ชีวิตคนไทยธรรมดาในเบลเยี่ยม
Group Blog
 
All blogs
 

+ office excursion และ แอนท์เวิร์ป

+ Office Excursion

เมื่อวานไปออฟฟิศด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก (โห ภูมิใจนะเนี่ย)

ที่นี่เวลาเค้าคิดฐานเงินเดือน เค้าจะถามด้วยว่าบ้านอยู่ที่ไหน เพื่อที่จะได้ดูว่าบ้าน กับ ออฟฟิศห่างกันกี่กิโลเมตร และจากนั้นจะได้เอาไปคำณวนว่า พนักงานมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาทำงานเท่าไหร่ แล้วเอาตรงนี้ไปบวกกับเงินเดือนอีกที เช่น ถ้าต้องนั่งรถไฟมาทำงาน ตั๋วไปกลับวันละ 14 ยูโร บริษัทจะต้องออกให้ครึ่งหนึ่งเป็นอย่างต่ำ ถือเป็นสวัสดิการ เหมือนกับสวัสดิการอื่น ๆ เช่น บัตรแทนเงินสดสำหรับอาหารกลางวัน (บริษัทส่วนมากจะมีให้) บัตรนี้ใช้ได้กับซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไปด้วย คือบางคนเค้าทำแซนด์วิชไปกินเองตอนกลางวัน แล้วก็เก็บบัตรนี้ไว้ใช้เวลาช็อปของที่ีซูเปอร์มาร์เก็ตแทน

แล้วพักกลางวันนี่ไม่ใช่ชั่วโมงนึงนะคับขอโทษ แค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น แต่วันศุกร์เลิกงานก่อนเวลาปรกติหนึ่งชั่วโมง แล้วก็ลาพักร้อน จะลาไปเลย ปีละหนึ่งเดือนก็ไม่ว่า ขอให้เช็คอีเมล์

นี่คิอการเดินทางไปออฟฟิศเมื่อวานนี้



สะดวกดีมาก ๆ เลย ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ถึงออฟฟิศแล้ว ป้ายรถรางก็อยู่หน้าออฟฟิศพอดี สบายดีแฮะ

ฉันไปถึง 9:30 AM ก่อนเวลานัดครึ่งชั่วโมง เลยพอมีเวลาเดินสำรวจรอบ ๆหน่อยนึงก่อน (เค้าไปกินข้าวกลางวันที่ไหนกันอ่ะ ไม่มีอะไรเลยแถวนี้) ติดกับออฟฟิศเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยเป็ด เป็ด และ เป็ด (หน้าหนาวมันอยู่กันยังไงนะนี่) จากที่นี่ถ้านั่ง tram ต่อไปอีกหน่อยก็จะเป็นวงเวียน มอนโกเมอรี่ ซึ่งต่อ metro ไปสถานีรถไฟ central station ได้

ซื้อตั๋ว 10 เที่ยวมาแล้วล่ะ (11 ยูโร - ถูกว่าซื้อเที่ยวต่อเที่ยว ประหยัดไปได้เกือบครึ่ง)



พอ 10 โมงฉันก็เดินกลับไปออฟฟิศ ต้องกดกริ่งให้เค้าเปิดจากด้านใน
"สวัสดีค่ะ โซฟีหรือเปล่าคะ"
"ใช่ๆ บีเหรอ เข้ามาเลย เดี๋ยวเปิดประตูให้นะ" (ที่ออฟฟิศเค้าเรียกฉันว่า บี เพราะมันสั้นดี)
เสียงสัญญาณปลดล๊อคยัง ปี๊บ "Minus one floor ok?" เราก็งง อะไรวะ ไมนัสวัน (คราวที่แล้วเข้าอีกทางนึงคือทางลานจอดรถใต้ดิน (คริสเตียนเรียกว่า "หลังม่่าน") ก็เลยงงกับทางเข้าปรกติ แต่พอเข้าไปก็อ๋อ คือมันต้องเดินลงบันไดไปอีกชั้นนึง เหมือนชั้นใต้ดิน ซึ่งจริงๆ แล้วด้านหนึ่งอาคารมันอยู่ต่ำลงมาจากระดับพื้น เป็นทางลาด แต่มันไม่ใช่ชั้นใต้ดินนะ เป็นชั้น ground ยังมีวิวนอกหน้าต่างตามปรกติที่มันควรจะเป็น ไม่งั้นทำงานไม่ได้แน่ แบบไม่เห็นโลกภายนอกนะคะ

