2018-09-02 Samosir Island, Lake Toba - ไปนั่งรถเล่นรอบเกาะ Samosir กัน!


เช้าวันนี้ทุกอย่างเหมือนเกิดขึ้นแล้วเมื่อวาน  เราตื่นนอนหกโมงกว่า แล้วต้องย่องไปห้องน้ำทำธุระส่วนตัว แล้วก็ย่องไปท่าเรือร้าง  เพราะยังไม่มีใครตื่นแม้แต่คนเดียว... สายๆ มาเหตุการณ์ก็ยังซ้ำรอยเดิมคือน้ำไม่ไหล  เจ้าของโรงแรมก็ตะโกนโหวกเหวกให้พนักงานหยุดซักผ้า...แล้วน้ำก็ไหลมาเอื่อยๆ....  ประโยคที่ว่า "You get what you pay for" always work!

วันนี้ไม่ได้ไปทานข้าวเช้าที่ห้องอาหารในโรงแรม  เพื่อนในกลุ่มกินสลัดและผลไม้ที่ซื้อมาเผื่อไว้เมื่อวาน  เราดื่มแต่กาแฟ, ชงเสร็จก็กลับไปนั่งที่ท่าเรือร้าง...  ทำไมไม่หิวข้าวก็ไม่รู้สามสี่วันหลังมานี่เกือบไม่ได้ทานอะไรเลย!....  แต่เรี่ยวแรงก็ยังมีปกติไม่ได้อ่อนเพลียอะไรแต่อย่างใด...

เมื่อวานให้เจ้าของโรงแรมจองรถให้มารับเพื่อนั่งรถเที่ยวรอบเกาะ  ค่าเช่ารถรวมคนขับและน้ำมัน ทั้งหมด 800,000 รูเปียห์ หาร 5 คน  ตกคนละ 160,000 รูเปียห์  ประมาณ 360 บาท  ราคาไม่ได้แย่เท่าไหร่  แต่คิดว่าน่าจะได้ราคาถูกกว่านี้ เพราะเมื่อวานตอนทานอาหารเช้าที่ร้านอาหารของโรงแรม  มีลูกค้าคนอื่นแนะนำให้นั่งรถเที่ยวรอบเกาะราคาที่เขาจ่าย 600,000 รูเปียห์.  ตกลงนัดให้มารับตอน 10 โมงเช้า  แต่คนขับรถมาก่อนเวลาหนึ่งชั่วโมง...  เพื่อนที่ยังไม่ได้อาบน้ำก็โดนเร่งให้อาบน้ำแต่งตัวให้เสร็จไวๆ... เมื่อทุกคนเสร็จแล้วก็ขึ้นรถ  พวกเราออกจากโรงแรมประมาณเก้าโมงครึ่ง...

ขับรถมาได้ประมาณ 10 นาทีก็ถึงที่แรกที่แวะ คือ Batu Kursi Raja Siallagan (Stone chair of king Siallagan) เก้าอี้หินของกษัตริย์เซียลลาแกน (อันนี้สะกดไทยเอาเอง, ผิดถูกอย่างไร ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย)  ขอเล่าประวัติและความสำคัญของชุดเก้าอี้หินนี้อย่างสั้นๆ เพื่อจะได้ไม่น่าเบื่อ... ประมาณ 200 กว่าปีก่อน กษัตริย์ลากา เซียลลาแกน (King Laga Siallagan) ผู้ปกครองเผ่าบาทัค  (Batak) ได้ก่อนตั้งหมู่บ้านแห่งนี้ ซึ่งมีขนาด 2,400 ตารางเมตร หมู่บ้านแห่งนี้มีกำแพงสูง 1.5-2 เมตรล้อมรอบหมู่บ้าน สิ่งสำคัญในหมู่บ้านที่เป็นจุดเด่นทำให้กลายเป็นที่ท่องเที่ยวคือ ชุดเก้าอี้หิน 2 ชุด... ชุดแรกเป็นชุดเก้าอี้หินประชุม มีไว้ประชุมพิจารณาคดี... และอีกชุดเก้าอี้หิน มีไว้เพื่อลงโทษ  ภาษาอังกฤษเขาใช้คำว่า execution เราจึงเข้าใจว่าเก้าอี้ชุดที่สองมีไว้สำหรับการประหาร.  

