Group Blog
 
All blogs
 

ความอ่อนโยนที่แท้จริง



เคยไหมที่ท่านหยิบ เศษแก้ว หรือ หินแหลมคม ออกจากทางเดิน นั่นสามารถเรียกว่าความละเอียดอ่อนได้หรือเปล่า ท่านทำสิ่งนี้ไม่ใช่เพราะมีใครบอกให้ท่านทำ หรือไม่ใช่ว่าท่านจะได้รับอะไรเป็นสิ่งตอบแทน ท่านมองเห็นความงดงามและความอิสระตรงนี้หรือไม่ นั่นคือความอ่อนโยนและความประณีตโดยแท้จริง

บ่อยครั้งที่เราพูดจาไพเราะกับหัวหน้างาน ผู้ใหญ่ หรือ นายตำรวจ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความอ่อนโยน มันมีรากฐานมาจากความกลัวท่านอาจไม่ทำกริยาอ่อนน้อมเช่นนี้กับ คนงาน คนรับใช้ หรือ เด็กๆ ใช่หรือไม่

ผู้มีความละเอียดอ่อนที่แท้จริงจะไม่ทำลายดอกไม้ ท่านจะเก็บหินให้พ้นจากถนน ท่านจะค่อยๆโน้มกิ่งไม้ และ ท่านจะไม่กล้าทิ้งขยะในที่ๆไม่สมควรทิ้ง เพราะอะไร นั่นเพราะท่านมีจิตใจที่อ่อนโยน

กฏระเบียบไม่สามารถช่วยให้ความละเอียดอ่อนเกิดขึ้นได้ ยกตัวอย่างเช่น ห้ามเด็ดดอกไม้ เพราะเมื่อใดก็ตามที่ท่านโดนบังคับ หรือ กักขังด้วยกฏเกณฑ์ ความกลัวก็จะเกิดขึ้น แล้วสัมผัสแห่งความอ่อนโยนจะเกิดขึ้นได้อย่างไร

สัมผัสอ่อนโยนหมายถึง การเห็นความเจ็บปวด และ การมีความรู้สึกสำหรับผู้อื่น ท่านจะลงมือทำให้ผู้อื่นมีความสุข ขณะเดียวกัน ท่านจะไม่ทำให้เขาเหล่านั้นต้องเจ็บปวดไม่ว่าจะเป็น ต้นไม้ ลำธาร หมู่นก หรือ อากาศ นั่นคือความอ่อนโยนและความรักอย่างจริงใจต่อสิ่งต่างๆ

ชีวิตช่างน่าอัศจรรย์ เราพยายามดำเนินชีวิตคล้อยตามกระแสของสังคมจนไม่มีเวลาให้กับสิ่งต่างๆรอบตัว อาจเป็นความคิดที่ตลกขบขันเมื่อท่านจะขอเวลาเพื่อนั่งชมพระจันทร์สักชั่วโมง หรือ นั่งมองสายฝนที่ตกพรำบนต้นไม้

เมื่อท่านไขลานชีวิตให้ช้าลง ท่านจะเห็นความงดงามของสิ่งที่มีอยู่แล้วตรงหน้า เพียงแต่เราเปิดใจและกล้าปฏิเสธความเชื่อหรือกระแสสังคม คนที่นั่งมองท้องฟ้าเป็นเวลานาน คือคนขี้เกียจหรือเปล่า หรือเป็นคนบ้า ท่านเคยตั้งใจฟังเสียงฝนที่กระทบลงบนใบไม้หรือไม่ เคยสังเกตสายน้ำในลำธารที่ไหลผ่านแนวหิน และ ลดเลี้ยวไปตามทางหรือเปล่า เคยสัมผัสกลีบดอกไม้และรู้สึกถึงความนุ่มนวลบนปลายนิ้วไม๊ นั่นแหละคือความประณีต

ทุกวันนี้เราต่างวิ่งดั่งหนูถีบจักร จนไม่มีเวลาหันกลับมามองความสำคัญแท้จริงของชีวิต เมื่อเราต่างตอบว่า สุขภาพ ครอบครัว ความรู้ และ ความรัก เป็นสิ่งที่สำคัญ แต่เราให้เวลากับสิ่งเหล่านี้มากที่สุดหรือเปล่า

ตราบใดที่เรายังไม่จริงใจกับตัวเอง เราก็ยังไม่สามารถมีชีวิตที่ละเอียดอ่อนได้ และ ไม่มีทางสัมผัสความอ่อนโยนที่แท้จริง...................




