให้กลับบ้านที่เยอรมนี มันก็ไม่ไป
"พ่อตีตายเลย ทริปนี้แพงมาก" แล้วแม่งแพลนจะเที่ยวตั้งครึ่งปี ชั้นว่ามันจะตายตั้งแต่เดือนแรกแล้วด้วยซ้ำ

เมื่อเช้าไอ้น้องแอนน์จะไปอรัญประเทศ รถเที่ยว 6 โมง
เราเลยบอกให้ตื่นตี 4 ครึ่ง เพราะว่ามันจะอาบน้ำแต่งตัว จัดของอีก มันก็ตั้งนาฬิกา แล้วก็นอนหลับคร่อก

ตี 4 นาฬิกาปลุกอยู่กว่า 10 นาที ไอ้น้องแอนน์หลับไม่รู้เรื่อง แต่กรูซี๊ ... กรูนี่ ต้องตื่นมาเพราะเสียงนาฬิกามัน เพื่อที่จะพบมันหลับอุตุอยู่ในผ้านวม แสนสบาย เราต้องตื่นมาเปิดไฟ ไล่มันไปอาบน้ำแต่งตัว พาไปขึ้นแท็กซี่

มันก็ขึ้นรถไปด้วยหน้าตาแบบ กรูสับสนชีวิตว่ะ ไม่รู้จะอยู่ไปเพื่ออะไร ถึงจะสงสารมันอยู่หน่อย ๆ แต่ก็โล่งใจที่มันไปๆซะได้ อยู่นานกว่านี้ ประสาทจะกิน




 

Create Date : 28 สิงหาคม 2549    
Last Update : 28 สิงหาคม 2549 6:42:56 น.
Counter : 933 Pageviews.  

หรือฝรั่งมันจะราดส้วมไม่เป็นวะ

เพิ่งบ่นถึงมันอยู่แหมบ ๆ แล้ววันนึงมันก็โผล่มาที่บ้าน พร้อมกับกระเป๋าเป้ใบเล็กแบบไม่เหมาะกับขนาดตัวใบเดิม แต่ที่มีเพิ่มขึ้นมาคือถุงพาสติกแบบที่เอาไว้ใส่ของขายกันตามสะพานลอยอ่ะเฮ้ย ดูแล้วแม่งอนาถจริงๆ ขนาดที่ว่ายกมือไหว้มันก็แล้ว ด่าก็แล้ว ทั้งเสียดสี สารพัด มั้นนนน ก็ยังไม่เคยเปลี่ยน

" อะไรนะ จะให้ใส่รองเท้าแตะ!! แกจะบ้าเหรอ" หน้าตามันเหมือนกะว่า เราเพิ่งบอกให้มันเดินแก้ผ้ากลางจตุจักรซะงั้น.. แค่บอกว่ารองเท้าหนังคัชชูน่ะ มันไม่เหมาะกับการเที่ยวแบบนี้เท่าไหร่ แล้วนี่จะไปทะเล ไปซื้อรองเท้าแตะซักคู่จะดีกว่ามั้ย...
"โอ้โน่วว ชั้นทำไม่ได้ จะให้ใส่รองเท้าแตะนี่นะ ทุเรศๆๆ" อย่าว่าแต่รองเท้าแตะเลย เสื้อยืดมันก็ยังไม่ค่อยจะยอมใส่ ร้อนตับจะแหก ยังจะใส่เสื้อเชิ้ตหนา ๆ คลุมเสื้อยืดอยู่ได้ ไม่เข้าใจแม่งจริงๆ

ในที่สุดก็ต้องปล่อยให้มันทำตามใจมัน เออ อยากใส่ไรก็ใส่ ตามใจ แต่เสื้อเนี่ยซักหน่อยจะดีมั้ยอ่า.. วันก่อนที่มันมาที่บ้าน ถอดรองเท้าทีแทบเป็นลม นี่ถ้าไม่สนิทกันคงต้องยอมทนกล้ำกลืนกลิ่นมันไป แต่นี่ไม่มีอะไรต้องเกรงใจกันอีกแล้ว
"เจมส์ ตีนมึงเหม็นมาก!!!"
"เหม็นเหรอ"
"ไม่เหม็นอ่ะ โคตรเหม็น!!ไปล้างเท้าด่วน แล้วถอดถุงเท้าด้วย พ่อเอ็งเป็นซานตาคลอสเหรอใส่ถุงเท้าในบ้าน"
มันก็หัวเราะฮ่าๆๆๆ แล้วก็ยอมไปล้างเท้าแต่โดยดี

แล้วมันก็มาพร้อมเรื่องส้วมบนรถบัสจากกรุงเทพฯ ไป เกาะช้าง ฟังแล้วจะอ้วกเลยต้องมาแบ่งกันอ้วกบ้าง by the way ตรงหัวมุมถนนข้าวสาร มี travel agent สัญชาติอิสราเอลที่หนึ่งชื่อ United Travellers Connection หรือเรียกสั้นๆว่า UTC ไม่รู้มันทำยังไงแต่ค่าตั๋วรถไปต่างจังหวัดถูกเหมือนโกหก (กรุงเทพฯ-เกาะช้าง รวมเฟอรรี่ด้วย 150 บาท!! กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ 330 บาท! และอีกมากมาย) ใครไม่ถือว่าต้องเป็นชนกลุ่มน้อยในหมู่ฝรั่งและชาวอิสราเอลลองแวะไปดูราคาตั๋วได้ ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกะเค้าหรอก เห็นว่ามันถูกดี แล้วชั้นล่างเป็นร้านอาหารสไตล์อิสราเอล รสชาติใช้ได้ทีเดียวนะเออ

กลับมาที่เจมส์ต่อ เจมส์นั้นไม่ค่อยเจียมตัวว่าท้องไส้ไม่ค่อยดี แต่ก็ยังจะแด๊กของเผ็ดอยู่ได้ พอกินเข้าไปทีไร ขี้แตกขี้แตนกันทันตาเห็น นี่จะไปเที่ยวอยู่แล้วก็ยังกินเผ็ดเข้าไปอีก ผลคือวิ่งเข้าส้วมบนรถเป็นสิบรอบ ซึ่งแค่มันคนเดียวก็ฟังดูเหม็นอยู่แล้วไง แต่นี่มันมีคนอื่นด้วย แล้วสิ่งพิศวงก็เกิดขึ้นกับเจมส์ เพราะห้องน้ำ ไม่มีกระดาษ มีแต่ถังใส่น้ำ 1 ใบ ป๋องแป๋ง

แล้วกูจะกดชักโครกตรงไหน....

ฝรั่งถึงกับเหงื่อแตก (แตกเพราะปวดขี้ด้วยหนึ่ง และแตกเพราะความตื่นเต้นอีกหนึ่ง) คิด ๆ ๆ ๆ เฮ้ย ทำไงวะ เห่อะๆ ชักโครกไม่มี แล้วไอ้ถังนี่มีไว้ทำไร ราดน้ำยังไงวะ (มันราดกันไม่เป็นจริงๆนะ โคตรเลย..) ในที่สุด เจมส์ก็ทิ้งหลักฐานไว้อย่างนั้นแหละ!!! (ทุเรศโคตรอ่ะ) แถมมีหน้ามาพูดอีกว่า
"ดีนะ ที่ไม่ได้เข้าคนสุดท้าย!"

