ชีวิตคนไทยธรรมดาในเบลเยี่ยม
Group Blog
 
All blogs
 

+ จดหมายถึง STIB ณ บรัสเซลส์ รถรางนรก!

เรียน ท่านผู้ให้บริการการคมนาคมสาธารณะ STIB

อิฉันเป็นชาวต่างชาติคนหนึ่ง ในชาวต่างชาติจำนวนมากทีี่ทำงานอยู่ในกรุงบรัสเซลส์ และต้องใช้บริการของท่านทุกวั้นนน ทุกวัน แม้ว่าใจจริงแล้วจะไม่อยากใช้เท่าไหร่หรอก เลือกได้ก็จะเลือก De Lijn มากกว่า แต่ทำไงได้ ดันทำงานอยู่บรัสเซลส์ เมืองที่ท่านเป็นผู้ผูกขาดการให้บริการคมนาคมทั้งหมดทั้งปวง

tram4

เมื่อวานช่วงเช้า (20 พฤษภาคม 2009) ณ ป้ายจอดรถราง "ออปเป็มสตราท" ที่อิฉันมักจะลงแวะซื้ออาหารกลางวัน จากคาร์ฟูร์เอ็กซ์เปร๊สส์ที่สุดจะแพงเป็นประจำ(เมื่อยามไม่มีทางเลือก และเบื่อที่จะกินแซนด์วิชขนมปังฝรั่งเศส ที่เหนียวยังกับรองเท้านันยางทุกวัน)

เวลา 8 นาฬิกา 44 นาที รถรางสาย 44 ก็วิ่งมาถึง แต่ท่านคนขับคงไม่เห็นอิฉันหรืออย่างไรก็มิอาจทราบได้ เพราะท่านเปิดประตูไม่ครบสามประตู อิฉันที่รอจะขึ้นอยู่ที่ประตูสุดท้าย ประตูไม่เปิด อิฉันเลยต้องวิ่งไปประตูกลางที่ยังเปิดอยู่

ด้วยความ ไวปานสายฟ้าแลบ ท่านพนักงานขับรถรางได้ปิดประตูดังปัง ปิดไม่ปิดเปล่า ประตูได้หนีบเอาถุงใส่อาหารกลางวัน และอื่น ๆ(รวมมูลค่ากว่า 15 ยูโร) ที่อิฉันเพิ่งจะซื้อมาจากคาร์ฟูร์เอ๊กเปร๊สสสส์ไปกับรถรางของท่านด้วย อิฉันด้วยความเสียดายเงินเป็นอย่างมาก (ตั้ง 15 ยูโร!) พยายามดึงถุงให้หลุดจากประตู และวิ่งตามไปด้วยดั่งคนบ้า แต่ก็ไม่เป็นผลแต่อย่างใด เพราะสุดชานชลาพอดี ถ้าดึงดันวิ่งดึงถุงต่อไปอาจจะหล่นลงไปในรางถึงแก่ชีวิตได้ ปวงชนชาวพี่น้องชาวไทยจะได้อายว่ามีบุคคลสัญชาติไทยไม่ทราบชื่อรายหนึ่ง ตายอนาถเพราะวิ่งตามถุงกับข้าวที่ถูกรถรางของท่านหนีบ!

ถึงแม้อิฉันจะทุบกระจกรถรางของท่านดังปัง ๆ ๆ ดังเช่นคนเสียสติ และผู้โดยสารสาวคนหนึ่งจะมองเห็นว่าอิฉันต้องการความช่วยเหลือ แต่เธอก็ช๊อคจนทำอะไรไม่ถูก

อิฉันโมโห้ โมโห ไม่ทราบว่ากระจกมองข้าง หรือ มองหลังมีไว้ทำกระต่ายอะไรมิทราบคะ? ผู้โดยสารยังขึ้นไม่ทันหมดก็ออกรถแล้ว ที่นี่มันบรัสเซลส์หรือกรุงเทพฯคะเนี่ย?

แถมวันนั้นอิฉันก็ไม่มีข้าว กลางวันกินอีกต่างหาก ที่ทำงานอิฉันอยู่ ถนนเตอวูเร็นอันแสนโดดเดี่ยวแห้งแล้งไร้ซึ่งร้านค้าและเพิงขายเฟรนช์ฟรายส์นะคะ ไม่ได้อยู่ติดตลาด อตก.

นี่ยังดีนะคะ มันเป็นแค่ถุงอาหาร ถ้ามันเป็นชายเสื้อ หรือ ผ้าพันคอของอิฉัน อิฉันคงจะถูกลากไปกับรถรางของบริษัทท่าน และตายอนาถระหว่างทางไปทำงานเป็นแน่แท้!

อิฉันจ่ายค่าโดยสารเดืิอนละ 44 ยูโรทุกเดือนเพื่อโดยสารนะคะ ไม่ได้เพื่อมาเสี่ยงตาย ไม่ทราบว่าท่านเคยส่งพนักงานไปฝึกงานกับ ขสมก หรือ รถร่วมหรือเมืองไทยหรือเปล่าคะ สงสัยจิง

ท้ายนี้ หวังว่าท่านคงอ่านภาษาอังกฤษออก และไม่แกล้งทำเป็นว่าพูดได้แต่ภาษาฝรั่งเศสนะ เพราะเว็บไซต์ของท่านมีทั้งสามภาษา อย่ามาตู่

อิฉันไม่ต้องการเงิน 15 ยูโรคืนหรอกนะคะ แต่ต้องการคำอธิบาย(เฟ้ย)!

เฮ้อ...
tram3ปล. ไม่ทราบว่าเมื่อไหร่จะเปลี่ยนเอารถรางรุ่นใหม่มาใช้บนสาย 44 ซะทีคะ? ได้ข่าวว่ารุ่นนี้ใช้มา 50 ปีแล้ว จนมีชาวบ้านประเทศใกล้เคียง เดินทางมานั่งเล่นเพราะความเก่าคลาสสิตของมัน แต่สายอื่นรู้สึกว่าจะเป็นรุ่นใหม่ไฮโซกันหมดแล้วนะคะ ไม่แฟร์เลยจริง ๆ




 

Create Date : 22 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 22 พฤษภาคม 2552 3:14:29 น.
Counter : 2289 Pageviews.  

+ ลูกค้า อเล็กซ์ พิษเศรษฐกิจ และ ซูชิ

ไม่ได้ up อะไรมาหลายอาทิตย์ เพราะไม่ค่อยมีอะไรน่าตื่นเต้นเท่าไหร่ จันทร์ ถึง ศุกร์ ก็ไปทำงานปรกติ ไหน ๆ ก็เขียนแล้ว รวบรัด เหมารวมมิตรมันซะเลยก็แล้วกันนะ อาจจะมั่ว ๆ จากเรื่องนู้น ไปเรื่องนี้บ้าง ขออย่าได้ถือสา (เขิลล์)










ความแตกต่างระหว่างการทำงานประจำที่เมืองไทย และ การทำงานประจำที่นี่ คือ หนึ่ง ที่นี่รถไม่ติด คือ มันก็ติดอยู่บ้างแต่ไม่ได้ติดชนิดบ้าบอคอแตกเหมือนกรุงเทพ ฯ แล้วตั้งแต่เริ่มทำงานมา จะหกเดือนแล้ว ไม่เคยมีวันไนต้องยืนบนรถเมล์ไปทำงาน เพราะรถเมล์ไม่เคยเต็มเลยแม้แต่วันเดียว

คนเบลเยี่ยมน่าจะเป็นชาติหนึ่งในหลาย ๆ ชาติในโลกที่บ้าขับรถระยะยาว ไป กลับ บ้าน ทำงาน ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน เพราะไม่อยากย้ายไปอยู่ใกล้ที่ทำงาน ถึงแม้ว่า จะทำงานในบรัสเซลส์ และ บ้านอยู่ อันท์เวิร์ป ก็ตาม (เทียบได้ประมาณ ทำงานอยู่ซอยทองหล่อ - และบ้านอยู่นครปฐม และขับรถไปกลับทุกวัน เช้า เย็น)

บางคนอยู่ไกลกว่านั้นอีก แทบจะเรียกว่าขับรถข้ามประเทศกันเป็นว่าเล่น บางคนบ้านอยู่ในฮอลแลนด์ด้วยซ้ำไป

เช้าวันหนึ่งโซฟีเห็นฉันหอบเอาโน้ตบุ๊คมาทำงานด้วย เธอแปลกใจมาก ถามว่า มันไม่หนัก ไม่ลำบากเหรอ? เพราะคุณนั่งรถเมล์มาทำงาน ฉันก็แบบว่า เอ่อ หลังจากที่นั่งรถเมล์ใน กทม มาร่วมสิบกว่าปี นั่งรถเมล์ในเบลเยี่ยมมันก็เหมือนนั่งเครื่องบินดี ๆ นี่เอง เพราะรถไม่เคยเต็ม มาตามเวลา จอดตรงป้าย (ไม่ต้องวิ่งตาม เดาใจคนขับเหมือนบ้านเรา) ฉันเลยไม่เก็ตที่คนสงสารฉันเหลือเกินที่ต้องนั่งรถเมล์มาทำงานเนี่ย

