bloggang.com mainmenu search





บล็อกปาฐกถาของยิ่งลักษณ์ที่มองโกเลีย (๑)
บล็อกปาฐกถาของยิ่งลักษณ์ที่มองโกเลีย (๒)
บล็อกปาฐกถาของยิ่งลักษณ์ที่มองโกเลีย (๓)
บล็อกปาฐกถาของยิ่งลักษณ์ที่มองโกเลีย (๔)
บล็อกปาฐกถาของยิ่งลักษณ์ที่มองโกเลีย (๕)
บล็อกปาฐกถาของยิ่งลักษณ์ที่มองโกเลีย (๖)



"คำต่อคำ'ปาฐกถาขายชาติ' 'ดร.สมเกียรติ'


เมื่อวานนี้ (๘ พ.ค.) ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล รองประธานกรรมการบริหารสายงานข่าวและรายการ สำนักข่าว Spring News ได้ทำการวิจารณ์ สุทรพจน์ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ณ ที่ประชุมระดับรัฐมนตรีประชาคมประชาธิปไตย ผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว และมีการนำออกมาเผยแพร่ทางโซเชี่ยลเนตเวิร์คกันอย่างแพร่หลาย โดยมีเนื้อหาที่ตัดมาบางส่วนบางตอน ดังนี้

การประชุมที่เกิดขึ้น ที่กรุงอูลานบาร์ตาร์ มองโกเลีย ไม่ใช่การประชุมในระดับผู้นำรัฐบาลในประเทศสมาชิก นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ไม่จำเป็นต้องร่วมประชุม เพียงแต่เจ้าภาพเชิญไปกล่าวสุนทรพจน์ นำประชุม มิใช่การร่วมประชุม

นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ประเมินคนทั้งโลก โดยมิได้ยกเว้นประเทศไทย ว่ามีส่วนในการต่อต้านและทำลายประชาธิปไตย แสวงหาความมั่งคั่ง เอาเปรียบประชาชน ซึ่งในความเป็นจริง ทักษิณ ชินวัตร ควรถูกจัดอยู่ในหมวดนี้ด้วย แต่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้หมายความเช่นนั้น

ที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ บอกว่า พม่าเป็นประชาธิปไตย แสดงว่านายกฯ มิได้รู้เรื่องการเมืองในพม่าจริง เพราะพม่ายังคงกันที่นั่งในวุฒิสภา และสภาผู้แทนฯ ให้ทหารอยู่ โดยที่ไม่ผ่านการเลือกตั้ง ที่สำคัญรัฐธรรมนูญในพม่ายังกันมิให้นางอองซาน ซูจี มิให้มีวันเป็นประธานาธิบดีได้เลย ด้วยการร่างกฏหมายความเกี่ยวดองกับคนต่างชาติจะไม่สามารถขึ้นดำรงตำแหน่งสูงสุดในประเทศได้

การที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์จะไปพูดขอให้ที่ประชุมแทรกแซงประเทศที่ไม่เป็นประชาธิปไตยในอาเซียน หรือที่ไหน ๆ ในโลกย่อมไม่ได้ เพราะข้อบังคับในกฎบัตรอาเซียนมิได้ให้รัฐสมาชิกทั้งสิบเป็นประชาธิปไตยเลย ใครจะเป็นหรือไม่เป็นประชาธิปไตยมากน้อยแค่ไหนอาเซียนจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวในกิจการภายในของแต่ละประเทศ

แต่ละประเทศก็มีการก่อร่างสร้างประชาธิปไตยในแบบของตน ในประเทศไทยก็เช่นกัน เมื่อมีการยึดอำนาจโดยอ้างเหตุผลว่าประชาธิปไตยล้มเหลว ยึดอำนาจได้แล้วก็สร้างกระบวนการประธิปไตยกันใหม่ ผิดบ้างถูกบ้าง ตามแต่การวิเคราะห์ แต่ท้ายสุดก็กลับมาสู่รูปแบบประชาธิปไตยในบริบทของสังคมไทยเท่าที่จะรับกันได้ แต่นายกฯ ยิ่งลักษณ์เห็นว่ามีพลังต่อต้านประชาธิปไตยอยู่ในประเทศไทยอย่างไม่เสื่อมถอยแม้ทุกวันนี้ โดยยกเรื่องเล่าจากประสบการณ์ของครอบครัวชินวัตรของตนมาให้ที่ประชุมรับฟัง สุนทรพจน์จากนี้ไปเป็นเรื่องส่วนตัวของครอบครัวชินวัตรโดยเน้นพี่ชายของนายกฯ เองว่าถูกทำลายและล้มอำนาจโดยพลังต่อต้านประชาธิปไตยในประเทศไทย

สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญจังหวัดสุพรรณบุรี  ปี ๒๕๔o ท่านหนึ่ง เคยเล่าว่า คุณทักษิณมีพฤติกรรมในการจัดตั้งคะแนนเพื่อตนเองโดยจ่ายเงินให้ผู้สมัครคนอื่นที่ตกลงว่าจะเป็นผู้ช่วยลงคะแนนให้นี้้ เปรียบได้ว่าเป็นการซื้อเสียงแบบหนึ่ง คุณทักษิณ ผู้เป็นพี่ชายนายกฯ ยิ่งลักษณ์มีพฤติกรรมไม่ส่งเสริมประชาธิปไตยแบบโปร่งใสมาแล้วดังปรากฏในปี ๒๕๔o

พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งสองครั้งจริงตามที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์กล่าวในสุนทรพจน์ แต่การทุจริตประพฤติมิชอบของคุณทักษิณผู้เป็นพี่ชายนายกฯ ยิ่งลักษณ์เป็นสาเหตุอย่างหนึ่งที่คณะทหารอ้างในการเข้ายึดอำนาจ เป็นลักษณะการใช้อำนาจการเมืองและการเงินแฝงมากับตราประทับความเป็นประชาธิปไตยจากการเลือกตั้ง

ถือว่าพี่ชายของนายกฯ ยิ่งลักษณ์มาจากการเลือกตั้งที่ถูกต้องชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญแน่นอน แต่คำภาษาอังฤษที่ใช้ควรจะเป็น “Constitutionally elected” ไม่ใช่ “rightfully elected” เพราะการเลือกตั้งในประเทศไทยมักจะมีการซื้อเสียงโดยนักการเมืองทุจริตและขายเสียงโดยประชาชนที่ขาดความภูมิใจในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

นายกฯ ยิ่งลักษณ์ใช้คำว่า “suffering” และบอกว่าตัวของท่านเองและครอบครัวของท่านได้รับ suffering แปลว่า “ต้องทุกข์ทรมาน” ทั่งที่ตามที่ปรากฏนายกฯ ยิ่งลักษณ์ และครอบครัว ไม่เห็นพบความทุกข์ทรมาน แต่หากจะหมายถึงคุณทักษิณ และครอบครัว ก็ไม่พบความทุกข์ทรมานเช่นกัน หากแต่ได้รับเพียงผลกระทบที่ถูกยึดทรัพย์ที่ศษลพิพากษาว่าได้มาโดยมิชอบเท่านั้น และการไปอยู่ต่างประเทศของพี่ชาย เขาก็เลือกไปเองโดยไม่กลับมา แล้วก็ได้ Skype มาบอกสมาชิกพรรคว่า อยู่ต่างประเทศสุขสบาย ไม่มีความทุกข์อะไร การใช้ชื่อครอบครัวตัวเองโดยเหมารวมทั้งตระกูลว่าได้รับผลกระถึงขั้น “ทุกข์ทรมาน” หรือ “suffering” จึงเกินความเป็นจริง

ไม่ปรากฎว่าโครงการต่าง ๆ ของ “พี่ชายของดิฉัน” ถูกยกเลิกตามที่นายกฯ อ้าง รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์สานต่อโครงการต่าง ๆ จนกลายเป็นประชานิยมแบบเดียวกับพี่ชายนายกฯ ด้วย จนเป็นเรื่องที่น่าตำหนิ สุนทรพจน์ช่วงนี้นายกฯ ยิ่งลักษณ์พูดไม่ถูก

ต่อเนื่องกันจากข้อ ๙ เมื่อไม่มีการยกเลิกโครงการของพี่ชายนายกฯก็ไม่มีประเด็นเรื่องเสรีภาพประชาชนถูกยึด สมมุติว่าจะมีการยกเลิกโครงการประชานิยมบางโครงการ ก็หมายความเพียงยกเลิกโครงการ ไม่เกี่ยวกับการยึดสิทธิเสรีภาพอะไรของใครเอาไปทิ้งที่ไหน

รัฐบาลไทยสมัยนายกฯ อภิสิทธิ์ มิได้ “กำจัดกวาดล้างขบวนการเสื้อแดง” ตามที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์กล่าวหา แต่เป็นการทำหน้าที่ตามอำนาจที่มีอยู่ตามกฎหมายจัดการกับการชุมนุมที่ไม่เป็นไปตามหลักประชาธิปไตย ก่อความไม่สงบในที่สาธารณะ เป็นการชุมนุมที่ใช้ความรุนแรง มีอาวุธในรูปแบบต่าง ๆ เป็นอันตรายต่อความสงบสุขสาธารณะในสังคมที่ควรเคารพหลักประชาธิปไตย