โซฟี ซึ่งคริสเตียนเรียกเธอว่า "มือขวา" ของเขา อยู่ในวัยสามสิบต้น ๆ หน้าเด็กกว่าอายุ (เทียบตามมาตรฐานฝรั่ง) หนีบเอาเอกสารมาให้ฉันเซ็นต์ด้วย
"ก่อนที่เราจะเซ็นสัญญา ฉันมีคำถามนิดหน่อยนะคะ"
"ค่ะ อะไรเหรอคะ"
"เราต้องใช้หมายเลขประกันสังคมแล้วก็...สำคัญมากเลย เลขบัญชีแบงค์ เพื่อจ่ายเงินเดือนของบีน่ะ"
"อ๋อ ค่ะๆ พอดีบัตรประจำตัวจะได้วันพฤหัส"
"งั้นส่งแฟกซ์หรืออีเมล์ตามมาได้มั้ย?" ฉันก็บอกว่าได้ ไม่มีปัญหา
"แล้วก็ดีกรีของบีน่ะ จบชั้นอะไรมานะ?"
"ดีกรี? อ๋อ Fine Arts ค่ะ"
"มันเป็นดีกรีสั้น ๆ หรือยาว?" ฉันก็งง อะไรวะ ดีกรีสั้น หรือยาว
"หมายถึงว่า เรียนกี่ปีเหรอ"
"อ๋อออ เป็นB.F.A. ค่ะ Bachelor 4 ปี" โซฟีพยักหน้าหงึก ๆ แล้วเขียนโน้ตลงไปในเอกสาร
"แต่ว่าไม่ได้เอาก๊อปปี้อะไรมาจากเมืองไทยเลยนะคะ ไม่ได้คิดว่าจะได้ทำงานที่นี่น่ะ"
"อะ ไม่เป็นไรค่ะ คือแค่ถามดูเฉย ๆ แค่เอาไปทำขั้นเงินเดือนน่ะ ไม่สำคัญอะไรมากมายหรอก"
"ไว้จะส่ง transcript ตามมาทีหลังนะคะ"
"don't worry ค่ะ"

คริสเตียนแว้บเข้ามาดู วันนี้เขาแต่งตัวตามสบาย กางเกงยีนส์ เสื้อเชิ้ตทับด้วยเสื้อสเวตเตอร์ไหมพรมสีน้ำเงิน
"เฮ้ บี หวัดดีครับ"
"สวัสดีค่่่าา"
"ขอโทษนะ พอดีวันนี้ยุ่งๆ เป็นไงทุกอย่างโอเคมั้ย?" เขาหันไปถามโซฟี
"ค่ะๆ เรียบร้อยดี แต่เดี๋ยวต้องรอให้บีส่งอีเมล์กลับมา ส่วนอันนี้ สัญญาจ้างงาน คุณเซ็นต์ไว้ก่อนได้เลย แล้วเดี๋ยวให้บีเอากลับไปอ่านที่บ้านแล้วเซ็นต์ส่งกลับมาทีหลัง" สัญญาจำนวน 3 หน้าที่ว่า มีแค่เวอร์ชั่นภาษาฝรั่งเศส และ ดัชท์
"โอเค ผมเซ็นต์เลยละกัน" ว่าแล้วก็เซ็นต์แกร่กๆ

ส่วนหนึ่งของสํญญา นอกจากตามมาตรฐานทั่วๆไปแล้ว มีดังนี้

• ต้องรักษาความลับของบริษัทอย่างเข้มงวด
• ห้ามเปิดเผยข้อมูลลูกค้า
• ห้ามแข่งขันกับบริษัทโดยตรง (เช่น : เสนองานให้ลูกค้าเจ้าเดียวกัน)
• เมื่อพ้นสภาพพนักงาน ห้ามสมัครงานเอเยนซี่อื่นในรัศมี 50 กิโลเมตร (แปลกมั้ยนั่นน่ะ)

• ทดลองงาน 6 เดือน (ภายใน 6 เดือนนี้ ถ้าบริษัทไม่พอใจการทำงานของเรา สามารถให้เราออกได้โดยแจ้งล่วงหน้าแค่ 7 วัน และเช่นกัน ถ้าเราอยากออกจากงาน ก็แจ้งล่วงหน้า 7 วันแล้วออกได้เลย)

ฯลฯ

สัญญาบางข้อฟังดูประหลาดจริงๆ

"เอาละ ผมกลับไปทำงานต่อ บี! ยินดีต้อนรับนะครับ เอ้อ วันจันทร์ที่บีมาทำงานผมจะไม่อยู่ แต่เรามีงานรอให้คุณทำแล้วล่ะ มีอะไรก็ถามโซฟีนะ" เชคแฮนด์แล้วคริสเตียนก็แว้บกลับออกไป

โซฟีพาฉันดูรอบ ๆ ออฟฟิศ ห้องครัวที่นี่ขนาดกะทัดรัด (ประมาณว่าเข้าไป 3 คนนี่เต็ม) ฉันถามว่าแล้วฉันจะนั่งทำงานตรงไหน
"มีกาแฟใช่มั้ยคะ" โซฟีหัวเราะ แล้วบอกว่า มี
"สำคัญมากเลยแหละ ใช่มั้ยล่ะ?" ว่าแล้วเธอก็ขำ