หลังจากถ่ายรูปและเดินเที่ยวชมจนทั่ว  พอชมจนเสร็จแล้วต้องออกทางด้านหลัง ซึ่งเป็นร้านขายของที่ระลึก  พ่อค้าแม่ค้าต่างชักชวนให้ซื้อสินค้า  เราก้มหน้าก้มตาเดินเพราะไม่ต้องการซื้ออะไรอยู่แล้ว  เราเดินกลับมาที่รถพร้อมกับเพื่อนสนิทที่สุดในกลุ่ม  แล้วนั่งรอเพื่อนคนอื่นๆ ที่ตามมาทีหลังเพราะมัวแต่เลือกซื้อของฝาก...  พอทุกคนกลับมาพร้อมกันในรถแล้ว ก็ออกเดินทางต่อ




ภาพถ่ายตอนเจ็ดโมงกว่าแระ... วันนี้ไม่ค่อยมีเมฆ  แดดเลยแรง,  นั่งที่ท่าเรือร้างได้ไม่ถึงชั่วโมงก็ต้องย้ายไปนั่งหน้าระเบียงบังกะโล


วิวตรงระเบียงก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี่เหร่สักเท่าไหร่นะ... แต่ตรงท่าเรือร้างนั่นวิวสวยกว่ามากๆ...


เพื่อนชาวอินโดถ่ายให้, ฝีมือถ่ายภาพใช้ได้เลย... ไม่เหมือนตอนขอให้เพื่อนใหม่ถ่ายภาพให้ตอนที่ไปว่ายน้ำที่เกาะนิแอส...  เห็นแต่ตาและหน้าผาก... (เม้าส์เล็กน้อย!)  ด้านหลังซ้ายมือเป็นบังกะโลที่พวกเราพัก.



ทางเข้า Batu Kursi Raja Siallagan (Stone Chair of King Siallagan)



ตรงทางเข้ามีหินสลักรูปชาวบาทัคคอยต้อนรับผู้มาเยือน



บ้านสถาปัตยกรรมบาทัค (Batak Architecture)  ในหมู่บ้านเซียลลาแกน



Instagai....



ภายในบ้านเปิดให้เข้าไปดูข้างใน... นี่คือประตูบ้านเปิดจากพื้นขึ้นมา...


ภายในบ้านจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้


ไม้แกะสลักลงสีประดับบ้าน ศิลปะกรรมแบบบาทัค


มีบ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้านมีบันไดเป็นบันไดหิน... ไม่แน่ใจว่าหลังอื่นเพิ่งเปลี่ยนมาเป็นบันได้ไม้หรือเปล่า...


Batu Kursi Raja Siallagan หรือ Stone Chair of King Siallagan หรือ เก้าอี้หินของกษัตริย์เซียลลาแกน... ชุดนี้มีไว้พิจารณาคดีสำหรับผู้กระทำผิด


นี่คือหุ่นแสดงนักโทษรอการพิจารณาคดี... ถ้าโดนล็อคแบบนั้นคงเมื่อยน่าดู



ส่วนนี้เป็นอาคารจัดแสดงเครื่องแต่งกายและเครื่องดนตรี ของชาวบาทัค... 



นักท่องเที่ยวผู้หญิงชาวอินโดเข้ามาขอถ่ายภาพด้วย...  ถ่ายเสร็จบอกกับเราว่าเสียใจด้วย, ฉันแต่งงานแล้ว... แต่ฉันมีหลานสาวนะ, ยังโสด... แล้วก็จับหลานสาวมาถ่ายรูปกับเรา... 5555  ขอบคุณคัฟ...


แล้วก็เดินมาส่วนหลังของหมู่บ้าน... มีชุดเก้าอี้หินชุดที่สองที่ใช้สำหรับสำเร็จโทษ... ในภาพไกด์แสดงการลงโทษให้นักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียดู... วิธีการคือให้นักโทษนอนลงบนหินด้านขวามือของภาพ  แล้วใช้ไม้กระบองที่วางบนโต๊ะหินกลางภาพทุบ, ไม้กระบองแกะสลักอย่างสวยงาม เรียกได้ว่า สวยประหาร จริงๆ...  หลังจากชมเสร็จก็ถึงเวลากลับ, ต้องเดินผ่านอุโมงค์ร้านขายของฝากด้านหลัง  ซึ่งเป็นทางออกเดียว...