การซุ่มยิง หรือไม่ซุ่มยิงเป็นพฤติกรรมที่ปรากฎรับเป็นความจริงได้ แต่การซุ่มยิงหรือแอบซ่อนเพื่อทำร้ายผู้อื่นนั้นทำกันทั้งสองฝ่าย และการทำร้ายร่างกายกันต่อหน้าก็มีปรากฏกระจายทั่วในเวลานั้น เป็นหน้าที่รัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์จะต้องเร่งกระบวนการสอบสวนหาความจริงให้ถ่องแท้ เพราะ “นางสาวยิ่งลักษณ์” เป็น ฯพณฯ นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ของคนไทยทั้งประเทศ ทั้งทีถูกกระทำและกระทำ มิได้เป็นเพียงน้องสาวของพี่ชายชื่อทักษิณ ชินวัตร เท่าทั้น 

คำว่า “ถูกบดขยี้” แปลจากต้นฉบับภาษาอังกฤษว่า “crushed” เป็นการใช้คำที่รุนแรงมาก ใช้ได้กับ “กองทัพนาซีเข้าบดขยี้ยุโรป”  ไม่เหมาะสมที่จะมาใช้อธิบายการปราบการจราจลหรือการก่อเหตุร้ายโดยผู้ชุมนุมบนท้องถนนในประเทศไทย เพราะไม่มีการบดขยี้ใครที่ไหน  มีแต่การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ผิดบางถูกบ้างแล้วแต่จะคิดหรือสืบค้นความจริง มีการ “กระชับพื้นที่” และการ “ยิงตอบโต้” กัน การใช้คำว่า “crushed” นั้นไม่เหมาะสม เป็นการแสดงอารมณ์ และกล่าวร้ายการทำงานของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ของนายกฯ อภิสิทธิ์ในครั้งนั้นอย่างไม่เป็นธรรม เป็นการให้ร้ายทางวจีกรรม

นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ใช้คำว่า “นักโทษการเมือง” ไม่ได้ ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มสีไม่ใช่เรื่องอุดมการณ์ทางการเมือง แต่เป็นความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ มุมมอง ความคิด เชิงนโยบายของกลุ่มพรรคหรือการปกป้องและต่อต้านผู้นำของคนเสื้อแดง ประเทศไทยไม่มีนักโทษการเมืองตามคำนิยามสากลนี้ ถ้าจะมีก็มีนักโทษที่ทำกิจกรรมทางการเมืองแล้วต้องข้อหาคดีอาญา หากใครถูกจับกุมคุมขังต้องรับโทษเพราะความคิดทางการเมืองก็ถือได้ว่าเป็น “นักโทษการเมือง” ถ้านายกฯ ยิ่งลักษณ์คิดว่ามีนักโทษการเมืองอยู่ในประเทศไทย ก็จะต้องหาทางจัดการให้ความเป็นธรรมกับนักโทษเหล่านั้นโดยเร่งด่วนทันที จะไปเล่าเรื่องที่ควรทำได้แต่ไม่ทำให้ชาวต่างชาติฟังเฉยๆไม่ได้ และควรกลับมาบอกคนไทยด้วยว่าจะช่วยเหลือกันอย่างไร

การจัดการเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่เรื่อง “จำต้องทำ” ด้วยถูกใครบังคับ

นายกฯ ยิ่งลักษณ์กล่าวหาพรรคประชาธิปัตย์และใครอื่นก็ตามที่เกี่ยวข้องโดยไม่เอ่ยชื่อว่า มีการเตรียมการโกงการเลือกตั้ง ข้อกล่าวหานี้เป็นเรื่องที่ผู้ถูกกล่าวหาจะจัดการแก้ข้อกล่าวหานี้เอาเอง การกล่าวหาผู้อื่นเช่นนี้ไม่เหมาะสมสำหรับผู้เป็นนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะการกล่าวหาโดยไม่มีหลักฐานยืนยัน และกล่าวต่อหน้าที่ประชุมนานาชาติ

นายกฯ ยิ่งลักษณ์และพรรคของท่านได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงข้างมากถูกต้องสมบูรณ์ มีความชอบธรรมในการบริหารประเทศและแก้ปัญหาทั้งหลายที่ท่านเล่าให้ชาวต่างชาติฟังได้ และควรแก้มากว่าปีแล้ว แต่ยังไม่ได้แก้ จึงมีเรื่องให้บ่นบอกกับชาวต่างชาติมากมาย

ไม่ปรากฏว่ามีกลุ่มใดในประเทศไทยต่อต้านประชาธิปไตย มีกลุ่มไม่พอใจรัฐธรรมนูญบางมาตรา (กลุ่มนายกฯและรัฐบาล), มีคนไม่เอารัฐธรรมนูญทั้งฉบับและอยากให้ร่างใหม่หมดทั้งฉบับ (ผมเอง), มีกลุ่มต้องการระบบสาธารณรัฐ, มีกลุ่มต้องการรูปแบบการเมืองการปกครองที่แตกต่างหลากหลาย แต่ทั้งหมดไม่ใช่การต่อต้านประชาธิปไตย แต่เป็นความต้องการประชาธิปไตยในรูปแบบที่ต่างกันเท่านั้น

รัฐธรรมนูญปัจจุบันไม่ได้ร่างโดยรัฐบาลคณะรัฐประหาร ถ้าจะกล่าวสุนทรพจน์ให้ถูกต้อง ต้องกล่าวว่ารัฐธรรมนูญร่างโดยคณะผู้ร่างที่จัดตั้งโดยฝ่ายทหารผู้ยึดอำนาจ รัฐบาลไม่เกี่ยว สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (ที่ผมเป็นสมาชิกอยู่ด้วย) ก็ไม่มีส่วนร่วมร่างรัฐธรรมนูญ เรื่องนี้นายกฯ ยิ่งลักษณ์พูดผิด

ถูกต้องที่นายกฯ พูดว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันสร้างกลไกจำกัดประชาธิปไตยจำนวนมากรวมทั้งกลไกการตั้งองค์กรของรัฐที่เป็นอิสระ จึงควรที่รัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์จะได้จัดการแก้ไขโดยร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ตามที่ผมเสนอไว้นานแล้ว แม้เท่าที่รัฐบาลและผู้แทนราษฎรฝ่ายรัฐบาลกำลังขอแก้รัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราอยู่ในเวลานี้ ก็มิได้ใส่ใจที่จะแก้ไขมาตราที่ว่าไม่เป็นประชาธิปไตย นายกฯ ยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยของท่าน กับมวลชนเสื้อแดงของท่านก็ไม่สนใจที่จะเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ไม่สนใจความไม่เป็นประชาธิปไตยในรัฐธรรมนูญอย่างจริงจังเลย

นายกฯ ยิ่งลักษณ์ไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องวุฒิสภาเลย องค์ประกอบของวุฒิสภาเป็นความหลากหลายตามบริบทประชาธิปไตยของแต่ละสังคม ไม่ใช่ความเลวร้ายที่ต้องถูกประจานให้ชาวโลกเย้ยหยัน เพราะชาวโลกจะเข้าใจและอาจส่งผลให้เย้ยหยันสวนทิศทาง

องค์กรของรัฐที่เป็นอิสระเกิดขึ้นตามรัฐธรรมนูญ โดยมีจุดมุ่งหมายแบ่งใช้อำนาจรัฐเพื่อประชาชน ด้วยเหตุที่อาจมีรัฐบาลที่ไม่เป็นธรรม รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอาจทุจริตเห็นแต่ประโยชน์ตนเองเหนือประโยน์ประชาชนได้

เวลาบริหารประเทศผ่านไปกว่าปี นายกฯ ยิ่งลักษณ์ยังไม่มีนโยบายและแผนงานการปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาเรื่องประชาธิปไตยในสถานศึกษาและหลักสูตรการศึกษาสาธารณะแต่อย่างใด แม้การแสดงความคิดเห็นในที่สาธารณะของกลุ่มผู้สนับสนุนนายกรัฐมนตรีที่ท่านนายกฯ เรียกว่า “พวกเสื้อแดง” ก็ยังขาดการศึกษาและวัฒนธรรมประชาธิปไตย เรื่องนี้ยังไม่ควรตำหนินายกฯ มากนัก เพราะเป็นครั้งแรกในชีวิตการเป็นนายกรัฐมนตรีที่นายกฯ พูดเรื่องประชาธิปไตยด้วยความห่วงใยและปราถนาดีและคิดหาทางสร้างประชาธิปไตยด้วยการศึกษาเป็นเครื่องมือนำทาง นายกพูดด้วยตัวเองด้วย! นายกฯ จะเริ่มทำเมื่อไรจะเฝ้าติดตามด้วยความสุขใจ หากยังไม่ทำก็จะเฝ้ารอคอยด้วยความทุกข์ใจ

ช่วงนี้นายกฯ ยิ่งลักษณ์ย้ำกับชาวต่างชาติ ๑o๖ ประเทศในที่ประชุมที่อูลันบาตอร์ว่ามีกระบวนการต่อต้านประชาธิปไตยอยู่ในประเทศไทย ขอร้องประเทศสมาชิกประชาคมประชาธิปไตยทั้งหลายในที่ประชุมได้โปรดร่วมมือกับท่านกดดันกลุ่มต่างๆ และไม่ยอมคบค้าสมาคมด้วยกับกลุ่มคนไทยที่สร้างขบวนการต่อต้านขัดขวางประชาธิปไตยในประเทศไทยที่ว่านั้นด้วย  นายกฯยิ่งลักษณ์มิได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับกลุ่มคนไทยที่ท่านกล่าวถึงนี้ว่าเป็นใคร แต่ก็แสดงว่านายกฯ ยิ่งลักษณ์มีหลักฐานจึงกล้าบอกชาวต่างชาติว่ามีกลุ่มต่อต้านประชาธิปไตยในประเทศไทยจริง แถมท่านยังขอความช่วยเหลือจากชาวต่างชาติในที่ประชุมให้ช่วยจัดการกดดันร่วมกับท่านด้วย ส่วนผมไม่เห็นว่าจะมีกลุ่มที่ว่านี้จริงตามที่นายกฯพูด