"อ๋อ มาทางนี้ๆ" โซฟีพาฉันเดิมผ่านห้องทำงานส่วนตัวของคริสเตียน และห้องทำงานส่วนตัวของเธอ ผ่านเข้าไปยังห้องทำงานรวม ซึ่งมีพนักงานนั่งกันอยู่ 4-5 คน ห้องค่อนข้างสว่าง บนผนังเต็มไปด้วยสเก็ตช์งานทั้งแบบวาดจากมือ และแบบสเก็ตช์จากคอมพิวเตอร์ ดู ๆ ไป คล้ายแผนการแหกคุกของ ไมเคิล สกอลฟีลด์ ในซีนซีซั่นแรกของ Prison Break ฮ่าๆๆๆ

โซฟีแนะนำชื่อของแต่ละคนให้ฉันรู้จัก ซึ่งตอนนี้ฉันลืมไปหมดแล้วว่าใครชื่ออะไรบ้าง
"แล้วก็นี่ เซบาสเตียน" เจ้าของชื่อโผล่หน้ามาจากจอแมคอินทอชขนาดใหญ่เท่าฝาบ้าน และทำปากกระซิบกระซาบตอนที่โซฟีไม่ได้มอง
"She knows me.." พอโซฟีหันกลับไปก็กลับไปทำหน้าซีเรียสปรกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
"บีรู้จักเซบาสเตียนแล้วนี่ใช่มั้ย"
"หวัดดีครับ" โบกมือหยอยๆ
"หวัดดีค่ะ เสื้อสวยนะคะ" เข้าใส่เสื้อสีม่วงแป๋นแหลน ดูเหมือนสีม่วงจะมาแรงสุด ๆ ในซีซั่นนี้

เขาหัวเราะแหะๆ สงสัยแฟนบังคับให้ใส่แน่นอน เพราะไม่มีผู้ชายที่ไหน จะซื้อเสื้อสีแบบนี้ด้วยตัวเองหรอกให้ตายเถอะ

มีดีไซเนอร์อีกคนอยู่อีกห้องนึง โซฟีพาฉันไปทักแว้บ ๆ

ทั้งหมดใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเป็นอันเสร็จ ฉันก็ออกมาลัลลัลล้านั่ง tram ต่อไป Central Station

+ Wandering

จากสถานี มอนโกเมอรี่เป็น metro ซึ่งใช้ตั๋วอันเดียวกับ tram ได้ (เที่ยวสิบเที่ยวที่ฉันซื้อมานั่นแหละ) แต่ฉันไม่เคยนั่ง metro ที่บรัสเซลส์ ตอนแรกคิดว่ามันจะมีที่ตอกตั๋ว (validator) ตั๋วบนรถ แต่มันไม่มีอ่ะ (ก็ไม่มีที่ไหนมีหรอกจริงๆ แล้ว) ต้องตอกตั๋วตั้งแต่ตอนเดินเข้ามาสถานีแล้ว เครื่องตอกตั๋วจะอยู่ตรงทางเข้า สรุปฉันขึ้น metro ฟรีไปรอบนึง เพราะหาที่ตอกตั๋วไม่เจอ ฮาๆ

ฉันแวะกินอาหารกลางวันที่ร้านของว่าง (ที่มีหลายสาขาโคตร ๆ ในเบลเยี่ยม) หมดไปอีก 8 ยูโรสำหรับซุบหนึ่งชาม และ พายอีกหนึ่งชิ้น ฉันเดินผ่านถนน Rue Neuve (หรือ Nieuwstraat ในภาษาดัชท์) ซึ่งเป็นถนนหลักสำหรับการช้อปปิ้งในบรัสเซลส์ ซึ่งฉันซื้ออะไรไม่ลง (รอมัน Sale ก่อน) รองเท้าแต่ละคู่ ตาม shop พวกนี้ ไม่มีต่ำว่า 60-100 ยูโร (3-5 พันบาท) นอกเสียจากมันจะ "ลดราคา" ก็อาจจะหาซื้อได้ในราคา 40-45 ยูโร ซึ่งเป็นดีไซน์ที่แบบ ขนาดให้ฟรียังเคืองอ่ะ คิดดูละกัน





ฉันหายหัวไปในร้านหนังสือเป็นชั่วโมง ๆ และ window shopping หรือดูเล่น ๆ แต่ไม่ซื้ออะไรเลย (ฮ่าๆๆๆ) จนซัก 3 โมงเย็นก็เดินไปสถานีรถไฟบรัสเซลส์เหนือ (Gare du nord) เพื่อนั่งรถไฟต่อไป แอนท์เวิร์ป

