bloggang.com mainmenu search




พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
ในพระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเทียร





น้อมบังคมพระแม่เจ้า................จอมสมร
เคียงคู่พระภูธร........................ปิ่นแก้ว
พระบารมีรุ่งขจร......................จรัสโลก
เฉิดพระโฉมเพริศแพร้ว....เปี่ยมท้นพระบารมี


ขอกษัตริย์ท่านไท้.................เกษมสานต์
ทวยเทพนักบุญบาน...................จากฟ้า
ชนมายุยืนนาน.............คลาดพ้น กษัยนา
ข้าบาททุกแหล่งหล้า....นบเกล้าถวายพระพร


ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ
ข้าพระพุทธเจ้า คณะผู้จัดทำนิตยสาร Hello





Magic Beams - Hucky Eichelmann




ยังไม่หมดเดือนสิงหาคม บรรยากาศวันแม่ยังพอกรุ่น ๆ อยู่ ขออัพบล็อกถวายพระพรส่งท้าย เพิ่งอ่านบทความ "เฉลิมพระเกียรติ ๘๑ พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ" ในหนังสือ Hello ฉบับเดือนนี้ ซื้อหนังสือช้าไปหน่อย ไม่งั้นคงได้อัพก่อนบล็อกนิทรรศการแม่ของแผ่นดิน ชอบหนังสือนี้อยู่อย่างคือ ถึงเดือนวันเฉลิมฯ ของทั้งสองพระองค์เมื่อไหร่ จะมีบทความดี ๆ มาให้อ่าน และอัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์ที่หาชมได้ยากมาให้ชมเสมอ เล่มของเดือนนี้ก็เช่นกัน อ่านแล้วชอบมาก ๆ แต่เนื้อหายาวจัด เลยขอนุญาตตัดตอนลงบล็อกเพียงบางส่วน (แต่ก็ยังยาวอยู่ดี แฮะ แฮะ ไว้ว่าง ๆ ค่อยกลับมาพิมพ์เนื้อหาทั้งหมดลงบล็อกอีกที) แต่เรื่องราวน่าประทับใจแบบนี้ ถึงยาวแค่ไหนก็อ่านได้ไม่รู้เบื่อ คิดว่าเพื่อน ๆ ก็คงคิดเหมือนเรา


ฑีฆายุกา โหตุ มหาราชินี
ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ


ข้าพระพุทธเจ้า บล็อกเกอร์ไฮกุ








สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ มีพระชาติกำเนิดในราชสกุลกิติยากร พระนาม 'สิริกิติ์' ทรงได้รับพระราชทานจาก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ อันมีความหมายว่า 'ศรีแห่งกิติยากร' นั้นเป็นดังพรพระราชทานอันแสนประเสริฐและคำทำนายที่แม่นยำดังวันเวลาที่ล่วงไป และปรากฏในหัวใจคนไทยจนถึงทุกวันนี้


ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ปี ๒๕๕๖ นี้ นิตยสาร Hello ได้รับเกียรติจาก ม.ร.ว.กิติวัฒนา (ไชยันต์) ปกมนตรี กรุณาบอกเล่าถึงเรื่องราวของสมเด็จฯ เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์และสถิตในพระนาม 'หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร' ซึ่งยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของคุณหญิงมิรู้ลืม มาให้ผู้อ่านทุกท่านได้ร่วมชื่นชมในพระบารมีและพระราชจริยวัตรอันแสนงดงามเช่นกัน






"ภาพแรกที่อยู่ในความทรงจำของดิฉันคือ ภาพงานฉลองพระชันษา ๕ รอบ ม.จ.อัปสรสมาน กิติยากร พระชายาในพระบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ ต้นราชสกุลกิติยากร เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘o ทรงฉาย ณ วังกรมพระจันทบุรีฯ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า "วังปากคลองผดุงกรุงเกษม" อยู่ด้านหลังวชิรพยาบาล ทรงฉายพร้อมพระโอรส-ธิดาทุกองค์ และในบรรดาพระโอรส-ธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีฯ ซึ่งมีจำนวนทั้งหมด ๒๕ องค์นั้น มี ม.จ.นักขัตรมงคล กิติยากร (พระยศในขณะนั้น) พระบิดาใน สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และ ม.จ.พัฒนคณนา (กิติยากร) ไชยันต์ ท่านแม่ของดิฉันรวมอยู่ด้วย"





พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงฉายร่วมกับครอบครัวของ ม.ร.ว.สิริกิติ์



"ตรงเบื้องพระบาทของท่านยาย มีเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ อายุไล่เลี่ยกัน ๔ คน นั่งเรียงรายกัน จากขวา คนที่ ๒ คือ ดิฉัน ถัดขึ้นมาเป็น ม.ร.ว.ธีรา โสณกุล (พระธิดาใน ม.จ.กัลยางค์สมบัติ กิติยากร และ ม.จ.มุรธาภิเศก โสณกุล) ญาติผู้พี่ของดิฉัน ถัดจากนั้นเป็นเด็กหญิงร่างเพรียวบาง สวมกระโปรงชุดสีอ่อน มีดอกเล็ก ๆ โปรยทั่วตัวเสื้อ ผมตัดสั้นแค่ใบหู รวบด้านข้างเป็นกำ ผูกโบใหญ่ไว้ข้างหนึ่งตามสมัยนิยมของเด็กหญิงสมัยนั้น เด็กหญิงผู้นี้คือ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร ซึ่งต่อมาคือ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ





(ซ้าย) ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร ในวัยเด็ก (ขวา) ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร และน้องสาว ม.ร.ว.บุษบา กิติยากร



"งานฉลองในวันนั้น ดิฉันจำได้แม่นว่าเริ่มต้นด้วยการที่ครอบครัวของพระโอรส-ธิดา และผู้ที่มาร่วมงานทยอยกันเข้าถวายน้ำสรงและขอประทานพร การถวายน้ำสรงนี้แตกต่างจากการ 'รดน้ำดำหัว' ของคนในสมัยนี้มาก เพราะในแต่ละครอบครัวจะค่อย ๆ รินน้ำอบไทยหอมกรุ่นจากขวดแก้วเจียรไนลงในหัตถ์ที่ทรงแบรับ ภาชนะที่ใช้รองรับน้ำอบไทยที่ไหลจากหัตถ์เป็นพานทอง เมื่อท่านยายประทานพรแล้ว ผู้ถวายน้ำสรงจะถวายผ้าทรง เป็นซิ่นไหมหรือผ้าลายจับจีบอย่างประณีต ผูกติดเป็นคู่กับผ้าตัดฉลองพระองค์ซึ่งจับจีบอย่างประณีตด้วยโบใหญ่ เมื่อพิธีถวายน้ำสรงเสร็จ ความสนุกของเด็ก ๆ ก็เริ่มขึ้น ระหว่างที่เหล่าผู้ใหญ่สังสรรค์เฮฮาเดินเตร่กันตามร้านอาหารที่มาออกร้านมากมาย จุดสนใจของเด็ก ๆ คือ ต้นไม้ต้นใหญ่ที่มีของขวัญผูกห้อยอยู่พร้อมไม้สอย เด็ก ๆ ต่างแย่งกันสอยของขวัญแต่ละชิ้นเป็นที่ถูกใจ และในความจำของดิฉัน ม.ร.ว.สิริกิติ์ ได้อยู่ร่วมงานตลอด ดูเป็นคนร่าเริงและอารมณ์ดีกว่าพี่น้องคนอื่น และด้วยความที่เธอมีอายุแก่กว่าดิฉันแค่ปีเดียว ทำให้ดิฉันจำเธอได้ดีมากกว่าพี่น้องคนอื่นที่มีอายุห่างกัน





พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ ต้นราชสกุล กิติยากร



"ท่านแม่เคยเล่าให้ฟังว่า ครอบครัวของ ม.ร.ว.สิริกิติ์ต้องเจอมรสุมร้ายทางการเมือง หลังเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ เพราะหัวหน้าครอบครัวมีตำแหน่งสำคัญทางการทหาร หลังม.ร.ว.สิริกิติ์กำเนิดได้ไม่นาน พระบิดา มารดา (ม.ล.บัว) ต้องพาโอรสทั้งสองไปรับหน้าที่ตำแหน่งในยุโรป ฝากม.ร.ว.สิริกิติ์ไว้ในความดูแลของท่านยาย หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดกบฏบวรเดชในปี พ.ศ. ๒๔๗๖ ท่านยายได้ทรงอพยพครอบครัวรวมทั้ง ม.ร.ว.สิริกิติ์ หนีภัยการเมืองรอนแรมกลางทะเลอยูในเรือเดินสมุทรชื่อเรือ "ภาณุรังษี" ที่สงขลา แต่ด้วยดวงชะตาที่จะเป็นคู่พระบารมี ม.ร.ว.สิริกิติ์ ซึ่งเป็นเด็กบอบบาง รับประทานน้อย นอนยากจึงแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยเป็นโรคภัยใด ๆ จนเหตุการณ์สงบ ท่านยายจึงทรงนำครอบครัวกลับพระนครอย่างปลอดภัย"





