ในที่สุดก็ได้อัพบล็อกแล้ววววว โอ้เย และก็มานะบากบั่นแต่งบล็อกใหม่อย่างที่ตั้งใจไว้เมื่อสองปีก่อนนน (เอิ่ม นี่ตั้งใจแล้วนะ!!)

ช่วงนี้ได้แต่อ่านบล็อกของใครๆที่ได้ไปงานหนังสือกันด้วยความอิจฉาตาร้อนมากๆค่ะ แต่ถึงเราไม่ได้ไป เราก็จัดการให้เน็ตเวิร์คของเรา (อันได้แก่น้องที่บ้าน หาใช่ใครอื่นไม่) ช่วยไปซื้อไว้เพิ่มกองดองแล้ว วะฮ่าๆๆ

นอกเรื่องไปก็ใช่ที่ เข้าเรื่องตามจั่วหัวบล็อกเลยจะดีกว่า

เมื่อช่วงปลายปีก่อน พัทได้อ่านนิยายเล่มสามของชุดนักสืบทิวดอร์ที่เขียนโดย C.J Sansom ค่ะ เรื่องนั้นคือ Sovereign อ่านจบแล้วก็ติดใจเสียจนต้องไปหาเล่มหนึ่งกับสองมาอ่าน เริ่มกันที่คนเขียนก่อนนะคะ

C.J Sansom ย่อมาจาก Christopher John Sansom ค่ะ เขาเรียนปริญญาเอกด้านประวัติศาสตร์ แล้วเรียนด้านกฏหมายเพิ่มเติม ทำงานเป็นทนาย พื้นฐานการศึกษาของเขามีบทบาทมากกับงานเขียน เพราะหนังสือชุดนี้เป็นซีรีย์นักสืบยุคทิวดอร์ หรือสมัยพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ซึ่งเขียนได้อย่างที่อ่านแล้วรู้ว่า คนเขียนทำการบ้านมาดี พระเอกของเราก็แปลกแหวกแนวไม่เหมือนใครค่ะ ตรงที่เป็นทนายหนุ่ม แต่ที่ฉีกแนวคือเขาเป็นคนหลังค่อม และก็ออกจะมองโลกในแง่ร้ายอยู่ไม่น้อย ส่วนคู่หูของพระเอกนั้นมีบุคลิกแบบที่แมนเกินร้อยอะไรยังไงยังงั้นค่ะ คือเป็นคนหนุ่ม เลือดร้อน พะบู๊ สู้ไม่ถอย เป็นองค์ประกอบที่ลงตัวมากๆ

เล่มแรก Dissolution แปะปกทั้งสี่เล่มกันก่อนนะคะ

เรื่องเริ่มขึ้นในปี 1537 ซึ่งเป็นยุคที่เฮนรี่ที่ 8 เพิ่งตั้งนิกาย Church of England ขึ้นมาเป็นนิกายหลักของอังกฤษแทนแคธอลิก และแต่งตั้งตัวเองเป็นผู้นำทางศาสนา และมีแผนจะยึดครองวิหารต่างๆ เพื่อยึดทรัพย์สินของทางศานามาเข้าคลังหลวง โดยมีโธมัส ครอมเวล ที่ปรึกษาหลักเป็นผู้วางแผน

แต่ทว่าผู้แทนรัฐที่ครอมเวลส่งไปประเมินสำนักสงฆ์ใน Scarnsea กลับถูกฆ่าตัดหัวอย่างโหดเหี้ยมกลางดึกในห้องครัวของสำนักสงฆ์ และเหมือนจะเป็นการฆาตกรรมในห้องปิดตาย โดยที่ผู้ต้องสงสัยคือกลุ่มนักบวชกลุ่มหนึ่งที่มีอดีตไม่น่าไว้วางใจ รวมทั้งมีแรงจูงใจที่จะต่อต้านอำนาจรัฐกันทุกคนด้วย นอกจากนี้แล้ว คนร้ายยังได้ฆ่าไก่แล้วเอาเลือดสาดไว้ทั่วแท่นทำพิธีในโบสถ์ และขโมยเอาสิ่งศักดิ์สิทธ์ของสำนักสงฆ๋ไปด้วย