 

Create Date : 14 ตุลาคม 2550    
Last Update : 14 ตุลาคม 2550 17:17:38 น.
Counter : 1778 Pageviews.  

อิสระ......คือ อำนาจในตนเอง




ณ. ปัจจุบัน เรายังไม่เข้าใจคำว่า อิสระ เราไม่รู้ถึงความหมายที่แท้จริงของมัน เราต้องการความอิสระ แต่ไม่ว่าจะเป็น ใครฐานะตำแหน่งใด ตำรวจ นักการเมือง ครู เจ้าของกิจการ หรือ พนักงานกินเงินเดือน ต่างจำกัดตัวเองอยู่ในมิติแคบๆ และปิดกั้นความอิสระนั้น

ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่า ความอิสระ ไม่ได้หมายถึงการทำสิ่งที่ชอบ หรือ สามารถหลีกหนีออกจากสภาวะที่ไม่ชอบ แต่ หมายถึงความเข้าใจปัญหาทั้งหมดที่ทำให้เรา.......ไม่อิสระ

เราเข้าใจไม๊ว่า การพึ่งผู้อื่น หมายความว่าอะไร เช่น เราต้องพึ่งพ่อแม่ สามี บริษัท หรือ ความเชื่อบางอย่าง เป็นต้น ความสุขจึงต้องขึ้นอยู่กับผู้อื่น สิ่งนี้ไม่ใช่เป็นการพึ่งพาทางด้านร่างกายแต่ เป็นการพึ่งทางด้านจิตใจ และคนเราจะรุ้สึกมั่นคงที่ได้พึ่ง สิ่งอื่นๆ หรือ คนอื่นๆ

ภาวะอย่างนี้จะสร้างเงื่อนไขให้แก่เราเอง ซึ่งคนทั่วไปไม่เข้าใจ ตราบใดก็ตามที่เรายังไม่สามารถปฏิเสธความรู้สึกพึ่งพาที่แฝงอยู่ในส่วนลึกตรงนั้นได้ เราก็จะไม่พบกับ ความอิสระ

เช่นเดียวกับความรัก เราเข้าใจความหมายของความรักดีแค่ไหน เราเคยรักใครโดยที่เค้าไม่เคยทำอะไรให้เลยหรือเปล่า คนเราส่วนใหญ่จะไม่มีความรักแบบนี้ ความรักของเรามักถูกครอบงำด้วยความกังวล ความอิจฉา และความกลัว ซึ่งหมายความว่าเรามีความรู้สึกไม่อิสระ และ ต้องขึ้นอยู่กับผู้อื่นนั่นเอง ไม่ใช่รักแล้วก็หยุด แต่เรามักเรียกร้องบางอย่างตอบแทน การเรียกร้องนั่นแหละทำให้เกิดพันธนาการ ความรู้สึกไม่อิสระ

ความรักกับความอิสระเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกัน ทั้งสองอย่างนี้เราต้องค้นหาความหมายของมันด้วยตัวเอง เพราะถ้าเราไม่รู้จักความรักที่แท้จริง เราก็จะไม่คิดถึงผู้อื่น และ ไม่มีความละเอียดอ่อนในการมองชีวิต เมื่อมองแสงแดดสีทองสะท้อนผิวน้ำเป็นลายพริ้ว นกที่บินบนฟากฟ้า หรือ สายลมแผ่วเบาที่กระทบใบหน้า ความละเอียดอ่อนต่อชีวิตเหล่านี้ต้องอาศัยความอิสระ ความอิสระก็ต้องอาศัยความรัก ที่ใดไม่มีความรัก ความอิสระเป็นได้เพียงแค่ความคิด




 

Create Date : 10 ตุลาคม 2550    
Last Update : 10 ตุลาคม 2550 23:41:00 น.
Counter : 2296 Pageviews.  