ผู้โชคร้ายคือสาวฝรั่งที่นั่งอยู่ไม่ไกล เธอเดินไปที่ห้องน้ำ พอเปิดประตูเท่านั้นแหละ ถึงกับผงะ! เอามือปิดหน้าปิดจมูกแทบไม่ทัน (ถ้าอ้วกได้คงอ้วกไปแล้ว) นี่คนเล่ามันเล่าไปขำไปอีกนะ คือแบบความอายนี่ไม่มีเลยไง แบบภูมิใจโคตรๆ

ตอนไปอินเดีย ที่เกสต์เฮาส์เป็นห้องน้ำรวม ซึ่งมันก็เป็นส้วมแบบที่เหมือนชักโครกแหละแต่มันไม่มีที่กด คือนึกออกใช่ปะ ต้องราดน้ำเองแต่ไม่ต้องนั่งยอง ๆ ให้เมื่อยมันก็แค่นั้นแหละ แต่ไปเข้าที่ไหน มันก็มีไอ้บ้า (หรือยัยบ้า) ที่ไหนก็ไม่รู้มันใช้แล้วไม่เคยราดน้ำกันเลย แถมเล็งก็ไม่ค่อยจะตรงอีก!! คิดดูฟังยังทุเรศ แล้วเห็นทุกวันได้กลิ่นทุกครั้งที่เข้ามันจะขนาดไหน ตั้งแต่นั้นมาเลยคิดว่า ฝรั่งมันราดส้วมกันไม่เป็นหรือไงวะ ไม่เป็นก็หัดกันหน่อยเห๊อะ.. มันจะยากอะไรกันนักหนาวะ ราดน้ำเนี่ย ไปกันถึงดวงจันทร์ ดาวอังคารอะไรกันแล้ว แค่ราดส้วมทำกันไม่ได้เนี่ย แหม มันน่าคิดนะฮะ




 

Create Date : 19 กรกฎาคม 2549    
Last Update : 19 กรกฎาคม 2549 19:59:31 น.
Counter : 1705 Pageviews.  

เมื่อวานซืน ต้องบอกลาเพื่อนสนิทอีกคน คนที่ครั้งหนึ่ง เราเกลียดมันฉิบเป๋งเลย..

“มันไม่เคยมากรุงเทพฯ ฝากด้วยนะ” นั่นเป็นคำสั่งเสีย เง้อ! คำฝากฝังจากโซเร็น เพื่อนชาวเดนมาร์ก ที่ได้ย้ายตูดขาว ๆ ไปลัลล้าอยู่อังกอร์วัดเป็นที่เรียบร้อยแล้วในขณะนั้น เออ ฝาก ก็ฝากวะ เต็มที่ก็พาไปเข้าวัดเข้าวา นั่งเรือเที่ยว

“ผมไม่ชอบกรุงเทพ” ผู้ชายตัวสูงชะลูด ผอมสลิม ในวัยยี่สิบต้น ๆ พูดใส่หน้าเราหน้าตาเฉย นี่เหรอฟระ เพื่อนเอ็ง แหม น่าคบจริงๆ คนนี้แหละ แอนนัส จอมมหากาฬสุดยอดแห่งคนเอาใจยากที่สุดคนหนึ่งของโลก กินเนสบุ๊คน่าจะมีบันทึกไว้ให้รู้แล้วรู้รอดไป

เรายังยืนอึ้งอยู่ที่เดิม ตาปริบๆ
“ไม่รู้ซิ ผมไม่รู้สึกรีแลกซ์เลย เวลาที่อยู่กรุงเทพฯ พรุ่งนี้ว่าจะไปแล้วล่ะ” เออ ไปก็ไป ไปที่ชอบ ๆ เถอะพ่อ..
“แล้วจะไปยังไงล่ะ”
“ผมอยากซื้อมอไซค์ซักคัน จะขี่ขึ้นไปเชียงใหม่” จะบ้าเรอะ ไปถูกเหรอนั่นน่ะ แล้วมอไซค์สกุ๊ตเตอร์จ่าบกับข้าวกะหนุงกะหนิงนี่นะ ริอ่านจะขี่ขึ้นเชียงใหม่ จะพ้นอยุธยาหรือเปล่าเหอะมรึง แหม๊...

แต่จนแล้วจนรอด แอนนัสก็ไม่ได้ซื้อมอเตอร์ไซค์อย่างที่หวังไว้ เพราะถูกเราจับขึ้นรถไฟแทน
“ทำไมไม่ไปรถนอน เที่ยวกลางคืนล่ะ ถึงเชียงใหม่เช้าพอดี” เราถามด้วยความงงงวย เมื่อหมอนี่บอกว่า อยากจะไปรถเที่ยวเช้า แล้วไปแวะลงที่เมืองไหนก็ได้กลางทางก่อนที่จะจับรถอีกขบวนต่อไปเชียงใหม่
“ใคร ๆ ก็ไป กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต น่าเบื่อจะตาย ผมอยากไปที่ที่ทัวร์ริสต์ไปกันน้อย ๆ บ้างอ่ะ เอามันส์”

เราเลยบอกให้มันไปลงลพบุรี

“แน่ใจนะว่าอยากลงอ่ะ มีแต่ลิง ไม่มีอะไรอลังการหรอกนะ”
”แน่ๆๆ”

แล้วมันก็ไปลงลพบุรีจริง ๆ

วันเดียวกันนั้น เราออนไลน์ MSN เห็นชื่อแอนนัสก็เลยทักว่าเป็นไงบ้าง
”โคตรเบื่อเลย” อ้าว
”มีแต่ลิง” ก็ชั้นบอกแกแล้วววววววววววว....




จากนั้นประมาณหนึ่งอาทิตย์ เราต้องไปเจอแอนนัสที่เชียงใหม่ เพื่อเดินทางไปลาวพร้อมกัน เพราะนัดโซเร็นไว้ที่หลวงพระบาง (เป็นการนัดเจอที่ไกลที่สุดเท่าที่เคยนัดใครมาในชีวิตนี้เลยนะนั่น ไม่ได้นัดเจอสยาม ไม่ได้นัดสะพานควายนะ เฮ้ย เจอกันหลวงพระบาง)

โชคชะตาเล่นตลกอีกแล้ว เรารู้ว่าถ้าไปกับแอนนัสสองคน ต้องกร่อยแน่นอน เราเลยถามเพื่อนอีกคนซึ่งเป็นลูกครึ่งมาเลย์-อังกฤษ ชื่อ “ร็อบ” ว่าอยากไปด้วยไหม เรากับร็อบเพิ่งรู้จักกันประมาณ 3 วัน เราก็ถามไปตามมารยาทงั้นแหละ ตอนที่ร็อบถามว่ามีแผนไปไหนป่าว
”ไปลาว อีก 3 วันเนี่ยจะไปและ”
“อ๋อๆ..” แล้วก็เงียบกันไปครึ่งนาที
“เออ...ไปมะ สนใจไปด้วยกันป่ะ ไปได้นะ” ร็อบใช้เวลาคิด 3 วินาที
”ชัวร์!! พรุ่งนี้ทำวีซ่าโลด!”

นั่นเป็นที่มาของร็อบ..

เราเลยไปเจอแอนนัสที่เชียงใหม่ ร็อบเป็นคนสูบบุหรี่จัด ส่วนแอนนัส เป็นคนบ้ากีฬาทุกประเภท ตอนแรกเรานึกว่าเค้าเรียนเอกชีววิทยาเหมือนโซเร็น (เพราะโซเร็นบอกว่าเป็นเพื่อนในชั้นเรียนที่มหาลัย.. แต่มารู้ทีหลังว่าแอนนัสเรียนเอกวิทยาศาสตร์การกีฬา แต่โทชีวะฯ ก็โทมันไปงั้น ๆ เพราะต้องใช้เวลาเรียนจบไปเป็นครู)

”ใครสูบบุหรี่ในห้อง” แอนนัสเพิ่งกลับมาจากวิ่งออกกำลังกายประจำวัน เหงื่อโทรม ยืนทำจมูกฟุดฟิดอยู่ในห้องแบบ dorm ที่เราแชร์กัน 3 คน (มี 4 เตียงใน 1 ห้อง)
“เอ้อ ผมเองอ่ะ เพื่อน ขอโทษๆๆๆๆ มันเคยชิน” ร็อบตกใจจริงๆ เพราะลืมไปสนิทว่าห้องนี้ยังมีคนไม่สูบบุหรี่อยู่คนนึง แล้วแอนนัสก็เดินบ่มพึมพำออกจากห้องไป

เราออกไปนั่งกินข้าวกับร็อบที่บริเวณที่เกสต์เฮาส์เค้าจัดไว้สำหรับเป็นร้านอาหารเล็ก ๆ ก็ติด ๆ กันกับห้องที่เราพักนั่นแหละ กินอิ่ม กำลังนั่งเรอกันอยู่ แอนนัสก็โผล่มามีผ้าเช็ดตัวพันเอวอยู่ผืนเดียว
”เฮ้ย”
“ฮึ??” เรากับร็อบได้งงอีกรอบ
“พวกยูล็อกห้องกันหรือเปล่าน่ะ ออกมานี่น่ะ”
”เอ่อออ...เปล่า...”
“คราวหลังล็อกด้วยซิ! ในนั้นน่ะมีแต่ของมีค่าทั้งนั้นรู้มั้ย??”