ไม่ใช่ว่าไม่รักเมืองไทยนะ ทุกวันนี้ก็นับถอยหลังวันไหนจะได้กลับบ้าน (อีกสองเดือนกว่า ๆ จะได้ไปแย้ววววเย้ๆๆๆ) แต่เรื่องคุณภาพชีวิตต้องยอมรับว่าคุณภาพชีวิตของยุโรปนั้นอยู่ในระดับสูง มาก บางทีก็สูงมากจนน่าเบื่อ (อ้าว) คนไม่มีความตื่นเต้นในชีวิตไปซะฉิบ

ลองคิดดูดิ ทำไมฝรั่งถึงบ้าพวกกีฬาที่ท้าทาย เสี่ยงตายกันมากกว่าคนในประเทศกำลังพัฒนา เพราะบ้านเค้าเจริญมาก มากจนทำอะไรไม่ค่อยจะได้ กฎนั่นกฎนี่ ลองไปอยู่บอมเบย์ หรือ กรุงเทพฯ ซิ วัน ๆ จะเดินทางจากบ้านไปทำงานได้ ก็เสี่ยงตายให้สารอะดรีนาลีนขึ้นสูงปรี๊ดแทบทุกวันอยู่แล้ว ไม่ต้องออกไปเล่นอะไรให้มันตื่นเต้นเพิ่มเติมอีกกระมัง (วันไหนเบื่อ ๆ ไปนั่งเรือคลองแสนแสบ ดู จะรู้ว่าความตื่นเต้นเร้าใจก็หาซื้อได้ในราคาไม่ถึง 20 บาท)

ท่านลูกค้าผู้มีอุปการะคุณที่น่า...


ซักสองอาทิตย์ก่อน คริสเตียนไม่อยู่ ขับรถไปสวิตเซอร์แลนด์กับครอบครัวเพื่อพักผ่อน และแวะดูโรงแรมของลูกค้าไปด้วยในตัว ลูกค้ารายนี้เป็นชาวอังกฤษ เจ้าของชื่อ คุณ"จิม" ซึ่งเป็นลูกชายของอดีตบุรุษไปรษณีย์ธรรมดา ๆ ในอังกฤษ พ่อส่งเสียให้เรียนจนจบวิศวะเคมี และ ปริญญาโทบริหารธุรกิจ

คุณจิม เริ่มบริษัทเคมภันฑ์เล็ก ๆ ของตัวเอง เมื่อไม่ถึง 10 กว่าปีที่ผ่านมา และทยอยซื้อบริษัทเล็ก ๆ อื่น ๆ ไปด้วย โดยเลือกเอาบริษัทที่เล็กจริง ๆ และดูว่ามีลู่ทางพัฒนาได้ ซื้อไป ซื้อไป จนทุกวันนี้ บริษัทมีฐานการผลิตอยู่ใน 17 ประเทศทั่วโลก และ มีผลกำไร เกือบ 50 ล้านล้านดอลล่าร์ ("ล้านล้าน" นะ ไม่ใช่แค่ ล้าน เดียว)

ส่วนคุณจิม เอง ระดับก็สิว ๆ ถูกจัดอันดับไว้ใน หนึ่งในห้า ของบุคคลที่รวยที่สุดในเกาะอังกฤษ และวันนี้ บริษัทก็เป็นบริษัทเคมีภัณฑ์ที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก

คุณจิม เป็นคนที่เป็นรู้กันว่าชอบกีฬาท้าทาย และเป็นนักกีฬาตัวยงคนหนึ่ง พาลให้เหล่าพนักงานต้องเล่นกีฬาไปด้วย ถึงขึ้นจ้างให้บริษัทที่ฉันทำงานอยู่เนี่ย ทำเว็บไซต์กีฬาสำหรับพนักงานในบริษัทโดยเฉพาะ (เว็บภายใน นะนั่นน่ะ)

ปรกติฉันไม่ได้ทำตรงเรื่องโปรแกรมมิ่ง แต่บรีฟงานมาเมื่ออาทิตย์ก่อน ว่าขอเป็นเว็บที่ใช้เวลาพัฒนาน้อยที่สุด และมีฟีเจอร์ครบที่สุด คือจะเอาดีที่สุดและถูกที่สุดอะแหละ (เอ๊า) ที่สำคัญ เค้าอยากจะจัดการระบบหลังบ้านของเว็บกันเองด้วย มันจะเหลืออะไรได้ นอกจากจะใช้โปรแกรมที่ฟรี และดีที่สุดในการทำบล็อก และ ฟรี คือ เวิร์คเพรส

ฉันใช้เวลา 2-3 วันในการ setup ทุกสิ่งอย่าง ตั้งแต่ตัวโปรแกรมไปดันดีไซน์ เทสต์การใช้งานแล้วใช้งานได้ดี เราจึงส่งเว็บไปให้ "ริชาร์ด" ผู้จัดการฝ่ายข้อมูลของบริษัทคุณจิมดู

ริชาร์ดเปิดมาดูได้ไม่ถึง 15 นาที ก็บ่นปอดแปดว่า เว็บอะไรใช้ยากโคตร ใช้ไม่เป็น อะไรก็ไม่รู้ ไม่เอา ๆ ใช้ยากมาก ๆ

ฉัน โซฟี และคริสเตียน ที่นั่งประชุมกับริชาร์ด (ทางโทรศัพท์ เพราะเค้าอยู่อังกฤษ เราอยู่เบลเยี่ยม) ก็ต้องกุมขมับ ปวดกบาลกันไปตาม ๆ กัน เพราะนี่เป็นโปรแกรมจัดการเว็บไซต์ที่ง่ายที่สุดในโลกแล้ว และ set up พร้อมใช้งานทุกอย่าง แต่ริชาร์ดซึ่งเป็นวิศวกรเคมี เห็นได้ขัดว่า เค้าไม่รู้ว่าจะจัดการกับระบบสำเร็จรูปนี้อย่างไร และยังคอมเมนต์อย่างงี่เง่าอีกด้วย

ฉันโมโหก็โมโห ในความที่ ทำไมถึงรีบบ่น ๆ ๆ ๆ ทั้ง ๆ ที่ยังลองใช้ได้ไม่ถึง 15 นาที กว่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็นั่งเล่นไปซัก 3-4 ชั่วโมงนั่นแหละ ถึงจะรู้ว่า จริง ๆ แล้วมันไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย แต่นี่ แค่เปิดมาเจอก็บ่นแล้วอ่ะ คนบ้าอะไรเนี่ย!

จะโมโหกลับก็ไม่ได้ เพราะเป็นลูกค้า เราเลยต้องพยายามทำน้ำเสียงปรกติ(ซึ่งยากที่สุดในวินาทีนั้น) และต้องขอจบการประชุมไว้เท่านั้นก่อน เพื่อที่จะมาคุยกันเองว่า มันบ้าอะไรเนี่ยยยยยย

ในที่สุดมันก็ต้องมาจบลงที่ เราต้องให้ แม๊กซ์ ซึ่งเป็นโปรแกรมเมอร์ของบริษัท เขียนโปรแกรมใหม่หมดตั้งแต่ต้นอยู่ดี ซึ่งเลย์เอาท์ก็ปัญญาอ่อนมาก ๆ เพราะมันไม่ได้ต้องมีฟีเจอร์อะไรเลย แม๊กซ์เขียน PHP สอง-สามวันก็น่าจะเสร็จแล้ว

แล้วดันให้เว็บตัวอย่างมาซะอลังการ แต่เค้าคงไม่รู้ไง ว่าเบื้องหลังเว็บมันเป็นยังไง ต้องเอาไปอัพเดทตรงไหน อะไรยังไง (เพราะปรกติ เราทำให้ แต่คิดตังค์ไง ก็มันต้องใช้เวลาจัดการอ่ะ) คือ เกิดมาไม่เคยเห็น แบค-เอนด์ มาก่อน คุ้นเคยแต่การเป็น user อย่างเดียว ก็เลยบ่นว่า เว็บอะไรเนี่ยใช้ยากโคตร (ก็นี่ไง ที่คุณจะเอาแต่แรกอ่ะ จะทำเอง ก็นี่ไง) จัดการระบบหลังบ้านไม่เป็นแล้วมาด่าเราอ่ะ แบบ อะไรเนี่ย เซ็งมาก