ปฏิทินโบราณ ทำจากไม้และไม้ไผ่... ของเลียนแบบ มีขายตรงร้านขายของที่ระลึกตรงทางออก...



ทางกลับไปยังรถของเรา ต้องผ่านร้านขายของที่ระลึกข้างนอกอีก สุดแนวถนน...





จุดหมายต่อไปคือ Museum Huta Bolon Simanindo.... แต่ระหว่างทางเห็นนักปั่นจักรยาน พากันปั่นให้เห็นเป็นระยะ, ก็อย่างที่บอกไว้เมื่อวานว่าวันนี้จะมีการแข่งขันปั่นจักรยานมาราธอน....  ก่อนถึงพิพิธภัณฑ์คนขับรถจอดรถให้พวกเราแวะชมสุสานของ Ompu Raja Rosuhul เป็นสุสานเก่า แต่ไม่มีประวัติที่แน่นอน  คนขับรถจอดให้เราเข้าชม  เราหาป้ายเพื่ออ่านข้อมูลแต่ไม่มีอะไรเลย นอกจากป้ายชื่อสุสานตรงด้านหน้า... ถามเพื่อนชาวอินโดก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย... ได้แต่บอกว่า ฉันไม่ใช่คนที่นี่.... อืม..ก็จริง  ถ้าเราพาเพื่อนชาวต่างชาติไปเที่ยวอีสานแล้วเขาถ้าข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับสถานที่ที่เราไม่รู้จัก, เราก็ตอบคำถามเหล่านั้นไม่ได้จริงๆ...  โลงศพหินแกะสลักเป็นรูปหน้าคน  เราไม่มีรายละเอียดว่ายังมีร่างเจ้าของโลงอยู่ข้างในหรือไม่  รู้แต่ว่าเจ้าของน่าจะเป็นกษัตริย์หรือหัวหน้าเผ่าที่ปกครองพื้นที่บริเวณนี้...  และในบริเวณเดียวกันยังมีโลงหินอีก 4-5 หลัง... โลงหินที่อยู่ใกล้ๆ กัน  เห็นได้ชัดว่าฝาโลงพังไปแล้ว แต่มีการก่อคอนกรีตปิดทับ.  จากนั้นทุกคนก็รวมตัวถ่ายรูปหมู่ที่ป้ายหน้าสุสาน แล้วก็ขึ้นรถ  นั่งรถต่อไปเรื่อยๆ  วิวสวยนั่งรถอย่างนี้นานเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ

รถจอดหน้าพิพิธภัณฑ์ ฮูตะ โบรอน สิมานินโด เป็นพิพิธภัณฑ์ที่อยุ่ในหมู่บ้านสิมานินโด  โดยตัวพิพิธภัณฑ์เคยเป็นบ้านของราชาสิมาลันกัน (Raja Simalungun) ราชาชาวบาทัคผู้มีภรรยา 14 คน (ต้องขอโทษด้วยที่แปลออกมาตรงๆ เราแปลจากวิกิพีเดียภาษาอังกฤษ ซึ่งเขาใช้คำว่าบ้าน แทนที่จะใช้คำว่า วัง, ใช้คำว่าภรรยาแทนที่จะใช้คำว่ามเหสี)  สิ่งของที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์มีไม่มากนัก  มีข้าวของเครื่องใช้ในยุคที่เป็นเมืองขึ้นของชาวดัตช์และของใช้ชาวจีน... นอกจากนั้นก็มีไม้แกะสลักศิลปะกรรมบาทัคจัดแสดงด้วย.

