2018-09-01 Samosir Island, Lake Toba - เดินไปเที่ยว Tuk Tuk Town.


นอนหลับเต็มอิ่มหลังจากการเดินทางเมื่อวานอันแสนยาวนาน  แม้เมื่อคืนจะไม่ได้ใส่ที่อุดหูเราก็ไม่ได้ยินเสียงกรน, คงจะเพลียมากๆ นั่นเอง...ในห้องนอนไม่มีพัดลม  แต่กลางคืนอากาศเย็นมาก ถึงกับต้องหม่ผ้าหม่เลยทีเดียว.  ตอนที่เราตื่นนั้นหกโมงกว่าแล้ว  แต่เพื่อนใหม่ยังไม่ตื่น เลยต้องย่องออกห้อง, เพื่อนสนิทที่สุดในกลุ่มที่แย่งที่นอนโซฟา ก็ยังไม่ตื่น... ห้องน้ำเป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียว 5555  ข้อดีของการตื่นเช้าเป็นฉะนี้นี่เอง... ชักโครกมีที่ฉีดก้นอัตโนมัติแต่ไม่ทำงานเพราะแรงดันน้ำต่ำ  ตอนที่เราอาบน้ำจากฝักบัวก็ต้องใช้เวลานานหน่อยเพราะน้ำไม่ค่อยแรงนั่นเอง.

หลังจากอาบน้ำแต่งตัวอย่างเงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะไม่อยากปลุกให้ใครตื่น... เราเอาผ้าขาวม้าคล้องคอแล้วก็หยิบมือถือและขวดน้ำดื่ม แล้วย่องออกบ้าน  ตรงไปยังท่าเรือร้างหน้าบังกะโลที่เราอยู่ซึ่งห่างออกไปประมาณ 100 เมตร.  คิดว่าเมื่อก่อนเขาคงส่งนักท่องเที่ยวลงตรงนี้  แต่เท่าที่เห็น ระดับน้ำตรงนี้ตื้นเขินทำให้เรือเข้าไม่ได้  เขาเลยให้ลูกค้าลงตรงท่าที่สร้างใหม่ ซึ่งมีศาลารอเรือไว้บริการลูกค้าด้วย.  เรานั่งชมวิว, ฟังเสียงคลื่นกระทบฝั่ง โดยไม่ทำอะไรเลย... ไม่แม้แต่จะเปิดเพลงเพราะๆ เบาๆ ให้เข้ากับบรรยากาศ.  นั่งเพลินจนไม่ได้รับรู้ถึงเวลาว่าผ่านไปนานเท่าไหร่  พระอาทิตย์พยายามแหวกม่านเมฆออกมา  ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ร้อนอะไรมากมาย  ทั้งนี้เพราะทะเลสาบโทบาแห่งนี้สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 900 เมตร  ทำให้อากาศเย็นสบาย

รู้ตัวอีกทีตอนได้ยินเสียงโหวกเหวกที่บังกะโลของเรา  ดูเวลาแปดโมงกว่าแล้ว... ตอนแรกคิดว่านั่งตรงท่าเรือร้างได้ไม่นาน... แต่คำนวณเวลาก็ชั่วโมงกว่าเลยทีเดียว...  เดินกลับไปที่บังกะโลเพื่อสอดส่องว่าเกิดอะไรขึ้น... ปรากฏว่า  เพื่อนใหม่เราอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว  เพื่อนสนิทที่สุดในกลุ่มกำลังจะอาบแต่น้ำไม่ไหล  เพื่อนชาวอินโดก็ยังไม่ได้อาบ... เพื่อนใหม่อาสาเดินไปล๊อบบี้เพื่อแจ้งปัญหา...  เจ้าของตะโกนบอกช่างประจำโรงแรมให้เช็คปั๊มน้ำ... สักพักน้ำก็ไหล  แต่ก็ยังคงไหลเอื่อยๆ  เราคิดว่าบังกะโลของเราเป็นหลังสุดท้าย จึงทำให้แรงดันน้ำไม่แรง.  เราชงกาแฟแล้วกลับไปยังท่าเรือร้าง จิบกาแฟ ชมวิว ฟังเสียงคลื่น อากาศยังเย็นสบาย แต่แดดค่อนข้างร้อน... เอาผ้าขาวม้าคลุมหัว...เอาอยู่!