ระหว่างที่เดินหาสถานี Gare du nord ..หลง!! ฮ่าๆๆๆๆๆ จำได้ว่ามันอยู่แถว ๆ นี้แหละ แต่ว่าหาทางเข้าไม่เจอ พอดีเจอผูัชายแอฟริกันคนนึงอยู่แถวนั้น เพิ่งออกมาจากร้านขายของชำ ฉันเลยถามทางดู ภาษาฝรั่งเศสเราก็โคตรห่วยเลย
"เอ้อ อ่า.. excusez-moi, pour aller à la gare, s'il vous plaît?" (ออกเสียงผิด ๆ ถูก ๆ ก็เอาวะ)
"gare?"
"oui oui gare du nord"
"คุณจะไปขึ้นรถไฟเหรอ?" เขาเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษ แสดงว่าภาษาฝรั่งเศสเราห่วยจัดจริงๆ กร๊ากกกกกก
"ใช่ค่ะ ไปทางนี้ได้ป่าว?" ชั้นชี้ขึ้นไปทางเหนือ
"ไปได้ แต่..." เขาหันซ้ายหันขวา เหมือนไม่แน่ใจ "ไปทางนี้ดีกว่า ทางนั้นเดินไปเดี๋ยวคุณหลงแน่ๆ" ว่าแล้วเค้าก็เดินนำเลี้ยวซ้ายไป ฉันเริ่มไม่แน่ใจ จะเอากรูไปโบกปูนหรือเปล่านะเนี่ย
"คุณอยู่ที่นี่เหรอคะ"
"ใช่ๆ ผมทำงานที่นี่แหละ คุณมาจากไหนเหรอ" ฉันก็คุยตอบไปเรื่อยเปื่อย เค้าท่าทางเป็นมิตรมาก ๆ เราเดินมาถึงทางแยก
"tout droit" (เดินตรงไปนะ) เค้าบอกพร้อมชี้ไปที่ทางเดินเข้าสถานี ส่วนเค้าจะต้องกลับบ้านอีกทางนึง ฉันขอบคุณ เค้ายิ้มให้แล้วโบกมือบ๊ายบาย ๆ แล้วก็เดินเลี้ยวหายไปอีกทาง

ใจดีจัง

+ Antwerp อะเกน

ฉันซื้อตั๋วรถไฟจากบรัสเซลส์ไปแอนท์เวิร์ป (6 ยูโร) ขบวนต่อไปที่ไปได้คือขบวนที่ไป Amsterdam โดยจะหยุดที่ Mechelen แล้วต่อด้วย Antwerp จากนั้นจะต่อไป Rotterdam และ Amsterdam (คือถ้านั่งหลับแล้วเลยสถานีนี่ ไปออกฮอลแลนด์ เลยนะนั่นน่ะ เหอๆๆ)

ส่ง sms ไปหาคุณบาร์ต ว่าทำงานเลิกกี่โมง ฉันจะแวะหากินกาแฟและคุยจิี๊จ๊ะซะหน่อย เพราะบาร์ตเพิ่งกลับมาจากเมืองจีน และเห็นว่าจะย้ายไปอยู่เมืองจีนซักปีนึงหรือไงนี่แหละ ฉันรู้จักบาร์ตตั้งแต่ยังไม่ได้ย้ายมาเบลเยี่ยม บาร์ตเป็นคนบุคลิคไม่เหมือนใคร หรือชอบพูดเสียงสูง ๆ ต่ำ ๆ แบบไม่มีเหตุผล หัวเราะในเรื่องที่ไม่ค่อยน่าหัวเราะ แต่มีเรื่องหนึ่งที่เราชอบเหมือนกันคือ บาร์ตชอบเที่ยวเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าที่ทำงานปล่อยให้ไปบ่อย ๆ ทีละนาน ๆ ได้ไง บาร์ตทำงานรัฐบาล เกี่ยวกับภาษีนิติบุคคล แต่ยามว่างบาร์ตเป็นอาร์ตติส วาดรูปสีน้ำมัน แล้วรูปที่มันเพนท์นะ โคตรสวยเลย ฉันยังเคยบอกให้มันลาออกมาเพนท์รูปขายเถอะ



ซักพักบาร์ตก็ส่งเมสเสจกลับมา

"เลิกงาน 4 โมง เจอ 4:30 pm ที่ร้านเดิม?" บาร์ตหมายถึง Irish Pub หัวมุมถนนบ้านตัวเอง ที่ไปทีไรเราก็ต้องไปนั่งร้่านนั้นทุกที

ฉันลงรถไฟที่สถานี central ของแอนท์เวิร์ป ซึ่งบูรณะอยู่นั่นแล้ว ตั้งแต่ฉันมาปีก่อนนู้น จนบัดนี้ก็ยังไม่เสร็จ ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ดูพิกลพิการจากด้านนอก แต่ด้านในนี่อลังการมากๆ นะคับพี่น้องคับ



+ บาร์ต

ฉันเดินมุ่งหน้าไป Nationalestraat ซึ่งเป็นสถานที่นัด จริงๆ จะนั่ง tram ไปก็ได้ แต่เดินก็สนุกดี China Town ที่ีนี่ค่อนข้างใหญ่ (ก็ทั้งถนนน่ะ) มีร้านอาหารไทย ทั้งร้านอาหารแบบร้านอาหารจริง ๆ เลย และร้านแบบ take away, supermarket ขายของนำเข้าจากเอเชีย, ขายของไทยก็มีหลายร้าน บางร้านขึ้นป้ายเป็นภาษาไทยตัวใหญ่กว่าภาษาถิ่นด้วยซ้ำ บางร้านก็ขายส่งเครื่องครัวแบบเอเชีย พวกกะทะผัดทอดแบบบ้านเราน่ะ (ที่นี่เค้าเรียกกะทะ wok) ฝรั่งไม่ค่อยใช้กัน (เค้าใช้กะทะแบน ๆ แล้วจะไปทำกับข้าวไทยสนุกได้ไงว้าาา)