ผู้หญิงก็ฉลาดได้ ถ้าเลิกพึ่งพา




ทางจิตวิทยามีคำนิยามถึงอาการโรคอย่างหนึ่งที่เรียกว่า การพึ่งพา(Passive Dependent Individuals) แม้กระทั่งในระบบนิเวศวิทยา ก็มีระบบการพึ่งพา (mutualism) ซึ่งหมายถึง ปฏิสัมพันธ์ที่สิ่งมีชีวิตทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์และไม่
สามารถแยกจากกันได้ เพราะหากแยกจากกันจะเสียชีวิต เช่น โปรโตซัวในลำไส้ปลวก

คนที่เป็นโรคดังกล่าวนี้จะคล้ายคนเป็นโปลิโอ ทางร่างกาย สมอง หรือ ทั้งสองอย่าง คือ เดินคนเดียวไม่ได้ เข่าจะพาลอ่อน ทรงตัวลำบาก กระดูกสันหลังถูกทำลาย หรือ ตัดสินใจด้วยตัวเองไม่ได้ ต้องถามคนอื่นให้คนอื่นช่วยชี้นิ้วแทนว่า อันไหนสวยไม่สวย ผิดหรือถูก

การป่วยเป็นโปลิโอจากภาวะพึ่งพา ไม่ได้เกิดเฉพาะผู้หญิง แต่ผู้ชายก็เป็น ไม่เฉพาะช่วงอายุ แต่เป็นทุกช่วงวัย แล้วแต่ว่าคนๆนั้นจะมีวุฒิทางปัญญาเจริญตามอายุด้วยหรือไม่

โดยมากผู้หญิงมักจะหลงใหลได้ปลื้มกับสปอยล์แมน พวกผู้ชายกลุ่มนี้จะเฝ้าประจี๋ประจ๋าเหมือนหมาล่าเนื้อ วนเวียนรอบเหยื่อไม่ไปไหน ชอบทำตัวเป็นพ่อบุญทุ่ม แค่ชม้ายตามองโอ่ง พรุ่งนี้ก็ได้โอ่ง อย่างนี้สาวเจ้าอย่าได้ดีใจคิดว่าได้ป๋ามาปรนเปรอ เพราะแท้จริงแล้วเท่ากับได้โคถึก หรือ ไม่ก็ป๋าในคราบโจร พวกหลังนี้ไม่นานก็จะออกฤทธิ์ทวงทั้งเงินต้นทั้งดอกเบี้ยพร้อมมูล

ผู้หญิงฉลาดจึงไม่ได้หาแฟนเพื่อมาเลี้ยงดู แต่เพื่อเป็นเพื่อนคู่คิด เพราะคู่ที่ดีจะพาชีวิตเจริญก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว ผู้ชายคนนั้นอาจจะเอาใจไม่เก่ง รูปไม่หล่อ แต่ผู้หญิงฉลาดย่อมรู้ว่าอะไรสำคัญก่อนหลัง เคยได้ยินบ่อยๆว่าผู้หญิงมักจะชอบผู้ชายเจ้าชู้เพราะมีเสน่ห์ ท้าทาย ไม่ชอบคนดี เพราะน่าเบื่อ อยากจะตะโกนกลับไปว่า แล้วใครรรรรรรร มันจะโง่ขนาดนั้น ถ้ามีจริงคงต้องโทษตัวเองและบากหน้ารับความทุกข์ที่จะประเดประดังเข้ามาแน่ๆในอนาคต

ผู้หญิงจะเป็นอะไรก็ได้ ทำอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นช่างประปา ซ่อมแซมบ้าน ออกแบบบ้าน ดูแลลูก ซ่อมรถ ตัดเสื้อ ตัดผม ทำอาหาร ทำไมต้องพึ่งคนอื่น ในเมื่อตัวเองก็ทำได้ และเมื่อตัวเองทำได้ทุกอย่าง จะมีใครกล้าหือ มาทวงถามบุญคุณ หรือ โมโหกราดเกรี้ยวใส่ ถ้าโต้ตอบกลับ ก็ด่าได้เต็มเสียง ไม่ต้องอ่อนตามแรงเงินเลี้ยงดู จะดีแค่ไหนถ้าชีวิตนี้เราเป็นเจ้าของเต็ม 100%

[ต่อ]




 

Create Date : 21 ธันวาคม 2549    
Last Update : 21 ธันวาคม 2549 21:15:18 น.
Counter : 459 Pageviews.  