กว่าทุกคนในกลุ่มจะอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็เก้าโมงครึ่ง  พากันไปร้านอาหารของโรงแรม สั่งอาหารเช้ามาทาน  เพื่อนในกลุ่มสั่ง Gado gado และเฟร้นช์ฟรายมาทาน  อีกคนสั่งแพนเค้กกล้วยหอม  อีกคนสั่งอะไรจำไม่ได้... เราสั่งผลไม้รวมราดโยเกิร์ต...  ผลไม้ที่นี่รสชาติดีเลยทีเดียว.  ทานเสร็จแยกย้ายกันจ่ายเงินที่เค้าน์เตอร์  แล้วเดินกลับไปบังกะโล  แผนการของวันนี้คือจะเดินเข้าเมืองตุ๊กตุ๊ก  ซึ่งอยู่ห่างไปสองกิโลกว่าๆ 




วิวตอนเช้าที่ท่าเรือร้าง... เรานั่งอยู่ตรงนั้นได้เป็นชั่วโมงๆ โดยไม่ต้องทำอะไร... ชิลมากๆ...


ด้านซ้ายมือถัดจากป้ายโรงแรม เป็นท่าเรือใหม่ มีศาลาไว้ให้ลูกค้าได้นั่งรอเรือ  ด้านขวามือเป็นโรงแรมตลอดแนวฝั่ง  เกาะนี้โรงแรมเยอะมาก...



ที่ร้านอาหารของโรงแรม เราสังเกตุเห็นรางน้ำฝน  ทำมาจากท่อ PVC ตัดตามแนวท่อ แล้วสอดเข้าปลายหลังคาสังกะสี... ไอเดียดีมากๆ  เลยถ่ายมาให้ดู เผื่อใครจะทำบ้านสวนแบบประหยัดงบ.



Gado gado เป็นสลัดแบบอินโดนีเซีย



เพื่อนชาวอินโดสั่ง Banana pancake  หน้าตาดูน่ารับประทาน...



เราสั่งผลไม้รวมราดโยเกิร์ต...



วิวถ่ายจากระเบียงหน้าบังกะโลของเราแม้จะไม่สวยเท่าไปนั่งตรงท่าเรือร้าง  แต่ตอนฝนตกนั่งชมวิวจากตรงนี้ก็ยังพอได้นะ...





เพื่อนสองคนเดินล่วงหน้าไปก่อนเพราะเขาพร้อมกันแล้ว  เรารอเพื่อนสนิทที่สุดในกลุ่มซึ่งกำลังแต่งองทรงเครื่องและเพื่อนชาวอินโดซึ่งกำลังเข้าห้องน้ำ  พอทุกคนพร้อมที่จะเดินทางเราทั้งสามก็ตามเพื่อนสองคนที่ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว...  ทางออกจากรีสอร์ทเป็นถนนคอนกรีตค่อนข้างชัน  ต้องค่อยๆเดินจะได้ไม่กลิ้งตกเขาไป... ประมาณสิบห้านาทีพวกเราก็เดินตามทันเพื่อนที่ล่วงหน้ามาก่อน  ที่จริงเขาหยุดรอพวกเราเสียมากกว่า.  ถนนในหมู่บ้านเป็นถนนลาดยาง ค่อนข้างแคบ  แต่รถยังพอสวนทางกันได้.  วิถีชีวิตของคนที่นี่ก็คล้ายๆ กับวิถีชีวิตชนบทในประเทศไทย  มีการตากพืชผลไว้ลานหน้าบ้าน  บางทีก็ตากไว้ริมถนน  มีร้านขายของชำ มีปั้มน้ำมันหลอด มีร้านอาหาร เรียงรายระหว่างทางที่เราเดินเข้าตัวเมือง