ตอนท้ายสุนทรพจน์ นายกฯ ยิ่งลักษณ์เตือนที่ประชุมว่าท่านกำลังพูดเรื่องครอบครัวของท่านเป็นสำคัญ โดยกลับมาใช้คำว่า “ทุกข์ทรมาน” หรือ “sufferings” อีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้เติม “s” ให้เป็นพหูพจน์ ทำให้ได้ข้อสังเกตุว่า “ทุกข์ทรมาน” ไม่ใช่แค่ “ผลกระทบ” นั้นมากๆๆๆ เพราะเริ่มที่ทุกข์ทรมานส่วนตัวของครอบครัวของท่านนายกยิ่งลักษณ์เองก่อนอื่น (ดูลำดับความทุกข์ทรมานในประโยค) แล้วตามด้วยทุกข์ทรมานของผู้อื่น คือครอบครัวของผู้รับเคราะห์กรรมทางการเมือง ตามด้วยทุกข์ทรมานของครอบครัวผู้เสียชีวิต ๙๑ ครอบครัว การเขียนสุนทรพจน์แบบลำดับให้ความสำคัญครอบครัวนายกฯ มาก่อน ตามด้วยครอบครัวของประชาชนที่ถูกคุมขัง ต่อท้ายด้วยครอบครัวผู้เสียชีวิต ๙๑ ครอบครัว เป็นความใจร้ายและเห็นแก่ตัวของสุนทรพจน์ นายกฯ ควรแก้ลำดับครอบครัวใหม่ เอาข้างท้ายขึ้นข้างหน้า และเอาครอบครัวของนายกฯเองไว้ท้ายสุด เพราะสุนทรพจน์ครั้งนี้เป็นเรื่อง “ทุกข์ทรมาน” ของครอบครัวของนายกฯ กับครอบครัวของพี่ชายนายกฯ และครอบครัวประชาชนที่สนับสนุนพี่ชายนายกฯ

การเสียชีวิตหรือการ “นองเลือด” (ตามคำที่นายกฯเลือกใช้) ที่เกิดท่ามกลางการชุมนุมที่ใช้ความรุนแรงและไม่เป็นตามวิถีประชาธิปไตย ย่อมเกิดขึ้นได้อีก ถ้าประชาชนไม่มีการศึกษาและวัฒนธรรมประชาธิปไตย รัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์ต้องเร่งทำเรื่องการศึกษาว่าด้วยประชาธิปไตยให้รวดเร็วและกว้างขวาง


จากนสพ.แนวหน้า ๙ พค. ๒๕๕๖









"หญิงชั่ว - สำส่อน - ปัญญาอ่อน และขายชาติ"
อัญชะลี ไพรีรัก


"ภาพยิ่งลักษณ์ - เฉลิม และอนุดิษฐ์ ติดหนวดเหมือนจอมเผด็จการว่อนไปทั่วโซเชียลมีเดีย เป็นเรื่องจริงสะท้อนสายตาคนออนไลน์ที่มีต่อผู้นำรัฐบาล"

กระฉ่อนไปทั่วโลกแล้ว เมื่อมีมือดีดอดเข้าหลังบ้านป่วนเว็บไซต์ของสำนักนายกรัฐมนตรี แล้วทิ้งประโยคเก๋ๆ ให้นายกรัฐมนตรีหญิงได้อมยิ้มว่า

I’m a slutty moron นังหญิงสำส่อนปัญญาอ่อน ข้าง ๆ กันมีรูปนายกรัฐมนตรีกับท่วงท่าเฮฮาจริตจะก้านแพรวพราว

ประเด็นนี้ ขับให้นายกรัฐมนตรีหญิงของไทยโดดเด่นด้านฉาวโฉ่เสียยิ่งกว่าข่าว ว. ๕ ชั้น ๗ โฟร์ซีซั่นส์ เสียอีก

พ่อนักย่องเบาขวัญใจชาวออนไลน์ ยังมิวายทิ้งประโยคเล็ก ๆ ถนอมความรู้สึกนิด ๆ ว่า I know that I am the worst Prime Minister ever in Thailand history!!! ซึ่งแปลเป็นไทยได้ว่า “ฉันรู้ว่าฉันคือนายกรัฐมนตรีที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศไทย!!!” ไว้ตอนท้ายก่อนจากลาไปกบดาน

เท่านั้นละ...กระทรวงไอซีทีขนมือดีตามล่าหัวจอมแฮกไปทั่วโลกออนไลน์ เพียงชั่วข้ามคืน ตำรวจคอมพิวเตอร์ขนอาวุธยุทโธปกรณ์มากมายท่องไปทั่วทุกเว็บ ในที่สุดก็ตามหาตัวคนร้ายรายนี้เจอ นัยว่าเป็นเด็กหนุ่มเมืองใต้ที่เคยวาดลวดลายมาแล้วกับกรณีเจาะเว็บช่อง ๓ ตอนปิดละครเหนือเมฆ ๒

ภาพยิ่งลักษณ์ – เฉลิม และอนุดิษฐ์ ติดหนวดเหมือนจอมเผด็จการว่อนไปทั่วโซเชียลมีเดีย เป็นเรื่องจริงสะท้อนสายตาคนออนไลน์ที่มีต่อผู้นำรัฐบาล

ผู้นำหญิงที่เพิ่งไปอ่านสปีชบูชาประชาธิปไตยเหนือสิ่งอื่นใดที่ประเทศมองโกเลียจนเป็นที่มาของอนุสติเตือนใจจาก“ชัย ราชวัตร”ยอดนักการ์ตูนนิสต์เบอร์ ๑ ของประเทศไทยบนเฟซบุ๊คของเขาว่า “โปรดเข้าใจ กะหรี่มิใช่คนชั่วกะหรี่แค่หญิงขายตัว แต่หญิงคนชั่วมันเร่ขายชาติ” โพสต์เมื่อ ๓o เม.ย. ๒๕๕๖ เวลา ๑๓.๔๑ น.

ความที่กระทรวงไอซีทีและทุกหน่วยงานเต้นแร้งเต้นกาตามล่ามือป่วนเว็บที่ตบหน้ายิ่งลักษณ์จนรองพื้นแตกยิบ ทำให้ผู้คนบ่นพึมถึง ๒ มาตรฐาน หลังจากพบว่า ๒ ปีของรัฐบาลนี้บรรดาเว็บหมิ่นฯที่มีมากกว่าหมื่นเว็บ ไม่เคยได้รับการเหลียวแลที่จะแก้ไข แต่พอเว็บด่าปู ไม่ดูก็รู้ว่า “อนุดิษฐ์” เต้นเป็นเจ้าเข้าแค่ไหน

วงในของกลุ่มกะหรี่การเมืองไทยป้องปากกระซิบว่าความวัวไม่ทันหาย ความควายมาแทรก เรื่องหญิงชั่วขายชาติยังโกรธไม่จาง มาเรื่องหญิงสำส่อนปัญญาอ่อนอีกแล้ว งานนี้น้องสาวทรราชชาติชั่วหน้าเหลี่ยมโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ หน้ามืดหูอื้อ ด่าลิ้นรัว ตาแดงก่ำ น้ำตาปริ่ม ๆ จวนไหลมิไหลแหล่ ดีที่“ผัวหมออ้อม” อยู่แถวนั้น เลยมีไหลไว้ซ่อนหน้าที่แตกละเอียดยิบ

จริงอยู่ว่าการแฮกเว็บไซต์สำนักนายกฯนั้นเป็นเรื่องไม่ถูกต้องแต่ถ้าดูกันถึงที่มาที่ไป ก็คงเดาได้ไม่ยากว่า เกิดจากความอึดอัดต่อกระทรวง ICT ที่ปิดกั้นการวิจารณ์นายกฯผ่านสังคมออนไลน์เหมือนโลกเผด็จการ แทนที่ ICT จะเอาเวลามากำราบประชาชนที่เห็นต่าง น่าจะไปเร่งไล่จับขบวนการจัดทำเว็บหมิ่นสถาบัน ซึ่งจะได้ใจจากประชาชนมากกว่านี้

วันนี้นายกรัฐมนตรีหญิงของเรา ต้องต่อสู้กับวาทกรรม หยำฉ่าขายชาติ ที่ร้อนและหรากลางหน้าผาก

อีกเรื่องที่ร้อนใจไม่พ้นประเด็นของวงการการศึกษาที่มีนโยบายใหม่ให้ “ยุบโรงเรียนเล็ก ๆ” มารวมกันเพื่อตัดรายจ่าย ก็มีทั้งคนเห็นด้วยและเห็นต่าง

จะว่าไปนโยบายนี้ยืนยาวต่อเนื่องมาจากรัฐบาลก่อน แต่จตุปัจจัยในการยุบหรือยื้อนั้นต่างกัน

รัฐบาลอภิสิทธิ์เห็นชอบให้รวมโรงเรียนเล็ก ๆ น้อย ๆ กระจัดกระจายมารวมกันเป็นปึกแผ่น แต่ถ้าโรงเรียนห่างไกล ยังจำเป็นดำเนินต่อไป

แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์สั่งยุบโรงเรียนเล็ก ๆ เสีย เพื่อตัดรายจ่าย ที่ถลุงกับประชานิยมจนกระเป๋าฉีกไม่มีงบประมาณเพียงพอมาทำนุบำรุงขุนทุกโรงเรียนเล็ก ๆ ได้อีกต่อไป

