Group Blog
 
All blogs
 
ในวัง



เด็กน้อยชาวจีนหน้าตาเฉลียวฉลาด นัยน์ตาซุกซน วิ่งเปี้ยนไปมาตั้งแต่หัวตลาดยันท้ายตลาด ด้วยบ้านของเด็กน้อยอยู่ไม่ห่างจากตลาดมากนัก ตลาดจึงกลายเป็นสนามเด็กเล่นหน้าบ้านของเด็กน้อยไปโดยอัตโนมัติ

เมืองสยามสมัยก่อนนั้น มีขนาดไม่กว้างใหญ่ ตลาดจึงไม่อยู่ห่างจากเขตพระราชวัง เด็กน้อยไม่เคยนึกถึงสิ่งใด นอกจากความสนุกสนานวิ่งเล่นไปวันๆ และคิดถึงแต่ขนมแสนอร่อยที่มีอยู่เกลื่อนตลาด ขนมตะโก้ ลูกชุบ ลูกกวาด ล้วนยั่วน้ำลายเด็กน้อย บางทีแม่ค้าก็สงสารหยิบยื่นให้โดยไม่คิดสตางค์ เพราะคุ้นเคยกันดี และ รู้ว่าเด็กน้อยไม่มีเงินติดตัวแม้แต่สลึงเดียว

ย้อนไปหลายปีก่อนหน้านี้พ่อของเด็กน้อย ได้อาศัยเรือสำเภาหนีความแห้งแล้งทุรกันดารจากเมืองจีนแผ่นดินใหญ่ เพื่อหวังพึ่งความอุดมสมบูรณ์และความสงบในแผ่นดินสยาม การมาในครั้งนี้ได้ทิ้งหลายชีวิตไว้เบื้องหลัง พ่อให้สัญญาว่าจะส่งเงินกลับไป อย่างน้อยดีกว่าเฝ้ารอความตายในเมืองจีน การเดินทางมาในตอนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย คนที่มีเงินก็สบายไป แต่คนที่ไม่มีก็ต้องลักลอบขึ้นเรือ ใครโดนจับได้ ไต้ก๋งเรือก็จะกำจัดทิ้งเสีย โดยโยนให้ฉลามกิน พ่อโชคดีรอดมาได้ และเริ่มทำงานทันที โดยรับจ้างเป็นกรรมกรขนข้าวสารในท่าเรือแห่งนั้น

ข่าวคราวของพ่อเงียบหายไปเฉยๆ เหมือนสายลมจางๆ แม่เป็นห่วง กินไม่ได้ นอนไม่หลับ จึงตัดสินใจให้ลูกชายสองคนเดินทางมาตามหาพ่อ แต่แล้วพี่ชายทั้งสองก็ไม่พบพ่อ เดือดร้อนถึงแม่ต้องเดินทางมาเอง ขณะนั้นแม่มีเด็กหญิงแบเบาะมาด้วย

วันเดือนผ่านไป ไม่มีวี่แววของพ่อเลย สุดท้ายชีวิตที่หลืออยู่จึงต้องหันมาพึ่งตนเอง โดยมีแม่เป็นเสาหลักของทุกสิ่ง ไม่น่าแปลกนักที่จะบอกว่า ครอบครัวนี้อยู่อย่างอดมื้อกินมื้อ วันแต่ละวันช่างผ่านไปด้วยความยากลำบากนัก

และแล้วลมแห่งโชคชะตาก็เปลี่ยนทิศ มันหันมาทางเด็กน้อย... เช้าวันหนึ่ง มีข้าราชการในวัง มาเดินจับจ่ายซื้อของในตลาด และได้มาพบเด็กน้อยเข้า ด้วยเพราะถูกชะตาหรืออย่างไรไม่รู้ได้ จึงออกปากขอตัวเด็กน้อยเพื่อนำไปรับใช้ ท้าวศรีสุนทรนาฏ เจ้านายในกรมมหรสพ ซึ่งขณะนั้นมีหน้าที่รับผิดชอบงานละคร และ การแสดงดนตรี ต่างๆแก่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อาจกล่าวได้ว่า มหรสพ ในยุคของล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 เป็นยุคทองที่รุ่งโรจน์ที่สุดยุคหนึ่งของสยามเลยเชียว เด็กน้อยไม่รู้ประสีประสา เช่นเดียวกับมารดา ใช้เวลาตรึกตรองไม่นาน ก่อนทำการตัดสินใจ ยกลูกน้อยให้เป็นบุตรบุญธรรมแก่เจ้านายในวังผู้นั้น คงดีกว่าต้องอดมื้อกินมื้อแน่ๆเชียว มารดาคิด