นั่นคือที่เชียงราย..

ที่เชียงใหม่เราก็โดนแอนนัสดุกันมาแล้วถ้วนหน้า
“You guys, จากตรงนี้ไป ห้าม! สูบบุหรี่เด็ดขาด ผมเหม็นควัน” เออก็จริงของมัน แต่บอกกันดี ๆ ก็ได้นี่หว่า คนอะไร ดุโคตร

ตลอดเวลา 4 วันที่เราอยู่ด้วยกันเกือบจะตลอดเวลา ยกเว้นแต่ตอนเข้าส้วม ยิ่งบนเรือช้าแล้วยิ่งไม่มีทางเลือกเลย เพราะไปไหนไม่ได้ ติดอยู่ด้วยกันบนเรือตั้งแต่เช้ายันเย็น จนมาถึงปากแบ่ง กลางทางระหว่างเชียงของ กับ หลวงพระบาง เราก็เดินหาเกสท์เฮาส์เองคนเดียว โดยไม่ได้ถามใครว่าจะพักที่ไหนกัน เพราะไม่อยากให้คิดว่าเราไม่สามารถพึ่งตัวเองได้ หรือเป็นผู้หญิงตัดสินใจเองไม่เป็น

เราได้เกสต์เฮาส์ราคาคืนละ 100 บาท ห้องก็สะอาดพอ ห้องน้ำรวม ร็อบนั้นพักที่เกสต์เฮาส์ติด ๆ กันนั่นแหละ เราวางของในห้องเรียบร้อยก็ออกมาข้างนอก รอสองหนุ่มว่าเมื่อไหร่จะเสร็จจะได้ออกไปกินข้าวกัน แล้วเราก็ยังเห็นแอนนัสเดินแบกเป้ไปมาอยู่
”ผึ้ง ได้ห้องแล้วเหรอ”
”อื้อ คืนละ 100”
“เป็นไงบ้าง”
“ก็โอเคนะ” แอนนัสยืนหันไปหันมา เหมือนจะถามอะไร แต่ไม่ถาม
”ถ้าเธอยังไม่ได้ตัดสินใจพักที่ไหน จะแชร์ห้องกันก็ได้นะ มันมีสองเตียง เราไม่ถืออ่ะ”
”แหม!!! กำลังจะถามพอดีเชี๊ยว!!!” แล้วแอนนัสก็มาแชร์ห้องกับเรา แล้วเราก็แทบจะไม่ได้คุยอะไรกันเลย ต่างคนต่างอ่านหนังสือของตัวเอง เราง่วงเลยขอนอนก่อน แอนนัสอ่านหนังสือจนไม่มีไฟฟ้าจะให้อ่าน (ที่นั่นไฟดับสี่ทุ่ม) ก็ยังอุตส่าห์จุดเทียนอ่านต่อ! อะไรมันจะสนุกขนาดนั้น ถ้าไฟไหม้มุ้งนะมรึ๊งงงง...

เมื่อมาถึงหลวงพระบาง ได้เจอเพื่อนเก่าของเราทั้งคู่ “โซเร็น” ก็ออกอาการระริกระรี้กันใหญ่ เพราะคราวนี้ครบแก๊งค์ แต่บางทีเราก็แยกกันไปนู่นไปนี่เหมือนกัน ส่วนมากเราจะไปกับร็อบ เพราะมันเพื่อนเรานี่ ส่วนโซเร็นไปกับแอนนัส แต่ในที่สุดแล้วก็กลับมากินข้าวเย็น ออกไปกินเบียร์ด้วยกันครบ 4 คนทุกวัน

ทริปในลาวเป็นไปได้ด้วยดี ถึงแม้แอนนัสจะทำตัวน่ารำคาญในสายตาของเพื่อน ๆ บ้างบางที แต่ก็ไม่มีใครถือสา (มีแต่เรานี่แหละที่แอบเกลียดมันเงียบ ๆ) วันที่จี๊ดขึ้นมาเลยคงเป็นวันที่แอนนัสประกาศว่า
”ผมไม่อยากกินอาหารเอเชีย” คือ ถ้าอยู่กรุงเทพฯก็ว่าไปอย่าง อีนี่ พูดตอนอยู่ที่ “บ้านน้ำเนิน” ที่ใดซักแห่งในเขตโพนสะหวัน ภาคเหนือของ สปป. ลาว!

แล้วพยายามให้เราถามจากชาวบ้านแถวนั้นว่ามีแซนด์วิชขายป่าว (ข้าวจี่ บาแก็ตต์ แล้วแต่จะเรียก) แต่หมู่บ้านนั้นมันเล็กโคตร หามาม่า หรือ เฝอกินได้ก็หรูแล้วโว้ย

”แล้วมันจะกินอะไรของมันวะ” โซเร็นเองยังทนเพื่อนตัวเองไม่ได้

มารู้ตอนหลังว่า แอนนัสไปกิน Papaya salad เพราะนึกว่ามันจะเหมือนสลัดแถวบ้านตัวเอง แต่มันคือ ส้มตำนี่แหละ นั่นมันฮาร์ดคอว่ากินเฝออีกน่ะนั่นน่ะ แต่เห็นสภาพแอนนัสหน้าแดงเป็นไฟแดงสี่แยก กินน้ำหมดเป็นลิตร ๆ แล้วก็อดสมน้ำหน้าไม่ได้ เชอะ ไงล่ะ ไม่กินอาหารเอเชีย กร๊ากกกกกกกกกกกกกกก!!!

แล้ววันนั้นก็เป็นวันนรกที่สุดในทริปนี้ เราสามคนไปติดแหง็กอยู่ที่ “สามแยก” ที่ไม่มีอะไรเลย รถบัสมาปล่อยเราลงตรงนี้ เพราะแอนนัสผู้วางแผนการทั้งหมดคิดว่า เราควรจะไปเมืองเวียงทอง (เมืองเฮี้ยม) กันก่อนจะไปหนองเขียว แต่รถที่จะไปเมืองนั้น มันผ่านที่สามแยกเท่านั้น หมายถึงว่าเราต้องไปนั่งรอรถ แบบไม่รู้ชะตากรรม
”เฮ้ย เดี๋ยวรถก็มา” แอนนัสยังคงเชื่ออย่างนั้น แต่เวลาผ่านไป จากบ่ายโมง เป็นบ่ายสอง เป็นบ่ายสาม และ สี่โมงเย็น..จนเราคิดกระทั่งจะโบกรถเทรลเลอร์ที่ส่งเบียร์ลาวไปลงที่ไหนก็ได้ แต่เค้าดันไปคนละทางกับที่เราจะไปเลยต้องติดอยู่ที่นั่นกันต่อ

”เป็นไงละมึง ทำไงล่ะคราวนี้” โซเร็นพูดไปขำไปในชะตากรรมของตัวเอง

แล้วเราก็ได้ติดอยู่ที่นั่นจริง ๆ คืนนึง หมู่บ้านที่ไม่มีอะไรเลย หมู่บ้านที่ตั้งอยู่ริมทางหลวงสายหนึ่งของโพนสะหวัน ทางหลวงที่นาน น๊านนนน จะมีรถผ่านมาซักคัน แต่มีร้านที่เราพอจะหาซื้อเครื่องดื่ม ขนมขบเคี้ยวได้ ก็ร้านโชว์ห่วยนี่แหละ วันนั้นเรากับโซเร็นเลยซัดเบียร์กันเข้าไปเต็ม ๆ เพราะมันไม่มีอะไรทำ แล้วมีคนลาวนั่งกินเบียร์กันอยู่แล้ว 3-4คน แถมสาวใหญ่เจ้าของร้านก็คอแข็งเป็นบ้า เลยรู้สึกว่า เฮ่ย ยอมไม่ได้ว้อย