.... เรามาเรียนรู้เรื่องทะเลสาบโทบากันสักเล็กน้อยดีไหม?  เมื่อประมาณ 75,000 ปีก่อน  เกิดภูเขาไฟระเบิดขนาดใหญ่ (Supervolcano) ทางตอนเหนือของเกาะสุมาตรา  พอเย็นตัวลงก็เกิดน้ำขังกลายเป็นทะเลสาบบนยอดภูเขาไฟที่ดับแล้ว  สมัยก่อนส่วนที่เป็นเกาะในตอนนี้เป็นเพียงแหลมที่ยื่นเข้าไปในทะเลสาบ  ต่อมาในปี 1906 ชาวดัชต์ได้ขุดคลองตรงคอคอดกระ (ส่วนที่แคบที่สุดของคาบสมุทร) ทำให้ส่วนที่ยื่นไปในทะเลสาบถูกตัดขาดออกไปกลายเป็นเกาะ ซึ่งเกาะนี้ชื่อว่า Samosir (ซึ่งก็คือเกาะที่เรามาพักผ่อนอยู่นี่แหละ) เกาะซาโมเซอร์มีพื้นที่ 630 ตารางกิโลเมตร  เป็นเกาะซ้อนเกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก  ส่วนทะเลสาบโทบาเป็นทะเลสาบที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก  ชาวพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ที่นี่เป็นชาวบาทัค (Batak).... ปูพื้นฐานความรู้เรื่องทะเลสาบโทบา และเกาะซาโมเซอร์ไว้เพียงแค่นี้, ยาวไปเดี๋ยวจะน่าเบื่อ  เพราะไปหาอ่านในเน็ตเอาเองได้... แต่แปลและย่อมาให้อ่านเพื่อความเข้าใจในเนื้อหาบางส่วนที่เราจะเล่าเรื่องทริปของเรา.

เดินผ่านบ้านทรงพื้นเมืองแบบบาทัค  แบบดั้งเดิมมุงด้วยใบปาล์มใบจาก  แต่ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นมุงสังกะสี  เห็นแล้วเสียดายมากๆ  ย้อนกลับมานึกถึงบ้านเรา  ไม่มีใครอยู่บ้านแบบโบราณอีกต่อไปแล้ว  คิดได้แค่นั้นก็เลยดีใจไปกับเขาด้วย ที่ยังคงรักษารูปแบบของบ้านไว้  แม้บางส่วนเปลี่ยนไปเพื่อความสะดวกสบาย หรือเพื่อความประหยัดก็ตาม.






ทางออกของโรงแรม, ในรูปดูจะไม่ชันเท่าไหร่... แต่ของจริงชันมากๆ


โรงแรมใกล้ๆ กัน... Villa Durian กลิ่นมันก็จะแรงหน่อยๆ... 555


ขอภาพโรงแรมเพื่อนบ้านอีกสักหลัง... Mas Cottages เข้าไปดูในเวปแล้วน่าพักมากๆ ราคาก็ถูกด้วย


บ้านสถาปัตยกรรมแบบบาทัค  โดดเด่นเป็นสง่า... เจ้าของบ้านเอาข้าวมาตากหน้าบ้าน


อันนี้เม็ดโกโก้ เขาตากบนถนนเลย


ปั้มน้ำมันหลอด  มีร้านแบบนี้ให้เห็นเป็นระยะ...


  Graffiti ก็มีให้เห็น...


เสียดายมากๆ นี่ถ้ามุงหลังคาด้วยใบปาล์มหรือใบจากแบบดั้งเดิมก็จะสวยมากกว่านี้.


ตากข้าวเปลือกข้างถนนมีให้เห็นตลอดสาย...


แวะดื่มโค้กและดื่มด่ำกับบรรยากาศ  แดดแรงจนร้อนไปนิด แต่ยังพอไหว.


เดินผ่านโบสถ์... บนเกาะนี้มีทั้งโบสถ์และมัสยิด


ถ้าไม่บอกก็ไม่รู้ว่านี่คืออินโดนีเซีย... ดูๆ ก็เหมือนชนบทบ้านเรา.


พรุ่งนี้มีการแข่งปั่นจักรยานมาราธอน...


ภาพนี้ถ่ายตอนกลับมาบังกะโล  เปลี่ยนเป็นกางเกงขาสั้นเพราะค่อนข้างร้อน.... ให้ชื่อภาพนี้ว่า ต้นขาอันอวบอั๋นของฉัน.... ขอนอกเรื่องนิดหนึ่ง... เราว่ายน้ำครั้งสุดท้ายเมื่อ 4 ปีก่อน  ตอนนั้นยังใส่กางเกงว่ายน้ำไซด์ S อยู่เลย... เมื่อวันก่อนไปซื้อกางเกงว่ายน้ำ, คนขายบอกว่าหุ่นแบบนี้เอาตัวนี้ไปลอง...ไซด์ M เราฉุนเล็กๆ ในใจ แต่ก็พูดเล่นไปว่าผมซ่อนรูปครับ, พอเอาไปลองใส่ ดึงขึ้นมาต้นขาไม่ได้... เง้อ... เลยไปขอไซด์ L มาลอง ก็พอยัดใส่ได้  แต่ให้ใส่ว่ายน้ำนี่อึดอัดตายเลย... ในที่สุดก็ต้องลองไซด์ XL โอ้ว...พอดีเลย...  ขอไว้อาลัยให้ไซด์ S หนึ่งนาที... 