นับแต่นั้นมา เด็กน้อย จึงมีโอกาสได้พึ่งพระโพธิสมภารกรุณาธิคุณล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าสุวัทนา (คุณเครือแก้ว อภัยวงศ์ ซึ่งต่อมาเด็กน้อยไร้เดียงสาเรียกท่านว่า พี่ติ๋ว) ตั้งแต่อายุยังน้อย โดยได้ติดตามช่วยงานละคร แสดงเป็นตัวเด็กบ้าง ลิงบ้าง แล้วแต่ตัวละครตัวใดจะขาด

การละคร ดุริยางคศิลป์ต่างๆ ก็ฝึกหัดกันเองในวัง ไม่มีโรงเรียนแต่อย่างใด ห้องสำหรับซ้อมละคร จะอยู่ใกล้กลับห้องบรรทม และห้องเสวย ถ้ามองทางซ้ายจะมีลาดพระบาทตัดตรงมายังห้องซ้อมได้ ซึ่งล้นเกล้า ร.6 จะทรงเสด็จซ้อมละครด้วยในบางครั้ง หรือ เสด็จเพียงบางฉาก ห้องละครนี้จะอยู่ด้านล่าง มีที่นั่งเป็นรูปเกือกม้า สำหรับชม

การซ้อมละคร จะมีทั้งละครร้อง และ ละครพูด พวกต้นห้อง และ ธารกำนัล มักถือโอกาสย่องมาแอบดูเพื่อผ่อนคลาย และ ชมพระอัจฉริยะภาพ บทละครพูดบทหนึ่งก้องอยู่ในความทรงจำของเด็กน้อยเสมอมา

"......เกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก...
เกิดเป็นชายยากยิ่งกว่าหลายเท่า...
หญิงต้องเจียมกายามาแต่เยาว์
ชายต้องเฝ้าวิงวอนให้หล่อนรัก...."

บทพูดตอนนี้เป็นบทที่ ล้นเกล้า รัชกาลที่ 6 ท่านทรงตรัสได้ซึ้งกินใจเด็กน้อยเหลือเกิน





พระนางสุวัทนา มีพระกำเนิดเป็นสามัญชนตระกูลสูง ได้เข้ามาอยู่ในวัง โดยมีท้าวศรีสุนทรนาฏ (แก้ว พนมวัน ณ อยุธยา) ผู้เป็นยาย ซึ่งล้นเกล้าทรงมีพระประดิพัทต้องอัธยาศรัยขณะซ้อมละครในเรื่องพระร่วง เป็นที่รู้กันว่าพระนางสุวัทนาทรงเป็นพระสนมเอก ที่ล้นเกล้าฯทรงโปรดมาก ไม่ว่าท่านจะเสด็จ ณ ที่ใดก็จะโปรดรับสั่งให้พระนางสุวัทนาเสด็จพระราชดำเนินด้วยอยู่เสมอ





เด็กน้อยได้มีโอกาสตามเสด็จเมื่อครั้ง ล้นเกล้าฯ ร.6 และ พระนางเจ้าสุวัทนา เสด็จแปรพระราชฐานไปยัง พระราชวังสนามจันทน์ จังหวัดนครปฐม เด็กน้อยจดจำได้ดีถึงช้างสามเศียร ที่เหล่านางละครและคนในกรมมหรสพทุกคนเคารพนับถือ เด็กน้อยตื่นตาตื่นใจวิ่งเล่น เดินเล่นกับเพื่อนๆในพระราชวัง ประทับใจถึงความงดงาม และใหญ่โตของวัง ซึ่งคนเก่าคนแก่เล่าว่า แต่ก่อนเป็นเพียงแค่พระตำหนักชั่วคราวในดงไผ่ ต่อมาเมื่อพระองค์ขึ้นครองราชย์จึงโปรดให้สร้างขึ้นอย่างใหญ่โตสวยงามเช่นนี้



ณ ที่นี่ยังเป็นที่ๆ พระองค์ทรงพบสุนัขทรงโปรด " ย่าเหล" สุนัขตัวนี้พระองค์ทรงพบตอนตามเสด็จรัชกาลที่ 5 ไปที่เรือนจำจังหวัดนครปฐม หมาน้อยช่างฉลาดเกินธรรมดา เข้ามาประจบประแจง ทำให้พระองค์ ถึงกับตรัสชมและขอผู้ดูแลเรือนจำในขณะนั้น เพื่อนำไปเลี้ยงในวัง