ในเมื่อทุกคนฝันอย่างเดียวกัน ชีวิตจะมีทางเลือกได้อย่างไร




"เราทำงานเหมือนๆกัน
ออกจากบ้านเวลาเดียวกัน
เผชิญกับปัญหารถติดเหมือนกัน
อร่อยกับอาหารคล้ายๆกัน
มีแบบแผนการดำเนินชีวิตที่ไม่แตกต่างกัน

อะไรคือทางเลือกที่แท้จริงของเรา
หรือมันไม่มีอยู่เลย

คำถามก็คือว่า ทางเลือกชีวิตหายไปไหน ?
ใครขโมยสิ่งเหล่านี้ไป "


ความคุ้นเคย เป็นสิ่งแปลกและน่ากลัว เพราะเราไม่สามารถมองเห็นได้เมื่ออยู่ใกล้ หรือ รู้สึกได้เมื่อต้องเห็นหรือทำทุกวัน ลองจินตนาการโดยถีบตัวเองไปไกลนอกโลก แล้วมองกลับมาในมุมของมนุษย์ต่างดาว เรากลับพบความจริงน่าขำของตัวเอง

เราพบว่ามนุษย์ต่างมีลักษณะการดำเนินชีวิตหลักๆคล้ายคลึงกัน ไม่ว่าจะประกอบอาชีพใด เช่น สาวเย็บผ้าในโรงงาน พนักงานบัญชีในบริษัทฝรั่ง หรือ คนที่ทำงานในตลาดหลักทรัพย์ คือ ต่างก็ต้องตื่นแต่เช้า นั่งรถเมล์ หรือ ขับรถ ฝ่าปัญหารถติด เพราะทุกคนออกจากบ้านในเวลาเดียวกัน และต่างต้อง แลกด้วยกำลัง ความคิด โดยมีนายจ้างที่มองเห็นบ้างไม่เห็นบ้างสั่งให้คุณทำงาน เช่น เย็บผ้า ให้ได้จำนวนมากที่สุด ปิดบัญชีให้ทันก่อนสิ้นเดือน หรือ กระตุ้นให้นักลงทุนยอมควักเงินในกระเป๋าเป็นหมื่นเป็นแสนเพื่อให้ได้เท่ากับเซลล์ทาร์เก็ตที่กำหนดไว้

ไม่เฉพาะแต่ลักษณะงานเท่านั้นที่เหมือนกัน มันรวมไปถึงการดำเนินชีวิตด้วย คนที่อยู่ในโลกสมัยใหม่นี่ เริ่มต้นก็กินอะไรคล้ายๆกันแล้ว เช่น เป็นต้นว่าหลายคนก็กิน pizza กินไก่ทอดยี่ห้อฝรั่ง, มีวันเวลาออกไปกินข้าวนอกบ้านเหมือนกัน ส่วนข้าวในบ้านก็ไปซื้อมาจากตลาดเดียวกัน เป็นแต่เพียงใส่คนละถุงเท่านั้นเอง เป็นต้น

การใช้เวลาว่างก็คล้ายๆกัน คือ ทุกคนพอหลังกินข้าวเสร็จ ก็ใช้ตานั่งจ้องดูทีวี ดูละครเรื่องเดียวกัน ถูกสอนให้คิด, ให้เชื่อ, ให้รู้สึกอย่างเดียวกันตลอดเวลา. สินค้าที่บริโภคก็ประเภทเดียวกัน. เสื้อผ้าอาจจะปิดป้ายคนละยี่ห้อๆ แต่มันก็มาจากโรงงานเดียวกัน ไม่ว่าเสื้อฝรั่ง เสื้อไทย ก็มาจากโรงงานเพียงไม่กี่โรงงาน. รองเท้าอะไรต่างๆนาๆ ก็เหมือนกันหมด.

จนกระทั่งว่า หลายคนฝันอยากจะมีรถเบนซ์ แล้วก็เป็นรถเบนซ์ที่สีเดียวกัน รุ่นเดียวกัน, คลาสส์ซีเหมือนกัน, คลาสส์เอสเหมือนกัน, เหมือนกันเป๊ะเลย. ความใฝ่ฝันทุกอย่างก็ถูกทำให้เราแต่ละคน มีชีวิตอยู่ท่ามกลางเงื่อนไขที่ครอบงำ แม่แต่ฝันก็ฝันเรื่องเดียวกัน. เพราะฉะนั้น ทำให้ สงสัยว่า คนในปัจจุบันมันมีทางเลือกของชีวิตจริงหรือ ? สิ่งที่เราคิดว่าเราเลือก, เราเลือก หรือว่าเราถูกสร้างเงื่อนไขให้เรารู้สึกว่า เราเลือกสิ่งเหล่านี้. แต่จริงๆแล้วมันก็ตรงกับคนอื่นซึ่งอยู่ข้างๆเรานี่แหละ ก็เลือกอย่างเดียวกับที่เราเลือก. ไม่ได้มีอะไรแตกต่างอะไรกันเลย.