แมทธิว ชาร์ดเลค พระเอกของเราซึ่งเชื่อมั่นและสนับสนุนในการก่อตั้งนิกายใหม่มาตลอดก็ถูกครอมเวลสั่งให้ไปสืบสวนคดีนี้พร้อมกับมาร์ก ผู้ช่วยหนุ่มหล่อ และเมื่อไปถึงก็พบว่าทุกคนเข้าข่ายฆาตกร มีโอกาส แรงจูงใจที่จะทำได้กันทุกคน และยิ่งสืบก็เหมือนจะมีแต่เรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น ผู้บริสุทธิ์ที่ต้องการบอกความลับให้แมทธิวรู้ถูกฆ่าปิดปากก่อนจะทันบอกข่าวเขาเพียงวันเดียว ตัวเขาเองก็ถูกลอบปองร้าย เริ่มแตกคอกับมาร์ก เขาเริ่มไม่แน่ใจว่าฆาตกรมีเพียงคนเดียว และลงมือไปเพราะความแค้น ความโลภ หรือต้องการปกปิดคดีฆาตกรรมก่อนหน้านี้...

เล่มสอง Dark Fire

หลังจากปิดคดีเล่มแรกได้สองปีอย่างชนิดที่ทำให้ศรัทธาในนิกายใหม่ของแมทธิวคลอนแคลนไปอย่างรุนแรง ครอมเวลก็บังคับให้เขาสืบคดีใหม่ โดยแลกกับความช่วยเหลือในการเข้าไปแทรกแซงศาลให้เลื่อนวันพิจารณาคดีของอลิซาเบธ เด็กสาววัย 16 ที่ถูกกล่าวหาว่าฆ่าลูกพี่ลูกน้องวัยเด็กของตัวเองออกไป 12 วัน และภายในเวลาจำกัดนั้น แมทธิวกับแจ้ค ผู้ช่วยคนใหม่ที่ครอมเวลส่งมาให้จะต้องสืบหาสูตรการผสม Dark Fire ที่หายสาปสูญไปกว่า 400 ปีและมีผู้ค้นพบอีกครั้งในวิหารแห่งหนึ่ง แต่ครอมเวลไม่ทันจะได้สูตรนั้นมา ผู้ที่ค้นพบก็ถูกฆ่าตายไปเสียก่อนอย่างทารุณ

เรื่องนี้มีสองคดีค่ะ แต่ว่าดำเนินเรื่องไปพร้อมๆกัน คดีเปิดเล่มคืออลิซาเบธ เด็กสาวที่ถูกกล่าวหาว่าฆ่าลูกพี่ลูกน้องตายด้วยการผลักลงไปในบ่อน้ำหลังบ้าน โดยมีพยานคือพี่สาวสองคนของเด็กที่ตาย ปัญหาคือหลังจากเกิดเรื่องอลิซาเบธกลับไม่ยอมพูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว ไม่ยอมแม้แต่จะปกป้องตัวเองว่าเป็นผู้บริสุทธิ์

ส่วนคดีที่สองเป็นสูตรอาวุธทำลายล้างสูงในตำนาน ว่ากันว่าเป็นเปลวไฟร้อนแรงพวยพุ่งได้ในระยะไกลชนิดที่เผาเรือรบของศัตรูและไหม้ได้แม้แต่บนผิวน้ำ ครอมเวลซึ่งในตอนนั้นกำลังตกอับต้องการจะเอาสูตรนั้นไปถวายเฮนรีก็พอดีกับที่ศัตรูของเขาขโมยสูตรและฆ่าปิดปากผู้ค้นพบไปเสียก่อน และพอยิ่งสืบไป แมทธิวกับมาร์กก็เริ่มพัวพันกับอันตรายที่พุ่งเข้ามารอบด้านเหมือนเดิม

เล่มสาม Sovereign

เล่มนี้ดำเนินเรื่องในปี 1541 ซึ่งเฮนรี่ได้เลิกร้างกับ Anne of Cleves และแต่งงานกับแคทเธอรีน โฮเวิร์ดแล้ว ครอมเวลเริ่มตกอับขึ้นเรื่อยๆ และมีคำสั่งพิเศษให้แมทธิวกับแจ้คเดินทางขึ้นเหนือไปยังยอร์กเพื่อดูแลนักโทษทางการเมืองคนสำคัญไม่ให้เสียชีวิตไปก่อนที่จะถูกนำมาสอบปากคำ (หรือที่จริงก็คือถูกทรมานนั่นแล) ที่หอคอยลอนดอน โดยทั้งคู่จะต้องเดินทางล่วงหน้าไปก่อนขบวนเสด็จขึ้นเหนือของเฮนรีและราชสำนัก