พอชมพิพิธภัณฑ์ได้สักพัก ก็ถึงเวลาเดินทางต่อ  จุดหมายคือข้ามสะพานไปฝั่งสุมาตราเพื่อไปเที่ยว น้ำพุร้อน Edistigor  แต่ตอนนั้นเที่ยงกว่าเข้าไปแล้วเลยหาร้านอาหารทานเที่ยงกันก่อน... เพื่อนชาวอินโดอยากทานหมูย่างอีกแล้ว, วนหาร้าน... จอดถามข้างทาง, วนหาร้านอีกสองสามรอบ  ก็หาไม่เจอตอนนั้นก็ใกล้จะบ่ายแล้วเลยตัดสินใจทานร้านอาหารไหนก็ได้... สรุป เป็นร้านปลาและไก่.. มีเมนูให้เลือกประมาณ 20 อย่าง..  ตอนแรกเราเลือกเป็นปลาจากทะเลสาบโทบาราดซอสพื้นเมือง...นั่งรอไปเกือบ 10 นาทีแม่ค้าก็วิ่งออกมาบอกเราว่าปลาไม่มี... อืม... ยิ่งไม่ค่อยหิวอยู่ด้วยแต่ทานแค่ผลไม้ตั้งแต่เมื่อวานตอนเช้าหลังจากนั้นก็ไม่ได้ทานอะไรอีกเลย... ยังไงก็ต้องทานสักหน่อย, สั่งเป็นไก่ราดซอสพริกพื้นเมืองก็แล้วกัน... ปรากฎว่าอร่อย ชอบมากๆ อร่อยมากๆ...




กลุ่มนักปั่นจักรยานมาราธอน  โผล่มาให้เห็นเป็นระยะ... ทริปนี้ทั้งทริป เราได้นั่งเบาะหลังสุด (รถ 7 ที่นั่ง) ก็เลยต้องถ่ายจากด้านหลังรถ...


Tumb of Ompu Raja Rosuhul... สุสานของราชาโรชูฮูล...  ไม่ทราบประวัติที่แน่ชัด


โลงหินแกะลัก  โลงหลังนี้มีสภาพสมบูรณ์ที่สุดในกลุ่มโลงหินที่อยู่บริเวณเดียวกัน


รูปแกะสลักหน้าคนตรงหัวโลง...


ทางเข้าพิพิธภัณฑ์ Huta Balon Simanindo


Totem pole หลังประตูทางเข้า... นี่เข้ามากลางคืนก็จะหลอนหน่อยๆ...


บ้านสถาปัตยกรรมโทบาบาทัค... Toba Batak Architecture


น้องควายมาเป็นดาราประกอบฉาก  ให้เห็นว่าเมื่อก่อนเขาจะเลี้ยงสัตว์เลี้ยงไว้ใต้ถุนบ้าน... 


ขออีกภาพ...น้องควายอยู่ใต้ถุนบ้าน  แต่เพื่อนใหม่ใจหาญ ลากน้องเขาออกมา... เกือบเจอขวิดเลย!


สิ่งของที่นำมาแสดง...  ภาพนี้ดีที่สุดละ เพราะภาพอื่นๆ มีแต่แสงสะท้อนจากกระจก...  ของที่นำมาจัดแสดงมีไม่มาก.


ขออีกสักภาพ...ชอบมากตุ๊กตาไม้แกะสลักศิลปะบาทัค... สีหน้าท่าทางและอารมณ์...ผ่าน!



Ayam Napinadar... ไก่ราดซอสพริก... อาหารจานนี้ปกติจะเสิร์ฟตอนงานฉลองหรือเทศกาลต่างๆ  ดีใจที่ได้ลองทาน, อร่อยมากๆ




เมื่อสั่งเช็คบิลหารห้าเสร็จก็เดินทางต่อ... เมื่อวานเราเล่าเรื่องชาวดัตช์ได้ขุดคลองตรงคอคอดกระ ทำให้ Samosir กลายเป็นเกาะไปในที่สุด... ตอนนี้เราก็ได้ข้ามสะพานตรงที่เขาขุดคอคอดกระนั้น... เห็นไหม, ถ้าไม่เกริ่นนำประวัติของสถานที่ที่จะไปสักหน่อย, ก็จะไม่รู้เลยที่ที่เราไป มีความสำคัญอะไรอย่างไร...