ทว่าแท็บเลตกับเด็กไทย ยังยืนกรานเดินหน้าต่อไป...ใครจะด่าก็หาแคร์ไม่

เรื่องนี้มีผู้รู้วิจารณ์กันย่อยยับยุ่บยั่บแล้ว จึงอยากให้ลองอ่านความเห็นประชาชนคนธรรมดาจากโลกโซเชียลมีเดียบ้าง ซึ่งมีความหลากหลายต่อประเด็นการศึกษา

วันนี้เลือกหยิบของผู้ใช้ชื่อว่า @Kate Donthatemecauseim beautiful นำเสนอได้น่าสนใจมาก เพราะเธอเพิ่งไปที่เวียดนาม และนำเรื่องมาเล่าที่เฟซบุ๊คของเธอเกี่ยวกับนโยบายการศึกษาของเวียดนาม หลังเข้าสู่ยุคปรับปรุงพัฒนาประเทศดังนี้

“เวียดนามซึ่งปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์มาหลายปีตอนนี้ปลดแอกเรียบร้อย เป็นระบอบสังคมนิยมเวียดนาม และเวียดนามกำลังสร้างชาติให้เจริญ โดยเฉพาะเมืองดานังซึ่งเป็นเมืองท่าขนาดใหญ่ ผู้ว่าเมืองดานังสร้างโรงเรียนให้นักเรียนเรียนกันฟรี ๆ มีข้อแม้ว่า เรียนจบ ต้องมาพัฒนาเวียดนามห้าปี...

...เวียดนามลงทุนด้านการศึกษาเต็มที่ หวังพัฒนาประเทศให้ก้าวไกล คนเวียดนามไม่ได้เรียนหนังสือแค่ภาษาเวียดนาม แต่ยังเรียน ภาษาอังกฤษ และภาษาไทย เตรียมตัวพร้อมในการที่จะเข้าสู่สมาคมอาเซียน แต่ประเทศไทยไล่ยุบโรงเรียนเล็ก ๆ อ้างว่าไม่มีงบ แต่มันเอางบไปซื้อรถตู้ คันละ ๑,ooo,ooo จำนวน ๑,ooo คันเพื่อรับส่งเด็กบ้านไกลให้ไปโรงเรียน…

...๑,ooo คัน คันละ ๑,ooo,ooo ลองคิดดูสิว่ามันจะเป็นงบประมาณเท่าไหร่ ๑ พันล้านใช่ไหม แล้วรถพวกนี้ซื้อมาแล้ว ความสิ้นเปลืองต่อไปคืออะไร การบำรุงรักษา ไหนจะประกัน ไหนจะค่าน้ำมัน ผุพังแล้วก็ต้องซื้อใหม่ ก็จะสิ้นเปลืองงบประมาณกันไปใหญ่ แล้ว ๑,ooo คัน เพียงพอจะรองรับเด็กนักเรียนได้ทั่วประเทศไหม...

...เห็นหรือยังว่ารัฐบาลนี้ มันกำลังทำอะไร หาเรื่องกินงบประมาณกันใช่หรือไม่ แม้แต่การศึกษาเด็กมันก็ไม่เว้น...

...เห็นหรือยัง คนที่เลือกเขาเข้ามา เขาจริงใจกับประชาชนคนที่เลือกเขาไหม...

...จริง ๆ แล้ว เมืองดานังจะมีข้อห้ามอยู่ห้าข้อ เผอิญจดมาได้ ๔ ไกด์ลืมพูดไป ๑ ข้อ คือ ๑. ห้ามมีคอร์รัปชั่นในดานัง ๒. ห้ามมียาเสพติดในดานัง ๓. ห้ามมีขอทานในดานัง ๔. ห้ามมีคนไม่รู้หนังสือในดานังค่ะ เขามองว่าประเทศชาติไม่สามารถพัฒนาได้ หากมีคนไม่รู้หนังสือค่ะ แล้วจะสร้างชาติอย่างไร…

…แต่ไกด์จะพูดว่า “ห้ามมีคนโง่ในดานัง” 5555 (สงสัยปูเข้าที่นี่ไม่ได้แน่)555

เมื่ออ่านจบแล้วได้ความรู้เพิ่มเติมสมองดีมาก ได้ทราบว่าบ้านอื่นเมืองอื่นเขาพัฒนาประเทศกันไปไกลแค่ไหน บ้านเราเมืองเรายังย่ำเท้าอยู่กับที่ ไม่มีอะไรดีขึ้นมาเลยสักอย่าง

ในโลกออนไลน์มีดีอีกเยอะ เพราะไปสอดส่องที่หน้าบ้านของ @วิมล ไทรนิ่มนวล เจ้าของรางวัลซีไรท์ จากนิยายเรื่อง “อมตะ” ปี ๒๕๔๓ ได้พบข้อคิด คำคม ชวนขบ ทั้งจากเจ้าของบ้านและจากเพื่อนบ้านของเขาที่เข้ามาร่วมสนุก

มาอ่านกลอนตอน “สลิ่มรำพัน” ดูสิ ภาษาใหม่ต้องว่า “เปรี้ยวเยี่ยวเล็ด”

สลิ่มรำพัน : เรียนเชิญท่านสำเร็จความใคร่...(ต่ำกว่า ๑๘ ห้ามอ่าน)

เชิญสำเร็จความใคร่อยู่ในกลุ่ม

เลียกันเองให้ชุ่มให้ฉ่ำแฉะ

หื่นเกินห้ามความกำหนัดจึงนัดแนะ

หวังทึ้งแทะประโยชน์ผล-ปล้นเงินรัฐ

ใครขวางก็ทายท้าด่าสำราก

ล้วนแต่อยากได้สตังค์จึงตั้งจัด

ดูยิ่งใหญ่เหลือเกินเอาเงินยัด

ประชาธิปไตยตามถนัดแบบพวกมึง

สำเร็จใคร่ให้ถี่ถี่, เสรีชน

ให้ดอกเหงื่อเรี่ยหล่นปนประหนึ่ง-

หมึกจารวรรณกรรมสู่ลำลึงค์

ขยับดึงสมสู่ในรูนั้น !

จะเอาทฤษฎีใดมาใคร่อ้าง

เห็นอยู่ว่าจัดวางอย่างกระสัน

น่าหัวเราะ-มึงด่าคนแบ่งชนชั้น

ก็แล้วนั่นคืออะไร-ไหนบอกซิ ???

“เจริญขวัญ”
๘ พฤษภาคม ๒o๑๓

ผู้เขียนใช้นามบนเฟซบุ๊คว่า “เจริญขวัญ บลาฮาสสกดี้”ซึ่งคุณวิมล ไทรนิ่มนวล เล่าว่า “ผมรู้จักเธอในเฟซบุ๊คครับเมื่อปีก่อน ชอบกลอนของเธอโดยเฉพาะการสัมผัสด้วย “คำตาย”เขียนกลอนการเมืองแซ่บดี แต่กลอนทางปรัชญาก็ดีไม่แพ้กัน จนวันนี้ก็ยังไม่เคยรู้จักตัวจริง รู้แต่ว่าอยู่ที่เมกากับสามีจบนิเทศศาสตร์ธรรมศาสตร์ ดีกรีปริญญาโท เคยทำงานสื่อและวิ่งสู้ฟัดอย่างเดียวกับคุณอัญชะลีครับ”

ปิดท้ายสัปดาห์นี้ด้วยข่าว “พี่ไชยวัฒน์และผองเพื่อน”จัดม็อบที่ท้องสนามหลวง ขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชนิดที่ไม่ล้มก็ไม่เลิก กลุ่มนี้ขาดเสบียงกรังและผู้คน ใครว่างขอให้ไปใครเหลือขอให้แบ่งปัน ตรงแน่วไปสนามหลวงเลยพี่น้อง

ส่วนวัน “พืชมงคล” พวกเขาที่ขนมาจากลำตะคองก็จะหลบอยู่ตรงนั้น ผ่านพระราชพิธีแล้วก็จะลุกขึ้นมา “สยบ” รัฐบาลหญิงสำส่อนปัญญาอ่อนให้บรรลัยวายวอดกันไปข้างหนึ่ง

แต่พี่ไชยวัฒน์จะฝันหวานในโลกสวยหรือเปล่า? เพราะเสื้อแดงแข่งกันชั่ว ขนมารำลึกความเลวอีกรอบที่กลางกรุง

ไม่กี่วันข้างหน้านี้ ไปไหนมาไหนเหลียวหน้าแลหลังระวังกันดี ๆ เผลอ ๆ หลังพระโคเสี่ยงทาย เลือดจะนองท้องสนามหลวงอีกครั้งเสียละมัง...พุธโธ ธัมโม สังโฆ...คนดีต้องมีที่ยืน ความดีต้องชนะทุกสิ่ง...สาธุ


จากคอลัมน์ "เล่าหลังไมค์"
นสพ.แนวหน้า ๑o พค. ๒๕๕๖








"พูดความจริงเพียงครึ่ง"
กมลศักดิ์ ตั้งธรรมนิยม


โลกนี้มีคน “พูดความจริงเพียงครึ่ง” อยู่ไม่น้อย และมีสตรอเบอร์รี่บางรายโกหก 100% ล้วนๆ โดยมีคนสรุปว่า บุคคลสองอาชีพที่ “พูดความจริงเพียงครึ่ง”ตลอดเวลา ได้แก่ พ่อค้าและนักการเมือง

เหตุที่คนทั้งสองอาชีพชอบพูดความจริงเพียงครึ่งเพราะพูดแล้วมีแต่ “ได้กับได้” ถ้าพูดความจริงเต็มร้อย มีแต่ “เสียกับเสีย” ตัวอย่างเช่น