จริงๆแล้ววัตถุนิยมอาจเข้าไปทำลายจินตนาการ จนเรามีความฝัน และ ความอยาก ในระดับหยาบๆ เราทุกคนฝันอย่างเดียวกันกับคนข้างๆ ทางแก้ง่ายๆ ควรเริ่มจากหันมาฝึก "จินตนาการ" เพราะเจ้าจินตนาการคือกุญแจดอกสำคัญที่สามารถทำลายขอบความคิด ความเชื่อ และ กฏเกณฑ์ต่างๆได้ เพียงแต่เราทุกคน กล้าที่จะแตกต่าง และ สร้างทางเลือกด้วยตัวเอง ไม่ต้องสนใจคำทัดทานของคนที่ยึดติด หรือ สังคมที่ชี้นำว่าสิ่งใดถูกหรือผิด ล้าสมัย หรือไม่ เมื่อเริ่มจาก 1 เป็น 2 ต่อไปก็จะขยาย และส่งผลทำให้สังคมเปลี่ยนไปสู่จุดสมดุล เช่น ทุกคนกินเป๊ปซี่ เราอาจกินโอเลี้ยง อย่างนี้คนขายโอเลี้ยงก็อยู่รอด คนอื่นกิน KFC เรากินกล้วยทอด คนขายกล้วยทอดก็อยู่รอด

อย่าลืมว่าโลกที่สมดุลคือโลกที่มีตัวเลือก หรือ ทางเลือกเท่านั้น เมื่อใดก็ตามที่เราต้องทำเหมือนกันหมด หรือ มีทางเลือกเหลืออยู่เพียงทางเดียว เมื่อนั้นสังคมจะเข้าขั้นพิกลพิการ เสียสมดุล ถ้าเปรียบก็เหมือนคนป่วย ใกล้ตาย.....ต้องพึ่งหมออย่างเดียว (ค่ายาแพงด้วย จะไม่รักษาก็ไม่ได้)

แบบแผนของการดำเนินชีวิตซึ่งดูเหมือนว่าทุกคนเลือก แต่เอาเข้าจริงไม่ได้เลือกนี่ มันมาจากไหนกันแน่ ? คิดว่ามันมาจาก 3 อย่างด้วยกัน ซึ่งสำคัญมากๆเลย

1.ระบบการผลิตเชิงอุตสาหกรรมบวกกับพาณิชยนิยม ซึ่งที่จริงก็เป็นเรื่องเดียวกัน. คือเมื่อไหร่ที่คุณผลิตในเชิงอุตสาหกรรมเป็นจำนวนมากๆ คุณก็ต้องระบายออกไปให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และเร็วที่สุด

คิดถึงปัจจุบันนี้ แทนที่คุณจะมีอาณานิคม, คุณทำให้เกิด KFC ขึ้น ทำให้การวางตลาดสินค้าไก่ทอด มันกลายเป็นรสนิยมใหม่ของคนทั้งโลก โดยที่คุณไม่ต้องมีอาณานิคม. อันนี้เป็นสิ่งที่ได้ผลกว่ากันแยะ... แล้วอย่านึกว่า ไก่ทอดแบบนั้น มันอร่อยในตัวของมันเอง. ความอร่อยเป็นสิ่งที่เขาสร้างขึ้นมา สร้างขึ้นมาโดยเราไม่รู้สึกตัวว่า การกินไก่แบบนั้นแล้วมันจะอร่อยมากๆ แล้วพอเรากินเข้าจริง มันก็อร่อยจริงเสียด้วย. อันนี้เขาพบวิธีการสร้างรสนิยม จะผ่านฮอลลีวูดหรือจะผ่านอะไรก็แล้วแต่เถอะ แต่สร้างรสนิยมให้คนทั้งโลกให้พร้อมจะเสพสินค้าที่เขาผลิตขึ้นมา.