หม่อมเจ้าอัปษรสมาน กิติยากร



หลังจากงานฉลองวันประสูติของ ม.จ.อัปษรสมาน ผ่านไปได้เพียง ๒ ปี ศูยน์รวมดวงใจของทุกองค์และทุกคนในราชสกุลกิติยากรในเวลานั้นก็สิ้นชีพตักษัย วังปากคลองผดุงกรุงเกษมก็หมดสภาพความเป็นวัง พระโอรส-ธิดาต่างทรงแยกย้ายกันไป ตัวตำหนักก็ถูกขาย ม.ร.ว.กิติวัฒนา จึงมิได้พบ ม.ร.ว.สิริกิติ์ ไประยะหนึ่ง จนชะตาชีวิตนำมาให้พบกันอีกครั้งหนึ่ง ณ โรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์


"วันที่ดิฉันเห็น ม.ร.ว.สิริกิติ์ ย้ายเข้ามาเรียนนั้นแปลกตากว่าที่เคยเห็น เพราะดูสูงเพรียวขึ้นมาก แต่งเครื่องแบบนักเรียนที่ดูงดงามกว่าคนอื่น ด้วยกระโปรงสีแดงจีบเป็นพลีตใหญ่ ๆ รอบตัว สวมเสื้อแบบนักเรียนคอนแวนต์สีขาวสะอาด แขนยาวจดข้อมือ ปักอักษรย่อ ร.ซ.ฟ. ที่หน้าอกเบื้องซ้าย ผูกเนกไทสีแดง ไว้ผมยาวแสกกลาง ถักเป็นเปียสองข้างแล้วทบปลายขึ้นผูกด้วยโบใหญ่สีแดงที่สองข้างหู ใบหน้าเรียวยาว ผิวพรรณผ่องใส ดวงตาสวยงามมีแววฉลาดและร่างเริงไม่ต่างจากที่เคยเห็นเมื่อยังเป็นเด็กเล็ก ๆ ด้วยกัน แล้วอย่างที่เล่า ชั้น ป.๑ กับ ป. ๒ ใช้ห้องเรียนเดียวกัน ดิฉันจึงได้เห็นเธอถนัดตา ม.ร.ว.สิริกิติ์ เป็นเด็กกล้า พูดจาฉะฉาน และผูกมิตรกับเพื่อนใหม่ได้ง่าย จึงไม่ยากที่จะปรับตัวให้เข้ากับที่เรียนใหม่"





พระรูปในงานฉลองพระชันษา ๖o ปี หม่อมเจ้าอัปษรสมาน กิติยากร ทีวังปากคลองผดุงกรุงเกษม



"...พอระฆังดัง เด็ก ๆ ก็วิ่งออกมาจากห้อง และดิฉันก็เห็นเด็กหญิงร่างท้วมหน้าตาน่ารัก ตัดผมสั้นแค่หู แสกข้างรวบผมข้างหนึ่งเป็นกำผูกโบแดง จำได้ทันทีว่าเป็น ม.ร.ว.บุุษบา ซึ่งย้ายมาเรียนที่นี่ด้วย แต่เรียนชั้นมูล (สมัยนี้คือชั้นอนุบาล) วิ่งเข้ามาหาพี่สาว สองพี่น้องพากันไปหาที่นั่งและนำกล่องอาหารว่าง ซึ่งเป็นขนมปังหวานชนิดต่าง ๆ มาเปิดออกรับประทานกัน และพูดคุยกันน่ารัก ดิฉันจำได้ เพราะรู้สึกอิจฉาที่ตัวเองไม่มีพี่สาวหรือน้องสาวที่น่ารักอย่างนี้"