วันนั้นฉันเลยเลิกทำงานไปเลย ไม่มีอารมณ์จะทำต่อ คริสเตียนก็เห็นว่าเราเซ็ง เราว่าก็คงเซ็งกันทุกคน แต่ทำยังไงได้ พูดกันตรง ๆ เลยว่า เราเห็นว่าลูกค้าโง่ ๆ ใช้เว็บไม่เป็น แต่ลูกค้ารายนี้แหละทีธุรกิจทำเงินปีละเป็นล้านล้านดอลล่าร์โดยใช้ คอมพิวเตอร์รุ่นโบราณโคตรอยู่เลย ในขณะที่เราใช้แมครุ่นล่าสุด จอใหญ่เท่าจอหนังกลางแปลง แต่ก็ยังต้องอาศัยลูกค้าอยู่ดีนั่นแหละ จะไปเลือกลูกค้าได้อย่างไร

ฉันเลยเข้าไปสงบสติอารมณ์ในห้องน้ำอย่างที่ทำประจำเมื่อยามเครียด (เพราะเป็นสถานที่เดียวที่ไม่มีชาวบ้านอยู่รอบๆ) ดันไปป๊ะเข้ากับ จิลล์ ที่สงสัยจะเข้ามาขี้หรือยังไงก็ไม่ทราบได้ เพราะเห็นฉันแล้วก็ทำหน้าเขิน ๆ แล้วเดินออกไป บอกว่า เดี๋ยวมาใหม่ ทั้ง ๆ ที่ห้องน้ำมันก็ว่างทั้งสามห้อง (จิลล์ เป็นแฟลชดีไซเนอร์ ชาวฝรั่งเศสที่มาช่วยเราทำงานประมาณ 2-3 อาทิตย์)

สรุปคือ เสียเวลาไปเปล่า ๆ ปลี้ ๆ 3 วัน เพราะทำออกมาแล้ว ลูกค้าใช้งานไม่เป็น ก็จบข่าว

โตขึ้นหรือแก่ขึ้น?




ตั้งแต่มาทำงานที่นี่ สิ่งที่เปลี่ยนไปมากในตัวเอง คือ คิดว่าทิฐิน้อยลงมาก เมื่อเทียบกับสองสามปีก่อน หรืออาจจะเป็นเพราะโตขึ้น (แก่ขึ้นนั่นแหละ!!) หรือเป็นเพราะว่าอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ต่างจากเดิมมาก

เมื่อวันที่คริสเตียนอารมณ์ไม่ดี และเหวี่ยงใส่ลูกน้องทุกคนในออฟฟิศ ไม่มีใครขำออก วันต่อมา คริสเตียนเรียกประชุมอีกรอบ และก่อนประชุมก็พูดก่อนเลยว่า "เมื่อวานนี้ต้องขอโทษทุกคนด้วย ที่อารมณ์ไม่ดีใส่ เพราะมันมีหลายอย่างที่ต้องทำและมันยังไม่เสร็จ ผมเลยหลุดไป ขอโทษจริง ๆ" นี่คือเจ้านายผู้เป็นเจ้าของบริษัทนะ คือจริง ๆ เค้าไม่ต้องมาขอโทษเราก็ได้ เพราะมันเป็นเรื่องปรกติที่ลูกน้องทำงานไม่ได้อย่างใจ และช้าจริง ๆ ก็ต้องต่อว่ากันเป็นธรรมดา แต่ที่นี่คือถ้าใครหลุดไปแบบนี้(ซึ่งก็มีบ้าง เดือนละหน สองหน) ไม่เกินวันต่อมาหรอก ก็ต้องมาขอโทษแล้ว แต่ไม่ใช่ว่าจะโมโหได้ทุกครั้งแล้วค่อยมาขอโทษนะ ถ้าไม่โมโหออกอาการซะแต่แรกจะดีกว่ามาก

ฉันก็มีหลุดไปเหมือนกันเมื่อเดือนก่อน เพราะโซฟี เปลี่ยนใจไปเปลี่ยนใจมา มาสั่งเปลี่ยนงานตอนมันจะเสร็จแล้ว ทั้ง ๆ ที่ตอนเราเริ่มทำก็ไม่มาสนใจดู ฉันก็หงุดหงิด เซ็บฯ ก็หงุดหงิด แต่ฉันอาจจะโดนมากกว่า เพราะเป็นคนออกแบบแต่แรก เลยเดินหนีไปชงกาแฟ แต่เขวี้ยงช้อนกาแฟลงอ่างล้างจานดังไปหน่อย (ไม่หน่อยล่ะ ดังเลย) โซฟีเลยถามว่า บี ยูโอเคป่าว? ฉันพูดอะไรไม่ถูกใจหรือเปล่า? ฉันก็บอกว่า เอ่อ เปล่า (จริง ๆ อ่ะเต็ม ๆ เลย) เซ็บฯเลยลากฉันไปเอาแซนด์วิชนอกออฟฟิศด้วย แก้เซ็ง และสงบสติอารมณ์

แต่ตอนเย็นฉันก็เดินไปคุยกับโซฟีตรง ๆ แหละ ว่าขอโทษด้วยที่หงุดหงิดใส่ แต่ฉันหลุดไป ยังไงคราวหน้าถ้ามีงานแบบนี้ช่วยมาดูแต่ตอนแรกนะ จะได้ไม่ต้องแก้ตอนใกล้จะเสร็จแบบนี้ ซึ่งเธอก็เข้าใจและบอกว่าไม่เป็นไร เธอเข้าใจ เพราะทุกคนก็มีวันที่หลุดแบบนี้เหมือนกัน และเธอก็ขอโทษด้วยที่กดดันฉันมากเกินไป

เป็นเมื่อก่อนฉันไม่มีทางไปขอโทษเด็ดขาดเลย เพราะไม่ใช่ความผิดเรานี่หว่า แต่เดี๋ยวนี้ถึงไม่ใช่ความผิดเรา ถ้ามันจะทำให้บรรยากาศมันดีขึ้นก็ทำ ๆ ไปเถอะ จะโดนด่าแทนกันบางทีก็ต้องยอม (มีเหมิอนกันนะ ลูกค้าแบบโทรมาด่าว่าเซิร์ฟเวอร์ล่ม ไรงี้ แล้วจะให้ฉันทำไงวะ ไม่ได้เป็นคนดูแลเซิร์ฟเวอร์นี่หว่า) ก็ได้ค่ะ ค่ะ ๆ ๆ โอเคค่ะ จะตามให้ค่ะ แต่ก็ไม่ใช่แค่ฉันนะ ทุกคนคือต้องปรับตัวหมด ขนาดซาวิเย่ร์ ที่ว่าเทพๆ ยังโดนคริสเตียนเรียกไปสวดยับ เพราะตะโกนใส่หน้าฉันวันหนึ่ง เมื่อฉันไปถามเฉย ๆ นะว่า งานนั้นเสร็จหรือยัง ขอดูได้ป่าว (เพราะต้องเอาไปทำต่อ) แค่นั้นแหละคุณเอ๋ยยยย ... ไปทำท่านเทพหงุดหงิดเลยทีเดียวเชียว



บางทีอายุที่เพิ่มขึ้นทุกปี ก็ทำให้คนเราเปลี่ยนไปจริง ๆ ละมั้ง

อเล็กซ์ที่(อาจจะต้อง)จากไป..


อเล็กซ์เพิ่งจะมีวันเกิดอายุครบ 27 ปีไปเมื่อวานนี้ แต่ดันมาทำงานแค่ครึ่งวัน เรายังไม่ทันได้กินเค้กกันเลย มันก็หนีกลับบ้านไปซะแล้ว

ฉันเคยถามอเล็กซ์ว่าทำไมเธอกลับบ้านครึ่งวัน ๆ อยู่บ่อย ๆ พักนี้ อเล็กซ์มองหน้าฉันแบบกระอักกระอ่วนใจแล้วบอกว่า "อ๋อออ กลับบ้านน่ะ" (กูรู้แล้ว แต่กลับทำไมวะ​???)

จนมาอีกอาทิตย์นึงอเล็กซ์ออกไปสูบบุหรี่นอกออฟฟิศ (ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนไม่เคยเห็นสูบ) ฉันด้วยความอยากรู้อยากเห็น (เจือก อะแหละ) เลยบอกว่า ไปด้วย ๆ ๆ ทั้ง ๆ ที่เดี๋ยวนี้ก็ไม่สูบกะเค้าหรอกบุหรี่อ่ะ นาน ๆ ทีพอได้ แต่อยากรู้นี่หว่า ..

อเล็กซ์บอกว่าพักนี้ที่กลับบ้านเร็ว (ครึ่งวัน) บ่อย ๆ เพราะเค้าต้องไปเตรียมแฟ้มผลงานไว้สมัครงานใหม่ ฉันก็ อ้าว เฮ้ย! จะไปไหน?? ไม่ชอบทำงานที่นี่เหรอ??

