มีความรู้สึกที่ดีมากๆ.....
เมื่ออ่านเรื่องนี้ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ ของฉันมีกัน จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน
"ใครขโมยเงินไป" พ่อตวาด
ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า
"ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ"
พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้....แล้วพูดว่า
"ผมขโมยเองครับ"
ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย พ่อนั่งลงบนเก้าอี้และด่าว่าน้องชายของฉัน "ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย"
คืนนั้นฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้ หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย กลางดึกคืนนั้นฉันนอนร้องไห้เสียงดังและนานมาก น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า "พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว"
ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ หลายปีผ่านไปแต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8 ปี ส่วนฉันอายุ 11 ปี...
เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน
คืนนั้นพ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า "ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ"
แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อได้พูดว่า "แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน"
ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อแล้วพูดว่า "ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว"
พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่ "ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้ ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้"
คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ ทั่วทั้งหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเงิน ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า "ต้องให้น้องได้เรียนต่อไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้"
แต่ในขณะเดียวกัน ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้ ใครจะรู้ได้ ....... วันต่อมาในตอนเช้ามืด น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน ขณะฉันกำลังหลับ
"พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ..ผมจะไปหางานทำ..แล้วจะส่งเงินมาให้พี่"
ฉันนั่งอยู่บนเตียง อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า ....... ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17 ปี ส่วนฉันอายุ 20 ปี .....
ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็นกรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ ....... ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3
วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า "มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ" ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ???
ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่ ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง .. ฉันถามเขาว่า "ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ"
น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า "ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้...ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ
ก็ได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี"
ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ "พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม"
จากนั้นน้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ เขาติดกิ๊บให้ฉันแล้วพูดว่า "ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง"
ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี
วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก ฉันสังเกตเห็นว่า หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า "แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ"
แม่ยิ้มแล้วพูดว่า "แม่ไม่ได้จ้างหรอก...น้องชายลูกต่างหาก วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ"
ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด "เจ็บมากไหม" ฉันถาม
"ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ และ..."
น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด เพราะฉันหันหน้าหนีเขา น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง "เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ" ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...
หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน.. แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ
ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง แต่เมื่อออกไปแล้ว ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป เขาบอกกับฉันว่า "พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง"
สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้ เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา
วันหนึ่งน้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า "ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!! ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้ ดูตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง"
คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา "พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน ส่วนผมมันการศึกษาต่ำถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด"
น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย ฉันบอกกับน้องว่า "แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่..."
" ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ" น้องชายของฉันจับมือฉันไว้
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...
เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกัน ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า " ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้"
น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล "พี่สาวของผมครับ" ..... และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้ "ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2 ชม. เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้าน วันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล
เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ นับจากวันนั้นผมสาบานกับตัวเองว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี และจะทำดีกับเธอ"
เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก "ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ" ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้ น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง
จงรักและห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ วันในชีวิตของคุณและเขา คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จักก็ตาม
ปล.(ปี 2007) ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปีตำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่บริษัทฮุนไดและในเครือกว่า 20 บริษัท น้องชายอายุ 83 ปีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า " ซัมซุง" และเรื่องราวของท่านทั้ง 2 คนกำลังถูกนำมาสร้างเป็นซี่รี่ย์ โดยดาราเล็กๆ คนคือ ซอง เฮ เคียว และ ลี ดอง ฮุคครับ
บู มิง ฮอง
เล่าเรื่อง
ภาพ : จากเวบ (ไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่อง) .
ผมลงเรื่องนี้ แม้หลายๆคนเคยอ่านมาแล้ว เพราะ
ผมมีความรู้สึกที่ดีเมื่ออ่านเรื่องนี้ทุกครั้ง...
ขณะที่บ้านเมืองแยกเขา แยกเรา... ผมอยากให้ทุกคนได้อ่านอีกรอบ...
และสุดท้าย ขณะที่หลายคนกำลังท้อแท้...อยากให้ได้อ่านเรื่องนี้เพื่อจะได้มีกำลังใจในการต่อสู้ครับ.
ด้วยรัก
นาย wicsir
__________END__________
ขอบคุณที่นำเรื่องราวดี ๆ มาฝากกันนะคะ
โดย: i'm not superman 7 ตุลาคม 2553 8:24:46 น.
โดย: แมวถุงทอง IP: 10.0.4.33, 202.143.128.35 7 ตุลาคม 2553 8:43:30 น.
อ่านเรื่องนี้ทีไรก็น้ำตาชึมทุกที
เข้าใจความรักของพี่น้องเลยค่ะ
น้องชายหนึ่งก็ประมาณนี้ล่ะ
แม้จะไม่มากมายเท่านี้
แต่ก็รับรู้ได้ถึงความรักที่น้องชายมีให้ค่ะ
โดย: chenyuye 7 ตุลาคม 2553 8:55:46 น.
