The Conjuring 2 : รักพิชิตผี? (ไม่สปอยล์)




The Conjuring 2 เป็นประสบการณ์หนังสยองขวัญที่สนุก 

หลังเดินออกมาจากโรงลิโดรอบสองทุ่มครึ่งของศุกร์ที่ 10 มิถุนายน ท่ามกลางคนดูที่อุ่นหนาฝาคั่ง ผมได้ยินเสียงคนดูคนหนึ่งพึมพำออกมาว่า "รู้สึกเหนื่อยว่ะ"

ผมไม่รู้ว่าคนๆนั้นพึมพำออกมาด้วยความรู้สึกแบบไหน

แต่ผมคิดในใจว่า "ใช่ เหนื่อยสิ ลุ้นเป็นบ้าเลย" The Conjuring 2 มีสิ่งหนึ่งที่หนังสยองขวัญยุคใหม่ส่วนใหญ่ขาดหายไป นั่นคือการเล่าเรื่องที่ดี และตัวละครที่ทำให้คนดูรู้สึกเอาใจช่วย

นี่แหละ คือที่มาของความสนุก!



เนื้อเรื่องของ The Conjuring 2 หาได้ตามเน็ตทั่วไป ดังนั้นจะขอพูดคร่าวๆคือ มันเป็นเรื่องที่อิงจากคดีจริงๆของสองสามีภรรยานักสืบสวนเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติ เอ็ด วอร์เรนและลอร์เรน วอร์เรน คราวนี้ทั้งคู่มาสืบคดีที่บ้านโคตรเฮี้ยนที่ประเทศอังกฤษ และเหยื่อคราวนี้คือคุณแม่ม่ายกับลูกสี่คน

เอาละ จบเนื้อเรื่องแล้วมาเข้าประเด็นกันเลยเหอะ

ต่อไปนี้ผมจะพูดถึงส่วนที่ผมชอบ 3 ข้อ และส่วนที่...ชอบน้อยสุด 3 ข้อของ The Conjuring 2




ส่วนที่ชอบ :

1) ตัวละคร

อะไรที่ทำให้ผมรู้สึกประทับใจใน The Conjuring 2? อะไรคือหัวใจสำคัญที่ทำให้ผมลุ้นจนรู้สึกเหนื่อย?

คำตอบคือ "ตัวละคร"

คนดูหลายคนอาจไม่รู้และอาจรู้สึกว่ามันสนุกเพราะฉากตุ้งแช่ หรือการเม็กอัพหน้าตาปิศาจ แต่หากดูดีๆ ความรู้สึกลุ้นมันเกิดมาจากตัวละครต่างหาก

The Conjuring 2 มีสองซัพพล็อตเล่าขนานกันไป หนึ่งคือเรื่องราวของครอบครัวฮอดจ์สันที่ประกอบไปด้วยแม่ม่ายกับลูกอีกสี่คน แล้วก็เกิดเหตุการณ์สยองขวัญสั่นประสาทกับครอบครัวนี้ อีกหนึ่งคือเรื่องราวของเอ็ด วอร์เรนและลอร์เรน วอร์เรน สองสามีภรรยานักสืบสวนเรื่องเหนือธรรมชาติ 

ซัพพล็อตทั้งสองส่วนนี้ทำได้ดีมากๆ ผมรู้สึกแคร์สองสามีภรรยาวอร์เรน ซึ่งมีผลที่ทำให้ฉากไคลแม็กซ์ตอนท้ายเรื่องต้องลุ้นตามไปตลอด ถึงแม้ว่าพอจะเดาๆอะไรได้อยู่ (เป็นข้อเสียจากการระบุว่า "อิงจากเรื่องจริง" นี่แหละ)



ส่วนเรื่องของครอบครัวฮอดจ์สัน ตอนแรกไม่ได้รู้สึกอะไรมากมายไปกว่าครอบครัวที่เป็นเหยื่อ แต่เราได้เห็นพัฒนาการของตัวละคร เราได้เห็นกระบวนการที่ทำให้ครอบครัวหนึ่งซึ่งเจอเรื่องลำบากจนต้องระหองระแหงกัน ต้องพยายามฝ่าฟันอุปสรรคเหนือธรรมชาตินี้ไปด้วยกัน



เมื่อซัพพล็อตทั้งสองส่วนถูกบวกเข้าด้วยกันตั้งแต่ตอนกลางเรื่องเป็นต้นไป มันมีความหมายที่เชื่อมโยงทั้งสองครอบครัวนี้เข้าด้วยกัน สุดท้ายแล้วเอ็ดกับลอร์เรนก็เหมือนแซมกับดีนใน Supernatural เวอร์ชั่นไร้อาวุธ... 