พ่อค้ากล่าวถึงสบู่ยี่ห้อ “หอมไม่ลืม” ของตนว่า“มีกลิ่นหอมจรุงใจไร้ใครเหมือน หญิงใช้แล้วสามารถสะกดอารมณ์ชาย หนุ่มใช้แล้วสะกดได้ทั้งหวานใจและแม่ยายสุดที่รัก” ย่อมจะทำให้สบู่ของเขาขายดีเป็นเทน้ำเทท่า

หากเขาพูดความจริงทั้งหมดต่อไปว่า“สบู่ยี่ห้อนี้เนื้อเละใช้เปลือง ราคาเว่อร์เกินเหตุแพ้ขึ้นมาอาจเกิดผื่นคันกันทั่วหน้า” ย่อมจะทำให้สินค้าเขาขายไม่ออก

นักการเมืองผู้หนึ่งกล่าวกับม็อบว่า “เผาไปเลยพี่น้อง ผมรับผิดชอบเอง” จึงทำให้ใครบางคนเกิดฮึกเหิมแล้วทำการเผาศาลากลาง เผาห้างและเผาสิ่งอื่น ๆ

หากเขาพูดต่อว่า “เชิญเผาห้างและเผาศาลากลางฯ ได้เลย แต่อย่าให้ถูกจับ เพราะทำแบบนี้ผิดกฎหมายถึงขั้นประหารชีวิต” พูดความจริงกันหมดเปลือกแบบนี้ ใครจะกล้าเผา

อีหรอบเดียวกับที่เลดี้กูกู้ไปขึ้นเวทีอ่านโผที่มองโกเลีย โดยเว้าวอนกับนานาชาติว่า “พี่ชายตนเองถูกปฏิวัติ ถูกตัดสินจำคุก จึงต้องหนีคดีเที่ยวเร่ร่อนอยู่ไพรัชประเทศ ทุกวันนี้ยังกลับบ้านไม่ได้” นี่เท่ากับพูดความจริงเพียงครึ่งเดียว

แต่อีกครึ่งหนึ่งที่เจ๊กูกู้ไม่ได้พูดคือ “พี่ชายตนถูกโค่นอำนาจเพราะทำการทุจริตอย่างมโหฬาร และมีผลประโยชน์ทับซ้อนในตำแหน่งหน้าที่อย่างผิดกฎหมาย”

แม้บุคคลสองอาชีพคือพ่อค้าและนักไล่ล่าอำนาจจะเป็นผู้พูดความจริงครึ่งเดียวมาตลอด แต่พ่อค้าสามารถสร้างความเสียหายให้แก่ลูกค้าผู้บริโภคสินค้าตนเองเท่านั้น แต่นักไล่ล่าอำนาจพูดครึ่งเดียวมีแต่ตนเอง “ได้กับได้” แต่ประเทศเสียหายอย่างยับเยิน


จากคอลัมน์ "เลียบวิภาวดี"
นสพ.แนวหน้า ๖ พ.ค. ๒๕๕๖








"อันตรายผู้นำหมดความน่าเชื่อถือ"
บทบ.ก.นสพ.แนวหน้า


การไปปาฐกถาในเวทีประชาคมประชาธิปไตยที่ประเทศมองโกเลีย ของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรนายกรัฐมนตรี ก่อนหน้านี้กลายเป็นเรื่องอื้อฉาวลุกลามบานปลายระดับชาติโดยถูกตั้งคำถามในภาวะความเป็นผู้นำและจริยธรรมจากการที่มีพฤติกรรมซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงว่าเนรคุณทำลายภาพพจน์ความเชื่อมั่นของประเทศเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของเครือญาติในตระกูล “ชินวัตร” โดยเฉพาะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นนักโทษหนีโทษจำคุกตามคำพิพากษาของศาล

สาระของการปาฐกถาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่มีส่วนใดที่เกี่ยวข้องกับการบริหารราชการแผ่นดินแม้แต่น้อยและสะท้อนจุดยืนชัดเจนว่าเป็นการอาศัยสถานะความเป็นผู้นำประเทศมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ด้วยการปกป้องแก้ต่างให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้เป็นพี่ชายทั้งๆที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนักโทษหนีโทษจำคุกในคดีทุจริตตามคำพิพากษาของศาลและหนีหมายจับคดีความมั่นคงร้ายแรงหลายคดีโดยเฉพาะเป็นจำเลยที่ ๑ ฐานบงการอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองจนพินาศย่อยยับเพื่อช่วงชิงอำนาจรัฐเมื่อปี ๒๕๕๓ ซึ่งพฤติกรรมของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังสะท้อนการเป็นแค่ผู้นำหุ่นเชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งขัดกับหลักการประชาธิปไตยและสะท้อนความไร้ภาวะผู้นำที่แท้จริง

คำปาฐกถาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ตอนหนึ่งยังพยายามโฆษณาชวนเชื่อทำลายความน่าเชื่อถือขององค์กรอิสระต่าง ๆ ตลอดจนสถาบันศาล ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบถ่วงดุลฝ่ายการเมืองไม่ให้ลุแก่อำนาจ ดังนั้นเจตนาที่ส่อไปในทางบ่อนทำลายองค์กรอิสระและสถาบันศาลเท่ากับเป็นการทำลายระบบตรวจสอบถ่วงดุลอันเป็นกลไกสำคัญที่เสริมสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริง

นอกจากนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ในฐานะผู้นำประเทศแทนที่จะหาทางทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบร่มเย็นปรองดอง กลับทำตัวเป็นกระบอกเสียงของ พ.ต.ท.ทักษิณจุดชนวนโหมกระพือสุมไฟแห่งความแตกแยกในชาติให้ลุกโชนเสียเองโดยการปาฐกถาที่เกิดขึ้นได้นำไปสู่ความขัดแย้งของคนในชาติที่นับวันจะลุกลามบานปลายจนเสี่ยงที่จะนำไปสู่วิกฤติความรุนแรงรอบใหม่ ซึ่งสวนทางกับนโยบายที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์และรัฐบาลประกาศมาตลอดว่าต้องการสร้างความปรองดอง

ความไร้ภาวะความเป็นผู้นำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์อีกประการหนึ่งจากการปาฐกถาก็คือ การส่อเจตนาบิดเบือนประวัติศาสตร์เหตุการณ์ก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองจนมีผู้เสียชีวิต ๙๘ ราย เมื่อปี ๒๕๕๓ โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์อ้างว่า เกิดจากการกระทำของฝ่ายตรงข้ามระบอบประชาธิปไตยอันเป็นการให้ข้อมูลเท็จต่อชาวโลกทั้ง ๆ ที่ต้นเหตุสำคัญที่แท้จริงเกิดจากการสร้างสถานการณ์ของม็อบคนเสื้อแดง ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย และกองกำลังติดอาวุธคนชุดดำภายใต้การบงการของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อหวังช่วงชิงอำนาจรัฐ จนนำไปสู่การก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองโดยผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ ซึ่งมีทั้งทหาร ตำรวจ และประชาชนทั่วไป ซึ่งมีพยานหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นฝีมือของกองกำลังชุดดำที่แฝงตัวปะปนอยู่ในม็อบคนเสื้อแดง

น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังปาฐกถาในลักษณะตัดตอนโดยปิดบังอำพรางข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกรัฐประหารพ้นจากอำนาจเมื่อปี ๒๕๔๙ ว่าเกิดจากการที่รัฐบาลพรรคไทยรักไทยขณะนั้นลุแก่อำนาจเกิดการทุจริตอย่างมโหฬาร มีการจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงอย่างไม่เคยมีมาก่อน มีการแทรกแซงองค์กรอิสระ และสร้างความแตกแยกในบ้านเมืองจนมหาชนจำนวนมากทนไม่ไหวออกมาชุมนุมขับไล่รัฐบาลจนในที่สุดกองทัพต้องก่อรัฐประหารก่อนที่สถานการณ์จะบานปลายกลายเป็นกลียุค

การที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ภายใต้การบงการของ พ.ต.ท.ทักษิณพยายามล้มล้างรัฐธรรมนูญปัจจุบันแล้วผลักดันให้มีการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ โดยมีแผนบ่อนทำลายบรรดาองค์กรอิสระและสถาบันศาลอันเป็นอุปสรรคขัดขวางการแสวงหาผลประโยชน์และแผนผูกขาดอำนาจยึดครองประเทศของระบอบทักษิณ ไม่ต่างอะไรจากการรัฐประหารประเทศ โดยเผด็จการรัฐสภาซึ่งถือเป็นสัญญาณอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

จากการปาฐกถาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์จึงสะท้อนภาวะผู้นำที่มีปัญหาและสะท้อนสัญญาณอันตรายดังพุทธพจน์ที่ว่า “คนโกหกไม่กระทำชั่วเป็นไม่มี”


จากคอลัมน์ "มิติโลกาภิวัฒน์"
นสพ.ไทยโพสต์ ๒๒ เม.ย. ๒๕๕๖








สมบัติส่วนตัวที่ติดมา
แม้จะคิดทำมาและค้าขาย
สมบัติตนติดมากับร่างกาย
ไม่ทำลายสมบัติใครให้หายไป
สมบัติชาติมิใช่ของส่วนตัว
แต่คนชั่วมั่วขายร้ายแค่ไหน
คนอุบาทว์ชาติชั่วตัวจัญไร
จะเป็นใครก็ด่าได้เพราะมันเลว


