|
+ จดหมายถึง STIB ณ บรัสเซลส์ รถรางนรก!
เรียน ท่านผู้ให้บริการการคมนาคมสาธารณะ STIB
อิฉันเป็นชาวต่างชาติคนหนึ่ง ในชาวต่างชาติจำนวนมากทีี่ทำงานอยู่ในกรุงบรัสเซลส์ และต้องใช้บริการของท่านทุกวั้นนน ทุกวัน แม้ว่าใจจริงแล้วจะไม่อยากใช้เท่าไหร่หรอก เลือกได้ก็จะเลือก De Lijn มากกว่า แต่ทำไงได้ ดันทำงานอยู่บรัสเซลส์ เมืองที่ท่านเป็นผู้ผูกขาดการให้บริการคมนาคมทั้งหมดทั้งปวง
เมื่อวานช่วงเช้า (20 พฤษภาคม 2009) ณ ป้ายจอดรถราง "ออปเป็มสตราท" ที่อิฉันมักจะลงแวะซื้ออาหารกลางวัน จากคาร์ฟูร์เอ็กซ์เปร๊สส์ที่สุดจะแพงเป็นประจำ(เมื่อยามไม่มีทางเลือก และเบื่อที่จะกินแซนด์วิชขนมปังฝรั่งเศส ที่เหนียวยังกับรองเท้านันยางทุกวัน)
เวลา 8 นาฬิกา 44 นาที รถรางสาย 44 ก็วิ่งมาถึง แต่ท่านคนขับคงไม่เห็นอิฉันหรืออย่างไรก็มิอาจทราบได้ เพราะท่านเปิดประตูไม่ครบสามประตู อิฉันที่รอจะขึ้นอยู่ที่ประตูสุดท้าย ประตูไม่เปิด อิฉันเลยต้องวิ่งไปประตูกลางที่ยังเปิดอยู่
ด้วยความ ไวปานสายฟ้าแลบ ท่านพนักงานขับรถรางได้ปิดประตูดังปัง ปิดไม่ปิดเปล่า ประตูได้หนีบเอาถุงใส่อาหารกลางวัน และอื่น ๆ(รวมมูลค่ากว่า 15 ยูโร) ที่อิฉันเพิ่งจะซื้อมาจากคาร์ฟูร์เอ๊กเปร๊สสสส์ไปกับรถรางของท่านด้วย อิฉันด้วยความเสียดายเงินเป็นอย่างมาก (ตั้ง 15 ยูโร!) พยายามดึงถุงให้หลุดจากประตู และวิ่งตามไปด้วยดั่งคนบ้า แต่ก็ไม่เป็นผลแต่อย่างใด เพราะสุดชานชลาพอดี ถ้าดึงดันวิ่งดึงถุงต่อไปอาจจะหล่นลงไปในรางถึงแก่ชีวิตได้ ปวงชนชาวพี่น้องชาวไทยจะได้อายว่ามีบุคคลสัญชาติไทยไม่ทราบชื่อรายหนึ่ง ตายอนาถเพราะวิ่งตามถุงกับข้าวที่ถูกรถรางของท่านหนีบ!
ถึงแม้อิฉันจะทุบกระจกรถรางของท่านดังปัง ๆ ๆ ดังเช่นคนเสียสติ และผู้โดยสารสาวคนหนึ่งจะมองเห็นว่าอิฉันต้องการความช่วยเหลือ แต่เธอก็ช๊อคจนทำอะไรไม่ถูก
อิฉันโมโห้ โมโห ไม่ทราบว่ากระจกมองข้าง หรือ มองหลังมีไว้ทำกระต่ายอะไรมิทราบคะ? ผู้โดยสารยังขึ้นไม่ทันหมดก็ออกรถแล้ว ที่นี่มันบรัสเซลส์หรือกรุงเทพฯคะเนี่ย?
แถมวันนั้นอิฉันก็ไม่มีข้าว กลางวันกินอีกต่างหาก ที่ทำงานอิฉันอยู่ ถนนเตอวูเร็นอันแสนโดดเดี่ยวแห้งแล้งไร้ซึ่งร้านค้าและเพิงขายเฟรนช์ฟรายส์นะคะ ไม่ได้อยู่ติดตลาด อตก.
นี่ยังดีนะคะ มันเป็นแค่ถุงอาหาร ถ้ามันเป็นชายเสื้อ หรือ ผ้าพันคอของอิฉัน อิฉันคงจะถูกลากไปกับรถรางของบริษัทท่าน และตายอนาถระหว่างทางไปทำงานเป็นแน่แท้!