"ย่าเหล" ถูกตั้งชื่อตามละครเรื่อง "My friend Jarlet" ซึ่งต่อมาทรงนิพนธ์เป็นภาษาไทยให้ชื่อว่า "มิตรแท้" ด้วยความขี้เล่นช่างประจบประแจง ทำให้ย่าเหลไม่ยอมอยู่ห่างล้นเกล้าฯ แม้แต่ก้าวเดียว ไม่ว่าพระองค์จะทรงออกว่าราชการ ประชุมในท้องพระโรง หรือ ทรงพระบรรทม ย่าเหลจะอยู่ข้างพระวรกายตลอด สร้างความอึดอัด คับข้องใจ แก่ข้าราชากรระดับสูง มหาดเล็ก ซึ่งถือยศศักดิ์เป็นอย่างมาก ด้วยคิดว่าตนต้องโดนบังคับให้กราบไหว้หมา อีกทั้ง ย่าเหล เป็นสุนัขฉลาด จะฟ้องล้นเกล้าฯทันทีเมื่อมีผู้ใดแกล้ง เมื่อพระองค์รู้ก็จะบริภาษผู้นั้นอย่างรุนแรง และแล้วเหตุร้ายก็เกิดขึ้นเมื่อ ย่าเหล เข้ามาอยู่ในวังได้ 5 ปีเต็ม มันถูกยิงตายอยู่ข้างกำแพงวัง ทิ้งไว้แต่ปมสงสัยว่าใครคือผู้ลั่นไกปืน มีข่าวลือหนาหูว่าไม่ใช่มหาดเล็กแน่ เพราะผู้ที่มีปืนและพกปืนเข้าวังได้ คงมีแต่ข้าราชการระดับสูง บางกระแสถึงกับกล่าวพาดพิงว่าเป็นพระราชวงศ์ระดับสูง ระดับพระอนุชา ซึ่งต่อมาถึงขนาดมองหน้ากันไม่ติด คิดรวบรวมกลุ่มนักเรียนนอก ก่อกบฏ ล้มล้างระบบกษัตริย์เลยทีเดียว


ต่อมาไม่นาน เจ้าจอมสุวัทนาก็ตั้งครรภ์พระหน่อ ทำให้ล้นเกล้ารู้สึกโสมนัสเป็นยิ่งนักเพราะ ขณะนั้นยังไม่ทรงมีพระราชโอรสแม้แต่พระองค์เดียว เมื่อเป็นที่แน่นอนแล้วว่าเจ้าจอมสุวัทนาจะมีสูติกาลพระหน่อในไม่ช้า จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ สถาปนาเจ้าจอมสุวัทนาขึ้นเป็น พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี

แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้เกิดขึ้น เมื่อล้นเกล้าฯ เริ่มทรงพระประชวรด้วยโรคพระโลหิตเป็นพิษในพระอุทร ซึ่งพระองค์ทรงมีพระดำริทำพินัยกรรมล่วงหน้าเลยทีเดียว และมีพระราชดำรัสรับสั่งว่า ถ้าประสูติกาลเป็นพระโอรสจะจัดให้ยิงปืนใหญ่เป็นจำนวน 200 นัด แต่ถ้าเป็นพระธิดาจะจัดปี่พาทย์เฉลิมฉลอง

ต่อมา พระนางเจ้าสุวัทนาฯ ก็ประสูติ พระราชธิดา ล้นเกล้าฯ ทรงมีโอกาสได้ทอดพระเนตรพระราชธิดาในบ่ายวันรุ่งขึ้น แต่ก็มิสามารถมีพระราชดำรัสได้แล้ว จากนั้น ก็ทรงรู้สึกพระองค์น้อยลงกระทั่งสวรรคต ต่อมา รัชกาลที่ 7 ได้พระราชทานพระนามแก่พระราชธิดาว่า “สมเด็จพระเจ้าภาติกาเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ”

เจ้าฟ้าเพชรรัตน์ทรงมีพระวรกายไม่ค่อยสมบูรณ์แข็งแรง ทางวังจึงจัดให้พยาบาลดูแลตลอดเวลา ในขณะนั้นเด็กน้อยได้มีโอกาสนอนเฝ้าใต้เตียงพระบรรทมด้วย







Create Date : 04 กันยายน 2549
Last Update : 11 กันยายน 2549 6:28:53 น. 2 comments
Counter : 1471 Pageviews.

 
แวะมาเยี่ยมคร๊าบ


โดย: N' Bird (AsWeChange ) วันที่: 4 กันยายน 2549 เวลา:21:37:00 น.  

 
I would want to thank you for sharing this fantastic article. Given how thorough and easy it is to understand the material in your essay, I must admit that I am really pleased. I'll pay close attention to what you have to say in the next post. basketball stars


โดย: paxtonleiny (สมาชิกหมายเลข 7600051 ) วันที่: 16 มิถุนายน 2566 เวลา:14:18:54 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ตุ๊ดตู่ โอ้เย
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]









Friends' blogs
[Add ตุ๊ดตู่ โอ้เย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.