พอเดินเข้ามาถึงในเมืองตุ๊กตุ๊ก  ก็มีแต่โรงแรม, เกสท์เฮาส์, บังกะโล, ร้านอาหาร, ร้านขายของชำ  สำหรับเราไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจเลย  เพื่อนในกลุ่มแวะร้านขายของชำ  เขาพูดอยู่เนืองๆ ว่าอยากทำต้มยำกุ้ง?!?!?! ป๊าด, ต้มยำกุ้งเนี๊ยะนะ... มาเที่ยวทั้งทีจะมาเสียเวลาปรุงอาหารทำเขืออะไร.... สรุปว่าหาเครื่องแกงไม่ได้  แต่ก็ยังซื้อผักผลไม้, ขนมปัง, ทูน่ากระป๋อง...ไปทำสลัด และแซนวิชกินเป็นอาหารเย็น...   ขากลับเพื่อนใหม่ซื้อเบียร์ 1 ลัง  เราแชร์ค่าเบียร์ครึ่งหนึ่ง หมดเงินไป 180,000 รูเปียห์... คือ.. ค่าใช้จ่ายหลักๆ ทั้งทริปของเรานี่หมดไปกับเบียร์เยอะมาก... เพื่อนเดินกลับกันไม่ไหว ถ้ารวมระยะทางที่เราเดินมากันตอนนี้ก็เกือบ 4 กิโลเมตรแล้ว  และยังต้องถือของพะรุงพะรังอีก  เลยจ้างรถจากร้านขายเบียร์ไปส่ง เขาคิด 200,000 รูเปียห์... เหอะๆ.... เราเดินกลับกับเพื่อนชาวอินโดสองคน... ไม่ได้กลัวได้หาร  แต่อยากเดินกลับเองมากกว่า...

กลับมาถึงบังกะโลก็อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า... แดดยังแรงเลยยังไม่ได้เดินไปนั่งท่าเรือร้าง... ดื่มเบียร์และนั่งคุยกันสักพักเมฆลอยมาบังแดด... เราเลยถือแก้วเบียร์ปลีกตัวไปนั่งดื่มที่ท่าเรือร้าง  บรรยากาศดีสุดๆ  ตอนหกโมงกว่าเพื่อนเรียกให้ไปทานอาหารเย็นที่เขาเตรียมไว้... เราบอกปฏิเสธไปเพราะไม่หิว...  สรุปว่าวันนี้ทานผลไม้รวมมื้อเช้ามื้อเดียว... และเย็นนี้ดื่มเบียร์ไปสามขวด  เข้านอนตอน 3 ทุ่มกว่า  คนอื่นๆ เขายังนั่งคุยกันอยู่เลย...  





รูปถ่ายจากท่าเรือร้างตอน 6 โมงครึ่ง.... ชอบตรงนี้ที่เรานั่งอยู่คนเดียว ฟังเสียงคลื่น ชมพระอาทิตย์คล้อยลับขอบฟ้า จิบเบียร์ไปพลางๆ... เพื่อนใหม่ผู้มีน้ำใจเดินเข้ามาถาม...เธอจะกระโดดน้ำฆ่าตัวตายเหรอ?!?!?! ..... ขอบคุณที่เป็นห่วง, แต่ทีหลังไม่ต้อง! 555  หมดมู้ดเลยเธอ!




Create Date : 14 กันยายน 2561
Last Update : 14 กันยายน 2561 18:37:27 น.
Counter : 415 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

annopwichai
Location :
เชียงใหม่  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 88 คน [?]



ชีวิตอิสระ, ชอบความเรียบง่าย, เป็นโรคภูมิแพ้ IT
New Comments
MY VIP Friend