อิฉันจ่ายค่าโดยสารเดืิอนละ 44 ยูโรทุกเดือนเพื่อโดยสารนะคะ ไม่ได้เพื่อมาเสี่ยงตาย ไม่ทราบว่าท่านเคยส่งพนักงานไปฝึกงานกับ ขสมก หรือ รถร่วมหรือเมืองไทยหรือเปล่าคะ สงสัยจิง
ท้ายนี้ หวังว่าท่านคงอ่านภาษาอังกฤษออก และไม่แกล้งทำเป็นว่าพูดได้แต่ภาษาฝรั่งเศสนะ เพราะเว็บไซต์ของท่านมีทั้งสามภาษา อย่ามาตู่
อิฉันไม่ต้องการเงิน 15 ยูโรคืนหรอกนะคะ แต่ต้องการคำอธิบาย(เฟ้ย)!
เฮ้อ... ปล. ไม่ทราบว่าเมื่อไหร่จะเปลี่ยนเอารถรางรุ่นใหม่มาใช้บนสาย 44 ซะทีคะ? ได้ข่าวว่ารุ่นนี้ใช้มา 50 ปีแล้ว จนมีชาวบ้านประเทศใกล้เคียง เดินทางมานั่งเล่นเพราะความเก่าคลาสสิตของมัน แต่สายอื่นรู้สึกว่าจะเป็นรุ่นใหม่ไฮโซกันหมดแล้วนะคะ ไม่แฟร์เลยจริง ๆ
Create Date : 22 พฤษภาคม 2552 | | |
Last Update : 22 พฤษภาคม 2552 3:14:29 น. |
Counter : 2289 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
คนเบลเยี่ยมเหยียดผิว(หรือไม่?)
วันนี้พอดีผ่านไปเจอข่าวเกี่ยวกับความคิดของคนเบลเยี่ยมที่มีต่อชาวต่างชาติ ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม โดยทำการสำรวจทางชาวเบลเยี่ยมจำนวน 1,392 คน
[caption id="attachment_495" align="aligncenter" width="468" caption="image from FlandersNews.be"][/caption]
ที่เบลเยี่ยมเค้าทำโพลล์กันขึ้นมา ตั้งชื่อโพลล์ว่า "ฉันไม่เหยียดผิว แต่.." โดยจัดทำขึ้นโดย ศูนย์เพื่อความเท่าเทียมทางโอกาสและการคัดค้านการเหยียดผิว (Centre for Equal Opportunities and Opposition to Racism)
ผลออกมาน่าสนใจว่า..
คนส่วนมากยอมรับว่าอยู่ในสังคมที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม แต่จำนวนไม่น้อยก็มีปัญหาบางอย่างเกี่ยวกับความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่ว่านี้ มากกว่าครึ่งของชาวเบลเยี่ยมจำนวน 1,392 คนที่เค้าสำรวจมา ไม่เคยคบหาสมาคมกับคนต่างสีผิว แต่ก็ไม่เคยมีทัศนคติหรือประสบการณ์ในแง่ลบกับคนต่างชาติเช่นกัน
แต่ชาวเบลเยี่ยมที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ๆ (คิดว่าโพลล์นี้เค้าคงสำรวจสุ่ม ๆ ดูทั้งในชนบท และในเมือง)มีการติดต่อและมีทัศนคติที่ดีกับวัฒนธรรมต่างชาติ และเปิดกว้างยอมรับมากกว่าคนในแถบชนบท
คุณ โยเซฟ เดอ วิตต์, กรรมการของศูนย์เพื่อความเท่าเทียมทางโอกาสและการคัดค้านการเหยียดผิวออกมากล่าวอย่างชื่นบานว่า "นี่แสดงให้เห็นว่า ผลออกมาในแง่ที่ดีมาก ๆ เลยล่ะครับ"