ผล.. โซเร็นเมากระทั่งไปนั่งกอดหมาขี้เรื้อนอยู่กลางถนน โอ๋ ๆๆ หมาน่ารัก
เราถึงขั้นเดินชนข้างฝาตอนไปห้องน้ำ แถมไม่ยอมกลับเข้าไปนั่งเก้าอี้ด้วย แต่กลับนั่งกอดเสาอยู่หน้าร้านแทน (ตอนนั้นก็รู้ตัวนะ แต่ไม่รู้ทำไปทำไมเหมือนกัน มันเหมือน ต้องหาอะไรเกาะ กลัวหล่นจากโลก รู้สึกไม่ค่อยมั่นคง โลกมันเอียง ๆ อะไรประมาณนั้น) เริ่มมืดแล้ว โซเร็นเอาหัวโหม่งโต๊ะดังโครม คิดดูว่าเมาขนาดไหน ทั้ง ๆ ที่ปรกติหมอนี่เป็นคนกินเบียร์ดุมาก เคยเข้าโรงพยาบาลที่เดนมาร์กตอนรับน้องที่มหาลัย เพราะกินเบียร์เข้าไปหลายสิบขวดแล้วไม่ยอมอ้วกออกมา หมอบอกว่าถ้ามาโรงบาลช้ากว่านี้ ตายชัวร์

เรานึกแล้วสยอง ถ้ามันตายที่นี่ล่ะ กรูจะทำยังไง ไม่ได้การ เอามันกลับไปนอนที่ห้องดีกว่า (เราได้ห้องพักแบบที่ชาวบ้านเค้าเอาไม้มากั้นเป็นห้องง่าย ๆ ข้างในมีฟูก 4-5 ผืน รวมกับกะละมังใส่เมล็ดพืช กระสอบใส่อะไรไม่รู้เต็มไปหมด แต่ก็นอนได้.. คืนละ 40 บาท!)

แล้วสิ่งที่เราไม่ได้คาดว่าจะเกิดกับเราในลาว มันก็เกิดที่นี่ คนลาวที่นั่งกินเบียร์อยู่ด้วยกัน เห็นว่าโซเร็นเมามาก จะเดินยังไม่ไหว เราประคองกลับมายังเดินล้ม เดินล้ม หมอนั่นเลยเข้ามาทำทีว่าจะเข้ามาช่วย แต่เปล่า มันเข้ามาลวนลามเรา แถมมันมากัน 3 คนด้วย แต่อีกสองคนยืนอยู่ห่าง ๆ

ตอนนั้นเราคิดในใจ ที่นี่ที่ไหนก็ไม่รู้ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีใครรู้เห็นแน่นอน ทำยังไงดีๆๆๆๆๆๆ!!!

เราพาโซเร็นกลับมาที่ห้องจนได้ ด้วยความทุลักทุเลสุด ๆ ไอ้บ้านั่นมันตามเข้ามาถึงห้อง!!! เราทั้งผลักทั้งขอร้องมันก็ยังพยายามลวนลาม เราตกใจสุด ๆ

แอนนัส...

เรานึกขึ้นได้ว่าแอนนัสขอตัวไปนอนนานแล้ว เพราะวันนั้นไม่ค่อยอยากกินเบียร์ เราเลยรวบรวมสติแล้วผลักไอ้เชี่ยนั่นออกไปแล้วตะโกนสุดเสียง
”แอนนัสสสสส!!!!!แอนนัสสสสส..!!!!! ช่วยด้วย!!!” ไอ้เวรนั่นชะงักไปพักหนึ่ง พอเห็นแอนนัสวิ่งออกมาจากห้อง มันก็รีบวิ่งหนีไป!

เราหมดสภาพ.. หายเมา ตกใจ สติแตก หลอน หวาดระแวง ทุกอย่าง ไม่รู้จะอธิบายยังไง ได้แต่นั่งร้องไห้โฮๆ แอนนัสถลาเข้ามากอด ทั้งกอดทั้งปลอบ แล้วก็ลูบหัวเรา ปากก็พูดซ้ำไปซ้ำมาว่า โธ่เอ๊ย.. ผมนี่มัน... ผมไม่น่าปล่อยเธอไว้เลย ไม่น่าเลย ไม่น่าปล่อยเธอไว้กับพวกนั้นเลยจริง ๆ

เราพยายามตั้งสติแล้วบอกให้แอนนัสรีบออกไปจดทะเบียนกระบะคันสีบรอนซ์คันนั้น คันที่ไอ้เวรนั่นมันขับมา แต่พอออกไปมันก็หายไปแล้ว ทั้งคนทั้งรถ

เรารู้ตัวอีกที ก็รู้ว่าตัวเองนั่งกอดกระเป๋าเป้ใบใหญ่ของแอนนัสอยู่ กอดไปร้องไห้ไป แบบขวัญกระเจิงมาก ๆ สภาพเราตอนนั้นมันคงดูไม่ได้เอาเลย แอนนัสมานั่งลงข้าง ๆ
“ไม่เป็นไรแล้ว มันไปแล้ว..” เราเห็นเค้าน้ำตาซึม ๆ ไปกับเราด้วย
“ไปนอนเถอะ นะ.. พยายามนอนให้หลับ.. พรุ่งนี้เราจะไปจากที่นี่แต่เช้า ผมสัญญาเลย ผึ้ง ฟังอยู่เปล่า? มา นี่ มีเตียงอีกเตียงใกล้ ๆ ที่ผมนอน เธอย้ายมานอนที่นี่ละกัน” เราเลยย้ายไปนอนตรงนั้น แต่ก็นอนไม่หลับ ยังตกใจไม่หาย เลยนอนไปสะอื้นไป ตอนนั้นมันคงน่าอนาถมากจริง ๆ

“ผึ้ง..”
”ฮึ?... “ เรายังสะอื้นไม่หยุด
”ชอบฝนมั้ย..?”
“....................” (ปาดน้ำตา ไม่รู้จะพูดอะไร)
“บางทีผมพยายามจะนับนะ ฝนที่ตกบนหลังคา ว่ามันตกลงมาซักกี่เม็ดกันนะ.. แต่ก็ไม่เคยนับได้ซักที แต่ฟังไปมันก็เพลิน ๆ ดีเธอว่ามั้ย?” ตอนนี้เรารู้แล้วว่า แอนนัสมันไม่ได้ชอบฝง ชอบฝนอะไรหรอก แต่ผู้ชายคนนี้กำลังพยายามดึงสติเรากลับคืนมา โดยการชวนคุย พยายามให้เราคิดเรื่องอื่น..

มันทำให้เราน้ำตาไหลอีกรอบ.. แต่เป็นความรู้สึกขอบคุณคนคนนี้มาก ๆ เรารู้สึกผิดมากที่เคยเกลียด เคยหมั่นไส้ ผู้ชายคนนี้ คนที่ถ้าคืนนี้เค้าไม่อยู่ เราก็ไม่อยากจะเดาว่าเหตุการณ์มันจะจบลงยังไง..

ณ วันนี้ ฝนตกเมื่อไหร่ เราต้องนึกถึงประโยค “เธอชอบฝนไหม..” ทุกครั้ง..