"ชอบซืิ แต่มันไม่ได้เป็นการตัดสินใจของผมนี่" (ภาษาอังกฤษของอเล็กซ์ดีขึ้นเป็นกอง หลังจากเกือบ ๆ หกเดือนที่ทำงานด้วยกันแล้ว แน่ใจว่าคุยภาษาฝรั่งเศสกับฉัน แล้วฉันฟังไม่ออกแม้แต่นิดเดียว)

"คืออะไรฟระ??"
"ก็ ยูโนว.. พิษเศรษฐกิจนี่ไง ตอนนี้คริสเตียนเอาผมไว้ในฐานะที่ อาจจะต้องให้ออก ถ้างานพิมพ์ไม่เข้ามาเลยอ่ะนะ แล้วผมก็ออกแบบเว็บไม่เป็นด้วยอ่ะ"

ฉันได้แต่อึ้ง เพราะตอนนั้นเราเพิ่งจะประชุมกันไป คริสเตียนยังบอกอยู่ว่ายังไม่ให้ใครออกตอนนี้หรอก ไม่ต้องเป็นห่วง บริษัทยังไม่เป็นหนี้แบงค์ซักกะเซ็นต์เดียว แล้วนี่มันอะไรกันฟระ???

แต่ดูเหมือนอเล็กซ์จะถอดใจแล้วว่ายังไงคงต้องออกแน่นอน เพราะเค้าไม่ถนัดออกแบบอย่างอื่นนอกจากงานพิมพ์ ไม่เหมือนคนอื่น ๆ เช่น ซาวิเย่ร์ ที่ฝีมือออกแบบไม่ได้เริ่ดนัก แต่มันทำแฟลชเก่งขั้นเทพ (แม้จะพูดภาษาอังกฤษแทบไม่ได้เลย)


pic : อเล็กซ์

หรือ เซบาสเตียง ที่ออกแบบงานพิมพ์ได้ไฮโซดูดี ภาษาเริ่ดทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส และทำเว็บและแฟลชได้บ้าง และฝีมือเจรจาลูกค้าก็ดีมาก (ใจเย็นสุด ๆ แล้ว แม้แต่กับลูกค้าที่งี่เง่าที่สุด) หรือ ฉันที่ออกแบบได้ทั้งงานพิมพ์และงานเว็บ และมีประสบการณ์ออกแบบเว็บนานที่สุด เมื่อเทีบบกับดีไซเนอร์คนอื่นในบริษัท (ถึงจะพูดได้ภาษาเดียวคืออังกฤษก็เหอะ) แม้ถนัดงานเว็บมากกว่า แต่ฉันออกแบบงานพิมพ์ได้ด้วยเหมือนกัน ถ้าต้องทำ

คือทุกคนมี skill มากกว่าหนึ่งอย่าง คือถ้าวันไหนอเล็กซ์ไม่มาทำงาน ฉันทำงานของอเล็กซ์แทนได้ หรือวันไหนฉันไม่มาทำงาน เซบาสเตียงก็ทำงานของฉันได้ แต่อเล็กซ์ทำงานของฉันไม่ได้เลย นั่นคือปัญหา

ฉันแอบรู้สึกแย่ เพราะบริษัทเจ้างฉันมาเพิ่ม แต่อเล็กซ์กลับอาจจะต้องถูกให้ออก เพราะเศรษฐกิจแย่จริง ๆ ไม่ใช่ว่าแย่แบบบริษัทจะเจ๊ง คืองานน่ะมี แต่เป็นงานที่เป็นงานเว็บเป็นส่วนมาก งานพิมพ์นับได้ไม่ถึง 10%

คริสเตียนเคยบอกให้อเล็กซ์เรียนทำแฟลช เรียนออกแบบเว็บ หรือ อย่างน้อยก็รู้บ้างว่าตรงไหนใช้เทคโนโลยีอะไรได้บ้าง แต่อเล็กซ์คิดว่ามันยากเกินความสามารถของเขา และใจตัวเองก็ไม่ได้ชอบทางเว็บด้วย ก็เลยถอดใจง่าย ๆ เลย (จริง ๆ อเล็กซ์อยากจะเป็น sound designer มากกว่า และจริง ๆแล้วเค้าก็ทำดนตรีประกอบให้หลาย ๆ โปรเจ็คท๋ของบริษัทด้วย)

ตอนนี้อเล็กซ์เลยมาครึ่งวันซะอาทิตย์ละสามวัน ถ้าไม่ต้องออก ฉันก็ไม่รู้จะว่ายังไงเหมือนกัน เพราะครึ่งวันมันแทบจะทำงานอะไรไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอันหรอก

แต่เค้าก็ยังมองโลกในแง่ดีว่า ไม่แน่ครั้งนี้ มันอาจจะเป็นสัญญาณที่บอกว่า เค้าอาจจะต้องออกไปหาอะไรใหม่ ๆ ในชีวิตทำบ้าง เปลียนฟิลด์ทำงานบ้าง เพราะทำที่นี่มาตั้งแต่เรียนจบ ไม่เคยทำที่อื่นเลย ก็ต้องดูกันต่อไปว่า จะยังไง

ซูชิ มั้ย?


บางวันที่อากาศดี ๆ บางคนในออฟฟิศก็อยากกจะกินซูชิกันขึ้นมา เมื่อสองวันก่อนก็เหมือนกัน คริสเตียนเกิดอยากจะกินซูชิ เลยโทรไปสั่ง แต่ไอ้ร้านซูชิไฮโซมันไม่ยอมเอาซูชิมาส่งที่บริษัท เพราะบริษัทเรา "ไม่ได้อยู่ในบรัสเซลส์" (ไอ้บร้าาาา ตามที่อยู่แล้ว อยู่บรัสเซลส์นะเว้ย) คือเทียบกับ กทม คงประมาณ ร้านซูชิอยู่ อโศก และบริษัทเราอยู่ สะพานควาย อะไรงี้ แค่นี้น่ะ มันไม่มาส่งเลยอ่ะ ต้องไปรับเอง

ฉันมีตังค์ติดกระเป๋าอยู่ 5 ยูโร (กร๊ากกกกกก) ประเทศนี้ทำให้ฉันเป็นโรคไม่พกเงินสดไปแล้ว เพราะไปไหนก็ใช้บัตรเดบิตได้หมด ฉันเลยต้องไปกับคริสเตียนด้วยเพื่อไปกดตังค์

ฉันเลยได้นั่งปอร์เช่เปิดประทุน (เว่อร์ชนิดที่อายตัวเอง เพราะแต่งตัวได้ทุเรศโลโซตรงข้ามกับรถมาก) ไปเอาซูชิที่ร้าน โดยท่านเจ้านายเป็นผู้ขับรถ (ที่เร็วอย่างน่าหัวใจวาย) คนมองกันทั้งถนน



เซ็บฯ (เซบาสเตียง) แอบเรียกรถสปอร์ตประเภทนี้ว่ารถ "มิดไลฟ์-ไครซิส" คือรถสำหรับชายที่กำลังประสบปัญหาวัยกลางคน คือ มีงานต้องรับผิดชอบ ต้องทำธุรกิจ มีภรรยา มีลูก ๆ ที่ต้องดูแล เต็มไปด้วยความรับผิดชอบนู่นนี่นั่น เลยซื้อรถแพง ๆ และแรง ๆ เพื่ออย่างน้อยเวลาขับไปไหนมาไหนก็รู้สึกดีกะตัวเองว่า เฮ้ยยยย กรูยังเจ๋งอยู่นะเฟ้ยยย ฉันฟังแล้วก็ได้แต่หัวเราะฮ่าๆๆ (แม้แต่เจ้านายฉันก็ยังคอนเฟิร์มว่าจริง)

ขากลับรถไปจอดติดไฟแดงอยู่ คนขายหนังสือพิมพ์ที่สี่แยก (ที่นีก็มีนะ เหอๆ) ยังเข้ามาขอจับมือคริสเตียน แล้วชมว่า รถสวยจังเพ่

ครึ่งชั่วโมงถัดมาเราเลยได้กินซูชิ ที่เจ้านายเป็นผู้ขับเอาปอร์เช่ไปรับมันมา ด้วยความเอร็ดอร่อยในห้องประชุม

การกินข้าวกับเจ้านายที่นี่ ไม่เหมือนเมืองไทย ที่ส่วนมาก เจ้านายหรือผู้ใหญ่จะออก ถือเป็นธรรมเนียม แต่ที่นี่ เจ้านายอาจจะออกให้ครึ่งหนึ่งของบิลทั้งหมด ส่วนที่เหลือ หารกันเองครับพี่น้อง บิลวันนี้สั่งกันไปแหลกลาญ ก็ปาเข้าไปเกือบ 90 ยูโร (กินซูชิทีเกือบห้าพันบาท เว่อร์ป่ะล่ะ ฉันเลิกคิดกลับเป็นเงินไทยไปนานแล้ว คิดแล้วเครียด ผมจะร่วง) เจ้านายออกให้ 50 ยูโร ที่เหลือเราออกกันคนละ 10 ยูโร