อ่านอีกครั้ง .. ก็ยังรู้สึกดีเสมอเลยค่ะ
โดย: d__d (มัชชาร ) 7 ตุลาคม 2553 9:25:00 น.
ขอบคุณที่แวะไปทักทายที่ -5° Ice Bar ค่ะ
ขอให้มีความสุขกับการทำงานนะค่ะ
โดย: iamorange 7 ตุลาคม 2553 9:57:04 น.
ไม่แน่ใจว่าเคยอ่านรึยัง
แต่อ่านแล้วอินตาม น้ำตาซึมค่ะ
ตอนแรกแอบโกรธพี่สาวอยู่ในใจ
เอ..ทำไมไม่เคยทำอะไรเพื่อน้องเลยนะ เป็นพี่เค้าแท้ๆ
มาถึงบางอ้อตอนท้าย อิอิ
คนเราถ้ารักกันได้อย่างนี้มากๆก็คงจะดีอ่ะนะคะ
โดย: nLatte 7 ตุลาคม 2553 10:03:37 น.
รู้สึกดีจริงๆ
แวะมาทักทายค่ะ
โดย: LoveTurJang 7 ตุลาคม 2553 10:39:49 น.
โดย: อาร์ทตัวแม่ IP: 117.47.131.253 7 ตุลาคม 2553 11:00:30 น.
เพราะผมอายุ ๗๙ ปี และน้องสาวอายุ อ่อนกว่า ๔ ปี
แม้จะไม่มีชีวิตที่สูงส่ง แต่เราก็รักกันมากครับ.
โดย: เจียวต้าย 7 ตุลาคม 2553 11:26:59 น.
โดย: kwan_3023 7 ตุลาคม 2553 12:08:14 น.
โดย: tuk-tuk@korat 7 ตุลาคม 2553 15:53:20 น.
เสียดายไม่ได้แวะทานของอร่อยที่โคราชนะคะ มาอยู่นี่ก็น้ำหนักเพิ่ม 15 กิโลค่ะ
โดย: tuk-tuk@korat 7 ตุลาคม 2553 16:25:59 น.
บางทีพวกฟอร์เวิร์ดเมล์ ก็ใช่จะมีแต่อะไรที่ไร้สาระเนอะ
โดย: babyL' 7 ตุลาคม 2553 17:12:30 น.
เรากับพี่น้องเหมือนจะไม่ค่อยรักกัน แต่พอเราป่วยหนัก เราถึงได้รู้ว่า จริง ๆ ทุกคนล้วนรักเราทั้งนั้น แค่ไม่ได้แสดงออก ตอนนี้อยู่กันคนละที ถ้าคิดถึงก็โทรบอกเลยว่าฉันคิดถึงนะ
โดย: magic-women 7 ตุลาคม 2553 18:19:43 น.
หลับฝันดีจ้าคุณวิก เรื่องนี้ยาวซะ
โดย: หอมกร 7 ตุลาคม 2553 21:29:48 น.
เรื่องราวดี ดีน่าประทับใจแบบนี้
เป็นแนวทางให้หลายๆคน ในความรูสึกที่กำลังแย่ๆนะคะ
สำหรับคนที่กำลังรู้สึกดีดีก็ซึ้งไปด้วยค่ะ
โดย: Sweety-around-the-world 7 ตุลาคม 2553 22:51:38 น.
อ่านแล้วคิดถึงพี่สาวตัวเองเหมือนกันค่ะพี่อ๊อด ถ้าไม่มีเค้าอ้อก็คงไม่มีวันนี้เหมือนกัน
นอนหลับฝันดีค่ะ
โดย: thainurse@norway 8 ตุลาคม 2553 1:25:24 น.
สวัสดียามเช้าค่ะ^^
โดย: d__d (มัชชาร ) 8 ตุลาคม 2553 5:51:15 น.
สวัสดีเช้าวันศุกร์
ยิ้มรับความสุขที่มีด้วยกันทุกวันค่ะคุณ wicsir
ฝิ่นเป็นพี่สาวคนโต มีน้องสาวอีกหนึ่งคนเป็นคนเล็ก
เราอายุห่างกันสิบปี
ตอนเล็ก ๆ ฝิ่นเป็นคนดูแลเขา
แต่ตอนนี้เติบโตและทำงานกันแล้ว
น้องสาวกลายเป็นคนดูแลพี่สาวตลอด
นี่คือความห่วงใยที่อยู่ใกล้ตัวเราจริง ๆ ค่ะ
โดย: ดอกฝิ่นในสายลมหนาว 8 ตุลาคม 2553 6:50:28 น.
โดย: magic-women 8 ตุลาคม 2553 8:40:34 น.