ขับรถขึ้นเนินมาจอดรถใกล้ๆ กับทางเดินขึ้นน้ำพุร้อน... ตอนลงรถเจอดอกบัวตองบานต้อนรับนักท่องเที่ยว  แต่มีจำนวนไม่มากนัก... พวกเราเดินขึ้นไปน้ำพุร้อนซึ่งอยู่บนเนินเขา  ทางขึ้นค่อนข้างชัน แต่มีบันไดคอนกรีตไว้ให้ค่อยๆ เดินขึ้นไป... ถ้าไม่ค่อยๆ เดินขึ้นอาจจะพลาดตกดอย!  พอขึ้นไปถึงด้านบนก็เจอหนุ่มวัยรุ่นชาวฝรั่งเศษ 2 คนกำลังแช่เท้าในแอ่งน้ำพุอุ่น...ทำให้เราตระหนักได้ว่าทำไมมันถึงกลายเป็นน้ำพุร้อนไปได้ 5555  เดินขึ้นไปอีกชั้นก็เจอสระว่ายน้ำที่ทาง Edistigor Hot Spring เขาจัดเตรียมไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ลงไปว่าย.  เดินกลับลงมาตรงร้านอาหาร พวกเราสั่งโค้กมาดื่มกันคนละขวด... สักพักก็เดินกลับมาขึ้นรถเพราะตอนนั้นบ่ายสองครึ่งแล้ว ยังเหลือระยะทางอีก 85 กิโลเมตรกว่าจะกลับถึงโรงแรม  ถนนที่นี่แคบและคดเคี้ยวทำให้ขับรถไวเหมือนบ้านเราไม่ได้.






ขับรถข้ามคลอง ที่ชาวดัตช์ขุดคอคอดกระเมื่อปี คศ.1906 ทำให้ Samosir กลายเป็นเกาะ


ดอกบัวตองตรงลานจอดรถที่ Edistigor Hot Spring


ทัศนียภาพตรงทางขึ้นน้ำพุร้อน


ภาพนี้ถ่ายจากจุดที่นั่งพัก มีร้านขายอาหารและเครื่องดื่ม.  แบล็คกราวน์ด้านหลังเป็นเกาะ Samosir 



สองหนุ่มชาวฝรั่งเศส ลงแช่เท้าในแอ่งน้ำพุร้อน, ทำให้น้ำเดือดปุดๆ


สระว่ายน้ำที่ Edistigor Hot Spring





นั่งรถซึ่งขับไปตามถนนแคบๆ บางทีก็คดเคี้ยว บางทีก็ชัน บางทีก็แบนราบ สลับกันไป... ทิวทัศน์สองข้างทางตระการตาดูเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ... ขับมาได้ 2 ชั่วโมง คนขับรถก็จอดตรงจุดชมวิว... คุ้มค่ากับการจอดมากๆ วิวสวยจนเสียดายแทนท่านผู้อ่าน  ต้องกราบขออภัยที่รูปที่ถ่ายมาไม่สามารถเทียบความงามกับวิวของจริงได้แม้แต่นิดเดียว... ดื่มด่ำกับความงามได้ประมาณ 15 นาทีก็โดนต้อนขึ้นรถ...ตอนนั้น 4 โมงครึ่งแล้ว คนขับรีบไปทำกับข้าวให้เมียกิน (อันนี้แต่งเอง 555) เพราะถนนแคบและคดเคี้ยว ฝนก็โปรยปรายลงมาบางช่วงก็แค่พรำๆ บางช่วงก็กระหนำลงมาแทบไม่เห็นทาง  ในตอนนั้นได้เช็คแฮนด์กับเพื่อนใหม่ที่โดนถีบให้มานั่งเบาะหลังด้วยกัน... ถ้ากลับไม่ถึงโรงแรม, เราก็ยินดีที่ได้รู้จักนายนะ....

ขับมาอีกหนึ่งชั่วโมง  เจอตลาดแถวท่าเรือเฟอร์รี่  คนขับโดนบังคับให้จอดเพราะหัวหน้าแกงค์ของกลุ่มเราต้องการซื้อของที่ตลาด... เราถือโอกาสซื้อกาแฟสำเร็จรูป...ปกติจะดื่มกาแฟดำ  แต่ตอนนั้นกาแฟอะไรก็ดื่มได้...  นอกจากนั้นยังไปซื้อมะละกอและส้มที่ร้านขายผลไม้เผื่อหิวตอนเย็น  เพราะตั้งใจว่าเราจะไม่กินข้าวเย็น... ซื้อของเสร็จก็เดินทางต่อ.... จากตลาดที่จอดซื้อของ ถึงโรงแรมก็ประมาณ 6 กิโลเมตร  พวกเรากลับมาถึงโรงแรมตอน 6 โมง... เป็นวันที่ไม่ได้เดินทาง  แต่ระยะทางที่นั่งบนรถ ทั้งหมดประมาณ 130 กิโลเมตรเอง... 