ผลที่น่าสนใจอีกอย่างคือ คนเบลเยี่ยมนั้น ทำใจยอมรับได้มาก กับวัฒนธรรมต่างถิ่นที่ไหลเข้ามาในประเทศ ถึงแม้ว่าวัฒนธรรมเหล่านั้นจะเป็นกลุ่มน้อยและแตกต่างกับวัฒนธรรมของชาติตนเองก็ตาม โดย 55% มีความเห็นว่า การเข้ามาของวัฒนธรรมต่างถิ่นในเบลเยี่ยมนั้น เป็นเรื่องที่ดีต่อสังคมด้วยซ้ำ (เค้าใช้คำว่า enrichment for society)
ชาวเบลเยี่ยมสองในสามคน มีความเห็นว่าคนทุกเชื้อชาติมีโอกาสเท่าเทียมกัน หนึ่งในสามเห็นว่า เชื้อชาติบางเชื้อชาตินั้นมีสติปัญญาความสามารถเหนือกว่าเชื้อชาติอื่น ๆ
แต่ผลของโพลล์ที่เค้าบอกว่่า "cliché" มาก ๆ คือน่าเบื่อหน่ายซ้ำ ๆ ซาก ๆ (ไม่ว่าสิ่งนั้นจะจริงหรือไม่) คือชาวเบลเยี่ยมมากกว่าสามในสี่ คืดว่าคนต่างเชื้อชาติที่เข้ามาอยู่ในเบลเยี่ยม(ที่ไม่มีงานทำ)นั้นได้รับเงินสนับสนุน"ช่วยเหลือผู้ว่างงาน" จากรัฐบาลง่ายกว่าคนเบลเยี่ยมแท้ ๆ เสียอีก
และจำนวนครึ่งหนึ่งคนที่ให้ความเห็นกับโพลล์นี้ โทษว่าการพุ่งสูงของยอดอาชญากรรม มีผลมาจากการที่มีคนต่างเชื้อชาติเข้ามาอยู่ในเบลเยี่ยมมากขึ้น
คุณ โยเซฟ เดอ วิตต์ ไม่ได้ให้ความเห็นในความคิดดังกล่าว (จริงๆ ไม่รู้เค้าพูดอะไรหรือเปล่า แต่ข่าวไม่ได้บอก)
มันฟังดูขัด ๆ กันยังไงพิกลนิ ยอมรับวัฒนธรรมต่างชาติได้ แต่คิดว่าคนต่างชาติเป็นต้นตอของปัญหาอาชญากรรมและรอรับแต่เงินสนับสนุนจากรัฐ?
แต่เรื่องนี้อ่อนไหวมาก ๆ คนเบลเยี่ยมเองก็มักไม่ค่อยอยากจะคุยกันเรื่องนี้เท่าไหร่ จะให้คนเปลี่ยนความคิดเห็นก็ยาก เพราะคนต่างชาติที่เข้ามาอยู่ที่นี่แล้วไม่ทำงานแต่ขอรับเงินช่วยเหลือนั้นเยอะจริง ๆ แล้วคนเค้าก็ไม่รู้ว่าคนไหนมีงานทำ คนไหนไม่ทำงานแล้วนั่งรอเอาแต่เงินช่วยเหลือ บางคนไม่มีงานทำยังไม่พอ รับเงินช่วยเหลืออย่างเดียวยังไม่พอ แต่มีลูกออกมาอีกหลายคน แล้วพอมีลูก ก็ไม่ส่งลูกไปเรียนหนังสือหนังหา ลูกโตมา หางานทำไม่ได้ รอรับเงินช่วยเหลืออีก ฯลฯ
เป็นวงจรแบบนี้มานานมาก ไอ้ครั้นจะยกเลิก ก็มีคนเบลเยี่ยม(แท้ ๆ) บ่นอีกว่างานหาไม่ได้จะให้เค้าไปทำอะไร ซึ่งบางคนที่บ่นก็ไม่มีงานทำจริง ๆ แต่บางคนบ่น แต่แอบทำงานมืด (คือทำงานไม่เสียภาษี รับเงินสดอย่างเดียว) ซึ่งสิ้นเดือนก็ออกมาว่า รับทั้งเงินช่วยเหลือและมีรายได้(ที่ไม่เสียภาษี)อีกต่างหาก
เรื่องนี้ึคนเบลเยี่ยมทุกคนรู้ดียิ่งกว่าดี แต่ไม่มีใครทำอะไรได้ เพราะรัฐบาลไม่กล้า กลัวคน(ที่รับเงินช่วยเหลืออยู่)จะไม่เลือกพรรคตัวเองอีกเมื่อมีการเลือกตั้งครั้งต่อไป
เอาเข้าจริงๆ การเมืองมันก็ไม่ได้น้ำเน่าแค่ประเทศแถว ๆ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้บางประเทศหรอก..