เราแยกกลับมาเมืองไทยคนเดียว ส่วนสองหนุ่มอยู่เที่ยวลาวต่ออีกเกือบครึ่งเดือน

แล้วโซเร็นก็กลับมาถึงกรุงเทพฯก่อน เจอหน้ามันทีไรก็ดีใจทุกครั้ง ยังดูเมาเหมือนเดิม ให้ตายเถอะ นี่มันช่างเป็นแกจริง ๆ เลยว่ะ.. รู้จากโซเร็นว่าแอนนัสบอกว่าจะอยู่เที่ยวอีสานซัก 4-5 วัน เราก็งง ๆ แอนนัสนี่นะ? เที่ยวอีสาน มันขี้เบื่อจะตายไป

แล้วก็เป็นไปอย่างที่เราว่า

ผ่านไป 2 วัน แอนนัสก็กลับมาถึงกรุงเทพฯ พร้อมกับเรื่องที่ว่าพบสาวบนรถไฟ อุตส่าห์ลงทุนตามไปถึงบ้านแต่ก็ไม่มีโอกาสไปไกลกว่าแค่รั้วบ้านสาว

“เซ็งเป็ด”

เราออกไปดูบอล กินเบียร์กันอย่างฮาเฮ คุยกันเรื่องทะลึ่ง ๆ กันจนขำน้ำตาเล็ด ยิ่งสนิทมากเท่าไหร่ เรื่องเฮฮาลามกจกเปรตมันก็ยิ่งทะลักออกมามากขึ้นเท่านั้น

บอกไปแล้วใช่มั้ย ว่าแอนนัสเป็นผู้ชายที่บ้ากีฬาทุกประเภท แต่เพื่อน ๆ ไม่เคยมีใครคิดว่า...
“เวลากรูกุ๊กกิ๊กกะแฟน ชอบให้แฟนเอาเสื้อบอลมาใส่ว่ะ โอ๊แม่เจ้า สยิวกิ้ววว !!!”
จบประโยคเท่านั้นแหละ ทุกคนในวง (อีก 3 คน)อึ้งกันไป 5 วิ แล้วระเบิดหัวเราะก๊ากกกกกกกกก!!! แอนนัสมองไปรอบ ๆ วงแล้วยิ้มเหวอ ๆ แบบ เอ๊า ก็กูชอบของกูแปลกตรงไหนวะ เพื่อนเวรนี่

“ไอ้บ้า มรึงนี่มันเข้าขั้นบ้ากีฬาเกินไปแล้ว นี่ นี่ นี่ กรูแนะนำ คราวหน้า มึงเอานกหวีดไปเป่าด้วยดิ !! 55555!!! ปรี๊ด ปรี้ ปริ๊ด!!” โซเร็นปาดน้ำตาที่ไหลออกมาจากการหัวเราะจนท้องแข็ง

ตามมาด้วย เจมส์ เพื่อนจากนิวยอร์ค “ว่าแต่เลือกชื่อด้วยป่าววะ แบบเฮ้ย วันนี้อยากจ้ำจี้กะซีดาน หรือว่าอะไรทำนองนี้ 555 โอยย ไม่ไหวแล้ว ปวดท้อง..”

แอนนัสโดนอำจนเละ เลยพยายามทำเป็นไม่สนใจ ได้แต่ยิ้ม ๆ แบบ เอ๊อ มึงล้อไปล้อไป แล้วก็หันไปขัดสีฉวีวรรณรองเท้าสตั๊ดคู่ใหม่เอี่ยมที่เพิ่งซื้อมาจากเซ็นทรัลลาดพร้าว
”งาม.. งามแต้ๆ” ว่าไปก็ลูบไล้รองเท้าไป

ก็บอกแล้ว มันบ้า...!

อยู่ กทม กันได้ 4 วันโซเร็นก็บ๊ายบายเมืองไทย หลบไปดำน้ำที่สิปาดันมาเลเซีย แล้วจะไปนิวซีแลนด์ต่อ แซ้ดมากเมื่อต้องบอกลากันจริง ๆ แล้ว ไม่ใช่ว่าเฮ้ย แล้วเดี๋ยวอีก 2 เดือนเจอกันที่กรุงเทพฯ อีกแล้ว.. หลังจากนิวซีแลนด์ โซเร็นก็จะกลับเดนมาร์กเหมือนกัน

ถึงแม้ว่าโซเร็นเพื่อนของเราสองคนคนนี้จะหนีเราไปดำน้ำอย่างเห็นแก่ตัวแล้ว แต่แอนนัสก็ยังอยู่เมืองไทย และยังโทรมาทักทายเราเมื่อวันที่เค้ากลับมากรุงเทพฯ หลังจากไปขลุกอยู่เกาะช้างกับสาวชาวสวีเดนอยู่เกือบอาทิตย์ :-)

ตลกดี วันนั้นฝนก็ตกอีกแล้ว เรายืนถือร่มที่เปียกฝน น้ำหยดลงพื้นแหมะ ๆ
”เอ๊ะ ชื่อ Anders จากเดนมาร์ก ไม่มีเช็คอินนะคะ” รีเซปชั่นเค้าบอกอย่างงั้น เอ๊า ก็มันบอกให้เรามาเจอที่เกสต์เฮาส์นี้ เราเลยคิดว่าคงไม่ได้เจอแล้วมั้ง เลยเตรียมตัวกลับ พอดีได้ยินใครเรียกไม่รู้ หันไปเลยเห็นร่างโย่งๆ คุ้นตา ตัวเปียกโชก ผมดูจะยาวกว่าเดิมนะ..
“เฮ้ยยยยยยยยย...ย..ย.ย..!!!”
“เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยย...ย..ย.ย..!!!” ต่างคนต่างเฮ้ย แล้วกอดกันอย่างโคตรคิดถึงเอ็งเลย
“โอโหๆๆ ผึ้งเอ๊ยยย แกๆๆ ชั้นมีเรื่อง update บาน! ดีใจมากที่ได้เจอแกอีก”
“555 มีไรป่ะเนี่ย”
“เออ! เจนนี่ อ่ะ”
“ใครวะ”
“เจนนี่! สาวสวีเดนที่ชั้นไปเกาะช้างด้วยไง”
“อ๋อเออเป็นไง อิอิ”
“แม่งโคตรแปลกคนเลยแก!! วันก่อน มันถามชั้น นี่ นี่ ช่วยตัวเองบ่อยมั้ย กรูก็ เฮ้ย! บ้าเหรอ ถามไรแบบนี้ ไม่มีไรจะคุยแล้วเหรอไงวะ 555” แล้วก็ตามมาด้วยเรื่องพิลึกพิลั่นของสาวคนนี้อีกบานตะไท แล้วฟังแล้วต้องอึ้ง ว่าคนแบบนี้ก็มีด้วย
“เออนี่ วันที่ 7 กรกฎานี่วันเกิดชั้นล่ะ” แอนนัสบอกพร้อมยิ้มกว้าง
“เฮ้ยยยยถามจริงงงง ฉลองที่ไหนดี”
“กลับไปเกาะช้างมั้ง พอดีเพื่อนที่เดนมาร์กจะมา มันดันไปเกาะช้างอีกแระ เซ็งว่ะ แต่ไปก็ไป หุๆๆ”
“ชั้นได้รับเชิญป่าวว้า..” เราแหย่ไปงั้น ๆ แหละ
“เฮ้ย ไปดิ!!”
“เง้อ! ดูก่อน ช่วงนี้ยิ่งจน ๆ อยู่ด้วย”

แต่เราก็ไปจนได้ แอนนัสอยากให้เราไปด้วย เพราะเพื่อนที่มาจากเดนมาร์ก คือ ไม กับ แมส แต่แฟนกัน กลัวว่าตัวเองจะไปเป็นก้างขวางคอเค้าคนเดียวว่างั้นเหอะ เลยชวนเราไปร่วมชะตากรรมด้วย

ตอนแรกเราก็ไม่ค่อยสนิทกับคู่นี้เท่าไหร่ แต่ทุกอย่างมันต้องใช้เวลา เราไปเกาะช้าง ไปฉลองวันเกิดในแอนนัส กัน ได้มีเวลาคุยกันมากขึ้น แล้วมันก็กลายเป็นว่าเราก็สนิทกับไมและแมสไปด้วยโดยปริยาย ไมนั้นน่ารักมาก ยิ้มตลอด แมสออกแนวพูดน้อยต่อยหนัก ปล่อยมุขแบบหน้าตาย

”ผึ้ง ถ้าไปโคเปนเฮเกน บอกไม นะ ไปอยู่อพาร์ทเมนต์ไม ได้เลย เพราะไมไปนอนที่บ้านแมสอยู่แล้วบางทีอพาร์ทเมนต์ของไมไม่มีใครอยู่หรอก”

เราไม่เคยคิดว่า แค่การเปรยประโยคสั้น ๆ ว่า “แถวยาวเนอะ..” ในวันนั้นที่บังเอิญโซเร็นมันยืนอยู่ต่อแถวข้างหน้า จะนำให้เรามาพบกันเพื่อนใหม่ที่โคตรดีกะเราขนาดนี้ จากโซเร็น มา แอนนัส จากแอนนัส มา ไมกับแมส.. บางทีโชคชะตาก็พาคนมาพบกันแบบแปลก ๆ..