"พอรับประทานอาหารกลางวันเสร็จก็แยกย้ายกันไปเล่น ม.ร.ว.สิริกิติ์ จะร่วมเล่นกับเพื่อน ๆ อย่างสนุกสนาน กีฬาที่โปรดปรานมักเป็นวิ่งเปี้ยว หรือกระโดดเชือก และที่จำได้คือ ไม่ว่าเธอจะเล่นซนอย่างใด แต่เครื่องแต่งกายและเนื้อตัวยังคงดูเรียบร้อย สะอาด ไม่มอมแมม ตอนเย็นหลังโรงเรียนเลิก สองพี่น้องจะอยู่เรียนเปียโนห้องเรียนประถมปีที่ ๓ ซึ่งมีเปียโนหลังใหญ่อยู่มุมห้อง"





พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้านักขัตมงคล และ มล.บัว กิติยากร



"ในช่วงสงคราม ฝ่ายสัมพันธมิตรมาทิ้งระเบิดเป้าหมายทางยุทธศาสตร์แถวบางซ่อน อยู่ใกล้สะพานพระรามหก แต่พลาดไปหล่นยังบ้านพักของ ม.ล.บัว โชคดีมากที่ ม.ล.บัวและธิดาทั้งสองแคล้วคลาดมาได้อย่างหวุดหวิด เมื่อสงครามสงบ นักเรียนเซนต์ฟรังฯ บางคนย้ายมาเรียนที่มาแตร์ฯ ดิฉันจึงได้ฟังเรื่องประหลาดยิ่งจากเพื่อน ๆ เหล่านั้นว่า ม.ร.ว.สิริกิติ์ ได้เล่าให้เพื่อน ๆ ฟังว่า มีหมอดูแขกคนหนึ่งมาที่ตำหนักของท่านพ่อ เห็นเธอเข้าก็ทายทักเธอว่า วันหนึ่งจะได้เป็นพระราชินี โดยที่ตัวเธอและเพื่อน ๆ ก็ไม่ได้ใส่ใจเพราะยังเด็ก ๆ กันอยู่..."






"ระหว่างที่ประทับศึกษาที่สวิส ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พ.ท. ม.จ.มุรธาภิเศก โสณกุล (พระยศขณะนั้น) ทำหน้าที่ราชองครักษ์ประจำพระองค์ด้วยองค์หนึ่ง ชายาของท่านคือ ม.จ.กัลยาค์สมบัติ ซึ่งเวลานั้นสิ้นชีพตักษัยแล้ว เป็นพระกนิษฐาในพระบิดาของ ม.ร.ว.สิริกิติ์ ม.จ.มุรธาภิเศก จึงได้ทรงสนิทสนมกับ ม.ร.ว.สิริกิติ์ มาต้งแต่เธอยังเยาว์ ดังนั้นในการเสด็จฯ เยือน ม.ร.ว.สิริกิติ์ ก่อนที่จะเป็นพระคู่หมั้น ณ กรุงปารีส ซึ่งพระบิดาของ ม.ร.ว.สิริกิติ์ ทรงเป็นเอกอัครราชทูตอยู่ จีงมักทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ท่านมุรธาภิเศกโดยเสด็จฯ บ่อย ๆ บางครั้งเสด็จฯ เพียงลำพังสองพระองค์ โดยผลัดกันทรงขับรถพระที่นั่ง เพราะท่านมุรธาภิเศกมีพระอนามัยดีและทรงแข็งแรงคล่องแคล่วมาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงทรงใช้ในเกือบทุกเรื่อง แม้แต่เรื่องการจัดการค่าใช้จ่ายส่วนพระองค์"


"ในระหว่างที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรเนื่องด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่สวิส ท่านมุรธาภิเศก ได้ทรงติดต่อเชิญ ม.ร.ว.สิริกิติ์ พร้อม ม.ล.บัว กิติยากร ให้มาเฝ้าถวายการพยาบาลที่นครโลซาน ตามพระราชโองการที่มีพระราชดำรัสหลังจากที่ทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ อย่างที่เล่าไปแล้วว่า ท่านมุรธาภิเศกทรงเป็น 'อาเขย' ของ ม.ร.ว.สิริกิติ์ และมีความรักใคร่คุ้นเคยกันมาก่อน ท่านจึงทรงเป็นผู้จัดหาโรงเรียนสตรีชื่อ Riante Rive ให้ ม.ร.ว.สิริกิติ์ และทำหน้าที่ผู้ปกครองจนกระทั่งทรงหมั้น"






