สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ๙ : ผิดหนักครั้งสาม-กระทำชำเราด้วยเมียเจ้า
กากาติชาดก-ชาดกว่าด้วยนางกากี สมุดภาพไตรภูมิกรุงศรีอยุธยา หมายเลข ๖
สมเด็จพระเจ้าปราสาททองได้ลบล้างความผิดของตนโดยทำความชอบในศึกเขมร พ.ศ.๒๑๖๕ ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ใหม่เป็น "Sompa Moon"(ไม่ทราบจะถอดเป็นภาษาไทยอย่างไรถูก) ได้กลับมาเป็นข้าราชการที่เป็นที่โปรดปรานของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมอีกครั้ง แต่ยังไม่วายสร้างเรื่องให้ตนเองต้องรับโทษอีกครั้ง
เยเรเมียส ฟาน ฟลีต(Jeremias Van Vliet) บันทึกไว้ในเอกสารที่ภายหลังเรียกว่า 'Historical Account of King Prasat Thong' ว่า หลังจากที่ได้กลับรับราชการอีกครั้งหลังเสร็จศึกเขมรก็ยังไม่เปลี่ยนอุปนิสัยเดิมๆอย่างที่เคยทำในช่วงวัยรุ่น คราวนี้ได้กระทำความผิดข้อหาร้ายแรงคือลอบกระทำชำเราต่อสนมของพระอนุชา
ฟาน ฟลีตไม่ได้ให้รายละเอียดมากนัก จึงต้องลองตีความไป
เท่าที่มีปรากฏในหลักฐานทางประวัติศาสตร์สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมมีพระอนุชา ๒ พระองค์คือพระองค์ทอง(Pra Onthongh)และพระศรีสิงห์(Pra Sijsingh)หรือที่ในเอกสารของไทยมีเรียกทั้งพระศรีสิงห์ พระศรีสิน พระศรีศิลป์ พระองค์ทองสัณนิษฐานว่าน่าจะสิ้นพระชนม์ในการรบกับเขมรที่เขาพนมจังกางไปแล้ว(อ่านตอนที่ ๘) ส่วนพระศรีสิงห์ยังมีพระชนม์อยู่อีกนาน ทั้งสองพระองค์จะมีพระชายา สนม เจ้าจอมหม่อมห้ามหลายๆคนก็เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเจ้า
หนังสือ Van Vliet's Siam ได้แปลต้นฉบับเอกสารภาษาดัชต์ออกมาเป็นภาษาอังกฤษโดยตรง กล่าวถึงเหตุการณ์ตอนนี้ว่าพระเจ้าปราสาททองได้ "... debauched the concubines of the Prince,the King's brother"
คำว่า debauch แปลว่า การทำลายพรหมจรรย์ การล่อลวงไปกระทำชำเรา มั่วโลกีย์ เป็นต้น จากความหมายเป็นไปได้ว่าชายาหรือสนมอาจถูกล่อลวงไปกระทำชำเรา หรือไม่ก็อาจจะยอมตกลงปลงใจก็ได้
ดูจากคำว่า concubines(ถ้าเอกสารเขียนถูก) จะเห็นได้ว่าพระเจ้าปราสาททองในตอนนั้นลักลอบกระทำชำเรากับสนมของพระอนุชามากกว่าหนึ่งคน คำนี้มักแปลว่า'สนม' แต่ concubine ในที่นี้น่าจะแปลได้หลายความหมาย เช่น สนม ชายา เจ้าจอม หม่อม หรืออาจจะรวมถึงนางกำนัลก็ได้
แต่ฟาน ฟลีตเขียนว่า Prince,the King's brother (ถ้าเอกสารเขียนถูก) จึงอนุมานว่าพระเ้จ้าปราสาททองได้กระทำชำเรากับสนมของพระอนุชาพระองค์เดียว ปัญหาคือพระองค์ไหน