แต่เหตุฆาตกรรมช่างเหล็กรายหนึ่งในยอร์กทำให้แมทธิวรู้ว่า เอกสารสำคัญที่เกี่ยวข้องโดยตรงถึงชาติกำเนิดของเฮนรี่ที่แปดถูกขโมยไป และหากถูกเปิดโปงออกมา จะมีผลสั่นสะเทือนถึงราชบัลลังค์อังกฤษ แมทธิวกับแจ้คจึงต้องสืบหาเอกสารนี้คืนมา โดยที่ไม่รู้เลยว่าใครคือมิตรแท้ หรือใครคือศัตรู

พัทว่าทั้งสามเล่มสนุกไม่แพ้กันค่ะ แต่เล่ม Dark Fire นั้นในตอนท้ายๆอืดไปสักนิด แต่ก็เรียกว่าไม่ถึงขั้นน่าเบื่อหรืออะไร และเล่มแรกนี่พอช่วงท้ายคนอ่านก็ต้องพอรู้แล้วว่าใครเป็นฆาตกร เพราะคนเขียนใบ้จังเลยย เอิ้ก (เหมือนกลัวคนอ่านเดาไม่ถูกยังไงยังงั้น) ถ้าใครจะอ่านเอามันหยดติ๋งแนวๆพี่เจมส์ โรลลิ่งอาจจะผิดหวังบ้าง เพราะมันไม่ได้ดำเนินเรื่องเร็วปรูดปราดขนาดนั้น (ยกเว้นตอนเฮนรีเปลี่ยนมเหสี เอิ้ก) แต่ก็มีเสน่ห์ในตัวของมันเองค่ะ

แต่ที่พัทว่าจุดที่โดดเด่นมากคือการร้อยเรียงพล็อตเรื่องเข้ากับประวัติศาสตร์ในยุคนั้น ซึ่งพัทว่าเป็นการเมืองที่แปรผันสุดๆหยุดไม่อยู่ ไว้ใจใครไม่ได้เลยจริงๆ มีทั้งปัญหาภายในอังกฤษเอง ปัญหากับประเทศแคธอลิกในยุโรปและวาติกัน ไหนจะคาแรกเตอร์ของเฮนรีที่ 8 ที่ต้องเรียกว่า larger than life อีก

ที่ไม่ด้อยไปกว่านั้นเลยคือพัฒนาการของตัวละคร แมทธิว ตัวเอกเริ่มต้นจากการเป็นชายหนุ่มที่เชื่อมั่นในลัทธิใหม่ คุณงามความดีของคน ผลประโยชน์ของสังคมในส่วนรวม แต่แล้วเขาก็ได้เรียนรู้ว่าความโลภและโมหะของคนเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดา ข้าราชสำนัก หรือแม้กระทั่งนักบวช และยูโธเปียของโธมัส มันน์ก็มีแต่ในหนังสือ คนเขียนเขียนถึงตอนที่แมทธิวตระหนักถึงความจริงของโลกได้อย่างลุ่มลึกดีค่ะ

และที่สำคัญอีกอย่างก็คือประวัติศาสตร์ในยุคนั้น อ่านๆไปนี่เหมือนมองเห็น ได้กลิ่นลอยมาเลยค่ะ แล้วก็เขียนด้วยภาษาที่ไม่ยากด้วย พัทว่าเป็นซีรีย์ที่อ่านสนุก ได้อรรถรสมากค่ะ

เล่มสี่ของชุดออกมาแล้ว ชื่อ Revelation พัทยังไม่ได้ซื้อมาอ่าน แต่เป็นตอนที่เฮนรี่เสกสมรสกับแคทเธอรีน พาร์ มเหสีคนสุดท้าย กะว่าจะรอบิดอีเบย์เอา อุอุ

โฮ่ๆๆ นานๆอัพทีนี่ยาวเหยียดเลยแฮะ

Create Date : 02 เมษายน 2552
Last Update : 2 เมษายน 2552 20:01:11 น.		12 comments
Counter : 1823 Pageviews.
Share Tweet