สี่โมงครึ่งเป๊ะ บาร์ตก็โผล่มาที่ผับ คุยกันเรื่อยเปื่อย เฮ้ย คริสต์มาสต์แกทำไร ปีใหม่จะไปไหน
"คริสมาสต์ปีนี้ ชั้นว่า คงแปลก ๆ" บาร์ตบอก จิบกาแฟร้อนไปด้วย
"ทำไมอ่ะ"
"เรื่องของเรื่องคือ.. พี่สาวชั้นอ่ะดิ เพิ่งหนีออกจากบ้านสามี ทิ้งลูกไว้กะสามีด้วยสองคน"
"ฮะ???!"
"เออ แกได้ยินถูกต้องแล้ว"
"หนีออกจากบ้าน? มีลูกสองคนแล้ว? แต่งงานแล้วเนี่ยนะ?"
"เออ"
"แล้วไงละเนี่ย"
"ก็พ่อกะแม่ก็โมโหใหญ่เลยอะดิ แถมมันนะ ยังเอาที่อยู่ชั้นไปใช้กรอกเอกสารอีกนะ วันนึงมีคนโผล่มาที่บ้านถามหาพี่สาวชั้น ชั้นก็เลยรู้ว่ามันเอาที่อยู่ชั้นไปใช้อีกแล้วเนี่ย"
"แล้วเค้าอยู่ไหนละตอนนี้"
"อยู่กะแฟนเก่ามันตั้งแต่สมัย ม.ปลายโน่นน่ะ"
"คือทิ้งสามีไปหาแฟนสมัย ม.ปลายนี่นะ?"
"เออ"
"ลูกสองคนก็ไม่เอาไปด้วยนี่นะ?"
"เอ้อ!"
"ภูมิใจในตัวพี่สาวมั้ย"
"มาก"

สรุปว่าหลังวันคริสต์มาสต์ บาร์ตไปเยอรมนีกับเรา เพราะเพื่อนสาว "อิลิน" ชาวสิงคโปร์ ซึ่งเป็นเพื่อนของเราทั้งคู่ เธอจะไปเยี่ยมแฟนที่ Arholzen ซึ่งอยู่กลาง ๆ ตอนเยอรมนี พอดีฉันกับพี่เบิร์ตจะไปเบอร์ลินตอนปีใหม่อยู่แล้ว ก็เลยได้จังหวะพอดี ได้แวะพักด้วย เพราะ Arholzen อยู่ตรงกลางระหว่างเบลเยี่ยม กับเบอร์ลิน ขับรถประมาณ 4-5 ชั่วโมงก็ถึง

บาร์ตไม่มีโปรแกรมอะไร ก็เลยตกลงไปเยอรมนีกับเราด้วย ดีเหมือนกันแฮะ น่าจะสนุก หวังว่าคุณเบิร์ตคงไม่รำคาญสำเนียงบาร์ตนะนั่น (คนแอนท์เวิร์ปมีสำเนียงที่คนเบลเยี่ยมจากเมืองอื่นไม่ค่อยชอบนัก เค้าบอกว่ามันฟังน่ารำคาญและฟังดูอวดดี เราก็ไม่รู้อ่ะนะ ฟังไม่ออก)



อย่างน้อยเราก็มีเพื่อนกินเบียร์ล่ะงานนี้ อิลินไม่ดื่มแอกอฮอล์ เพราะ she เป็นมุสลิม (แถมแฟนชาวเยอรมัน ก็พลอยเปลี่ยนไปเป็นมุสลิมด้วย หัวทองตาสีฟ้าเนี่ยแหละ เออ ก็แปลกดีอ่ะนะ why not)

เรานั่งคุยนั่นนี่กันเรื่อยเปื่อย ฉันแวะขึ้นไปยืมหนังสือออกแบบกราฟฟิคจากบ้านบาร์ตมาเล่มนึง (ใหญ่ขนาดสามารถฆ่าวัวเป็นๆ ได้ด้วยการเขวี้ยงหนังสือเล่มนี้ใส่มันเบา ๆ ) ฉันมีนัดกับเพื่อนชาวดัชท์ตอนหกโมงครึ่ง ส่วนบาร์ตจะไปเล่นสควอชต่อ

+ จูลส์ ณ ฮอลแลนด์


หกโมงครึ่ง จูลส์ยังไม่โผล่ ไม่รู้ไปไหนของมัน หนาวก็หนาวมานั่งรอมันเนี่ย
ซักพักมี sms เข้ามา
"จอดรถอยู่ๆ จะถึงแล้วรอหน่อย"
ก็รอ...
ผ่านไปสิบห้านาที มันไปจอดรถที่ปารีสหรือไงเนี่ย! นานจังเว้ยเฮ้ย!
มี sms มาอีก
"เฮ้ย ไปที่จอดรถมา แต่ไม่มีเหรียญ มีแต่แบงค์ จ่ายค่าจอดไม่ได้ กำลังหาที่จอดใหม่ รอหน่อยนะ"
ฉันเลยส่งกลับไป
"จุลส์!! กรูหนาว!! มาเร็วๆหน่อยเถ๊อะ"