"ตอนที่มีการประกาศข่าวว่าทรงหมั้นนั้น เป็นข่าววิทยุก่อนที่ภาพของ ม.ร.ว.สิริกิติ์ จะปรากฏในหนังสือพิมพ์ ทำให้คนไทยอยากรู้อยากเห็นเรื่องราวของพระคู่หมั้น เพราะเธอจากประเทศไทยไปตั้งแต่อายุประมาณ ๑๓ เศษ ครอบครัวดิฉันเองก็เหมือนคนไทยอื่น ๆ คืออยากเห็นภาพพระคู่หมั้นเป็นอย่างยิ่ง ท่านแม่ทรงค้นหาได้ภาพหมู่ที่เคยถ่ายร่วมกันตั้งแต่ ม.ร.ว.สิริกิติ์ อายุราว ๕ ปีมาพิจารณาและรำพึงว่า "โตขึ้นแล้วจะงามกว่านี้ไหม" ส่วนดิฉันก็นึกได้เพียงภาพเด็กหญิงร่างเพรียว ถักเปียพันทับไขว้กันด้านหลัง ผูกโบไว้ข้างหู ไม่อาจจินตนาการไปไกลกว่าเมื่อย่างสู่วัยสาวน้อย เธอจะงดงามแค่ไหน นอกจากความยินดีแล้ว ยังมีความภูมิใจลึก ๆ ว่า เคยมีโอกาสรู้จักพระคู่หมั้นมาตั้งแต่เริ่มจำความได้ และช่วงหนึ่งที่เป็นเด็กนักเรียนก็ได้ใกล้ชิดจนทราบว่าดีว่าเธอเป็นคนน่ารักแค่ไหน"






พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ กลับถึงพระนครพร้อมพระคู่หมั้น เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ คุณหญิงกิติวัฒนา ก็ได้เดินทางร่วมกับคณะครูและนักเรียนมาแตร์เดอีที่มายืนเฝ้ารอรับเสด็จฯ กันบนถนนราชดำเนิน ท่ามกลางประชาชนที่มารอชมพระบารมีกันเป็นจำนวนมาก


"จำได้ว่าวันนั้น พวกเราที่เป็นนักเรียนโรงเรียนมาแตร์เดอีถูกจัดให้ยืนบริเวณถนนราชดำเนิน ซึ่งเป็นเส้นทางเสด็จฯ ออกจากพระบรมมหาราชวังสู่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน คนมากันเยอะมาก ทุกคนมีความสุขที่จะได้ชมพระบารมี จนถึงวินาทีสำคัญ เมื่อรถยนต์พระที่นั่งแล่นผ่านมาช้า ๆ ท่ามกลางผู้คนส่งเสียงถวายพระพรและไชโยอื้ออึง รถพระที่นั่งแล่นช้าจนดิฉันเห็น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระคู่หมั้นได้ถนัดตา ม.ร.ว.สิริกิติ์ ที่ดิฉันเห็นในวันนั้นงดงามมาก ไม่อยากที่จะเชื่อว่าเป็นคนเดียวกับที่เห็นตอนเด็ก ๆ"


"พอกลับมาถึงบ้าน ท่านพ่อ (พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย) กับท่านแม่ซึ่งไปเฝ้ารับเสด็จฯ ในพระบรมมหาราชวัง ท่านแม่รับสั่งว่า แปลกพระทัยมากว่า วันเวลาที่ผ่านไปนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่รูปลักษณ์ของ ม.ร.ว.สิริกิติ์ จากเด็กหญิงที่ร่าเริง แจ่มใส ซุกซน มาเป็นผู้ที่งดงามแช่มช้อยอย่างหาผู้ใดเปรียบไม่ได้ ท่านแม่ยังรับสั่งอีกว่า ม.ล.บัว เมื่ออยู่ในวัยสาวก็เป็นสตรีที่มีรูปลักษณ์งดงามยิ่ง ม.ร.ว.สิริกิติ์ คงถ่ายทอดความงามมาจากผู้เป็นมารดานั่นเอง"