สองสามีภรรยาเข้าใจครอบครัวฮอดจ์สันในฐานะของคนที่มีครอบครัวด้วยกัน และพยายามกระตุ้นให้ครอบครัวฮอดจ์สันผนึกกำลังกันแล้วหันมาเผชิญหน้ากับเรื่องเหนือธรรมชาติโดยตรง ในขณะเดียวกัน สองสามีภรรยาก็ต้องเผชิญหน้ากับความกลัวของตัวเองไปด้วย

ส่วนนี้คือส่วนที่แข็งแรงมากที่สุดในหนัง ซึ่งเป็นส่วนที่หนังสยองขวัญส่วนใหญ่มองข้าม ทั้งๆที่ถ้าทำส่วนนี้ได้ดี หนังก็จะสนุก จะลุ้นได้มากกว่าหนังที่เน้นฉากตุ้งแช่เสียอีก

เอาง่ายๆ

เมื่อหลายวันก่อนผมนั่งไล่ดู The Grudge 1 และ 2 (จูออนภาคฝรั่งที่ผู้กำกับต้นตำรับมากำกับเอง) ผมไม่รู้สึกแคร์ตัวละครตัวไหนสักตัว พอไม่รู้สึกแคร์ โฟกัสส่วนใหญ่จึงไปอยู่ที่วิธีการหลอกหลอนของคุณแม่คายาโกะกับลูกชายโทชิโอะแทน ซึ่ง...ก็ไม่ใช่ส่วนที่ดีนักอีกเหมือนกัน

ทั้งที่ผีออกมาตั้งเยอะ แต่กลับไม่ได้รู้สึกสนุกอะไรเท่าไหร่ ออกจะเฉยๆ

แต่ The Conjuring 2 นี่ทั้งสนุกทั้งลุ้น และส่วนใหญ่ก็มาจากตัวละครที่น่าเอาใจช่วยนี่เอง


2) ผู้กำกับเจมส์ วาน & กลเม็ดเด็ดทุกฉาก

เมื่อตะกี้ผมอ้างถึง The Grudge 1 และ 2... ผมคงต้องขออ้างมันต่อ เพราะเพิ่งดูไล่ๆกับก่อนหน้าที่จะดู The Conjuring 2 ไม่กี่สัปดาห์

อย่างที่ผมบอกไปแล้วข้างต้น The Grudge ทั้งสองภาคมีฉากผีออกเยอะแยะมากมาย แต่กลับไม่รู้สึกสนุก แถมยังรู้สึกขำๆอีก เพราะเทคนิคและการเล่าเรื่องอยู่ในระดับธรรมดามาก

ความสนุกของหนังสยองขวัญมันไม่ได้อยู่ที่สักแต่จะใส่ฉากตุ้งแช่อย่างเดียวซะหน่อย แต่มันอยู่ที่วิธีการเล่าเรื่อง วิธีการเซ็ทอารมณ์ของฉากต่างหาก 

ซึ่งผู้กำกับเจมส์ วานทำได้ดีในหลายๆฉาก ไม่แปลกใจเลยที่คนดูดูเรื่องนี้เสร็จแล้วจะบอกว่า "เหนื่อยว่ะ" เพราะเจมส์ วานสร้างอารมณ์ฉากสยองขวัญได้ดีมากนั่นเอง มันมีฉากตุ้งแช่ แต่ไม่ได้ถูกเอามาใช้พร่ำเพรื่อจนน่าเบื่อ

หนังบางเรื่อง ตัวละครหันไปก็ ผ่าง! เดินชนโต๊ะก็ ผ่าง! เดินไปอีกสักพักก็ ผ่าง! ...แบบพร่ำเพรื่อมาก!