เป็นอารมณ์แปลก ๆ ตอนยื่นแบงค์สิบให้เจ้านาย เพราะจริงๆ ก็เป็นเงินเดือนที่เจ้านานจ่ายให้ทุกเดือน ๆ นี่แหละ ตลกดี ตอนยื่นเงินให้ฉันยังพูดขำ ๆ ว่า "ขอบคุณสำหรับเงินเดือนนะคะ เดือนนี้คืนให้ 10 ยูโรค่ะ" คริสเตียนก็ได้แต่ขำ

อเล็กซ์ไม่ได้กินกับเรา บอกว่า ไม่ค่อยชอบซูชิเท่าไหร่ ชอบ "มิตทาแย็ต" (Mitraillette) มากกว่า Mitraillette แปลตรงตัวว่า ปืนกล ซึ่งเป็นอาหารที่ป๊อปมากในหมู่นักศึกษาในเบลเยี่ยม เพราะโคตรอิ่มและโคตรถูก (เมื่อเทียบกับปริมาณ)

มิตทาแย็ต เป็นขนมปังก้อนยาว(บาแก็ตต์)ตัดประมาณหนึ่งฟุต สอดไส้ด้วยเฟรนช์ฟรายส์ เนื้อตามชอบ (อาจจะเป็นเนื้อเบอร์เกอร์ หรือ อื่นๆ) และใส่ซอสอะไรก็แล้วแต่ (มายองเนส แอนดาลูส ซอสกระเทียม ค๊อกเทลล์ ฯลฯ)



เอาเป็นว่า เป็นอาหารที่ไม่เป็นมิตรต่อสุขภาพเป็นอย่างยิ่ง แต่คนก็ชอบกินกัน ฉันเคยกินกับเค้าด้วยหนนึงแล้วก็ไม่สามารถจะกินมันได้อีกเลย (เลี่ยนและหนักมาก) แปลกที่คนเบลเยี่ยมมักยักกะอ้วน เฟรนช์พรายช์นี่กินกับแทบทุกวัน ดูอย่างอเล็กซ์และซาวิเย่ร์ เป็นตัวอย่าง ชอบเหลือเกิ๊นนนน กับไอ้แซนด์วิชปืนกลเนี่ย แต่ตัวผอมอย่างกับกระดาษ

Cook & Book


วันนึงคริสเตียนไม่เข้าออฟฟิศ พวกเราเลยดี๊ด๊า หาเรื่องออกไปกินอาหารนอกออฟฟิศกัน (ธรรมดาไม่ได้ออกนะ ต้องสั่งแซนด์วิชแล้วไปรับมา แล้วกินในออฟฟิศ ไม่เหมือนเมืองไทย พักกลางวันทีก็ออกไปข้างนอกเป็นชั่วโมงได้ ที่นี่พักแค่ครึ่ง ชม เท่านั้นแหละ)

เราเลยขับรถไปร้าน cook & book กัน ซึ่งเป็นร้านที่ใหญ่มากกกก ไม่ได้มีแค่ร้านเดียว แต่เป็นทั้งตึกเลย แต่ละห้องก็ตกแต่งไม่เหมือนกัน คือเป็นตามธีมของหนังสือ เช่น หนังสือท่องเที่ยวก็แต่งเป็นธีมท่องเที่ยว หนังสือภาษาอังกฤษก็แต่งเป็นห้องแบบอังกฤษ ๆ ดีนะที่ฉันอ่านภาษาฝรั่งเศสไม่ออก (หนังสือส่วนใหญ่เป็นภาษาฝรั่งเศส) ไม่งั้นคงไปขลุกอยู่ที่นี่เป็นชั่วโมง ๆ ทุกอาทิตย์แน่



ที่เราหาเรื่องมากินนอกออฟฟืศกันเพราะวันนั้นแดดออก ทุกคนอยากต้องไปนั่งตากแดดกัน หลังจากที่อากาศอึมครึมมาหลายเดือน ก็เข้าใจแหละว่าแดดออกที่นี่มันไม่ร้อนไง คือแดดออก แต่อากาศยังเย็นสบาย (25-27c) เมืองไทยแดดออกแล้วร้อนชนิดที่ว่า หัวจะพองเลยถ้าเดินตากแดด ฉันบอกแบบนี้ที่ทำงานไม่มีใครเชื่อ เพราะคิดว่ามันจะเหมือนยุโรป ฉันได้แต่บอกว่า เออ ว่าง ๆ ลองไปดูละกัน แล้วคุณจะรู้ว่า ที่เรามีแดดแทบทุกวันที่เมืองไทย มันไม่ได้น่ายินดีเท่าไหร่นักหรอกบางทีอ่ะนะ



ถ่ายรูปไว้เรื่อยเปื่อยอีกหลายรูป เดี๋ยวมาอัพ
เมื่อวานอุตส่าห์เขียนดินองต์ จบแล้วดัน error ตอน save เจ็บใจ!! :-(




 

Create Date : 02 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 2 พฤษภาคม 2552 14:40:26 น.
Counter : 1189 Pageviews.  

คนเบลเยี่ยมเหยียดผิว(หรือไม่?)

วันนี้พอดีผ่านไปเจอข่าวเกี่ยวกับความคิดของคนเบลเยี่ยมที่มีต่อชาวต่างชาติ ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม โดยทำการสำรวจทางชาวเบลเยี่ยมจำนวน 1,392 คน

[caption id="attachment_495" align="aligncenter" width="468" caption="image from FlandersNews.be"]image from FlandersNews.be[/caption]

ที่เบลเยี่ยมเค้าทำโพลล์กันขึ้นมา ตั้งชื่อโพลล์ว่า "ฉันไม่เหยียดผิว แต่.." โดยจัดทำขึ้นโดย ศูนย์เพื่อความเท่าเทียมทางโอกาสและการคัดค้านการเหยียดผิว (Centre for Equal Opportunities and Opposition to Racism)​

ผลออกมาน่าสนใจว่า..

คนส่วนมากยอมรับว่าอยู่ในสังคมที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม แต่จำนวนไม่น้อยก็มีปัญหาบางอย่างเกี่ยวกับความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่ว่านี้


มากกว่าครึ่งของชาวเบลเยี่ยมจำนวน 1,392 คนที่เค้าสำรวจมา ไม่เคยคบหาสมาคมกับคนต่างสีผิว แต่ก็ไม่เคยมีทัศนคติหรือประสบการณ์ในแง่ลบกับคนต่างชาติเช่นกัน

แต่ชาวเบลเยี่ยมที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ๆ (คิดว่าโพลล์นี้เค้าคงสำรวจสุ่ม ๆ ดูทั้งในชนบท และในเมือง)มีการติดต่อและมีทัศนคติที่ดีกับวัฒนธรรมต่างชาติ และเปิดกว้างยอมรับมากกว่าคนในแถบชนบท

คุณ โยเซฟ เดอ วิตต์, กรรมการของศูนย์เพื่อความเท่าเทียมทางโอกาสและการคัดค้านการเหยียดผิวออกมากล่าวอย่างชื่นบานว่า "นี่แสดงให้เห็นว่า ผลออกมาในแง่ที่ดีมาก ๆ เลยล่ะครับ"

ผลที่น่าสนใจอีกอย่างคือ คนเบลเยี่ยมนั้น ทำใจยอมรับได้มาก กับวัฒนธรรมต่างถิ่นที่ไหลเข้ามาในประเทศ ถึงแม้ว่าวัฒนธรรมเหล่านั้นจะเป็นกลุ่มน้อยและแตกต่างกับวัฒนธรรมของชาติตนเองก็ตาม โดย 55% มีความเห็นว่า การเข้ามาของวัฒนธรรมต่างถิ่นในเบลเยี่ยมนั้น เป็นเรื่องที่ดีต่อสังคมด้วยซ้ำ (เค้าใช้คำว่า enrichment for society)

ชาวเบลเยี่ยมสองในสามคน มีความเห็นว่าคนทุกเชื้อชาติมีโอกาสเท่าเทียมกัน หนึ่งในสามเห็นว่า เชื้อชาติบางเชื้อชาตินั้นมีสติปัญญาความสามารถเหนือกว่าเชื้อชาติอื่น ๆ

แต่ผลของโพลล์ที่เค้าบอกว่่า "cliché" มาก ๆ คือน่าเบื่อหน่ายซ้ำ ๆ ซาก ๆ (ไม่ว่าสิ่งนั้นจะจริงหรือไม่) คือชาวเบลเยี่ยมมากกว่าสามในสี่ คืดว่าคนต่างเชื้อชาติที่เข้ามาอยู่ในเบลเยี่ยม(ที่ไม่มีงานทำ)นั้นได้รับเงินสนับสนุน"ช่วยเหลือผู้ว่างงาน" จากรัฐบาลง่ายกว่าคนเบลเยี่ยมแท้ ๆ เสียอีก

และจำนวนครึ่งหนึ่งคนที่ให้ความเห็นกับโพลล์นี้ โทษว่าการพุ่งสูงของยอดอาชญากรรม มีผลมาจากการที่มีคนต่างเชื้อชาติเข้ามาอยู่ในเบลเยี่ยมมากขึ้น

คุณ โยเซฟ เดอ วิตต์ ไม่ได้ให้ความเห็นในความคิดดังกล่าว (จริงๆ ไม่รู้เค้าพูดอะไรหรือเปล่า แต่ข่าวไม่ได้บอก)

มันฟังดูขัด ๆ กันยังไงพิกลนิ ยอมรับวัฒนธรรมต่างชาติได้ แต่คิดว่าคนต่างชาติเป็นต้นตอของปัญหาอาชญากรรมและรอรับแต่เงินสนับสนุนจากรัฐ?