"หลังจากนั้นไม่นาน ดิฉันก็ได้รับแจ้งให้ไปร่วมซ้อมงานพระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเทียร ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเสด็จฯ มาทรงร่วมซ้อมด้วยพร้อมพระคู่หมั้น ดิฉันตื่นเต้นแทบกินไม่ได้นอนไม่หลับ พอถึงวันนั้น ท่านแม่ทรงพาดิฉันไปถึงพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ซึ่งเป็นพระที่นั่งต่อเนื่องกับพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ก่อนที่จะเคลื่อนสู่พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ดิฉันได้พบกับผู้ที่จะเชิญเครื่องร่วมกันทั้ง ๑๖ คน ทุกคนตื่นเต้นที่จะได้ชมพระบารมี รออยู่นานพอควร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็เสด็จฯ มาถึงพร้อมพระคู่หมั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงฉลองพระองค์ชุดสากลสีขาว พระพักตร์แจ่มใส ส่วนพระคู่หมั้นงดงามยิ่งนักในชุดผ้าซิ่นไหมไทยและเสื้อเข้ารูป โดยมี ม.ร.ว.บุษบาแต่งกายแบบเดียวกันโดยเสด็จฯ มาด้วย





พระคู่หมั้นกับคณะหม่อมเจ้า หม่อมราชวงศ์ ที่ได้รับเลือกให้เชิญเครื่องเฉลิมพระราชมณเฑียร
เป็นพระรูปที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงฉาย



"หลังจากมีพระราชปฏิสันถารกับเจ้านายผู้ใหญ่ครู่หนึ่ง พวกเราก็ได้รับคำสั่งให้คลานเข้าไปกราบถวายบังคมแทบพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทีละคน เมื่อกราบถวายบังคมแล้ว ดิฉันไม่ได้คลานถอยกลับมาแบบคนอื่น ๆ แต่คลานเลยไปกราบพระคู่หมั้นซึ่งยืนอยู่ไม่ห่าง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นัก เมื่อกราบเสร็จและเงยหน้าขึ้นก็เห็นรอยยิ้มของ ม.ร.ว.สิริกิติ์ในวัยเยาว์ที่ดิฉันยังจำได้เสมอ และได้ยินเสียงอ่อนหวานทักดิฉันด้วยประโยคที่ฝังใจจนทุกวันนี้ว่า "น้องแก้มพวง โตขึ้นเป็นกอง" ชื่อแก้มพวงเป็นชื่อเล่นของดิฉันที่เรียกกันเฉพาะบรรดาญาติในราชสกุลกิติยากร ดังนั้น เมื่อได้ยินพระคู่หมั้นเรียกดิฉันด้วยชื่อนี้จึงปลื้มใจที่สุด เพราะแสดงว่าเธอจำดิฉันได้ หลังจากซ้อมเสร็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์จะฉายภาพพระคู่หมั้น ณ บริเวณด้านนอกพระที่นั่ง และพระคู่หมั้นได้เรียกพวกเราให้ไปยืนถ่ายรูปหมู่ด้วย จำได้ว่า ตัวดิฉันยืนเกร็งไปหมด เพราะความยำเกรงพระบารมี ตอนหลังที่เอาภาพประวัติศาสตร์ที่เก็บไว้นี้มาดู ก็เห็นแต่ละคนค่อนข้างเกร็งเหมือนกัน มีพระคู่หมั้นและม.ร.ว.บุษบาเท่านั้นที่ยิ้มแย้มสวยงามเป็นธรรมชาติ






"เมื่อถึงวันพระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเทียร ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ ซึ่งเป็นพระราชพิธีภายใน ไม่มีการถ่ายทอดทางวิทยุเหมือนพระราชพิธีบรมราชาภิเษกก่อนหน้าซึ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงผ่านพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแล้วได้รับการเฉลิมพระปรมาภิไธยเป็น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศร รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามมินทราธิราช บรมนาถบพิตร และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนา ม.ร.ว.สิริกิติ์ ขึ้นเป็นสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีแล้ว เวลาประมาณ ๒ ทุ่ม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีเสด็จฯ ถึงพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ทั้งสองพระองค์ทรงพระดำเนินมาทรงยืนในริ้วขบวน ดิฉันจำได้แม่นว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี แต่งพระองค์ด้วยสีน้ำเงินอมม่วงเหลือบทองงดงาม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระภูษาโจงและฉลองพระองค์ไหมคอปิดแขนยาว รัดบั้นพระองค์ด้วยประคดกรองท้ิงชายยาว และทรงสร้อยสะพายเฉียงพระองค์ พระดุมเพชร ๕ พระดุมวูบวาบจับตา ฉลองพระบาทด้วยไหมเหลือบทองเข้าชุดกับฉลองพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงพระภูษาแบบซิ่นป้ายข้าง ฉลองพระองค์เข้ารูปคอแหลมโค้งน้อย ๆ ตามความนิยมของสมัยนั้น ทรงหิ้วพระกระเป๋าลักษณะคล้ายกระเป๋าร่างแหแบบโบราณสีทอง...