กะหรี่ขายของติดตัวที่นางมี
จะว่านางไม่ดีคงไม่ได้
แต่นางใดคิดขายประเทศไทย
นางนั้นไซร้ชั่วกว่ากะหรี่ที่ขายตัว
ด่าบ้านเกิดเมืองนอนแผ่นดินแม่
เลวแน่แน่เนรคุณกรุ่นความชั่ว
เพราะปัญญอับเฉาจึงเมามัว
ช่างน่ากลัวเหมือนผีเปรตเศษเดนคน
คนมันโง่ทำอดสูไม่รู้ตัว
มันทำชั่วคิดว่าเลิศประเสริฐผล
ถึงด่าไปก็หน้าด้านและหน้าทน
ใครจะก่นด่าอย่างไรไม่นำพา


คนขายชาติย่อมไม่ดีนี่คือหลัก
อย่าทึกทักว่าเป็นใครไม่ถูกต้อง
เขาไม่เอ่ยชื่อใครอย่าคิดจอง
เหมือนกินปู้ร้อนท้องมันไม่ดี
คนขายชาติย่อมไม่ดีมีใครเถียง
แต่อย่าเสี่ยงแสดงตนว่าคนนี้
คือคนที่เขาว่าทำไม่ดี
เมื่อไม่มีขื่อใครใยยอมรับ



คำว่า "ขาย" นอกจากแปลว่า "เอาสินค้าไปแลกเงิน" แล้ว ยังแปลว่าทำให้อับอายด้วย อย่างเช่นในคำว่า "ขายหน้า" ดังนั้นคำว่า "ขายชาติ" ไม่ได้หมายความว่าเอาอะไรไปขาย แต่หมายถึงการทำให้อับอายขายหน้า

ก่อนจะบอกว่า "ที่พูดไปก็คือความจริง" พิจารณาสักนิดหนึ่งว่า

๑. ที่พูดมานั้นจริงทุกประโยคหรือจริงบางประโยค

๒. สิ่งที่พูดนั้นได้รับการพิสูจน์แล้วยังว่าใครทำ บางทีอาจจะเป็นคนที่พูดนั่นแหละเป็นคนทำไม่ดีเอง

๓. ที่พูดมานั้นเป็นความจริงทั้งหมด หรือเป็นความจริงบางส่วนที่พูดเพื่อเอาดีเข้าตัวเอาชั่วให้คนอื่น

๔. ท่พูดนั้นเป็นการให้ความจริงโดยบริสุทธิ์ใจ หรือต้องการแก้ตัว

๕. การจะพูดอะไรนั้น ควรพิจารณากาละและเทศะด้วยว่าสมควรหรือไม่ ตามหลักของการกำหนดการกระทำของตนเองที่ว่า Do the right thing, and do things right นั่นคือทำสิ่งที่ควรทำและเมื่อทำอะไรก็ต้องทำให้ถูกต้อง

ที่มีการโพสท์อยู่ในช่วงนี้ไม่มีใครด่าใครว่าเป็นกระหรี่ แต่เป็นการเปรียบเทียบว่าคนเป็นกระหรี่ที่ขายสมบัติตนกับคนที่เอาชาติไปทำให้ขายหน้าแบบทำหน้าเศร้าเล่าความเท็จใครเลวกว่ากัน อ่านหนังสือให้แตกหน่อย เขากำลังเปรียบเทียบคนสองกลุ่ม แต่เขาไม่ได้บอกว่าใครเป็นกระหรี่

คนเราถ้าทำไม่ถูกไม่ต้อง เป็นชาย เป็นหญิง เป็นกะเทย ก็สมควรโดนด่าทั้งนั้น ดังนั้นคนที่เป็นหญิง ถ้าโดนด่าเพราะทำผิดอะไรบางอย่าง อย่าเอาความเป็นหญิงขึ้นมาเป็นโล่ปกป้องตนเองจากหอกและธนูแห่งจริยธรรมที่พุ่งเข้า และการด่าผู้หญิงที่ทำไม่ดี ไม่ใช่การดูถูกเพศแม่ เพราะเขาไม่ได้ด่าผู้หญิงทุกคน เขาด่าแค่บางคนที่ชั่วเท่านั้น อย่าใช้วาทกรรมหยุดคนที่เขาด่าผู้หญิงที่ไม่ดีด้วยวาทกรรมที่ไร้ตรรกะอย่างนี้เลย

คำวิจารณ์ที่ชัดเจนแทงใจดำอาจจะทำให้คนที่กินปูนร้อนท้องและพวกพ้องเจ็บแสบ แต่อย่ากล่าวหาคนที่วิจารณ์ว่าใช้วาจา "ปากตลาด ด่าหยาบคาย" อ่านดีๆ ไม่มีคำหยาบเลยสักคำ แต่พอแทงใจดำก็เลยรู้สึกเจ็บแสบ เลยมองคำวิจารณ์เป็นการด่าแบบ "ปากตลาด" แท้จริงแล้วการตอบโต้ของคนที่ไม่พอใจคนวิจารณ์ต่างหากที่หยาบช้า ถ่อย สถุล (ไม่อยากใช้คำว่าปากตลาดกับคำที่หยาบช้าถ่อยสถุลเพราะนั่นจะเป็นการดูถูกคนที่ค้าขายอยู่ในตลาด)

เใื่อไหร่จะใช้สมองได้อย่างมีเหตุมีผลพ้นจากความหลงกันซะทีนะ บอกแล้วว่าถ้าไม่ชอบที่พวกเราคุยกันก็อย่าเข้ามา มันทำร้ายจิตใจซึ่งกันและกันเปล่า ๆ


ช่วงนี้คนเข้ามาด่าในเพจรุนแรงขึ้นเป็น ๑o เท่าตัว ไม่รู้เร่าร้อนกันด้วยเหตุใด ด่ากราดไปหมด ไม่เว้นหน้าอินทร์หน้าพรหม ใครตำหนิรัฐบาล ว่าทักษิณ ประณามยิ่งลักษณ์ จะมีกลุ่มคนที่ออกมาด่าคนที่วิพากษณ์วิจารณ์รัฐบาล ทักษิณและยิ่งลักษณ์ด้วยวาจาท่หยาบคายมาก ๆ ถ่อยสถุลกว่าช่วงก่อน ๆ ที่ผ่านมา

๑. หาว่าไม่เคารพเสียงข้างมาก ไม่จริงนะเขาไม่ได้ต่อต้านรัฐบาลในประเด็นที่มาจากเสียงข้างมาก ประเด็นนั้นเขาเคารพ แต่เขาต่อต้านรัฐบาลที่ถูกต้อง

๒. หาว่าด่าผู้หญิงที่เป็นเพศแม่ เขาไม่ได้ด่าผู้หญิงโดยรวม อต่เขาตำหนิคุณยิ่งลักษณ์ด้านสติปัญญาและด้านพฤติกรรมบางอย่างอย่าอ้างความเป็นเพศแม่

๓. อ้างว่านายกฯพูดความจริง ซึ่งแท้ที่จริงมันเป็นความจริงที่ไม่ครบ เป็นความจริงที่ถูกยกออกนอกบริบทจนสาระเปลี่ยน และยังมีเรื่องไม่จริงปนอยู่ด้วย มีเรื่องที่ยังไม่ได้สรุปปนอยู่ด้วย มีเรื่องแก้ตัวแบบเอาดีเข้าตัวเอาชั่วให้คนอื่นปนอยู่ด้วย

๔. เรียกร้องให้ยอมรับความพ่ายแพ้และให้รอครบ ๔ ปีว่ากันใหม่ ถ้าหากทำไม่ดีจะให้รอ ๔ ปีเชียวเหรอ กติกาไม่ได้บอกไว้ว่าทำผิดหรือถูกต้องให้อยู่ ๔ ปี ถ้าทำไม่ดี ปีไกนก็ได้ที่เราจะต้องขอให้เปลี่ยนแปลงซึ่งมีหลายครรลองที่สามารถเลือกได้ ไม่ได้หมายความจะต้องเป็นรัฐประหาร

๕. เรียกร้องให้ด่าประชาธิปัตย์บ้าง อ้าวเขาเป็นฝ่ายค้านไม่ได้เป็นคนกำหนดนโยบาย ไม่ได้ออกโครงการ จะให้ด่าเขาเรื่องอดีตสมัยเขาเป็นรัฐบาลเหรอ มันคงไม่ใช่ประเด็น แต่ถ้าเขาค้านเรื่องไม่ควรค้าน หรือไม่ค้านเรื่องที่ควรค้าน เราคงด่าแน่ ๆ

๖. ชอบพูดจังว่าคนที่ว่านายกฯอิจฉานายกฯ คิดให้ดี ๆ คนอย่างนายกฯมีอะไรให้อิจฉา ถ้าคิดด้านสติปัญญาไม่รู้ว่าใครต้องอิจฉาใคร ส่วนความรวยนั้น ถ้าเราทุกคนรู้สถานะและความสามารถตนเอง ทำมาหากินดำรงชีวิตได้ตามอัตภาพจะอิจฉาทำไม ตำแหน่งนายกฯ คนที่ไม่คิดเป็นนักการเมืองยังไงก็คงไม่อิจฉา

๗. ทำไมจึงชอบพูดว่าการชี้ให้เห็นความไม่ดีของรัฐบาลเป็นการสร้างความแตกแยก มันเป็นการชวนให้คิดจากข้อเท็จจริงว่าอะไรผิดอะไรถูกเพื่อทัศนคติและพฤติกรรมที่ถูกต้องมากกว่า