แต่เรื่องนี้อ่อนไหวมาก ๆ คนเบลเยี่ยมเองก็มักไม่ค่อยอยากจะคุยกันเรื่องนี้เท่าไหร่ จะให้คนเปลี่ยนความคิดเห็นก็ยาก เพราะคนต่างชาติที่เข้ามาอยู่ที่นี่แล้วไม่ทำงานแต่ขอรับเงินช่วยเหลือนั้นเยอะจริง ๆ แล้วคนเค้าก็ไม่รู้ว่าคนไหนมีงานทำ คนไหนไม่ทำงานแล้วนั่งรอเอาแต่เงินช่วยเหลือ บางคนไม่มีงานทำยังไม่พอ รับเงินช่วยเหลืออย่างเดียวยังไม่พอ แต่มีลูกออกมาอีกหลายคน แล้วพอมีลูก ก็ไม่ส่งลูกไปเรียนหนังสือหนังหา ลูกโตมา หางานทำไม่ได้ รอรับเงินช่วยเหลืออีก ฯลฯ

เป็นวงจรแบบนี้มานานมาก ไอ้ครั้นจะยกเลิก ก็มีคนเบลเยี่ยม(แท้ ๆ) บ่นอีกว่างานหาไม่ได้จะให้เค้าไปทำอะไร ซึ่งบางคนที่บ่นก็ไม่มีงานทำจริง ๆ แต่บางคนบ่น แต่แอบทำงานมืด (คือทำงานไม่เสียภาษี รับเงินสดอย่างเดียว) ซึ่งสิ้นเดือนก็ออกมาว่า รับทั้งเงินช่วยเหลือและมีรายได้(ที่ไม่เสียภาษี)อีกต่างหาก

เรื่องนี้ึคนเบลเยี่ยมทุกคนรู้ดียิ่งกว่าดี แต่ไม่มีใครทำอะไรได้ เพราะรัฐบาลไม่กล้า กลัวคน(ที่รับเงินช่วยเหลืออยู่)จะไม่เลือกพรรคตัวเองอีกเมื่อมีการเลือกตั้งครั้งต่อไป

เอาเข้าจริงๆ การเมืองมันก็ไม่ได้น้ำเน่าแค่ประเทศแถว ๆ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้บางประเทศหรอก..

แต่อย่างน้อยคนที่นี่ก็ยังดีใจหาย ถึงแม้จะคิดว่าคนต่างชาติเป็นต้นตอปัญหาบางเรื่อง แต่ก็ยังอุตส่าห์รับได้อีกนะ จะว่าไปก็คงเหมือนคนไทยที่เห็นคนประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศเข้ามาสร้างปัญหา (ซึ่งบางคนมันก็เข้ามาสร้างจริง ๆ อ่ะ) แต่ก็ยังแบบว่าหยวน ๆ กันไป

เอาวะ ยังไงก็ดีกว่าอังกฤษก็แล้วกัน อ่านข่าว นสพ อังกฤษทีไร ก็เจอแต่ข่าวต่อต้าน immigrants (ซึ่งบางคนมันก็น่า.. จริง) อังกฤษมีปัญหาคนหลบหนีเข้าเมืองมาก ๆ ไม่รู้กี่หมื่นต่อปี ยิ่ง EU เปิดชายแดนแบบนี้ ไปไหนมาไหนก็ง่ายโคตร

ล่าสุดนีเค้าจับชาวตะวันออกกลางหลายคน ทำกันเป็นล่ำเป็นสัน คือเอาพวกไปดักรอกันแถว ๆ ท่าเรือ โกดังสินค้า ฯลฯ (ในข่าวที่ไปดักขึ้นมาจากฮอลแลนด์) เพื่อรอรถบรรทุก พอรถชลอ ๆ ก็วิ่งเข้าไปเปิดประตูหลัง ปีนเข้าไปในตู้คอนเทนเนอร์ และหลบอยู่ในนั้น พอรถบรรทุกมาถึงเกาะอังกฤษก็พาหลบกันออกมา

Image From Daily Mail UKRead full article by DailyMail.co.uk here

จุดตรวจเค้าตรวจรถบรรทุกสินค้าพวกนี้ 2 ใน 3 คันโดยประมาณ บางคันก็ไม่ได้ตรวจ เห็นว่าคนขับรถบรรทุกก็มีเอี่ยวด้วย ข่าวไม่ได้บอกว่าได้เท่าไหร่ แต่ถ้าโดนจับได้ เจอค่าปรับ 2,000 ปอนด์ต่อคนหลบหนีเข้าเมืองหนึ่งคน ขนมา 10 คนก็คูณไป (แปลกใจที่ไม่โดนหนักกว่านั้น)

คนอังกฤษเดือดดาลมาก ไม่ชอบใจมาก ๆ เกี่ยวกับคนหลบหนีเข้าเมืองแบบนี้ พาลให้เกลียดคนที่มีรูปร่างหน้าตาแบบตะวันออกกลางไปด้วย เพื่อนฉันคนหนึ่งไปทำงานอยู่อังกฤษแค่เกือบ ๆ ปี กลับมาเบลเยี่ยมก็บอกว่าอึดอัดบอกไม่ถูก เหมือนคนมองแบบมันเป็นผู้ก่อการร้ายหรือเป็นอาชญากร มันบอกว่าเซ็งมาก เพราะไม่ใช่ความผิดมันซักหน่อยที่หน้าเป็นตะวันออกกลาง ("โมครัน" มีเชื้อสายอียิปต์ แต่เกิดที่ปารีส พูดฝรั่งเศสตั้งแต่เกิด และภาษาที่สองถึงเป็นภาษาถิ่นของครอบครัวตนเอง พ่อของโมครันเป็นหมอ แม่เป็นทนายความ โมครันไม่เคยออกนอกยุโรปตั้งแต่เกิดมา)



[caption id="attachment_497" align="aligncenter" width="500" caption="เมืองดินองต์ ฝั่งวัลลูเนีย"]เมืองดินองต์ [/caption]

วันนึงโมครันกลับบ้าน เจอหน้าประตูคนเอาสเปรย์มาพ่นว่า "Paki get out!!" มันก็งงเลยดิ อะไร ใคร ปากีฯ แล้วถ้าตูเป็นปากีฯจริงแล้วจะทำไมฟระ มันโมโหมาก พองานหมดสัญญามันรีบกลับมาเบลเยี่ยมเลย เพราะใกล้ครอบครัวมากกว่า (ครอบครัวยังอยูปารีส) และที่สำคัญสบายใจกว่า

แต่ก็ไม่ใช่แค่ที่อังกฤษนะ "เซ็บ"เพื่อนที่ทำงานฉัน เป็นคนเบลเยี่ยมแท้ ๆ แต่มาจากฝั่งวัลลูน (พูดฝรั่งเศส) แต่ทำงานที่บรัสเซลส์ แฟนเซ็บเป็นหมวยฮ่องกงที่ไปเกิดที่ฮอลแลนด์ เลยเป็นอาหมวยที่พูดดัชท์เป็นภาษาแม่ และกวางตุ้งเป็นภาษารอง เนื่องจากทั้งคู่ทำงานที่บรัสเซลล์ แล้วเซ็บมันก็ไม่ค่อยชอบ ลิเอจ บ้านเกิดเท่าไหร่ ทั้งคู่เลยซื้ออพาร์ทเมนต์ที่ วิลวัลเดอร์ ซึ่งอยู่ในจังหวัดฟลามส์บราบัน เหมือนกัน (จริง ๆ บรัสเซลล์ก็อยู่ในฟลามส์บราบันนะ แต่ดันพูดฝรั่งเศส เรื่องนี้คนเฟลมมิ่งเคืองมากมาย)

เอาเถอะ..