เรื่องนี้ผมอ่านเป็นครั้งที่ 3 แล้วครับ
สองครั้งอ่านจากเพื่อนบล๊อกแก๊ง "ในความอ่อนไหว"
โดย: เศษเสี้ยว 8 ตุลาคม 2553 8:50:04 น.
แวะมาทักทายยยย จร้า อิอิ
โดย: boyalonejang 8 ตุลาคม 2553 18:20:02 น.
สวัสดีวันสุกร์ค่ะคุณ wicsir
วันหยุดนี้ได้พักบ้างแล้วนะคะ
หาจังหวะเช็คสุขภาพด้วยนะคะ
โดย: Sweety-around-the-world 8 ตุลาคม 2553 21:20:58 น.
แวะมาทักทายกันวันศุกร์จ้า
จากบล็อกพูดเหมือนรู้ข้อมูลเบื้องลึกนะคุณวิก
โดย: หอมกร 8 ตุลาคม 2553 23:46:01 น.
สวัสดียามเช้าค่ะ
ดี.มารับไปเย็บถุงผ้าด้วยกันค่ะ
โดย: d__d (มัชชาร ) 9 ตุลาคม 2553 4:45:49 น.
ช่วงนี้ดี.เข้าบล็อกเช้าค่ะ
แต่ตื่นเช้านี่เป็นปกติ
เดี๋ยวเสร็จเทศกาล
ยังไม่ปรากฏตัวที่บล็อกเหมือนเดิมค่ะ
โดย: d__d (มัชชาร ) 9 ตุลาคม 2553 5:22:10 น.
แวะมาทักทายกันวันหยุดจ้าคุณวิก
โดย: หอมกร 9 ตุลาคม 2553 7:05:33 น.
โดย: i'm not superman 9 ตุลาคม 2553 8:55:44 น.
ประทับใจกับความรักและความเอาใจใส่ต่อกันของน้องที่มีต่อพี่มาก
ถ้าโลกนี้มีคนอย่างนี้มากๆ คงจะทำให้ชีวิตสงบสุขขึ้นอีกเยอะ
ค่ะ
โดย: addsiripun 9 ตุลาคม 2553 10:29:52 น.
โดย: Rinsa Yoyolive 9 ตุลาคม 2553 13:37:38 น.
แวะมาทักทาย ยาม ดึกๆ นะคร้าฟ
โดย: boyalonejang 9 ตุลาคม 2553 21:59:09 น.
สวัสดียามเช้าค่ะ
ดี.มารับไป ..
มองเรา .. มองโลกค่ะ
โดย: d__d (มัชชาร ) 10 ตุลาคม 2553 4:31:33 น.
อ่านแล้วนึกถึงพี่ชาย เขาเสียชีวิตไปนานแล้ว จำได้ว่าสมัยนั้น
พ่อพาลูกสองคนนั่งรถจิ๊บซึ่งสมัยนั้นรถจิ๊บจะโล่งๆ สองคนพี่น้อง
นั่งเบาะหลัง วันนั้นเป็นทางขึ้นเขาและมีฝนตกหนักมาก พี่ชายกลัว
น้องเปียกฝน กอดน้องและถอดเสื้อของเขาคลุมให้น้องกลัวน้องจะ
เปียก กลัวน้องไม่สบาย น้องสาวจำได้จนทุกวันนี้ และไม่เคยลืมพี่
ที่แสนดีคนนี้เลย...
ขอบคุณ...ที่ทำให้นึกถึงพี่ชายที่แสนดีของตัวเองค่ะ
โดย: Dangjarunun 10 ตุลาคม 2553 8:54:46 น.
ทักทายเช้าวันหยุดค่ะ คุณ wicsir
และขอบคุณที่ไปเจิมบล๊อคให้ยุ้ยด้วยนะค้า
วันนี้พักผ่อนมีความสุขมากมายนะคะ
HappY SundaY ka !!
โดย: nLatte 10 ตุลาคม 2553 9:42:19 น.
รู้ว่าเป็นอะไรยังไงก็สบายใจขึ้นนะคะ
สุขสันต์วันหยุดค่ะ
คุณwicsir คงได้พักผ่อนบ้างนะคะ
โดย: Sweety-around-the-world 10 ตุลาคม 2553 14:04:12 น.
คุณ wicsir สบายดีนะคะ ขอบคุณที่แวะไปเยี่ยมกันเสมอค่ะ...
โดย: น้ำค้างเดือนหก 10 ตุลาคม 2553 21:35:16 น.
สวัสดียามเช้าค่ะ
วันนี้ดี.มารับไปคลายโลกร้อน .. ด้วยธรรมะนะคะ
โดย: d__d (มัชชาร ) 11 ตุลาคม 2553 4:43:46 น.