๘. พยายามจะปิดปากคนที่พยายามจะเผยแพร่ข้อเท็จจริงด้วยการด่าให้เกิดความท้อแท้ ไม่อาจอดทนต่อคำด่าแล้วเลิกราไป

แย่แล้วประเทศไทย เขาครอบได้เก่งจริง

ทำไมถึงไม่ยอมเชื่อนะว่าเราวิพากษ์วิจารณ์ทักษิณและรัฐบาลนี้เพราะความห่วงประเทศชาติ ไม่ใช่สนับสนุนประชาธิปัตย์

ใครมีคำแนะนำบ้างว่าจะทำอย่างไรให้พวกเราที่ให้ความสำคัญกับจริยธรรมและธรรมาภิบาลจนทำให้เราไม่พอใจรัฐบาลนี้เพราะเขาไม่มีจริยธรรมไม่มีธรรมาภิบาล ได้เสวนากัน โดยไม่มีคนที่ชอบเข้ามาตอบโต้ด้วยการ "ดี" "ดูถูก" "ประณาม" เราซึ่งเป็นคนโพสท์ เพราะถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป คงไม่อยากโพสท์แล้ว เปลืองตัวจัง

ถ้าหากจะโพสท์ต่อเพื่อให้พวกเราที่ร่วมทัศนะได้อ่านอาจจะโพสท์แล้วโพสท์เลย ไม่ขอเปิดอ่านการสนทนาจากแฟน ๆ เพราะไม่อยากฟังพวกที่ไม่ได้ถกเฉย ๆ แต่ประเมินและประณามเราด้วย ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องที่จะไม่อ่านเพราะทำให้ไม่มีการปฏิสัมพันธ์

ขอยืนยันว่าเราไม่ได้ใช้อคติในการวิพากษ์วิจารณ์ แต่เรามั่นใจวาเราใช้ข้อมูลหลายมิติ และมิติที่สำคัญก็คือสิ่งที่รัฐบาลทำหรือคิดจะทำนั้นจะส่งผลกระทบอะไรกับประเทศชาติ และมิติวาด้วยจริยธรรมและธรรมาภิบาลของผู้บริหารประเทศ

อีกครั้งเราไม่ใช่สาวกประชาธิปัตย์ เราไม่ได้วิจารณ์รัฐบาลเพื่อสนับสนุนให้ประชาธิปัตย์ได้อำนาจ แต่เราไม่ได้วิพากษ์ประชาธิปัตย์เพราะเขาไม่ได้อยู่ในอำนาจเวบานี้

เราวิพากษ์รัฐบาล แต่เราไม่ได้วิพากษ์คนที่รักรัฐบาล เราไม่ได้บอกว่าคุณโง่ เราไม่ได้บอกว่าคนผิด เราไม่ได้บอกว่าคุณไม่ดี เราไม่ได้บอกวาคุณไม่เป็นกลาง (ทั้ง ๆ ที่เราและคุณต่างก็มีจุดยืน) เราไม่เคยว่าคุณคิดไม่ถูก คุณไม่เก่ง เหตุผลคุณไม่เข้าท่า แล้วทำไมคุณต้องประเมินเรา ด่าว่าเราต่าง ๆ นานาด้วย คุณทำอย่างนี้เพื่ออะไร

เราจะเป็นเพื่อนที่ถกปัญหาบ้านเมืองด้วยกันอย่างเป็นมิตรไม่ได้หรือ เรามาเติมเต็มจุดที่เราขาดให้กันและกันไม่ดีหรือ

แทนที่จะเอาการปกป้องใครบางคนมาเป็นที่ตั้ง เอาการปกป้องชาติปกป้องแผ่นดินเป็นที่ตั้งดีไหม คนที่เราวิพากษ์เขายังไม่เข้ามาตอบโต้หรือมาด่าเราเลย ทำไมคุณจึงรู้สึกเดือดร้อนแทนเขาจนต้องด่าเราด้วย

เวลาคุณชื่นชมใครเราก็ไม่ได้ว่าคุณแล้วก็ไม่ได้ด่าใคร คุณจะมองใครดี คุณจะชื่นชมนโยบายอะไร เราก็ไม่ว่าคุณ เราว่าแต่นโยบายที่เราไม่ชอบ แต่เราไม่ได้ว่าคนที่ขอบนโยบายนั้น คุยกันดี ๆ เถอะนะ อย่าด่ากันเลย อย่าดูถูกกัน อย่าประณามกัน อย่าใช้คำคุณศัพท์เชิงลบมาประเมินกัน อย่าหาคำหยาบหรือสัตว์มาเรียกกันเลย จะได้ถกกันสนุกราบรื่น ไม่สะดุด นะนะนะ


จาก เฟซบุคดร.เสรี วงษ์มณฑา








"เมื่อนางนกแก้วไปเจื้อยแจ้วที่มองโกเลีย (๑)"
ตาโป๋เป่าปี่


ความอดทนอดกลั้นของประชาชนไทยที่มีต่อรัฐบาลชุดนี้นั้น กล่าวได้ว่าได้ลดระดับมาตามลำดับจากการทำงานที่ไม่เข้าท่าในหลายเรื่องหลายราว จนบ้านเมืองแทบจะป่นปี้อยู่รอมร่อทุกด้านในขณะนี้ ความเชื่อถือเชื่อมั่นของคนส่วนใหญ่ในประเทศ ว่ารัฐบาลชุดนี้จะนำพาประเทศไปสู่ความเจริญเติบโตอย่างมีคุณค่านั้น ถดถอยลงอย่างรวดเร็วจนแทบจะหมดสิ้น เสียงก่นด่า
รัฐบาลชุดนี้ดังขึ้นและดังขึ้นทุกตรอกซอกซอยโดยเฉพาะคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ในขณะนี้ ถูกเฉ่งถูกว่าด้วยถ้อยคำที่รุนแรงสารพัดอย่าง

แต่นางก็ไม่รู้สึกรู้สาอะไร

ยังคงลอยหน้าลอยตาเอ๋ออ๋าไม่รู้ไม่ชี้พูดผิดพูดถูกอยู่ตลอดเวลาตามประสานกแก้วที่ส่งเสียงออกมาตามคำสอน แม้กระทั่งโพยเขียนให้อ่านอย่างไรก็อ่านอย่างนั้นไม่สะทกสะท้าน จนได้รับสมญานามว่านางนกแก้วหรือเจ๊นกแก้วอยู่ในขณะนี้

ล่าสุดที่นางนกแก้วหรือเจ๊นกแก้วถูกกระหน่ำจากผู้คนในบ้านเมืองอย่างหนักในขณะนี้ว่า เป็นคนเนรคุณแผ่นดินเพราะไปยืนอ่านโพยด่าประเทศไทยให้คนต่างชาติฟัง ที่ประเทศมองโกเลียเมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน ที่ผ่านมา ในที่ประชุมประชาคมประชาธิปไตย ซึ่งจัดขึ้นที่นั่น


นางนกแก้วไปอ่านโพยฟาดงวงฟาดงาจุดไฟเผาประเทศไทยให้คนต่างชาติดูอย่างคนเสียสติในหลายเรื่องหลายราว ที่สำคัญ ๆ ประกอบด้วย

๑. ปกป้องฟอกความผิดให้ ทักษิณ โดยบอกว่า “ในปี ๒๕๔o ประเทศไทยได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งร่างขึ้นโดยประชาชนมีส่วนร่วม เราทุกคนคิดว่ายุคใหม่ของประชาธิปไตยมาถึงแล้ว และจะเป็นยุคสมัยที่ไร้การรัฐประหาร แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้น รัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้งถึงสองครั้งสองหนด้วยเสียงส่วนใหญ่ถูกล้มลงในปี’๔๙ ประเทศไทยเสมือนรถไฟตกรางและประชาชนคนไทยใช้เวลา ๑o ปีกว่าที่จะได้เสรีภาพแห่งประชาธิปไตยคืนมา หลายคนที่อยู่ในที่ประชุมแห่งนี้รู้ว่ารัฐบาลที่ดิฉันพูดถึงคือรัฐบาลที่พี่ชายของดิฉัน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ที่ได้รับการเลือกตั้งอยู่ถูกต้องตามกฎหมาย”

นางนกแก้วไปแหลไว้อย่างนั้นแหลให้ผู้คนต่างประเทศที่ไม่รู้ความเป็นจริงในบ้านเมืองของคนไทยว่าเป็นอย่างไรฟัง เพื่อให้ผู้คนเหล่านั้นรวมทั้งผู้คนในโลกเข้าใจว่าที่ “พี่ชาย” ของนางต้องกระเด็นออกไปจากตำแหน่งที่นายกรัฐมนตรี ทั้ง ๆ ที่เป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งได้เสียงคนส่วนใหญ่ให้เป็นผู้บริหารประเทศตามระบอบประชาธิปไตยนั้นก็เพราะถูกทหารกระทำการรัฐประหารยึดอำนาจไปในปี พ.ศ. ๒๕๔๙ นั่นเอง

แต่นางนกแก้วไม่ได้บอกที่ประชุมให้เข้าใจถึงสาเหตุที่แท้จริงว่า ทำไมจึงเกิดรัฐประหารในปี’๔๙ จนทำให้ “พี่ชาย” ของนางต้องกระเด็นไป นางนกแก้วต้องการเพียงให้ผู้ที่ได้รับฟังหรือได้ยินเรื่องดังกล่าวที่นางนกแก้วพูดเท่านั้น เรื่องความไม่ดีต่าง ๆ ของ “พี่ชาย” นางที่ได้กระทำไว้กับบ้านเมืองนั้น นางนกแก้วไม่แอะถึงแต่คนไทยทั้งหลายทราบดีว่า “พี่ชาย” ของนางนั้นประพฤติปฏิบัติตัวชั่วช้าเลวทรามอย่างไรในการใช้อำนาจบริหารบ้านเมือง และประชาธิปไตยในบ้านเมืองไทยขณะนั้นถูกปู้ยี่ปู้ยำด้วยวิธีการเผด็จการจาก “พี่ชาย” ของนางจนไม่เหลือซากให้เห็นแม้แต่น้อยแค่ไหนนางนกแก้วทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น