2.บริโภคนิยม อะไรคือบริโภคนิยม ? บริโภคนิยมไม่ได้หมายความว่า ยั่วยุให้เราบริโภคสินค้าหรือบริการมากๆ. สินค้าทั้งหลายที่เราบริโภคไป ในที่สุดคุณก็อิ่ม ถ้ามันพอแค่นั้นผู้ผลิตก็เจ๊ง

เราซึ่งเป็นเหยื่อของบริโภคนิยม เราไม่ได้บริโภคสินค้า แต่เราบริโภคความหมายที่เขาแปลงมาแล้ว. และก็ยั่วยุให้เราบริโภคความหมายอยู่ตลอด, นี่คือบริโภคนิยม. และก็เป็นสิ่งที่ประสบความสำเร็จด้วยในการแปลงสินค้าให้เป็นความหมาย เมื่อเราทั้งหมดล้วนบริโภคความหมายอันเดียวกัน เราจะไปพูดถึงทางเลือกกันไปทำไม เพราะเริ่มต้นคุณก็ไปรับความหมายอันเดียวกันแล้ว...

3.รัฐรวมศูนย์. รัฐรวมศูนย์สมัยใหม่จะเป็นรัฐซึ่งพยายามตอบสนองต่อ 2 อย่างดังต่อไปนี้. อันแรกคือ พยายามจะตอบสนองการผลิตในระบบอุตสาหกรรมและพาณิชยนิยม. กับอันที่สอง, ตอบสนองการแพร่กระจายของบริโภคนิยม ขณะเดียวกัน รัฐรวมศูนย์จะมากำหนดวิถีชีวิตเรามากมายทีเดียว. เราทุกคนเรียนหนังสือมา ไม่ว่าจะมาจากโรงเรียนอะไรก็ตาม แต่ก็จะอยู่ภายใต้การกำกับของรัฐรวมศูนย์นี้. เราเรียนมหาวิทยาลัยใดก็แล้วแต่ที่เรียนมา ก็อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐแบบนี้


อ้างอิงจาก อาจารย์นิธิพูดนี้คือ "ข้อเสนอการศึกษากับทางเลือกของชีวิต"




 

Create Date : 17 ธันวาคม 2549    
Last Update : 18 ธันวาคม 2549 13:58:55 น.
Counter : 287 Pageviews.  

คนที่ถูกเลือกให้จน



อาจารย์ นิธิ เอียวศรีวงศ์ เคยกล่าวไว้ว่า นิยามของความจนถูกกำหนดขึ้นอย่างหยาบๆโดยนักเศรษฐศาสตร์ ซึ่งตีค่าความจนเท่ากับรายได้ หรือ สิ่งที่ขายได้ในตลาด พระภิกษุที่ดีที่สุด จึงเป็นผู้ที่จนที่สุด โดยหลีกเลี่ยงไม่ได้

คนจนในความคิดของท่าน จึงเหมาะกับนิยาม "ผู้ไม่มีทางเลือก" หรือ ที่ท่านกล่าวว่า "คนจนไม่ได้ตกรถไฟ แกโดนถีบออกมาจากรถไฟมากกว่า คือคนที่ถูกทิ้ง คนที่ไม่สามารถไปกับรถไฟ คนมันเต็มแล้วก็เลยถีบคนทิ้งไป หรืออะไรก็แล้วแต่ และไม่ใช่คนจำนวนน้อย มันเป็นคนจำนวนมากเลยทีเดียว "

ความยากจนที่เราต้องเผชิญอยู่นั้น มีที่มาจากนโยบายการพัฒนาประเทศ ที่เน้นตอบสนองเพื่อชนกลุ่มน้อยมาตั้งแต่ต้น นั่นคือ กลุ่มพวกนายทุน กลุ่มคนรวย ซึ่งมีเพียงแค่หยิบมือเดียว ท่ามกลางคนจนเกือบทั้งประเทศ ดังนั้น คนที่สังคมเรียกว่า คนจน แท้จริงแล้วคือคน ที่ถูกเลือกให้จน และ ถูกสาปให้จนไปตลอดกาล ด้วยกลไกเศรษฐกิจ และนโยบาย