อีกสิบห้านาทีต่อมานั่นแหละ มันถึงได้โผล่มาที่ Groenplaats (Green square) ที่เรานัดกันไว้
"เฮ้ย โทษทีๆๆ ลืมแลกเหรียญมาว่ะ"
"เออ ไม่เป็นไร ไปยัง หิว หนาวด้วย โหหหหหย!!"
"อยากกินไร"
"ไม่รู้อ่ะ แล้วแต่แกละกัน" เราก็เลยเดินกันเรื่อยเปื่อย หาร้านแบบสุ่มเอา ซึ่งนับเป็นการเสี่ยงอย่างยิ่ง
"ชั้นก็นึกว่าแกรู้จักร้านดี ๆ"
"ชั้นรู้นะ" จูลส์เป็นชาวดัชท์ แต่เคยมีแฟนอยู่แอนท์เวิร์ป ก็เลยมาเมืองนี้บ่อยมาก ๆ แม้ว่าเมืองที่ตัวเองอยู่จะต้องขับรถไปอีก 30 นาที และอยู่ในเนเธอร์แลนด์ ไม่ได้อยู่เบลเยี่ยม

ตอนแรกจูลส์พาฉันไปที่ร้านอาหารอินโดนีเซีย (โึคตรดัชท์เลย มาถึงนี่ พามากินอาหารอินโด) แต่ดูราคาเมนูแล้ว​โอ้แม่เจ้า! ปอเปี๊ยะปาเข้าไป 12 ยูโร บะหมี่ผัดธรรมด๊า ธรรมดา 25 ยูโร ส่วนจานอื่น ๆ แพงกว่านั้น
"จูลส์ ชั้นขอบใจจริงๆนะ ที่พามา แต่ว่า..แกจะบ้าเหรอะ ชั้นไม่ได้ควีนอลิซาเบธนะเว้ย"

สรุปเรามาจบลงที่ร้านอาหารกรีกที่เราเดินผ่าน แล้วหยุดยืนดูเมนูหน้าร้าน เจ้าของร้านไม่ปล่อยให้เราหลุดไปได้ โดยการกระโดดมานอกร้าน
"มายเฟรนด์!!" กรูรู้ละ ตั้งแต่ มายเฟรนด์ นี่แหละ ว่าต้องจบที่นี่แน่
แต่โชคดีนะ อาหารอร่อย เราสั่ง House wine มาดื่มกัน (ไวน์ราคาพอ ๆ กับน้ำเปล่าเลยอ่ะ) เจ้าของร้านชาวกรีก ก็ใจดี แถมไวน์ให้อีกหลังอาหาร แถมยังเอาแอ๊ปเปิ้ลฝานบาง ๆ โรยหน้าด้วยซินนามอน กับน้ำเชื่อมมาให้กินกับไวน์อีก มื้อนี้หมดไปคนละ 21 ยูโร (ทั้งหมดน่ะนะ) ก็ไม่เลวนะ เพราะอาหารเยอะเหมือนกัน ทั้งสลัดกรีก ชีส อาหารจานหลักคนละจาน ไวน์ ฯลฯ เจ้าของร้านก็บริการดีจนเราเกรงใจ


หลังอาหารเราเดินคุยกันไป จูลส์ต้องกินกาแฟก่อนไปทำงาน (จูลส์ทำงานกะดึก ตั้งแต่สี่ห้าทุ่มไปถึงหกโมงเช้านู่น) เราก็เลยมากินกาแฟกันแบบรวดเร็วที่บาร์ แล้วจูลส์ก็ส่งฉันที่สถานีรถไฟ ส่วนตัวเองก็ขับรถกลับไปทำงานที่ฮอลแลนด์ ถึกจริงๆ

อาทิตย์หน้าสัญญามันไว้ว่าจะสอนทำแกงเขียวหวาน กับ ไก่ผัดเม็ดมะม่วง มันดีใจออกนอกหน้ามาก ๆ เพราะจะได้เอาไว้ทำอวดสาว ๆ สงสัยต้องให้มันมารับที่แอนท์เวิร์ปอยู่ดีแหละ เพราะของเอเชียเยอะกว่า

"ส่งแค่นี้นะ"
"เอ้อ ขอบใจนะ ดีใจจังได้เจออีก ไม่ได้เจอกันตั้งนานนะ" ฉันรวบรวมของ รวมทั้งหนังสือหนัก 80 ตันลงจากรถ
"เดินไปถูกป่าววะ? ตรงนั้นน่ะ Ingang .. ไอ เอ็น จี เอ.." จูลส์สะกดคำว่า ingang ให้เราฟังเหมือนเราเป็นเด็ก
"แปล-ว่าาาา-ทางงงง-เข้าาาา นะ รู้หรือเปล่า"
"นี่ แก ชั้นรู้น่ะ" จูลส์หัวเราะก๊ากๆๆๆ แล้วก็ขับรถออกไป