วันนึงเซ็บกลับบ้าน เปิดประตูมา เจอบัตรสนเท่ห์ "ไอ้พวกวัลลูน กลับบ้านไป!" เซ็บ งง ทั้งงงทั้งโกรธว่าเฮ้ย มันก็ทำงาน เสียภาษีก็เสีย แล้วนี่ก็เบลเยี่ยม ทำไมมันจะมาอยู่ฝั่งฟลานเดอร์สไม่ได้ล่ะ แฟนมันก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า "เพราะยูพูดดัชท์ไม่ได้ไงเซ็บ.."

เซ็บเข้าใจภาษาดัชท์ แต่พูดไม่คล่อง แล้วทุกครั้งที่พยายามพูดดัชท์ อีกฝั่งจับสำเนียงฝรั่งเศสได้ ก็พูดฝรั่งเศสกลับอยู่ดี (เกือบ ๆ 70% ของคนเบลเยี่ยมฝั่งฟลานเดอร์สพูดฝรั่งเศสได้อยู่แล้ว) เซ็บก็เลยไม่ได้เรียนซักที "พอชั้นพยายามพูดดัชท์ก็ไม่ยอมให้ชั้นพูด แล้วจะมาไล่ให้ชั้นกลับไปอยู่ฝั่งนู้น บ้าจริงๆ เซ็งว่ะ"

ยังไงก็พยายามเข้านะ ไอ้มดแดง...




 

Create Date : 22 มีนาคม 2552    
Last Update : 22 มีนาคม 2552 18:53:16 น.
Counter : 5099 Pageviews.  

+ ฤดูใบไม้ผลิมาแล้วจ้า



อาทิตย์นี้กำลังจะเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว (อย่างเป็นทางการ) เพิ่งรู้ว่าเค้ามีวันเปลี่ยนฤดูอย่างเป็นทางการกันด้วย ฝรั่งนี่ช่างทำอะไรพิลึกกึกกือมากมาย เป็นคนไทยก็คงประมาณว่า "เออ หน้าร้อนเหรอ ก็ประมาณ...ประมาณ... ปลาย ๆ มีนา หน้าฝนก็ เออ ซักเดือน เออ ...ไม่รู้ว่ะ ฝนตกบ่อย ๆ ก็รู้เองแหละว่าเข้าหน้าฝน" เป็นนิสัยที่ไทยมาก ๆ ชิวมาก ๆ (ใครมันจะไปรู้ว่าวันไหนฤดูมันจะเปลี่ยน? เปลี่ยนเมื่อไหร่ก็รู้เองแหละ 555)

ตามร้านค้า จากชั้นโชว์ที่มีผ้าผันคอ, ถุงมือ, สินค้าที่มีึความฟูทั้งหลาย ก็อันตรธานหายไป กลายเป็นบิกินี่ แว่นกันแดดเข้ามาแทน (เร็วไปป่าวเฮีย? ยัง 10-12 องศาอยู่เลย ตื่นเต้นกันยังกับจะ 30 องศาวันนี้พรุ่งนี้)
04-jancompareรูป : ป้ายรถเมล์ที่ฉันต้องไปต่อรถเมล์เกือบทุกวัน น่าจะเป็นป้ายรถเมล์ที่อนาถาที่สุดในเบลเยี่ยมแล้วล่ะ (ดูดิ หลังคาหายไปไหนต่อไหน โย้ ๆ เย้ ๆอีก โอ๊ว..)

แต่เห็นความเปลี่ยนแปลงชัดมากจริง ๆ ช่วงหน้าหนาว ออกจากบ้านตอนเช้า มืดตึ๊ดตื๋อ แดดจะไม่ออกไปจนเกือบสิบเอ็ดโมงโน่น (บางวันไม่ออกเลย) เมื่อเดือนกุมภาฯที่ผ่านมานี่ ทั้งเดือน แดดออกแค่ 30 กว่าชั่วโมงเท่านั้น (คิดดูดิ ทั้งเดือนนะ)

คนไทยอย่างเราอาจจะร้อง เย้! แต่วันที่ไม่มีแดดเนี่ยมันหดหู่จริง ๆ อะไร ๆ ก็ดูสลัว ๆ ฝนตกปรอย ๆ พอให้น่ารำคาญ บรรยากาศเหมือนหนังฟิล์มนัวร์ยุคเซเว็นตี้ เหมาะแก่การนั่งไว้อาลัยให้สภาพอากาศเป็นอย่างยิ่ง

พอจะเข้าฤดูใบไม้ผลิ ชาวเบลเยี่ยมชื่นบานกันออกหน้าออกตามาก ๆ ปรกติคุยกันเรื่องอากาศ จะได้ยินแต่ "เฮ่อ น่าเบื่อว่ะ ฝนตกอีกแล้ว"แต่ตอนนี้เดินไปไหนมาไหนผู้คนดูระรื่นกันมาก เพราะอากาศดี นกเล็ก นกใหญ่ กระจิบ กระจอกที่เคยหายหน้าหายตากันไปช่วงหน้าหนาวก็กลับมาจิ๊บ ๆ จั๊บ ๆ กันแต่เช้าเหมือนเดิม เจ็ดโมงแดดก็ออกแล้ว

ฤดูใบไม้ผลิมันก็ดีแบบนี้นี่เอง (ไม่รู้จะดีไปได้กี่วัน)

ปรกติฉันนั่งรถเมล์ผ่านเมืองเบอร์เต็มทุกวัน ระหว่างทางไปทำงานนี่ล่ะ แล้วเบอร์เต็มจะมีฟาร์มปศุสัตว์ คนทำไร่ ทำเกษตรกันบ้าง (แปลกดี ฟาร์มอยู่ติดถนนใหญ่เลย) มีอยู่บ้านนึงเค้ามีแกะฝูงเล็ก ๆ ฉันนั่งรถเมล์ผ่านทุกวัน ก็นับมันทุกวัน (นับอยู่ได้ มีแค่ 5 ตัวนี่นะ) ช่วงที่หนาวมาก ๆ เมื่อเดือนมกราฯ ไอ้เจ้าห้าตัวนี่มันก็ยืนเกาะกันเป็นกลุ่ม เหมือนก้อนไหมพรม ดูแล้วฮาดี

มีอยู่วันนึง เฮ้ย!! เหลือแค่ 3 ตัว โอ๊วโน๊ว! มันถูกจับเอาไปทำซุปขาแกะแล้วหรือไรกันนี่! โลกนี้ช่างโหดร้ายกับแกะขนฟู!

ฉันแอบเคืองชาวนาไปหลายวัน (ทั้ง ๆ ที่เป็นแกะของตัวเองหรือก็เปล่า ก็แกะของชาวนาเค้าอ่ะนะ เอ๊อ!)

แต่พออากาศเริ่มอุ่นขึ้น ย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิ ฉันนั่งรถเมล์สายเดิมผ่านฟาร์มเดิม เฮ้ยๆๆๆๆๆ แกะกลับมาแล้ว! ไม่ได้กลับมาเฉย ๆ ด้วย มีลูกแกะมาเพิ่มอีก 4 ตัวแน่ะ! ฮา... ดีใจแบบไม่มีเหตุผล (แต่ก็อีกนั่นแหละ แกะของเราหรือก็เปล่า..)

เสาร์อาทิตย์นี้ ถ้าแดดดีก็ว่าจะออกไปถ่ายรูปซักหน่อย

ฤดูใบไม้ผลิมันก็ดีแบบนี้นี่เอง..

1045065_grazing_sheep_1




 

Create Date : 19 มีนาคม 2552    
Last Update : 19 มีนาคม 2552 4:19:18 น.
Counter : 1289 Pageviews.  

เรื่องโง่ๆ ราคาแพง

วันนี้ซวยซ้ำซากจริง ๆ
เริ่มมาตั้งแต่อาทิตย์ก่อน ยุ่งมาก ๆ ไม่มีเวลาทำอย่างอื่นเลย นอกจากทำงานเสร็จแล้วก็ต้องรีบไปเรียนภาษาต่อ กว่าจะกลับบ้านก็ปาเข้าไปสี่ทุ่มกว่า ขอโทษเถอะนะ เวลาจะผายลมยังแทบไม่มีเลย เหนื่อยมาก ๆ งานก็เยอะ ยิ่งเศรษฐกิจแบบนี้ด้วย สตูดิโอยิ่งต้องพยายามดันลูกค้ามากขึ้น ให้ลูกค้ากล้า ๆ ใช้เงินหน่อย (คือลูกค้าน่ะ มี เงินน่ะมี แต่ไม่มีใครยอมใช้กัน ในยามเศรษฐกิจโลกพังพินาศเช่นนี้)


n732345540_4716869_6607


แล้วมันซวยยังไง

มันซวยก็เพราะฉันไม่มีเวลาไปซื้อตั๋ว STIB สำหรับรถรางที่นั่งอยู่ทุกวัน (จริงๆ มันรวม metro ด้วยแต่ไม่ได้นั่งกะเค้าหรอก ทำงานอยู่ชานเมืองบรัสเซลส์ ไม่รู้โชคดีหรือโชคร้ายเนี่ย) ปรกติจะซื้อแบบ 10 เที่ยว จะได้ถูกกว่าซื้อทีละเที่ยว ทีละเที่ยว (ซื้อต่อเที่ยว 2 ยูโร แต่ถ้าซื้อตั๋ว 10 เที่ยวแค่ 12.30 ยูโร นี่แอบขึ้นราคาด้วยนะ เมื่อก่อนน่ะ 11.50 ยูโร!)