แต่อย่างน้อยคนที่นี่ก็ยังดีใจหาย ถึงแม้จะคิดว่าคนต่างชาติเป็นต้นตอปัญหาบางเรื่อง แต่ก็ยังอุตส่าห์รับได้อีกนะ จะว่าไปก็คงเหมือนคนไทยที่เห็นคนประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศเข้ามาสร้างปัญหา (ซึ่งบางคนมันก็เข้ามาสร้างจริง ๆ อ่ะ) แต่ก็ยังแบบว่าหยวน ๆ กันไป
เอาวะ ยังไงก็ดีกว่าอังกฤษก็แล้วกัน อ่านข่าว นสพ อังกฤษทีไร ก็เจอแต่ข่าวต่อต้าน immigrants (ซึ่งบางคนมันก็น่า.. จริง) อังกฤษมีปัญหาคนหลบหนีเข้าเมืองมาก ๆ ไม่รู้กี่หมื่นต่อปี ยิ่ง EU เปิดชายแดนแบบนี้ ไปไหนมาไหนก็ง่ายโคตร
ล่าสุดนีเค้าจับชาวตะวันออกกลางหลายคน ทำกันเป็นล่ำเป็นสัน คือเอาพวกไปดักรอกันแถว ๆ ท่าเรือ โกดังสินค้า ฯลฯ (ในข่าวที่ไปดักขึ้นมาจากฮอลแลนด์) เพื่อรอรถบรรทุก พอรถชลอ ๆ ก็วิ่งเข้าไปเปิดประตูหลัง ปีนเข้าไปในตู้คอนเทนเนอร์ และหลบอยู่ในนั้น พอรถบรรทุกมาถึงเกาะอังกฤษก็พาหลบกันออกมา
Read full article by DailyMail.co.uk here
จุดตรวจเค้าตรวจรถบรรทุกสินค้าพวกนี้ 2 ใน 3 คันโดยประมาณ บางคันก็ไม่ได้ตรวจ เห็นว่าคนขับรถบรรทุกก็มีเอี่ยวด้วย ข่าวไม่ได้บอกว่าได้เท่าไหร่ แต่ถ้าโดนจับได้ เจอค่าปรับ 2,000 ปอนด์ต่อคนหลบหนีเข้าเมืองหนึ่งคน ขนมา 10 คนก็คูณไป (แปลกใจที่ไม่โดนหนักกว่านั้น)
คนอังกฤษเดือดดาลมาก ไม่ชอบใจมาก ๆ เกี่ยวกับคนหลบหนีเข้าเมืองแบบนี้ พาลให้เกลียดคนที่มีรูปร่างหน้าตาแบบตะวันออกกลางไปด้วย เพื่อนฉันคนหนึ่งไปทำงานอยู่อังกฤษแค่เกือบ ๆ ปี กลับมาเบลเยี่ยมก็บอกว่าอึดอัดบอกไม่ถูก เหมือนคนมองแบบมันเป็นผู้ก่อการร้ายหรือเป็นอาชญากร มันบอกว่าเซ็งมาก เพราะไม่ใช่ความผิดมันซักหน่อยที่หน้าเป็นตะวันออกกลาง ("โมครัน" มีเชื้อสายอียิปต์ แต่เกิดที่ปารีส พูดฝรั่งเศสตั้งแต่เกิด และภาษาที่สองถึงเป็นภาษาถิ่นของครอบครัวตนเอง พ่อของโมครันเป็นหมอ แม่เป็นทนายความ โมครันไม่เคยออกนอกยุโรปตั้งแต่เกิดมา)
[caption id="attachment_497" align="aligncenter" width="500" caption="เมืองดินองต์ ฝั่งวัลลูเนีย"][/caption]
วันนึงโมครันกลับบ้าน เจอหน้าประตูคนเอาสเปรย์มาพ่นว่า "Paki get out!!" มันก็งงเลยดิ อะไร ใคร ปากีฯ แล้วถ้าตูเป็นปากีฯจริงแล้วจะทำไมฟระ มันโมโหมาก พองานหมดสัญญามันรีบกลับมาเบลเยี่ยมเลย เพราะใกล้ครอบครัวมากกว่า (ครอบครัวยังอยูปารีส) และที่สำคัญสบายใจกว่า
แต่ก็ไม่ใช่แค่ที่อังกฤษนะ "เซ็บ"เพื่อนที่ทำงานฉัน เป็นคนเบลเยี่ยมแท้ ๆ แต่มาจากฝั่งวัลลูน (พูดฝรั่งเศส) แต่ทำงานที่บรัสเซลส์ แฟนเซ็บเป็นหมวยฮ่องกงที่ไปเกิดที่ฮอลแลนด์ เลยเป็นอาหมวยที่พูดดัชท์เป็นภาษาแม่ และกวางตุ้งเป็นภาษารอง เนื่องจากทั้งคู่ทำงานที่บรัสเซลล์ แล้วเซ็บมันก็ไม่ค่อยชอบ ลิเอจ บ้านเกิดเท่าไหร่ ทั้งคู่เลยซื้ออพาร์ทเมนต์ที่ วิลวัลเดอร์ ซึ่งอยู่ในจังหวัดฟลามส์บราบัน เหมือนกัน (จริง ๆ บรัสเซลล์ก็อยู่ในฟลามส์บราบันนะ แต่ดันพูดฝรั่งเศส เรื่องนี้คนเฟลมมิ่งเคืองมากมาย)
เอาเถอะ..