วิวสองข้างทาง, แม้จะนั่งเบาะหลังสุดของรถ  หน้าต่างก็ไม่มี  แต่ก็สามารถเพลิดเพลินกับวิวได้ไม่น้อยหน้าที่นั่งอื่นๆ เลย.


วิวสวยๆ เยอะแยะมากมาย  แต่ถ่ายมาได้แค่นี้... เราจะโทษที่ว่า เรานั่งเบาะหลังสุด  และภาพวิวในมือถือเกือบทั้งหมดก็ถ่ายผ่านกระจกรถ... อืม...เหตุผลพอได้...


ภาพที่จุดชมวิว... ขอแสดงความเสียใจกับท่านผู้อ่านด้วยที่ถ่ายมาได้แค่นี้... ต้องไปดูกับตาถึงจะเห็นว่ามันสวยมากขนาดไหน...


ขออีกสักภาพ... ภาพนี้จะเห็นฝนกำลังตกอยู่ไกลๆ สวยประทับใจมากๆ...


ขอประทานอภัยอีกครั้ง... วันนี้ลงภาพตัวเองเยอะไปหน่อย, แค่อยากให้เห็นสีหน้าว่า ถ้าคุณไปเห็นของจริง, ต้องทำหน้าตะลึงแบบนี้แน่ๆ 5555


ตอนที่ถ่ายภาพนี้ ภาวนาขออย่าเป็นภาพสุดท้าย... ชีวิตขึ้นอยู่กับตีนคนขับจริงๆ...  แต่ไม่เป็นไร, จับมือลาเพื่อนใหม่ไปแล้ว...


แวะตลาดข้างทางแถวท่าเรือเฟอร์รี่, ซื้อผลไม้ไปเผื่อหิวตอนเย็น...



ท่าเรือเฟอร์รี่ไปฝั่งเกาะสุมาตรา...



อันนี้แผนที่การนั่งรถเล่นรอบเกาะ Samosir 





กลับมาถึงโรงแรม.... เราเป็นคนแรกที่กระโดดเข้าห้องเตรียมของแล้ววิ่งเข้าห้องน้ำ... ชนะเลิศ! ห้องน้ำของข้า 5555 ได้อาบน้ำเป็นคนแรก  รู้สึกสดชื่นขึ้นมาอย่างทันตาเห็น... พอออกมาก็ไม่เห็นว่ามีใครสนใจจะเข้าไปอาบน้ำต่อ!?!?!?!?  อืม... ไม่เหนียวตัว, ไม่เหม็นกลิ่นตัว, ไม่อยากสดชื่นกันหรือยังไง!   ไม่เป็นไร... หยิบเบียร์ไปดื่มที่ท่าเรือร้างดีกว่า  นั่งได้ชั่วโมงกว่าๆ ฟ้าก็เริ่มมืด, ฝนก็ตกปรอยๆ ไม่มากนัก...ยังทนได้... คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่จะได้ใช้เวลาที่นี่, ตรงนี้... สักพักก็ได้คำสั่งจากฟากฟ้าให้กลับเรือน... ฝนกระหน่ำตกลงมาอย่างบ้าคลั่ง... ทริปนี้โชคดีมากมาย, ฝนตกหนักตอนเครื่องลงที่เกาะนิแอส... จากนั้นก็ไม่ตกอีกเลย มีเมฆครึ้มบ้าง... และมาวันนี้, วันสุดท้ายที่เกาะ Samosir ฝนมาบอกลาพวกเรา... 

Selamat Malam.... ราตรีสวัสดิ์!






แถมภาพสุดท้าย... ถ่ายตรงท่าเรือร้างก่อนฝนกระหน่ำ... เกลียดกล้องมือถือของเราตอนถ่ายภาพกลางคืนจริงๆ....



Create Date : 15 กันยายน 2561
Last Update : 16 กันยายน 2561 12:19:40 น.
Counter : 752 Pageviews.

1 comments
  
Thank you for sharing
โดย: Thip IP: 163.172.136.205 วันที่: 16 กันยายน 2561 เวลา:21:12:17 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

annopwichai
Location :
เชียงใหม่  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 88 คน [?]



ชีวิตอิสระ, ชอบความเรียบง่าย, เป็นโรคภูมิแพ้ IT
New Comments
MY VIP Friend