คราวที่แล้วซื้อรวดเดียว 3 ใบเลย ขี้เกียจไปซื้อบ่อย ๆ ช่วงนั้นมาถึงเช้าด้วยเลยมีเวลานั่งรถเลยไปอีกหน่อย ไปซื้อตั๋วที่สถานีหลักได้

เริ่มความซวย..

เช้าวันนี้ควักตั๋วออกมา เอ๊าาาาาาา!! 0 Trip!! เหลือ 0 trip! แม่เจ้า ทำไมฉันลืมซื้อได้วะ เซ็งเป็ด!! เอ่ย ไม่ดิ มันมีอีกใบนี่หว่า ยังไม่ได้ใช้เลย หาก่อน ๆๆ เฮ้ย รถจะออก เออ ขึ้น ๆ ไปก่อนวะ เดี๋ยวค่อยขึ้นไปหา สายแล้วด้วย


ระหว่างล้วงกระเป๋าตัวเองหาไอ้ตั๋วใบที่ยังไม่ได้ใช้อยู่นั้้น เจ้าหน้าที่ตรวจตั๋ว!!ขึ้นมาตรวจตั๋วคับท่าน!!!

ซวย ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ!! ตั๋วที่มึอยู่ก็ดันใช้หมดแล้ว ไอ้ตั๋วที่ยังไม่ได้ใช้ ดันหาไม่เจอ อยู่ไหนวะ รื้อๆๆๆๆ ว๊ากกกกก เค้าใกล้เข้าแล้วๆๆๆๆ!! เฮ้ย ลงก่อนดีกว่าว่ะ คิดอะไรไม่ออก


พอลงไป อ้าว เวร นี่มันกลางป่าเลยนี่หว่า ไม่ดูตาม้าตาเรือเลย (ชานเมืองบรัสเซลส์ มันจะเป็นป่าสน อะไรเงี้ย ไม่มีบ้าน ไม่มีอะไรเลย มีแต่ถนนตัดผ่าน กับรถรางเท่านั้นเอง ซึ่งจริง ๆ มันสวยมากเลยนะ แต่วันนี้มันไม่สวยเอาซะเลย)


"เอ๊กซคิวซีมัวมาดาม @$@!*&#" (รัวภาษาฝรั่งเศสใส่ตูเป็นชุดเลย งงดิคับท่าน) ฉันยืนแข็งเป็นสากกะเบือ เอ้อ ๆ อ้า ๆ อยู่นั่นแหละ เลยพูดภาษาอังกฤษกลับไป
"อ๋อ คุณพูดอังกฤษเหรอ เอ้า งั้นพูดอังกฤษกัน ขอดูตั๋วหน่อยครับ" อ้าว ดันพูดภาษาอังกฤษได้! โชคดีในความโชคร้ายจริงๆว่ะ.. เราก็บอกเค้าไปตรง ๆ ว่าเพิ่งขึ้นมา และหาตั๋วใบที่ยังไม่ได้ใช้ไม่เจอ พวกท่าน ๆ ก็ขึ้นมาตรวจตั๋วกันก่อน ดิฉันก็ตับแหกซิคะ เกิดมาไม่เคยเจอโดนตรวจตั๋วแล้วไม่มีตั๋ว
"ไม่ต้องตกใจครับ ไม่ต้องตกใจ ผมขอ I.D หน่อยครับ" ยอมควัก ID Card ให้ไปอย่างว่าง่าย แต่ในใจคิดไปแล้วว่า "ซวยแล้ว gu!!"
"คราวหน้าคุณต้องรีบซื้อตั๋วกับคนขับนะครับ ห้ามนั่งมาแบบไม่มีตั๋ว.." เจ้้าหน้าที่เทศน์เราไป เขียนข้อมูลเราไปยิก ๆๆ ไอ้เราจะแก้ตัวก็ฟังไม่ขึ้นอยู่แล้ว ก็ตั๋วไม่มีจริง ๆ นี่หว่า แถมยังเจือกจะลงตอนเค้าขึ้นมาตรวจอีก ไม่ค่อยจะมีพิรุธเล้ยยยยยยย (-_-") คิดแล้วอายตัวเองอย่างแรง ได้แต่ก้มลมมองรองเท้าตัวเอง เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า


"โอเคครับ เรียบร้อย ขอบคุณมากที่ให้ความร่วมมือ" เค้ายื่น ID คืนให้ฉัน ฉันก็รับมาแบบงงๆ
"คุณมีเวลา 10 วันนะครับ"
"10 วันอะไรคะ" (ยังเหวอ ยังเหวอ)
"ไปจ่ายค่าปรับน่ะครับ"
"อ๋อ ค่ะ โอเคค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ ปรกติก็ตีตั๋วตลอดนะคะ แต่วันนี้ คือ.." อยากจะต่อว่า คือมันเป็นวันซวยของตูจริงๆ ทุกวันไม่เห็นพวกเอ็งจะมากันเล้ยยย ทำไมต้องมาวันแรกที่ฉันไม่มีตั๋วด้วยว้าาาาา!


กางใบสั่งออกมาดู

แม่เจ้า!!!

85 ยูโร!!
เฉียดสี่พันบาท!!!


คลำ ๆ หัวตัวเอง มีปุ่มงอก ๆ คล้ายจะเป็นเขาขึ้นมา

รู้งี้ตูไม่เสียเวลานั่งรื้อกระเป๋าตัวเองอยู่หรอก ยอมเสีย 2 ยูโร​ซื้อตั๋วเที่ยวเดียวกับคนขับก็สิ้นเรื่อง

เซ็งเป็ด เซ็งห่าน เซ็งๆๆๆๆๆ!!

ทำเอาอารมณ์เสียไปทั้งวัน อายชาวบ้านเค้าก็อาย (มองกันทั้งรถ ไม่อายไงไหว) เสียตังค์ก็เสีย งานก็ทำไม่ออกไปทั้งวัน เฮ้ย คนมันต้องคิดว่าเราตั้งใจโกงแน่เลย เฮ้ย ตูเปล่านะ มันเป็นอุบัติเหตุ ไม่นะ ไม่ ไม่ ม้ายยยยยย!!!

นั่นยังไม่เท่าไหร่

พอกลับมาบ้าน เจอตั๋วใบที่ยังไม่ได้ใช้ ใหม่เอี่ยมอ่อง (ครือ...เอาไปนั่งได้อีก 10 เที่ยว) วางเด่นเป็นสง่าอยู่บนโต๊ะกินข้าว แทบอยากจะเอาถั่วฝักยาวรัดคอตาย ทำไม๊ ทำไมๆๆๆ ต้องมาเป็นวันนี้ด้วย!

จะบอกแฟนก็ไม่กล้าบอก ถ้าบอกมียาวแน่ โดนด่าเป็นรอบที่สองชัวร์ ทำเองก็รับเองวะ เฮ้อ โง่จริงๆ เลยอ่ะ รู้สึกโง่มากๆ วันนี้ รู้สึกว่าโง่ที่สุดในรอบ 10 ปีเลย จะวงไว้ในปฎิทินเลยว่าปีหน้า วันที่ 16 ก.พ. ไปนั่งรถรางวนรอบบรัสเซลส์ซัก 8 รอบให้มันสาสมกับความโง่ของตัวเองในวันนี้..




 

Create Date : 17 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 17 กุมภาพันธ์ 2552 12:38:53 น.
Counter : 968 Pageviews.  

1  2  3  4  5  

beebah
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




คนไทย ธรรมด๊าธรรมดา เกิด และ โต ณ กทม. ปัจจุุบัน ทำงานในบรัสเซลส์ ยามว่าง(และยามไม่ว่าง แต่กระเสือกกระสนให้ว่าง) ชอบแบกเป้เที่ยวนู่นเที่ยวนี่ นี่ก็เหลืออีก ร้อยกว่าประเทศเองก็ยังไม่ได้ไป ฮ่าๆๆๆ ฮืออออ.. (T_T)
Friends' blogs
[Add beebah's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.