วันนึงเซ็บกลับบ้าน เปิดประตูมา เจอบัตรสนเท่ห์ "ไอ้พวกวัลลูน กลับบ้านไป!" เซ็บ งง ทั้งงงทั้งโกรธว่าเฮ้ย มันก็ทำงาน เสียภาษีก็เสีย แล้วนี่ก็เบลเยี่ยม ทำไมมันจะมาอยู่ฝั่งฟลานเดอร์สไม่ได้ล่ะ แฟนมันก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า "เพราะยูพูดดัชท์ไม่ได้ไงเซ็บ.."
เซ็บเข้าใจภาษาดัชท์ แต่พูดไม่คล่อง แล้วทุกครั้งที่พยายามพูดดัชท์ อีกฝั่งจับสำเนียงฝรั่งเศสได้ ก็พูดฝรั่งเศสกลับอยู่ดี (เกือบ ๆ 70% ของคนเบลเยี่ยมฝั่งฟลานเดอร์สพูดฝรั่งเศสได้อยู่แล้ว) เซ็บก็เลยไม่ได้เรียนซักที "พอชั้นพยายามพูดดัชท์ก็ไม่ยอมให้ชั้นพูด แล้วจะมาไล่ให้ชั้นกลับไปอยู่ฝั่งนู้น บ้าจริงๆ เซ็งว่ะ"
ยังไงก็พยายามเข้านะ ไอ้มดแดง...
Create Date : 22 มีนาคม 2552 | | |
Last Update : 22 มีนาคม 2552 18:53:16 น. |
Counter : 5099 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
+ ฤดูใบไม้ผลิมาแล้วจ้า
อาทิตย์นี้กำลังจะเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว (อย่างเป็นทางการ) เพิ่งรู้ว่าเค้ามีวันเปลี่ยนฤดูอย่างเป็นทางการกันด้วย ฝรั่งนี่ช่างทำอะไรพิลึกกึกกือมากมาย เป็นคนไทยก็คงประมาณว่า "เออ หน้าร้อนเหรอ ก็ประมาณ...ประมาณ... ปลาย ๆ มีนา หน้าฝนก็ เออ ซักเดือน เออ ...ไม่รู้ว่ะ ฝนตกบ่อย ๆ ก็รู้เองแหละว่าเข้าหน้าฝน" เป็นนิสัยที่ไทยมาก ๆ ชิวมาก ๆ (ใครมันจะไปรู้ว่าวันไหนฤดูมันจะเปลี่ยน? เปลี่ยนเมื่อไหร่ก็รู้เองแหละ 555)
ตามร้านค้า จากชั้นโชว์ที่มีผ้าผันคอ, ถุงมือ, สินค้าที่มีึความฟูทั้งหลาย ก็อันตรธานหายไป กลายเป็นบิกินี่ แว่นกันแดดเข้ามาแทน (เร็วไปป่าวเฮีย? ยัง 10-12 องศาอยู่เลย ตื่นเต้นกันยังกับจะ 30 องศาวันนี้พรุ่งนี้) รูป : ป้ายรถเมล์ที่ฉันต้องไปต่อรถเมล์เกือบทุกวัน น่าจะเป็นป้ายรถเมล์ที่อนาถาที่สุดในเบลเยี่ยมแล้วล่ะ (ดูดิ หลังคาหายไปไหนต่อไหน โย้ ๆ เย้ ๆอีก โอ๊ว..)