แอนนัสกลับบ้านไปแล้วเมื่อสองวันก่อน จากวันแรกที่ได้รู้จักกันเมื่อสองเดือนที่แล้ว..
“ชั้นโคตรเกลียดแกเลยตอนนั้น” เราบอกแอนนัสขำ ๆ ระหว่างที่เราขับรถกลับกันจากกาญจนบุรี
”เออ นึกว่าชั้นไม่รู้เหรอไง”
“เฮ้ยยยย เหรอ! ถามจริง!”
“เออดิ โห ก็ออกจะดูง่ายขนาดนั้น น้ำเสียงเย็นชา พูดจาเสียดสี ชิชะ..”
“5555..!!”
“แต่ก็ขอโทษนะที่ผมก็ซีเรียสไปหน่อยน่ะ บางที หลาย ๆ คนก็บอกเหมือนกัน มันแก้ไม่ได้ซักที”
”ขอท่งขอโทษไรกัน น้ำเน่าฟร่ะ”
“เอ๊ะ ไอ้นี่”



ณ วันนี้เราพูดได้เต็มปากเลยว่าแอนนัสเป็นหนึ่งในเพื่อนรักของเราไปแล้ว เคยลองนึกดู มีกี่ครั้งกันนะ ที่เราเคยบอกเพื่อนจากปากเราว่า เฮ้ย ชั้นรักแกนะ กูรักมึงนะ.. จำได้ครั้งนึงเพื่อนสาวที่สนิทที่สุด นิสัยมันออกจะบ้า ๆ บอ ๆ มีวันนึงกินเหล้ากันจนกรึ่ม ๆ มันก็บอกว่า
“ไหน ๆ ก็เมาแล้ว เฮ้ย ชั้นรักแกว่ะ แกด้วย แกด้วย แก แกด้วย ชั้นร้ากกกกพวกแกว่ะ ” (จิ้มไปที่เพื่อนจนครบทุกคน)
“บอกไว้ก่อน เดี๋ยวตายแล้วไม่ได้บอก 5555 เฮ้ย.. ชั้นซีเรียสนะว้อย” ว่าแล้วมันก็สลบไป กรนคร่อก ๆ

มันคงไม่ได้ยินที่เราตอบไปว่า “เออ กูก็รักมึง” : )

วันนั้นเป็นวันสุดท้ายของทริปเอเชียของแอนนัส เราขับรถไปกาญจนบุรีกัน ตอนเราเดินอยู่บนสะพานข้ามแม่น้ำแคว มองลงไป โอ่ เสียวเว้ย
“นี่ถ้าเป็นที่เดนมาร์ก ไม่มีทางปล่อยไว้งี้หรอก คงต้องหาตะกรงตะแกรงอะไรมาปิดกันให้วุ่น” แอนนัสมองดูช่องข้าง ๆ รางรถไฟ ที่มองลงไปเป็นแม่น้ำแคว
”นี่มันเมืองไทย มิใช่เดนมาร์กนี่หว่า” เราพูดยิ้มๆแล้วบอกว่า “ถ้าชั้นตกลงไปนี่แกไปตามเก็บชั้นที่แพดิสโก้ข้างหน้านู่นละกันนะ 5555”
แอนนัสหันมายิ้มแล้วบอกว่า
“จะบ้าเหรอ ถ้าแกตกลงไป ชั้นจะโดดลงไปช่วยเดี๋ยวนี้เลย”

………ไม่ให้รักมันได้ไง เพื่อนแบบนี้.......

ตอนบอกลากัน หมอนี่น้ำตายังปริ่ม ๆ ซะงั้น : ) (หวังว่าคงไม่ใช่อาการแต๋วออก)

แต่แอนนัสเป็นผู้ชายที่เป็น ผู้ช้าย ผู้ชาย บ้าบอล ชอบเหล่หญิง ปากหมา เกลียดแมวและสัตว์น่ารักทุกประเภท (ครั้งนึงมันถึงกับเปรย ๆ ขึ้นมาว่า จะเป็นไงนะ ถ้ามันเตะแมวแบบเต็มตีนเหมือนเตะลูกบอล ผลคือผู้หญิงที่ยืนอยู่แถวนั้น เธอได้ยิน แล้วมองมันแบบรังเกียจๆ 555)

แต่มันก็มีด้านที่เซอร์ไพรส์เราบ่อยๆ เช่น อยู่ดี ๆก็เดินมาหา
"กอดหน่อย กอดหน่อย" แล้วกอดของมันนี่แถวบ้านเราเรียกงูเหลือมรัด หายใจไม่ออก เหมือนจะฆ่ากันให้ตาย ระหว่างที่เราอู้อี้ ๆอยู่ในซอกจั๊กแร้มัน (แหวะ) แอนนัสก็พูดขึ้นมาว่า "ชั้นรักแกว่ะ จริงๆนะ "

เราก็ได้อู้อี้ตอบไป "เอออออออ...อูอ้ออั๊กอึง" (เออกูก็รักมึง)

แอนนัสกลับเดนมาร์กไปแล้ว ...
แต่เราต้องได้เจอกันอีก แล้วจะรอดูว่าวันนั้นฝนจะตกไหม




 

Create Date : 16 กรกฎาคม 2549    
Last Update : 16 กรกฎาคม 2549 19:57:39 น.
Counter : 1126 Pageviews.  

คุณเชื่อในเรื่องโชคชะตามั้ย บางครั้งมันก็พาให้คนแปลก ๆ มาพบกันในที่แปลก ๆ

แล้วบางครั้งมันก็พาเราไปในที่ที่เราไม่เคยคิดว่าจะไป..

และบางครั้งการไปในที่ที่เราไม่เคยคิดจะไป(แต่ด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่มันทำให้เราได้ไป) ก็ทำให้เราได้เจอคนแปลก ๆ ..หลาย ๆ คนในคนเหล่านั้น..พวกเขากลายมาเป็น “เพื่อน”

คนแปลกคนที่ 1 : โซเร็น
พบที่ : “เกาะพะงัน” หนึ่งในสถานที่ ที่เราเคยลั่นวาจาไว้ว่าชาตินี้กรูจะไม่ไปเหยียบ!
อ้าว แล้วไปทำไม : เพราะเพื่อนสมัย ม.ปลายมันดันกลับมาเมืองไทย แล้วเสือกไปปาร์ตี้ที่นั่น ไม่ได้เจอมันมาเกือบปี ก็เลยจำใจไป



เรื่องของเรื่องมันเริ่มมาจากตอนที่เรากลับมาจากอินเดียหมาดๆ เหยียบเมืองไทยวันแรก ก็กระแดะลงไปเกาะพะงันเย็นวันเดีวกันเลย เพราะเพื่อนสมัย ม.ปลาย (โอ สิบปีมาแล้ว!) ชวน ทั้งรบเร้า ประมาณว่า "มึงอยากมาก็มา ไม่อยากมาก็ไม่ต้องมา ถ้าไม่มาก็ดีไม่เปลืองเหล้ากรู" ดูดิ อ้อนวอนขนาดนี้แล้วจะไม่ไปได้ไง

แต่ตะแล๊ด ๆ ไปได้ไม่กี่วัน ไอ้บังกะโลราคาไม่เกินคืนละ 500 บาทนั้น มันก็ดีอยู่หรอก ไอ้น้ำทะเลหน้าบ้านที่หาดท้องนายปานนั้นมันก็ใสอยู่หรอก แต่น่าเบื่อบรรลัย ก็ไอ้เพื่อนเรามันอยู่อีกหาด เราอยู่อีกหาด แล้ว ไอ้หาดที่เราอยู่น่ะ โคตรจะสันโดษ ประมาณว่าเหมาะสำหรับคนอกหักรักคุด พ่อแม่ไม่รัก เพื่อนไม่อยากเจอหน้า หรือไม่ก็พวกโลกนี้มีแค่เราสองคนไปเลย