แต่ The Conjuring 2 ค่อยๆเซ็ทอัพอารมณ์ขึ้นทีละนิดๆ สรรหากลเม็ดในแนวทางอื่นๆบ้าง บางฉากมันน่ากลัวได้โดยไม่ต้องตุ้งแช่ด้วยซ้ำ แถมยังจัดฉากที่ทำให้คนดูหายใจมาไม่ทั่วท้องแทบจะต่อเนื่องจนรู้สึกเหนื่อยไปตามๆกัน!

ส่วนวิธีการเล่าเรื่อง

The Conjuring 2 มีการเล่าเรื่องที่ลงตัวน้อยกว่าภาคแรก อย่างไรก็ตาม มันมีจุดที่น่าสนใจอยู่หลายจุด 

นอกจากหนังจะโฟกัสไปที่การเล่าเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวมากกว่าจะเป็นฉากตุ้งแช่ จนส่งผลให้คนดูรู้สึกลุ้น (ไปกับตัวละคร) จนเหนื่อยแล้ว... ระหว่างที่ผมนั่งดูหนังอยู่ ผมตั้งคำถามว่า แล้วผีมันจะทำแบบนี้ไปทำไม?... รู้ไหมครับ มันมีคำตอบว่ะ! 

......โอเค จริงๆคำตอบนี้มันก็เหมือนจะมีอยู่ในภาคแรกแล้วละนะ แต่การเอาประเด็นนี้มาใช้อีกรอบก็ไม่เสียหายแต่อย่างใดนี่!? 

ด้วยความที่หนังพยายามสร้างเรื่องราวมากกว่าการเล่นมุกตุ้งแช่ เวลาดูเลยก็รู้สึกสนุกไปกับการติดตามเรื่องราวไปด้วย เมื่อความสนุกจากการติดตามเรื่องราว (ว่าผีทำแบบนี้ไปทำไม) มาบวกเข้ากับเรื่องของตัวละคร มันจึงกลายเป็นส่วนดีๆที่กลบข้อด้อยตรงนู้นนิดตรงนี้หน่อยไปได้เยอะ





3) การแสดง

ในหนังสยองขวัญ การแสดงก็มีส่วนสำคัญต่อความบันเทิงได้เหมือนกัน

ถ้าเป็นหนังเกรดซีห่วยๆอย่าง Sharknado แน่นอนว่าการแสดงอันโคตรห่วยก็ถือเป็นความบันเทิงอย่างหนึ่งเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นหนังสยองขวัญที่ตั้งใจจะจริงจัง การแสดงที่ดีจะถือเป็นส่วนสำคัญไปโดยปริยาย ยิ่งแสดงดี ตัวละครก็ยิ่งน่าเชื่อถือ ยิ่งน่าเชื่อถือก็ยิ่งน่าติดตาม 

The Grudge 1 และ 2 มันไม่สนุกสำหรับผมมาก เพราะตัวละครมันห่วย ใครจะอยู่ ใครจะตาย ผมไม่สนใจเลย ส่วนหนังสยองขวัญอีกเรื่องที่ดูในเวลาไล่เลี่ยกันอย่าง Halloween H20 ผมไม่แคร์คาแร็กเตอร์ตัวไหนเลยสักตัว ดูแล้วติดจะเบื่อๆอยู่เอาเรื่อง (แถมยังรำคาญฉากตุ้งแช่พร่ำเพรื่อด้วย) หรือ Friday the 13th (เวอร์ชั่น 2009) โอเค มันสนุกตรงที่มี "แซม วินเชสเตอร์" จาก Supernatural เป็นตัวเอก มันก็เลยมีอารมณ์ประมาณว่า "โอ้ว แซม วินเชสเตอร์สู้เจสันเว้ยเฮ้ย!" บวกกับวิธีการวิ่งไล่เชือดของเจสันเวอร์ชั่นอัพเกรดความเร็วมากกว่าเวอร์ชั่นเทเลพอร์ตแบบโบราณ นอกนั้นใครจะอยู่ใครจะตายก็ช่างมัน บันเทิงดี แต่ดูจบแล้วก็จบกัน  

ปัญหาทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่อยู่ที่วิธีการเขียนบท แต่อยู่ที่วิธีการแสดงด้วย

