สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ๑ : พระชาติกำเนิด
ช้างปาลิไลยกะถวายน้ำพระพุทธเจ้า* จากสมุดภาพไตรภูมิกรุงศรีอยุธยาหมายเลข ๖
"เชอญเจ้ากูเสด็จ์ไปเนียร ทุกขสาษนจงเสถียร ภพห้าพันปี วรสยมภูวญาฯโมลี รับคำโกษี บอดินทรเสด็จ์ลีลา เจียรจากไอยสวรรยลงมา ครอบครองอยุทธยา บุรินทรอินทรพิศาล... คำฉันท์เฉลิมพระเกียรติพระเจ้าปราสาททอง *คำฉันท์เฉลิมพระเกียรติพระเจ้าปราสาททองกล่าวว่าสมเด็จพระเจ้าปราสาททองเคยเสวยพระชาติเป็นช้างปาลิไลกะมาก่อน สมเด็จพระเจ้าปราสาททองพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุทธยาองค์ที่ ๒๕ (รวมขุนวรวงศาธิราช) ทรงมีพระราชประวัติจากหลักฐานทั้งไทยและเทศที่ให้รายละเอียดมากในหลายๆแง่มุมทั้งพระอุปนิสัย วิธีการก้าวสู่ราชบัลลังก์ กลวิธีการปกครอง เป็นที่น่าศึกษาสำหรับผู้สนใจประวัติศาสตร์สมัยกรุงศรีอยุทธยา
หลักฐานว่าด้วยพระชาติกำเนิด เรื่องพระชาติกำเนิดของสมเด็จพระเจ้าปราสาททองที่รู้จักกันแพร่หลายมากที่สุดคือกล่าวว่าพระองค์เป็นพระโอรถลับของสมเด็จพระเอกาทศรถ ที่มาของเรื่องนี้เป็นเรื่องเกร็ดที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงได้ยินมาภายหลังก็ทรงเล่าพระราชทานพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่องราวนี้เป็นที่เล่าขานกันโดยทั่วไป และถือเป็นตำนานท้องถิ่นของบางปะอิน มีเนื้อหากล่าวถึงสมเด็จพระเอกาทศรถคือ
ในกาลครั้งหนึ่งมีที่เสด็จพระราชดำเนินลงไปข้างใต้ แล้วเสด็จกลับ พอเกิดพายุพัดหนักมืดมัว เรือพระที่นั่งล่มลงตรงเกาะบางปอินนี้ สมเด็จพระเอกาทศรฐ ทรงว่ายน้ำมาขึ้นเกาะนี้ พบบ้านแห่งหนึ่ง เจ้าของบ้านนั่งผิงไฟอยู่ สมเด็จพระเอกาทศรฐเสด็จเข้าไปทรงอาศัยผิงไฟ ทอดพระเนตรเห็นหญิงเจ้าเข้ามีรูปโฉมงามต้องพระทัย ก็เสด็จอยู่ด้วยหญิงนั้นคืนหนึ่ง แล้วจึ่งเสด็จกลับขึ้นไป ตั้งแต่นั้นมาหญิงนั้นก็มีครรภ์คลอดบุตรเป็นชาย ครั้นโตขึ้น ก็ได้รับราชการสืบมาแต่มิได้ปรากฏว่าเป็นพระเจ้าลูกเธอ
ตำนานพระที่นั่งเกาะบางปอิน กล่าวกันว่าหญิงคนนั้นมีนามว่า อิน ภายหลังจึงเป็นที่มาของชื่อ บางปะอิน ซึ่งแปลว่า บางที่มาพบ(ปะ)นางอิน บ้างก็ว่าคำว่าบางปะอินเพี้ยนมาจาก บางนางอิน เป็นต้นเพราะพงศาวดารมีเรียกว่า บางนางอิน อยู่ อย่างไรเสียเรื่องเล่านี้ก็เป็นเพียงตำนานที่เล่ากันมา ไม่มีหลักฐานใดๆมายืนยันได้ และไม่น่าเชื่อถือนัก