มิตตวินทุกชาดก-ชาดกว่าด้วยโทษผู้ลุอำนาจปรารถนา สมุดภาพไตรภูมิกรุงศรีอยุธยา หมายเลข ๖
สมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงมีเรือนที่พระเจ้าทรงธรรมพระราชทานให้ชื่อ Watracham(น่าจะเป็นบ้านที่อยู่แถววัดระฆัง) ซึ่งตั้งอยู่ในละแวกเดียวกับตำหนักของพระอนุชาทั้งสองพระองค์ซึ่งอยู่นอกพระราชวังหลวง การที่สมเด็จพระเจ้าปราสาททองจะแอบเข้าไปก็เป็นไปได้อยู่(ถ้าเรือนไม่ได้โดนริบไปตอนที่พระองค์ต้องโทษ) ลองคิดดูเล่นๆว่า เหล่าสนมของของพระองค์ทองน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า(ถ้าไม่ได้โดนให้ออกจากตำหนักเพราะสวามีสิ้นพระชนม์) เพราะว่าพระสวามีสิ้นพระชนม์ไปแล้ว การจะลอบเข้าไปน่าจะง่ายกว่า(บวกกับการล่อลวงหญิงสาวอารมณ์เปลี่ยวเหงาก็น่าจะทำได้ง่ายกว่า) แต่ทั้งหมดก็ไม่ได้มีหลักฐานอะไรจะมายืนยันได้
การกระทำเสมอเหมือนการคบชู้แบบนี้ถือว่าร้ายแรงมาก ในกฏมณเฑียรบาลไม่ได้ระบุโทษของการคบชู้กระทำชำเราชายาของพระราชวงศ์ แต่ก็มีกฎอื่นๆที่มีความใกล้เคียงกันบ้าง
"อนึ่งผู้ใดทำชู้ด้วยชแม่พระสนม ให้ฆ่าผู้นั้นเสีย ๓ วันจึ่งให้ตาย ส่วนหญิงนั้นให้ฆ่าเสียด้วย" สนมในกฏข้อนี้น่าจะหมายถึงของพระมหากษัตริย์แต่ก็น่าจะใช้แทนกันได้
"อนึ่งชายหญิงเจรจาด้วยกันในวัง ยอมทำชู้กันไซ้ ให้ตีด้วยไม้หวาย ๒๐ ที..." เป็นต้น
พระเจ้าปราสาททองจะลักลอบทำเช่นนี้กับหญิงกี่คนนานแค่ไหนไม่ทราบ แต่สุดท้ายเรื่องทั้งหมดก็ไปถึงพระกรรณสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมจนได้ สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมกริ้วมาก(สมมติว่าเป็นสนมของพระองค์ทอง พระองค์ทองเพิ่งสิ้นพระชนม์ที่เขมร แล้วเกิดเหตุแบบนี้ความกริ้วอาจเพิ่มเป็นทวีคูณ) มีพระราชโองการให้ประหารพระเจ้าปราสาททอง แต่ว่าคนจำนวนมากในราชสำนักต่างทูลขออภัยโทษ ฟาน ฟลีต ไม่ได้ออกชื่อก็จริง แต่สัณนิษฐานว่าคงเป็นออกญาศรีธรรมาธิราชบิดาของพระเจ้าปราสาททอง หรือพระมารดาของพระเจ้าทรงธรรมซึ่งเป็นน้องสาวออกญาศรีธรรมาธิราช และสัณนิษฐานว่าด้วยฐานะของออกญาศรีธรรมธิราชอาจจะชักจูงขุนนางอื่นๆได้ หรืออาจจะเป็นขุนนางที่เคยเห็นความสามารถของพระเจ้าปราสาททองช่วงรบกับเขมร หรืออื่นๆแล้วแต่จะคิด
สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมทรงละเว้นโทษตายให้ แต่โทษเป็นยังอยู่่ พระเจ้าปราสาททองจึงต้องไปชดใช้ความผิดของพระองค์ในคุกอีกหน
Create Date : 24 กันยายน 2555 |
Last Update : 14 มีนาคม 2556 22:50:30 น. |
|
4 comments
|
Counter : 6480 Pageviews. |
|
|
|