ใน The Conjuring 2 ส่วนหนึ่งที่ตัวละครค่อนข้างแข็งแรงและคนดูเกิดอาการอินและอยากจะเอาใจช่วย ก็เพราะมันมีการแสดงที่ดีทั้งหมด แต่ที่เป็นไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่เวรา ฟาร์มิก้าที่เล่นเป็นลอร์เรน วอร์เรน กับเด็กสาวเมดิสัน วูลฟ์ (ไม่รู้อ่านออกเสียงถูกหรือเปล่า แต่นามสกุลสะกดว่า Wolfe) ที่เล่นเป็นเจเน็ต ฮอดจ์สัน เด็กสาวที่เป็นศูนย์กลางของเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติในคราวนี้ ทั้งสองคนเล่นได้โดดเด่นมากสำหรับผม  โดยเฉพาะรายหลังที่งัดของโชว์ออกมาเต็มที่ ขโมยซีนจากนักแสดงผู้ใหญ่ไปแบบหน้าตาเฉย!

การแสดงที่ดีจำเป็นต่อหนังสยองขวัญด้วยเหรอ? The Conjuring ทั้งสองภาคนี่ไงคือคำตอบ






เมื่อมีส่วนที่ชอบ ก็ย่อมมีส่วนที่ไม่ชอบเป็นของธรรมดา

แต่ในกรณีของ The Conjuring 2 ผมไม่อยากเรียกว่า "ไม่ชอบ" ขอใช้เป็น "ส่วนที่ชอบน้อย" น่าจะตรงกว่า 



ส่วนที่ชอบน้อย :

1) เดาง่ายไปหน่อย

ขณะนั่งดูอยู่ ผมพยายามนึกว่ามันจะเอาซัพพล็อตของสองสามีภรรยามาร้อยกับครอบครัวฮอดจ์สันยังไง พอมาถึงกลางๆเรื่องผมก็ชักจะเริ่มเดาทิศทางได้บ้างแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบทสรุปของหนัง ...ซึ่งบอกว่าสร้างโดยอิงจากคนที่มีชีวิตอยู่จริงๆและเหตุการณ์จริง




2) การเล่าเรื่อง ลงตัวน้อยกว่าภาคแรก

The Conjuring ภาคแรกก็มีการแบ่งซัพพล็อตเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของครอบครัวที่เผชิญสิ่งเหนือธรรมชาติ อีกส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของสองสามีภรรยาวอร์เรน เพียงแต่ภาคแรกมีการเล่าเรื่องที่ลงตัวกว่าในหลายๆเรื่อง

ส่วน The Conjuring 2 หลายๆฉากผมรู้สึกว่าจังหวะการเล่าเรื่องมันแปลกๆ ช่วงครึ่งแรกผมรู้สึกว่าซัพพล็อตทั้งสองส่วนดูไม่ค่อยจะเกี่ยวเนื่องกันนัก จนกระทั่งมากลางๆเรื่องนั่นแหละ ถึงจะพอเห็นได้แล้วว่าจะโยงกันอีท่าไหน แล้วช่วงครึ่งหลังก็มีจุดที่รู้สึกว่ามันอืดๆอยู่บ้างประปราย 

แต่ส่วนที่สำคัญคือเรื่องราวในช่วงไคลแม็กซ์นี่แหละ จริงอยู่ที่มันเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ บางทีก็อยู่นอกเหนือไปกว่าสามัญสำนึกแบบตามปกติทั่วไป แต่ในหนังสยองขวัญนั้น กฎที่เกี่ยวพันกับสิ่งเหนือธรรมชาติในเรื่องนั้นๆถือเป็นสิ่งสำคัญ

มันเหมือนใน The Grudge 2 ผมรู้สึกขัดใจเพราะการโจมตีของคายาโกะมันแรนด้อมเกินไป พอแรนด้อมเกินไปก็เลยเกิดข้อสงสัยว่า "เอ๊ะ ทำไมไอ้นี่ตาย? ทำไมไอ้นี่ไม่ตาย? ทำไมถึงปล่อยให้ไอ้นี่มีชีวิตอยู่ตั้งนานก่อนจะมาฆ่า?" บลาๆๆๆ พลอยทำให้หมดสนุกไปด้วยเลย