แต่มีเอกสารที่เขียนในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าปราสาททองโดย เยเรเมียส ฟาน ฟลีต(Jeremias Van Vliet) นายห้างชาวเนเธอร์แลนด์ในกรุงศรีอยุทธยาได้กล่าวไว้ในงานเขียนของตนที่ภายหลังเรียกว่า Historical Account of King Prasat Thong บันทึกใน ค.ศ.1640(พ.ศ.๒๑๘๓) กล่าว่าพระบิดาของพระองค์คือ ออกญาศรีธารมาธีราช(Oija Sijdama Thijra-ija) หรือออกญาศรีธรรมาธิราช(แล้วแต่จะแปล) ซึ่งฟานฟลีตได้กล่าวว่าท่านผู้นี้ ...เป็นพี่ชายคนใหญ่ตามกฎหมายของพระมารดาของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม (de Groot Coninck--the Great King) เท่ากับว่าสมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงเป็นลูกพี่ลูกน้องกับสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม โดยพระบิดาเป็นพระปิตุลาแท้ๆของพระเจ้าทรงธรรม เรื่องนี้สอดคล้องกับเอกสารคำให้การเชลยไทยสมัยเสียกรุงครั้งที่ ๒ ทั้งสองเรื่องคือคำให้การขุนหลวงหาวัดและคำให้การชาวกรุงเก่า(ทั้ง ๒ เล่มคือเรื่องเดียวกันลอกกันมาคนละภาษา) ซึ่งกล่าวว่าพระเจ้าปราสาททองเป็นเชื้อพระวงศ์ฝ่ายพระมารดาของพระเจ้าทรงธรรม ส่วนเรื่องที่เป็นโอรสลับ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่าจริงๆแล้ว หญิงที่สมเด็จพระเอกาทศรถมาพบคงจะเป็นพระมารดาของพระเจ้าทรงธรรมมากกว่า ภายหลังคงจะทรงชุบเลี้ยงครอบครัวของนางเรื่อยมา ทำให้พระเจ้าปราสาททองได้รับราชการในภายหลัง เมื่อพระเจ้าทรงธรรมได้ครองราชย์ก็เป็นไปได้ที่จะมีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นเพราะนับเป็นพระญาติของพระมารดา บางท่านก็สันนิษฐานว่าเป็นโอรสลับแต่ยกให้ออกญาศรีธรรมาธิราชดูแลก็มี บางท่านก็ว่าเป็นโอรสลับสมเด็จพระนเรศวรก็มี แต่ยังไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือนัก
ปีพระราชสมภพ มีแต่ฟานฟลีตที่กล่าวถึงพระชนม์มายุของพระเจ้าปราสาททอง กล่าวว่าเสด็จขึ้นครองราชย์ใน ค.ศ.๑๖๒๙ (พ.ศ.๒๑๗๒) เมื่อมีพระชนมายุ ๓๐ พรรษา แต่พระราชพงศาวดารกล่าวว่าครองราชย์ใน จุลศักราช ๙๙๒ ปีมะเมีย (พ.ศ.๒๑๗๓) คลาดกัน ๑ ปี สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงคำนวณหักลบแบบตรงตัวจาก พ.ศ.ในพระราชพงศาวดาร กล่าวว่าพระราชสมภพในปีชวด พ.ศ.๒๑๔๓ สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช(ทรงเขียนในพระนิพนธ์ ไทยรบพม่า) แต่สมเด็จฯ ท่านหักลบพระชนมายุจากปีในพงศาวดารแทนที่จะลบจากของ ฟาน ฟลีต หักจากเอกสารของฟาน ฟลีต จะได้ พ.ศ.๒๑๔๒ ปีกุน โดยประมาณ อาจมีการคลาดเคลื่อนปีสองปี แต่น่าจะก่อนปีกุน เพราะพระราชพงศาวดารกล่าวถึงสมเด็จพระศรีสุธรรมราชา พระอนุชาของพระเจ้าปราสาททองว่า