รถไฟเที่ยวต่อไป กลับ leuven เกือบห้าทุ่ม แน่ะ ฉันเลยรอจนเบื่อเลย ดีนะมีหนังสืออ่าน

พรุ่งนี้ที่บ้านเคลมองต์ (พ่อคุณเบิร์ต) มี family dinner เนื่องจากเป็นวันหยุด (วันอะไรไม่รู้อ่ะ ของคาธอลิคเค้า ไม่มีใครในครอบครัวเป็นคาธอลิคเคร่งๆ หรอกนะ แต่แบบ หาเรื่องเจอกันมากกว่า) ร้านอะไรนี่ปิดหมด (ธรรมดาวันเสาร์ ร้านค้าจะเปิด) วันนี้ฉันเลยไปสต๊อกของกินจากซูเปอร์มาร์เก็ตมาเพียบ

นี่เพิ่งเปลี่ยนเวลาเข้าหน้าหนาว (ต้องปรับนาฬิกาให้ช้าลง 1 ชั่วโมง) แค่ห้าโมงเย็นนี่ก็มืดแล้ว แย่มากกกก ไม่สนุกเลย




 

Create Date : 01 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 1 พฤศจิกายน 2551 12:51:21 น.
Counter : 1432 Pageviews.  

+ ได้งานทำแล้วล่ะ ตัวเอ๊งงง



เมื่อซักอาทิตย์ที่ผ่านมา ได้อีเมล์จากบริษัทออกแบบที่นึงที่บรัสเซลส์ ถามว่าอยากจะเข้าไปพรีเซนต์พอร์ทโฟลิโอ มั้ย จริงๆ ไม่ค่อย keen จะทำงานประจำเท่าไหร่หรอก แถมยังเมล์ตอบเค้าไปอีกนะ ว่าคุณแน่ใจเหรอ เพราะแฟลชชั้นก็ทำไม่เป็น โปรแกรมก็โค้ดไม่ได้นะ ออกแบบได้อย่างเดียว เค้าก็เมล์ตอบกลับมาว่า เรามีให้ทำทุกอย่างแหละ เข้ามาคุยก่อนละกัน

ได้ที่อยู่ออฟฟิศมาเสร็จสรรพ กำเว้รรรรร มันไม่ได้อยู่ใกล้สถานีรถไฟเอาซะเลย แถมความรู้เรื่องทิศทางของบรัสเซลส์เราก็ไม่ได้เรื่อง เลยตอบเค้าไปอีก (กลัวจะได้งานนะนั่นน่ะ) ว่า เอ่อ ชั้นไม่ได้ขับรถนะ ไปออฟฟิศยังไงดี วานบอก

แล้วเค้าก็หายไปเลย

เค้าอาจจะคิดว่า อีนี่เรื่องมากจริงๆ offer งานให้ยังเกี่ยงนั่นเกี่ยงนี่อยู่ได้ (ฮาๆ)

แล้วเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาก็มีโทรศัพท์มา

"ฮัลโหล นี่คริสเตียนจากเวย์พอยนท์นะครับ"
"หือ ฮัลโหลๆ" (งง งง ไม่ได้ตั้งตัว)
"เวย์พอยนท์ดีไซน์ที่ผมอีเมล์ไปหาเมื่ออาทิตย์ก่อนน่ะครับ คุณพูดภาษาอังกฤษได้หรือเปล่า?"
"อ๋อ ๆๆ ค่ะ ๆ ว่าไงคะ"
"ขอโทษทีไม่ได้ตอบเมล์นะครับ พอดีไปพักร้อนมา เพิ่งกลับ คุณเอางานเข้ามาให้ดูที่บริษัทได้ไหม เอ พรุ่งนี้ผมไม่ว่าง วันพุธล่ะเป็นไง"

เราก็เลยนัดไปวันพุธ คริสเตียนบอกว่าจะส่งใครซักคนในบริษัทไปรับที่ Central Station ละกัน เพราะเราไปบริษัทยังไม่ถูก

พอเอาเข้าจริงๆ ไม่มีใครว่าง คริสเตียนเลยต้องมารับเอง
"ฮะโหลๆ ผมจอดรถรออยู่หน้าโรงแรมเมอริเดียนนะ" ไอ้เราก็หาไปซิ รถทะเบียน เก้าหนึ่งหนึ่ง หาไม่เจอ โทรไปอีกรอบ
"หารถไม่เจอค่ะ"
"ผมจอดอยู่ข้างหน้าคุณนี่แหละ" เราเลยก้มลงไปมอง กรี๊ด ปอร์เช่! เกิดมาเพิ่งจะได้มีโอกาสได้นั่งกะเค้าละเว้ยยยยยย