ทรัพยากรในประเทศ ถูกเก็บไว้และกักไว้เพื่อตอบสนองคนกลุ่มน้อยดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็น น้ำมัน อากาศดีๆ น้ำสะอาด อาหารถูกหลักอนามัย ดูเป็นไปไม่ได้สำหรับคนจน คนเดินถนน หรือ ผู้โดยสารรถเมล์ในกรุงเทพฯ

ความจนในที่นี้ คือการ "ไม่มีทางเลือก ไม่มีที่ไป คุณต้องเดินตามทางนี้เท่านั้น" คนเรียนจบมาก็ต้องไปรับจ้างเป็นพนักงานในบริษัทขนาดใหญ่ หรือ รัฐวิสาหกิจ ความจนจึงถูกขยายจากเกษตรกรเข้าสู่ชนชั้นกลาง คนชั้นกลางจะจนขึ้นเรื่อยๆโดยไม่รู้ตัว จนด้วยปัญญา จนด้วยทางเลือก จนเพราะต้องเดินบนทางเพียงไม่กี่เส้นที่ถูกขีดให้เดินตาม

ตั้งแต่เล็กจนโต เราถูกอบรมบ่มสอนให้จบไปรับใช้ระบบทุนนิยม ไม่มีการสอนใดที่บอกว่า ทำอย่างไรจึงจะค้นพบตัวเอง หรือ มีความสุขที่แท้จริง เราต่างไขว่คว้าเพิ่มเติมวัตถุให้กับชีวิต เช่น บ้าน และ รถยนต์ ในขณะที่ภายในกรวงโบ๋ ชนชั้นกลางกำลังจนลงทุกที คนส่วนใหญ่ไม่กล้าฝัน เพราะ กลัวการเปลี่ยนแปลง กลัวที่จะขัดกับหลักคำสอนที่ย้ำเตือนมาตลอดชีวิต ที่แย่กว่านั้น หลายคนไม่มีแม้แต่ความฝัน ลองถามดูก็ได้ว่า ตัวคุณเองอยากทำอะไรที่สุด อยากจะเป็นอะไรที่สุด และได้เคยลองทำดูไม๊ หรือ ไม่แม้เพียงคิด

สุนัขที่นำมาฝึกให้คาบสิ่งของ ยื่นมือทักทาย หรือ ยืนสองขาทำท่าสวัสดี มนุษย์ต่างเรียกพวกมันว่าสุนัขฉลาด แสนรู้ แท้จริงแล้วเราไม่ต่างอะไรกับ เจ้าสัตว์โลกชนิดนี้ แท้จริงแล้วสุนัขฉลาดย่อมไม่ยอมทำตามคำสั่งใครง่ายๆ เพราะมันมีอิสระ และเสรีภาพที่จะคิด และ ทำในสิ่งที่ต้องการ

ทุกวันนี้ประเทศที่พัฒนาก่อนหน้าเรา เช่น ประเทศญี่ปุ่น กำลังตะโกนบอกว่า เฮ้ย! เราพลาดไป เราลืมเรื่องคน ตอนนี้เราเป็นประเทศศิวิไลย์ แต่คนของเราไม่มีความสุข อัตราฆ่าตัวตายมีสูงมาก ผู้ป่วยด้วยโรคจิตประสาทก็สูงเช่นกัน

การที่เราดำเนินชีวิตตามที่สังคมยัดเยียดให้ทำ ให้เป็น จะต่างอะไรกับ หนูที่วิ่งอยู่ในกงล้อ เมื่อใดก็ตามที่หนูหยุดวิ่ง และ มีสติคิด หนูก็จะรู้ว่าตัวเองไม่ได้เกิดมาเพื่อวิ่งในวงล้อ ก่อนหน้านี้บรรพบุรุษหนูก็ไม่ได้วิ่งอยู่ในวงล้อ

การมีอิสรภาพที่แท้จริงจึงเริ่มต้นจากความคิดของตัวเอง เมื่อใดก็ตามที่เราก้าวข้ามวงจรอุบาทว์ได้ ชีวิตก็จะเจอกับสิ่งเรียบง่าย และ ความสุขที่ตามหามานาน




 

Create Date : 28 พฤศจิกายน 2549    
Last Update : 29 พฤศจิกายน 2549 21:07:12 น.
Counter : 306 Pageviews.  

1  2  

ตุ๊ดตู่ โอ้เย
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]









Friends' blogs
[Add ตุ๊ดตู่ โอ้เย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.