แต่เห็นความเปลี่ยนแปลงชัดมากจริง ๆ ช่วงหน้าหนาว ออกจากบ้านตอนเช้า มืดตึ๊ดตื๋อ แดดจะไม่ออกไปจนเกือบสิบเอ็ดโมงโน่น (บางวันไม่ออกเลย) เมื่อเดือนกุมภาฯที่ผ่านมานี่ ทั้งเดือน แดดออกแค่ 30 กว่าชั่วโมงเท่านั้น (คิดดูดิ ทั้งเดือนนะ)
คนไทยอย่างเราอาจจะร้อง เย้! แต่วันที่ไม่มีแดดเนี่ยมันหดหู่จริง ๆ อะไร ๆ ก็ดูสลัว ๆ ฝนตกปรอย ๆ พอให้น่ารำคาญ บรรยากาศเหมือนหนังฟิล์มนัวร์ยุคเซเว็นตี้ เหมาะแก่การนั่งไว้อาลัยให้สภาพอากาศเป็นอย่างยิ่ง
พอจะเข้าฤดูใบไม้ผลิ ชาวเบลเยี่ยมชื่นบานกันออกหน้าออกตามาก ๆ ปรกติคุยกันเรื่องอากาศ จะได้ยินแต่ "เฮ่อ น่าเบื่อว่ะ ฝนตกอีกแล้ว"แต่ตอนนี้เดินไปไหนมาไหนผู้คนดูระรื่นกันมาก เพราะอากาศดี นกเล็ก นกใหญ่ กระจิบ กระจอกที่เคยหายหน้าหายตากันไปช่วงหน้าหนาวก็กลับมาจิ๊บ ๆ จั๊บ ๆ กันแต่เช้าเหมือนเดิม เจ็ดโมงแดดก็ออกแล้ว
ฤดูใบไม้ผลิมันก็ดีแบบนี้นี่เอง (ไม่รู้จะดีไปได้กี่วัน)
ปรกติฉันนั่งรถเมล์ผ่านเมืองเบอร์เต็มทุกวัน ระหว่างทางไปทำงานนี่ล่ะ แล้วเบอร์เต็มจะมีฟาร์มปศุสัตว์ คนทำไร่ ทำเกษตรกันบ้าง (แปลกดี ฟาร์มอยู่ติดถนนใหญ่เลย) มีอยู่บ้านนึงเค้ามีแกะฝูงเล็ก ๆ ฉันนั่งรถเมล์ผ่านทุกวัน ก็นับมันทุกวัน (นับอยู่ได้ มีแค่ 5 ตัวนี่นะ) ช่วงที่หนาวมาก ๆ เมื่อเดือนมกราฯ ไอ้เจ้าห้าตัวนี่มันก็ยืนเกาะกันเป็นกลุ่ม เหมือนก้อนไหมพรม ดูแล้วฮาดี
มีอยู่วันนึง เฮ้ย!! เหลือแค่ 3 ตัว โอ๊วโน๊ว! มันถูกจับเอาไปทำซุปขาแกะแล้วหรือไรกันนี่! โลกนี้ช่างโหดร้ายกับแกะขนฟู!
ฉันแอบเคืองชาวนาไปหลายวัน (ทั้ง ๆ ที่เป็นแกะของตัวเองหรือก็เปล่า ก็แกะของชาวนาเค้าอ่ะนะ เอ๊อ!)
แต่พออากาศเริ่มอุ่นขึ้น ย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิ ฉันนั่งรถเมล์สายเดิมผ่านฟาร์มเดิม เฮ้ยๆๆๆๆๆ แกะกลับมาแล้ว! ไม่ได้กลับมาเฉย ๆ ด้วย มีลูกแกะมาเพิ่มอีก 4 ตัวแน่ะ! ฮา... ดีใจแบบไม่มีเหตุผล (แต่ก็อีกนั่นแหละ แกะของเราหรือก็เปล่า..)
เสาร์อาทิตย์นี้ ถ้าแดดดีก็ว่าจะออกไปถ่ายรูปซักหน่อย
ฤดูใบไม้ผลิมันก็ดีแบบนี้นี่เอง..
Create Date : 19 มีนาคม 2552 | | |
Last Update : 19 มีนาคม 2552 4:19:18 น. |
Counter : 1289 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
คนไทย ธรรมด๊าธรรมดา เกิด และ โต ณ กทม. ปัจจุุบัน ทำงานในบรัสเซลส์ ยามว่าง(และยามไม่ว่าง แต่กระเสือกกระสนให้ว่าง) ชอบแบกเป้เที่ยวนู่นเที่ยวนี่ นี่ก็เหลืออีก ร้อยกว่าประเทศเองก็ยังไม่ได้ไป ฮ่าๆๆๆ ฮืออออ.. (T_T)
|
|
|
|
|
|
|