คริสเตียนอยู่ในวัยสี่สิบปลายๆ ดูสบายๆ แม้ว่าจะใส่สูทเต็มยศ ผมบลอนด์ค่อนข้างยาวสำหรับหนุ่มวัยขนาดนี้
"ฉิบ!! อุ่ย ขอโทษครับ น้ำมันหมด ต้องไปเติมก่อนนะ แล้วเมื่อไหร่จะได้ออกจากที่นี่เนี่ย" มีรถขวางหน้าเราอยู่คันนึง คริสเตียนกำลังถอยตูดปอร์เช่ ออกมาจากหน้าโรงแรม หน้าพนักงานโรงแรมมาโบกให้ว่าให้ผ่านหน้าโรงแรมไปได้เลย

"ขับรถอย่างนี้ก็ดีไปอย่างนะว่ามั้ย เพราะโรงแรมไม่สนหรอกว่าจะจอดนานแค่ไหน ฮะๆ" น้ำเสียงเค้าไม่ได้มีนัยที่จะอวดร่ำอวดรวยแต่เหมือนแดกดันแกมขำมากกว่า

จาก Central Station ซัก 15 นาทีก็มาถึงออฟฟิศ เป็นเหมือนบ้านหลังใหญ่ ๆ ตั้งอยู่หัวมุมถนน ติดกับออฟฟิศเป็นบ้านสีขาวสวยอีกหลัง คริสเตียนบอกว่าเป็นสถานฑูตเซียราลิโอน ต้นไม้ร่มครึ้มทั้งสองข้างทาง ใบสีเหลืองส้มร่วงตามถนนเกลื่อนกลาด เพิ่งเห็นว่าฝรั่งไม่ใช้ไม้กวาด แต่ให้เครื่องเป่าลม เป่าใบไม้กันกระเจิง (แล้วมันเอาไปทิ้งที่ไหนกันวะ?)

คริสเตียนเล่าประวัติบริษัทให้ฟังคร่าว ๆ รวมถึงตัวเค้าเองด้วย คริสเตียนเป็นนักออกแบบมา 15 ปีเต็มแล้ว ออกแบบมาทุกอย่างตั้งแต่รถแข่ง, อีเวนท์งานฟอร์มูล่าวัน ไปยันเว็บไซต์ขายเพชรที่ดูไบ โปรเจคท์ที่นี่เท่มากๆ เรียกว่าทำหมดทุกอย่างจริง ๆ ตั้งแต่สิ่งพิมพ์ เว็บไซต์ อีเวนท์ ออกแบบผลิตภัณฑ์ แพคเกจจิ้ง แล้วทำออกมาดูดีทุกชิ้นด้วย ยิ่งดูไปยิ่งรู้สึกตัวเองไม่คู่ควรกะงานเค้าเอาซะเล้ยย

"ผมชอบงานคุณนะ เริ่มงานเมื่อไหร่ดี"
"หะ หา ไม่ถามอะไรเพิ่มอีกหรอคะ"
"ฮืมมม หลังจากที่ออกแบบมา 15 ปีนะ ผมเรียนรู้ว่า เครื่องมือน่ะหัดใช้กันได้ แต่สิ่งที่หัดให้หรือสอนให้ไม่ได้คือ การมององค์ประกอบ แต่คุณใช้ได้นะ ผมดูงานแล้ว ผมว่าคุณไม่ต้องมา test drive หรอก มาทำงานเลยละกัน"

ว่าแล้วคริสเตียนก็ขอตัวไปประชุมต่อ แล้ววานให้ เซบาสเตียน ดีไซเนอร์/ผู้จัดการแอคเคาน์ขับรถไปส่งเรากลับ Central Station เซบาสเตียนก็ดู cool cool แต่งตัวดีเกินผู้ชายธรรมดา เหมือนเค้าจะมีเรดาร์จับความคิดเราได้ เลยชิงพูดก่อนเลย

"แฟนผมเป็นแฟชั่นดีไซเนอร์น่ะ เธอเลือกเสื้อผ้าให้ผมหมดเลย"
"อ๋อ ค่ะๆๆ ดีนะคะ เหอๆ"

ด้วยเหตุฉะนี้ ข้าพเจ้าจึงมีงานทำ(ซะงั้นน่ะ) เริ่มเดือนหน้านี่แล้ว ไม่รู้จะเป็นไงมั่ง เกิดมาก็เพิ่งเคยทำงานนอกเมืองไทยเป็นครั้งแรก แต่บริษัทรวมๆ ดูดีมาก ๆ งานก็น่าทำมาก ไม่รู้เพื่อนร่วมงานจะเป็นไง (มีกันอยู่แค่ 7-8 คนนี่แหละ)

สู้ๆๆ




 

Create Date : 01 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 1 พฤศจิกายน 2551 12:50:36 น.
Counter : 560 Pageviews.  


beebah
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




คนไทย ธรรมด๊าธรรมดา เกิด และ โต ณ กทม. ปัจจุุบัน ทำงานในบรัสเซลส์ ยามว่าง(และยามไม่ว่าง แต่กระเสือกกระสนให้ว่าง) ชอบแบกเป้เที่ยวนู่นเที่ยวนี่ นี่ก็เหลืออีก ร้อยกว่าประเทศเองก็ยังไม่ได้ไป ฮ่าๆๆๆ ฮืออออ.. (T_T)
Friends' blogs
[Add beebah's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.