เราไปก็ได้แต่นั่งมองต้นมะพร้าว ใบพลิ้วหยอย ๆ อาาา ใบมะพร้าวสีเขียว น้ำทะเลสีฟ้าคราม บ้านพักน่ารัก อะจุ๊อะจิ๊ ...แต่ในใจตัวเองนั้น มันตะโกนว่า "กูเบื่อออออออออออออออออออออออออ.. อ.. อ.. อ.. อ!!!~"

แล้วเสือกไปถึงก่อนชาวบ้านเค้าอีกนะ ก็ไม่รู้จะรีบไปทำไม (อ๋อ ช่วงนั้นสงกรานต์พอดี กลัวไม่มีรถ - ถามเอง ตอบเอง) หลังจากทนอยู่ หาดนั้นอยู่ได้ 2 คืน ก็ทนไม่ไหว ต้องขอเช็คเอาท์ออกก่อน ทั้ง ๆ ที่จองไว้ 3 คืน เพราะไอ้ครั้นจะนั่งรถไป ๆ กลับ ๆ หาดเรากะหาดที่เพื่อนอยู่ (หาดริ้น) หลาย ๆ ท่านอาจจะไม่ทราบ อะเมซิ่งไทยแลนด์แกรนด์เซลส์ ถ้าท่านจะนั่งสองแถวออกมาแล้วไม่มีใครแชร์มาด้วย จากหาดท้องนายปาน ถึง หาดริ้น 800 บาทถ้วนคับท่านผู้ชม ก็ไม่รู้ว่า เอาน้ำมันละลายปนกับทองคำบริสุทธิ์เติมรถกันหรือว่ายังไง แล้วราคานี้นี่รีสอร์ทเรียกให้ด้วยนะฮะ คือบริการรับส่งแขกที่ไม่มีเลยนะฮะ มีวันละรอบ (เออ กูมันเรื่องมากเองที่อยากจะออกไปข้างนอกตอนบ่ายสอง!) เข็ดมาก ใครที่ไปเกาะพะงันแล้วรู้ว่าไปเพราะจะปาร์ตี้ อยู่แถวๆ หาดริ้น หรือหาดลีลาดีสุด ถ้าไปท้องนายปานแล้วจะรู้ว่านรกมีจริง หน้าตามันคล้าย ๆ กับรถสองแถวนี่แหละ

วันที่เราไปพัก เจอน้องย้วยขวัญใจเฉลิมไทยด้วย ไปกะ "คนที่คุณก็รู้ว่าใคร" แต่เราก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ไม่มีอะไรน่าดู แต่พนักงานรีสอร์ทโปรฯมาก

"พี่ๆๆๆ พี่เห็นป่าว ดาราคนนั้นน่ะ"
"อือ เห็น ทำไมเหรอ?"
"มาแต่ละทีผู้ชายไม่ซ้ำกันเลยพี่!!"
"อ่อ.."
ตามมาด้วยข่าวก๊อซซิบอีกเป็นชุด

ฟูลมูนปาร์ตี้ ที่หาดริ้นเป็นไง ไอ้สนุกมันก็สนุกอยู่หรอก แต่มัน"มั่ว"โคตรเลย ทั้งไทยทั้งฝรั่ง อะไรก็ไม่รู้ ไอ้เพื่อนเราก็เพิ่งอกหัก แดกเหล้าเข้าไป 3 แก้ว อาการเมาเท่า 3 ขวด เมาไปก็พล่ามไป "มันนะ ไม่เคยรักกู ฮือๆๆๆ กูไม่ดีตรงไหน ฮือๆ ๆ ๆ" พรืดดดด (เช็ดขี้มูก) แล้วอีนี่ ละสายตาจากมันเป็นไม่ได้ มันวิ่งลงทะเลซะงั้น!!

ด้วยความเซ็งเพื่อน เราจึงหนีกลับบ้านมันคนเดียวซะดื้อ ๆ เพราะพวกหล่อนเล่นจะไปอยู่เกาะสมุยอีกตั้ง 5 วัน (เพื่อนเรามันย้ายไปอยู่อังกฤษ กลับมาเยี่ยมเมืองไทยทีไร มันพ่วงเอาเพื่อนฝรั่งมาด้วยทุกครั้ง แต่ฝรั่ง ไม่บอกมันมันไม่รู้หรอกจะไปไหนดี สุดท้าย ไปลงเอยที่สมุยทุกที น่าเบื่อโคตร)

ระหว่างรอลงเรือ แถวยาวเป็นกิโล นี่ก็เกือบเที่ยงแล้ว จะทันเหรอเนี่ย มองดูในแถว ไม่ค่อยจะมีคนไทยเท่าไหร่เลย มีแต่ฝรั่ง

"ฮะโหลๆ อันนี้เรือรอบเที่ยงป่ะจ๊ะ" เราถามฝรั่งที่ยืนอยู่ข้างหน้าเรา หนึ่งในนั้นเป็นสาวอิตาเลียน
"ใช่จ้าาา กินสับปะรดมั้ย" เธอยื่นถุงสับปะรดมาให้ ปากก็เคี้ยวตุ้ย ๆ ไอ้เราไม่เคยปฎิเสธของกินอยู่แล้ว เลยจกมาซะชิ้นนึง ส่วนชิ้นที่เหลือตกไปอยุ่ที่ฝรั่งผมทองที่ยืนอยู่ติด ๆ กัน
"แถวยาวเนาะ" เราก็พูดไปลอย ๆ อย่างนั้น มันเขิน ไม่มีไรทำ
"อื้อ คุณเป็นคนไทยเหรอ" อ้าว มีคุยตอบ ๆ
"ค่าาา" แล้วเราก็เลยแนะนำตัวเองพอเป็นพิธี
"หวัดดีคับ ผมชื่อโซเร็น มาจากเดนมาร์ก" แล้วนี่แหละเป็นที่มาของการพบเพื่อนใหม่ ที่ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้พบกันในสถานที่แปลก ๆ สถานการณ์เช่นนี้ ต่างคนต่างมีสับปะรดอยู่ในมือ เอ๊ะ แล้วสาวคนให้สับปะรด
เรามาไปไหนซะแล้วนะ

เรากับโซเร็นนั่งติดกันบนดาดฟ้าเรือ แดดร้อนเปรี้ยง ๆ แค่นี้ก็ดำอยู่แล้ว ดำขึ้นอีกซักเฉดสองเฉดคงไม่สะเทือน โซเร็นนั้นขาวจั๊วะ ผมทองแบบที่ว่า ทำไมมันถึงได้ทองได้ขนาดนั้น เรียกว่าครบสูตรชาวสแกนดิเนเวียน ถามไปถามมา โซเร็นเป็นลูกครึ่ง
"เหรอๆๆ ครึ่งอะไร"
“อ๋อ ครึ่งนอร์เวย์ ฮ่า ๆ ๆ ๆ”

เด่อ!!! จะว่าไปก็เหมือนครึ่ง ไทย – ลาว ละมั้งคับพี่คับ.. แหม.. ไกลเชียว

คุณเชื่อในเรื่องโชคชะตามั้ย บางครั้งมันก็พาให้คนแปลก ๆ มาพบกันในที่แปลก ๆ....
เรานั่งติดกันบนเรือยังไม่พอ ยังมานั่งติดกันบนรถอีก จริง ๆ แล้วไม่ได้นั่งด้วยซ้ำ เพราะขึ้นรถช้ากว่าชาวบ้านเค้าก็เลยไปติดอยู่ตรงที่นั่งชั้นล่างแบบบาร์ที่เป็นแบบหันหลังให้คนขับ และแน่นอนปรับเก้าอี้ไม่ได้ ไอ้ชั่วโมงแรกก็แบ่งๆ กันนั่งไปดีอยู่ แต่สอง สามชั่วโมงผ่านไป เฮ้ย ชักไม่ไหวว่ะ เราเลยลงไปนอนกับพื้นมันซะเลย คำว่าอายไม่มีในพจนานุกรมของเราอยู่แล้ว เดี๋ยวลงรถไปก็ไม่ได้เจอกัน จำหน้ากันก็ไม่ได้ด้วยซ้ำคนที่นั่ง ๆ รถมาด้วยกันเนี่ย ใช่มะ นอนเลยดีกว่า

รถมาปล่อยเราลงที่หน้ากองสลากแถวถนนข้าวสารยังไม่สว่างเลย! ไอ้เราน่ะไม่เท่าไหร่ แท็กซี่ก็กลับบ้านได้ แต่สงสารเพื่อนใหม่ มันจะหาที่พักยังไงล่ะนั่น พอดีว่ารู้จักเกสต์เฮาส์อยู่ที่นึง ถูกมาก (ประมาณคืนละ 130-150 บาท) แล้วค่อนข้างห่างไกลถนนข้าวสารพอที่จะหลีกหนีความวุ่นวายของมันได้ แต่ก็ไม่ไกลชุมชนชาวแบกเป้จนเกินไป เลยบอกทางให้ แต่มันค่อนข้างจะลึกลับ โซเร็นได้แต่เกาหัวแกรก ๆ เราเลยตกลงว่าเดี๋ยวเดินไปส่ง เพราะบ้านเราไม่ไกลจากข้าวสารมากนัก แล้วเราก็ไม่ได้รีบไปไหน

ไปถึงก็ต้องไปนั่งรอให้เกสต์เฮาส์เปิดอีก เพราะดันไม่มีคนมาเปิดประตู นั่งตบยุงกันไป.. แปะ แปะ..

กว่าจะมีคนมาเปิดประตูก็โน่น ปาเข้าไป 6 โมงเช้า ตอนนั้นสภาพเราเริ่มดูไม่ได้ พอส่งเพื่อนเรียบร้อยเลยขอตัวกลับบ้าน ทิ้งเบอร์มือถือไว้ให้เผื่อมีอะไรให้โทรหา

คนที่ชอบเที่ยวต่างถิ่นคงจะเห็นด้วย ว่าไม่มีอะไรวิเศษไปกว่าการที่เราไปไหนแล้วได้คนท้องถิ่นพาเที่ยวอีกแล้ว โซเร็นมันเลยใช้เราจนคุ้ม เอ๊ย เราเต็มใจพาเพื่อนใหม่เที่ยวกรุงเทพฯจนปรุ ไปตั้งแต่วัดพระแก้วยันลานสเก็ตน้ำแข็ง!

อาทิตย์หนึ่งผ่านไป โซเร็นยังอยู่กรุงเทพฯ …ระดับความสนิท ค่อย ๆ พัฒนาจาก “อาฮะ ๆ ไม่เป็นไร แหะๆๆๆ” จน ณ ขณะนั้นเวลาผ่านไป 1 สัปดาห์ เข้าขั้นล้อชื่อแม่กันได้ ก็เจอหน้ามันทุกวัน ไปไหนก็ไปด้วยกัน ร้องคาราโอเกะก็พากันไปผิดคีย์ ออกทะเลมาแล้ว เรื่องว่าคำว่าอายคืออะไร ไม่รู้จัก ถ้าโซเร็นเป็นคนไทย ระดับความสนิทก็คงเปลี่ยนจาก คุณ ๆ ผม ๆ มาเป็น แก ๆ ชั้น ๆ ไปแล้วเรียบร้อย



แต่แบ็คแพคเกอร์ย่อมต้องย้ายตูดไปสถานที่ใหม่ ๆ อยู่วันยันค่ำ

วันนึงโซเร็นเลยย้ายตูดตัวเองไปอรัญประเทศ เพื่อข้ามไปกัมพูชา เราเลยไปส่งที่หมอชิต ร่ำลากันแบบขำ ๆ เพราะรู้ว่าเดี๋ยวชั้นก็ต้องเจอแกอีก ตอนนั้นเรากำลังวางแผนจะไปลาวอีกรอบ โซเร็นจะไปเวียดนามหลังจากกัมพูชา แล้วจากนั้นจะเข้าลาวเหมือนกัน

เราเลยอาจจะได้ไปเจอกันที่ลาว ..

แล้วอีก 2 เดือนถัดมา แล้วเราก็ได้เจอกันอีกจริง ๆ
แต่นอกจากโซเร็นเองแล้ว ก็มีคนอีกคนเข้ามาร่วมแจมในชีวิตเราด้วย เค้าคนนั้นคือ “แอนนัส” เพื่อนร่วมชั้นของโซเร็นที่มหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน คนที่โซเร็นแนะนำมาให้เรารู้จัก
“มันไม่เคยมากรุงเทพฯ ฝากด้วยนะ”
เจอหน้าหมอนี่ครั้งแรกก็เฉย ๆ แต่อาทิตย์แรกที่เราต้องเดินทางด้วยกัน ..
“เกลียดหมอนี่ฉิบหายให้ตายเถอะ!!!”

แล้วจะมาต่อว่าด้วยผู้ชายคนนี้ แอนนัส นายเบิร์ก!




 

Create Date : 16 กรกฎาคม 2549    
Last Update : 16 กรกฎาคม 2549 8:47:22 น.
Counter : 1273 Pageviews.  

ภาพน่าเศร้าของกะเทยบนถนนข้าวสาร

กะเทยไร้ยางอายแบบนี้ แล้วจะไม่ให้คนมันมาดูถูกได้ไง..
ออกตัวก่อนไม่ได้เกลียดกะเทย ไม่มีความเห็นใดๆ เกี่ยวกับใครจะเป็นกะเทย
เป็นเกย์ เป็นแต๋ว เป็นตุ๊ด ตราบใดที่มันไม่ได้สร้างปัญหา ให้ใครก็เป็นอะไรก็เป็นไป
เราจะด่าด้วยซ้ำ ถ้าใครมาด่าว่า เกลียดกะเทยยังงั้นยังงี้ ด่าแบบไม่มีเหตุผล เราไม่ชอบ
พวกนั้นแมร่งใจแคบ..

แต่กะเทยประเภทสร้างความขายหน้าในประเทศชาติ มันก็เยอะจนหน้าเศร้าใจ
วันนี้ไปเซิร์ชรูปใน google จะหารูปถนนข้าวสาร มาใช้ในบทความซะหน่อย
ดันไปเจอรูปกะเทย แบบแก้ผ้าแก้ผ่อน "บนถนนข้าวสาร" ชนิดที่คนดี ๆ เค้าไม่ทำกัน

ลองไปดูกันเองที่เวบนี้

//bedur.yh.pl/thailand/ladyboys


ในเว็บระบุชัดว่าเป็น prostitute แต่ยังไงก็เหอะ เล่นโพสท์ท่ากันบนถนนงี้เลย
มันทุเรศเกินไปว่ะ.. เห็นแล้วก็ นะ..แถมฝรั่งมันก็ยังเอาขึ้นเว็บกันเอิกเกริก

เมืองไทยมีแต่เรื่องดี ๆ ทั้งนั้น...

แต่คนนี้มันถ่ายรูปเก่งจริงๆ ถ้าคนถ่ายไม่โปร คงออกมาดูทุเรศกว่านี้..
(แค่นี้ก็ไม่รู้จะทุเรศยังไงดีแล้วนั่นน่ะ)




 

Create Date : 29 มกราคม 2549    
Last Update : 30 มกราคม 2549 11:08:04 น.
Counter : 2163 Pageviews.  

1  2  3  4  5  

beebah
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




คนไทย ธรรมด๊าธรรมดา เกิด และ โต ณ กทม. ปัจจุุบัน ทำงานในบรัสเซลส์ ยามว่าง(และยามไม่ว่าง แต่กระเสือกกระสนให้ว่าง) ชอบแบกเป้เที่ยวนู่นเที่ยวนี่ นี่ก็เหลืออีก ร้อยกว่าประเทศเองก็ยังไม่ได้ไป ฮ่าๆๆๆ ฮืออออ.. (T_T)
Friends' blogs
[Add beebah's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.