ในกรณีของ The Conjuring 2... สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงท้ายๆ มันค่อนข้างจะ... รู้สึกว่ามัน "เอ๋? อะไรน่ะ? เอางี้เลยรึ?" อะไรประมาณนี้แหละ ไม่ได้เลวร้ายเท่าของ The Grudge 2 หรอก แค่มัน... เป็นทางออกที่เล่นง่ายไปหน่อยในความเห็นของผม

แย่หน่อยที่ตรงนี้ผมพูดไม่ได้เต็มปาก ไม่งั้นจะเป็นการสปอยล์ไปเสีย



3) มุกเดิมๆ แบบหนังผียุคใหม่ & ผีซีจีในบางฉาก

เป็นอีกครั้งที่เราได้เห็นหนังสยองขวัญที่เกี่ยวพันกับครอบครัวหนึ่ง

เป็นอีกครั้งที่เราได้เห็นฉากเด็กเดินไปไหนตอนกลางคืนภายในบ้านคนเดียว

เป็นอีกครั้งที่... และอีกหลายร้อยแปดพันเก้าที่บรรดาหนังสยองขวัญยุคใหม่มี

แล้วมุกประมาณนี้จะถูกใช้ต่อไปอีกหลายครั้งในอนาคตข้างหน้า

ข้อเสียกลายเป็นว่า ผมสามารถเดาได้ว่าพอฉากมันเริ่มเงียบแบบนี้ แสดงว่ามันจะต้องมีอะไรแน่ๆ สมองของผมเริ่มสรรหาฉากในหนังสยองขวัญกว่าหลายสิบเรื่องมาจับคู่กับฉากใน The Conjuring 2 ทำให้เกิดการเตรียมตัวเตรียมใจไว้ล่วงหน้าแล้ว สุดท้ายผลก็ออกมาทำนองว่า "นั่นไง ตูว่าแล้ว" 

เพียงแต่ยังดีหน่อยที่ The Conjuring 2 สามารถเอามุกเดิมๆมาดัดแปลงให้มันดูดีขึ้นในหลายฉาก พยายามใส่ความคิดสร้างสรรค์ลงไปบ้าง เลยไม่ถึงกับมองว่าเป็นข้อเสียสำคัญอะไรนัก ถึงจะเดามุกตุ้งแช่ได้แต่ก็ยังสนุกอยู่ ถ้าหาวิธีการอื่นได้บ้างก็ดี... มันก็เท่านั้น

อีกเรื่องคือ "ผีซีจี" ในบางฉาก

ในช่วงแถวกลางเรื่อง จะมีฉากผีที่ดูอย่างกับตัวการ์ตูนออกมา คือมันไม่ได้เลวร้ายหรอก พอจะเข้าใจได้ว่าตามตรรกะในเรื่อง ไอ้ผีซีจีนี่มันมีที่มามาจากไหน เพียงแต่... มันก็อดจะรู้สึกขัดใจไม่ได้อยู่ดี



โดยรวมแล้วผมให้ The Conjuring 2...

7/10

ผมพยายามจะไม่ใส่พวก 7.5 หรือ 7.9 หรือ 8.1 อะไรแบบนั้นแล้ว และถ้าให้ฟันธงชัดๆก็คงเป็น 7/10 นี่แหละ

มันเป็นประสบการณ์หนังสยองขวัญที่น่าประทับใจ คนดูในโรงส่วนใหญ่ก็รู้สึกสนุกไปกับมัน เดินออกมาด้วยความบันเทิงและรู้สึกพึงพอใจด้วยเช่นกัน

และมันเป็นหนังสยองขวัญเพียงไม่กี่เรื่อง ที่ผมจะดูมันอีกรอบในอนาคตข้างหน้าอย่างแน่นอน

ปล. ผีแม่ชีนี่... Marilyn Manson?? ฮ่าๆๆๆๆ SmileySmileySmileySmileySmileySmiley








Create Date : 11 มิถุนายน 2559
Last Update : 11 มิถุนายน 2559 19:54:15 น.
Counter : 3467 Pageviews.

1 comments
  
แวะมามาทักทายหาอ่านข้อมูลหนังหนุกๆครับ ดูหนัง ดูหนัง
โดย: สมาชิกหมายเลข 3392476 วันที่: 5 กันยายน 2559 เวลา:7:02:05 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

หมาหัวโจก
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 18 คน [?]



All Blog