พระชนม์ว่าร้อนสุกร และใบสะเดานั้นเป็นนามพุฒ และสุกรไซร้สิ้นกำลังในพุฒนาม
ไม่แน่ใจนักแต่คิดว่า พระชนม์ว่าร้อนสุกร น่าจะหมายถึงประสูติในปีกุน ในกรณีที่ร่วมพระมารดาเดียวกันสมเด็จพระเจ้าปราสาททองควรพระราชสมภพก่อนปีกุน หรือต้นปีกุนโดยพระศรีสุธรรมราชาเป็นปลายปีก็เป็นได้ หรือเป็นแฝด ก็แล้วแต่จะคิด คำให้การชาวกรุงเก่ากล่าวว่าวันพระราชสมภพคือวันเสาร์ เดือนไม่ทราบ
พระบิดา-พระมารดา และพระอนุชา ยึดตามเอกสารของฟาน ฟลีต พระบิดาเป็นขุนนางรับราชการมีบรรดาศักดิ์เป็น ออกญาศรีธรรมาธิราช อย่างไรเสียคงไม่ได้มีบรรดาศักดิ์นี้มาตั้งแต่พระเจ้าปราสาททองพระราชสมภพ เพราะทินนาม ศรีธรรมาธิราช ทินนามนี้ไม่พบในพระอัยการนาพลเรือนหรือนาทหารหัวเมืองจึงไม่ทราบหน้าที่โดยตรงในสมัยอยุทธยา แต่เข้าในว่าเป็นทินนามขั้นเสนาบดีผู้ใหญ่ในกรมวังรับผิดชอบเรื่องพระราชพิธีขนบธรรมเนียมต่างๆ มีตัวอย่างในสมัยรัชกาลที่ ๒ ทรงเลื่อนเจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์(บุญรอด บุณยรัตพันธุ์)เสนาบดีจตุสดมภ์กรมวัง ขึ้นเป็นเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช สมัยสมเด็จพระเจ้าท้ายสระก็มีกล่าวถึง เจ้าพญาศรีธรรมาธิราช ในจารึกวัดป่าโมก หรือตัวอย่างในสมัยกรุงธนบุรีได้ตั้งพระยาธิเบศบริรักษ์ข้าราชการกรุงเก่าขึ้นป็นเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราชยังมีกล่าวถึงเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราชว่า ผู้เป็นอรรคมหาเสนาธิบดี แสดงว่าน่าจะเป็นตำแหน่งที่ค่อนข้างสูงทีเดียว ความเป็นไปได้อย่างหนึ่งที่ทินนาม ศรีธรรมาธิราช จะมีหน้าที่รับผิดชอบในฝ่ายกรมวัง เห็นได้จากเมื่อพระเจ้าปราสาททองรับราชการอยู่ ตามหลักฐานของฟานฟลีตกล่าวว่าทรงเป็นตำแหน่งที่ฟังดูใกล้กับเสนาบดีกรมวัง ต่อมาเมื่อทรงได้เลื่อนเป็นสมุหพระกลาโหมก็ให้พระอนุชามารับตำแหน่งกรมวังแทน ซึ่งก็เป็นรูปแบบของระบบราชการที่มักให้ลูกมักได้รับราชการในสายงานของบิดาหรือครอบครัว ที่กล่าวว่ายังไม่น่าเป็นออกญาศรีธรรมาธิราชตั้งแต่ต้นเพราะเป็นตำแหน่งระดับสูง การได้กินตำแหน่งนี้ราวๆ ๓๐ ปี(ตั้งแต่พระเจ้าปราสาททองประสูติจนออกญาท่านถึงแก่กรรม) เห็นจะยาวนานเกินไป ในช่วงพระราชสมภพของพระเจ้าปราสาททอง พระบิดาน่าจะมีตำแหน่งที่ยังต่ำกว่านี้ มีความเป็นไปได้เลื่อนบรรดาศักดิ์ขึ้นในสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมครองราชย์เนื่องจากเป็นลุงแท้ๆ โอกาสน่าจะมีมากในตอนนี้ ส่วนพระมารดา หากยึดตามตำนานของบางปะอิน ก็คงมีพระนามเดิมว่า อิน แต่ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เล่ากันมาจึงไม่มีหลักฐานใดยืนยัน ตามพระราชพงศาวดารกล่าวว่าทรงมีบ้านอยู่บริเวณที่เป็นวัดไชยวัฒนารามในปัจจุบัน และถึงแก่กรรมก่อนพระเจ้าปราสาททองได้ครองราชย์แต่ทั้งสองเรื่องมีหลักฐานอื่นแย้ง จะกล่าวในตอนต่อๆไป ส่วนพระอนุชาจากพงศาวดารกล่าวว่ามีพระอนุชาพระองค์หนึ่ง เมื่อพระเจ้าปราสาททองเสด็จขึ้นครองราชย์แล้วจึงทรงสถาปนาขึ้นเป็น"พระศรีสุธรรมราชา" ส่วนหลักฐานของฟานฟลีตกล่าวว่าทรงตั้งพระอนุชาขึ้นเป็น "ฝ่ายหน้า(feijna)"หรือพระมหาอุปราช ซึ่งขัดกับพระราชพงศาวดารของไทยที่กล่าวว่าสมเด็จพระศรีสุธรรมราชานั้น พระเจ้าปราสาททอง "...ทรงพระกรุณาตรัสว่าน้องเราคนนี้น้ำใจกักขฬะหยาบช้ามิได้มีหิริโอตปะ จะตั้งให้เป็นอุปราชแผ่นดินต่างพระเนตรพระกรรณมิได้..." แต่ฟานฟลีตที่อยู่ร่วมสมัยนั้นกล่าเรียกพระองค์ว่าฝ่ายหน้าบ่อยมาก จึงมีความเป็นไปได้ว่าพระราชพงศาวดารที่ชำระสมัยหลังอาจถูกเขียนโดยศัตรูทางการเมืองเช่นสมเด็จพระนารายณ์ก็เป็นได้ นอกจากนี้ฟานฟลีตยังกล่าวว่ายังมีพระอนุชาอีกพระองค์แต่ถึงแก่กรรมไปตั้งแต่สมเด็จพระเจ้าปราสาททองยังไม่ได้ครองราชย์
พระนิวาสสถานเดิม
พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ในพระราชวังบางปะอิน ตามตำนานที่กล่าวไปแล้วว่าพระมารดาเป็นชาวบางปะอิน หรือ จะตามพระวินิจฉัยของกรมพระยาดำรงที่กล่าวว่าน่าจะเป็นเรื่องของพระมารดาพระเจ้าทรงธรรมมากกว่าพระเจ้าปราสาททอง แต่อย่างไรก็น่าเชื่อว่าสมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงมีพื้นเพเดิมเป็นชาวบางปะอิน(ไม่ว่าจากสายพระบิดาหรือพระมารดาก็ตาม) ดูจากที่ทรงให้ความสำคัญกับบางปะอิน สร้างพระที่นั่ง วัดชุมพลนิกายาราม หรือทรงไปทำพิธีโสกันต์ให้เจ้าฟ้าไชยที่เกาะบ้านเลนซึ่งก็คือชื่อเก่าของบางปะอิน และดูจากข้อความในพระราชพงศาวดารในตอนเสด็จไปบางปะอินใน จ.ศ.๙๙๔(พ.ศ.๒๑๗๕) เพื่อ ประพาสราชตระกูลสุริยวงศ์อนงค์นารีทั้งปวง ก็นับว่าชัดเจนดีอยู่ว่าทรงมีพระญาติพระวงศ์อยู่ที่บางปะอินมาก
Create Date : 09 พฤษภาคม 2555 |
Last Update : 31 สิงหาคม 2555 16:42:10 น. |
|
14 comments
|
Counter : 18711 Pageviews. |
|
|
|
Historische Geschichte von König Prasat Thongเป็นภาษาเยอรมัน
ภาษาดัตช์ที่ถูกคือ
"Historisch Geschiedenis van Koning Prasat Thong