"หลังเสร็จพระราชพิธีฯ แล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พวกเราเข้าไปเฝ้ารับพระราชทานของที่ระลึกทีละคน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ดิฉันได้รับพระราชทานสิ่งของจากพระหัตถ์จึงตื่นเต้นมาก คลานแข้งขาสั่นด้วยความปลาบปลื้มปนความเกรงพระบารมี เข้าไปหมอบกราบเบื้องพระยุคลบาทและยกมือขวาขึ้นเอางาน และแบรับสิ่งของที่พระราชทานแล้วคลานถอยห่างออกมา ค่อย ๆ แง้มฝามือออกดูจึงพบว่าเป็นเสมาสำหรับห้อยคอ เป็นพระบรมรูป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้านหน้า ด้านหลังจารึกว่า 'พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พ.ศ. ๒๔๙๓' และดอกพิกุลทองและเงินดอกจิ๋วคู่หนึ่ง เมื่อเสด็จฯ ขึ้นแล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้าน สิ่งของล้ำค่านี้ดิฉันเก็บไว้ในเซฟของธนาคารอย่างดี






"หลังจากนั้นดิฉันได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ซึ่งต่อมาทรงได้รับการเฉลิมพระนามาภิไธยเป็น สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ อยู่บ่อยครั้ง ทั้งที่เป็นทางการและส่วนพระองค์ในวาระต่าง ๆ บางครั้งก็ได้ถวายงานรับใช้สนองเบื้องพระยุคลบาทด้วย ทรงพระเมตตาดิฉันเสมอ มีพระราชดำรัสเรียกดิฉันว่า 'น้องหญิง' นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่ง และดิฉันก็ขานพระนามว่า 'ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท' ทุกครั้ง กับพระสหายที่เคยเรียนมาด้วยกัน เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย หากทรงทราบก็จะพระราชทานความช่วยเหลือเกื้อกูลอย่างดี






"ตลอดระยะเวลานับตั้งแต่ประทับอยู่เคียงข้าง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็น 'นางแก้ว' คู่พระบารมีมานานกว่า ๖o ปี ทรงปฏิบัติพระราชภารกิจเพื่อความร่มเย็นเป็นสุข ทรงรักพสกนิกรทุกคนเหมือนดังลูกเสมอมา ในโอกาสที่วันเฉลิมพระชนมพรรษาเวียนมาบรรจบในปีนี้ ขอกราบถวายพระพรให้ทรงพระเจริญ ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง สถิตเป็นมิ่งขวัญของประชาชนไทยตลอดไป"







พระบรมฉายาลักษณ์ พระฉายาลักษณ์ พระรูป รูปและข้อมูลจาก
นิตยสาร Hello ฉบับเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖



บล็อกนี้ไม่ต้องโหวตก็ได้จ๊ะ แต่ถ้าอยากโหวตให้ ก็คลิกเลือกสองบล็อกข้างล่างเลย ขอบคุณมากค่า

หมวดศิลปะที่บล็อก ถนนสู่ขุนเขา

หมวดแฟนขวับที่บล็อก จากเจ้าพระยาถึงฝั่งโขง



เสพงานศิลป์บล็อกล่าสุด

เสพงานศิลป์ ๕๒



บีจีจากคุณลัคกี้ ไลน์จากคุณญามี่
กรอบจากคุณ ebaemi และคุณ goffymew


Free TextEditor


Create Date :27 สิงหาคม 2556 Last Update :11 สิงหาคม 2563 21:07:05 น. Counter : 24102 Pageviews. Comments :31