นางนกแก้วไป ว.๕ อยู่ที่โฟร์ซีซั่นส์ในตอนที่มีการประกาศเหตุผลของการที่ต้องกระทำการรัฐประหารหรืออย่างไร จึงไม่ได้ยินคำประกาศเหตุผล ๔ ข้อของคณะรัฐประหารในเวลาดังกล่าว ว่าที่ต้องรัฐประหารนั้นก็เพราะ


๑. มีการกระทำที่หมิ่นเหม่ต่อการจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์
๒. มีการแทรกแซงการทำงานขององค์กรอิสระ

๓. มีการทุจริตคอร์รัปชั่นกันอย่างมากมาย
๔. มีการทำให้เกิดความแตกแยกในหมู่ประชาชน



ทั้ง ๔ ข้อของเหตุผลดังกล่าวนี้แหละที่เป็นสำคัญในการทำให้เกิดการรัฐประหารขึ้นในครั้งนั้นถ้านางนกแก้วไม่รู้ก็จงรู้ไว้ เวลาจะไปพูดอะไรที่ไหน จะได้พูดถึงเหตุถึงผลได้ถูกต้องตามคุณสมบัติของการเป็นคนที่มีคุณธรรมศีลธรรม

นางนกแก้วไปพูดในเวทีของประชาคมประชาธิปไตย ที่ประเทศมองโกเลีย ดังกล่าวด้วยการหยิบยกเอาเรื่องการรัฐประหารขึ้นมาพูดนั้น นางนกแก้วหรือคนเขียนโพยให้นางนกแก้วไปอ่าน คงมุ่งหวังให้เห็นถึงความไม่ดีของการรัฐประหาร และมุ่งหวังให้คนทั้งหลายช่วยกันต่อต้านการรัฐประหารนั่นเอง ว่าเป็นสิ่งไม่ดีไม่ควรเกิดขึ้น แต่นางนกแก้วกับพวกก็ต้องตระหนักให้ดีด้วยว่า ถ้าได้อำนาจจากประชาชนไปใช้ตามกระบวนการประชาธิปไตยจริง ๆ แล้ว ผู้ใช้อำนาจนั้นก็ต้องปฏิบัติตามระเบียบของความเป็นประชาธิปไตยที่ถูกต้องด้วย เพราะระบอบประชาธิปไตยจะมั่นคงอยู่ได้นั้นต้องประกอบด้วยกฎหมาย คุณธรรมศีลธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ใช่ประชาธิปไตยอันไม่มีระเบียบ หรือการใช้เสรีภาพที่มีแต่จะเกิดความปั่นป่วนความไม่สงบเรียบร้อย ความเสื่อมศีลธรรม เพราะนั่นเป็น “อนาธิปไตย”


ถ้านางนกแก้วกับพวกยังทำตนและยังใช้อำนาจกันอย่างชอบใจเช่นในขณะนี้ สิ่งที่ไม่อยากให้เกิดก็อาจเกิดขึ้นอีกได้ เพราะบ้านเมืองเป็นของคนทุกคน


จากคอลัมน์ "กวนใจให้สะอาด"
นสพ.แนวหน้า ๗ พ.ค. ๒๕๕๖








"เมื่อนางนกแก้วไปเจื้อยแจ้วที่มองโกเลีย (๒)"
ตาโป๋เป่าปี่


ได้กล่าวมาในตอนที่แล้วว่า การไปปาฐกถาของนางนกแก้ว ในที่ประชุมประชาคมประชาธิปไตย ซึ่งจัดให้มีขึ้นเมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน ที่ผ่านมา ที่ประเทศมองโกเลียนั้น นางนกแก้ว ได้ใช้เวทีนี้ปกป้องและฟอกความผิดให้ ทักษิณ ชินวัตร อย่างไม่กระดากอาย ว่า “พี่ชาย” ของนางถูกไล่ออกจากอำนาจเพราะมีการรัฐประหารเกิดขึ้น แต่นางนกแก้วไม่ยอมพูดถึงความไม่ดีจากการใช้อำนาจอย่างฉ้อฉลแต่อย่างใด และบ้านเมืองในขณะนั้นเป็น “อนาธิปไตย” ไม่ใช่ประชาธิปไตยอย่างตัวหนังสือที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด ดังรายละเอียดที่ได้กล่าวให้ทราบไปแล้วในตอนก่อน

วันนี้มาว่ากันต่อถึงคำปาฐกถาของนางนกแก้ว

๒. นางนกแก้วอ้างเรื่องประชาชนถูกปล้นเสรีภาพ

“หลายคนที่ไม่รู้จักดิฉันอาจบอกว่า เธอบ่นไปทำไม เพราะเป็นเรื่องปกติในกระบวนการทางการเมืองที่รัฐบาลมาแล้วก็ไป ซึ่งหากตัวดิฉันและครอบครัวของดิฉันต้องเจ็บปวดแต่ฝ่ายเดียว ดิฉันก็คงจะปล่อยวาง แต่นั่นก็ไม่ใช่ความเป็นไปที่เกิดขึ้น จากการรัฐประหารประเทศไทยต้องถอยหลังและสูญเสียความน่าเชื่อถือต่อนานาชาติ หลักนิติธรรมและกระบวนการกฎหมายถูกทำลาย โครงการและแผนงานที่พี่ชายของดิฉันเริ่ม ตามที่ประชาชนต้องการถูกยกเลิก ประชาชนเกิดความรู้สึกว่าเสรีภาพของเขาถูกปล้นไป”

เจ๊าะแจ๊ะออดอ้อนว่านกแก้วและครอบครัวยอมทนกับความเจ็บปวดได้ แต่สำหรับประเทศชาติบ้านเมืองที่ถูกกระทำจากการรัฐประหาร จนต้องถอยหลังเข้าคลองและสูญเสียความน่าเชื่อถือต่อนานาชาติ หลักนิติธรรมและกระบวนการกฎหมายถูกทำลายแล้ว นกแก้วทนไม่ได้นกแก้วทนไม่ได้

ว้าว จ้อได้ถูกใจคนโง่จริง ๆ

แต่คนฉลาดแล้วมีแต่อยากจะขากถุย

ก็ใครเล่าที่เป็นคนสร้างเงื่อนไขอันเป็นที่มาของการรัฐประหารเมื่อปี ๒๕๔๙ ด้วยเหตุผล ๔ ประการ ดังที่ยกมาให้เห็นในตอนก่อน ไม่ใช่ “พี่ชาย” ของนกแก้วดอกหรือ ถอยหลังเข้าคลองเพื่อหลบหลีกความหายนะจากพายุแห่งการทุจริตคดโกง หายนะจากการใช้อำนาจอย่างบ้าคลั่งแบบอนาธิปไตย แบบธนาธิปไตย แบบโจราธิปไตยและแบบคณาธิปไตย ที่ “พี่ชาย” ของนางก่อขึ้นนั้น เป็นการถอยหลังเพื่อมายืนกันได้ต่อไปในวันนี้ไม่ใช่หรือ ที่ทำให้ไอ้และอีทั้งหลายที่ชั่วช้าเลวทรามทั้งหลายได้มาจำเริญรอยตามต่อไปอีก

บ้านเมืองพักฟื้นหายใจได้เพียงไม่กี่ปีก็ต้องกลับมาเผชิญกับพายุร้ายแห่งการใช้อำนาจตามอำเภอใจกันอีกจากการบริหารจัดการของนกแก้วและนกแร้งนกกาขี้ขโมยกันอีกอย่างเช่นในปีเศษๆที่ผ่านมานี่ บ้านเมืองต้องตกอยู่ในสภาพย่ำแย่แค่ไหน ผู้คนทั้งหลายหน้าซีดหน้าเซียวเต็มไปด้วยความทุกข์นานาชนิดจากชีวิตประจำวันของตนมากมายแค่ไหนนั้น สาธยายสามวันสามคืนไม่หมด

บ่องตง มันแย่จุงเบย

เงื่อนไข ๔ ข้อ ของการทำรัฐประหารในปี ’๔๙ ดังที่ยกมาให้เห็นในตอนก่อนนั้น สมัยนี้ ขณะนี้ และตอนนี้นอกจากมันยังคงดำรงอยู่ครบทั้ง ๔ ข้อแล้ว ไม่ได้ล้มหายตายจากไปแต่อย่างใดแล้ว แต่ละข้อยังเพิ่มความหนักหน่วงน่าเกลียดน่ากลัวขึ้นอีกหลายร้อยเท่า ไม่ว่าในเรื่องการจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันเบื้องสูง การแทรกแซงองค์กรอิสระ การทุจริตคอร์รัปชั่น การเกิดความแตกแยกในหมู่ประชาชน แต่ในปัจจุบันนี้มันไม่ได้มีเพียง ๔ ข้อดังว่าเสียแล้ว เพราะมันมีเพิ่มเติมขึ้นมาอีกหลายข้อ โดยเฉพาะในเรื่องการไม่เคารพตัวบทกฎหมายของผู้ใช้อำนาจ และสมุนบริวารที่เป็นมือเป็นตีนให้นกแก้วกับพวก ไม่เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล นิติรัฐ นิติธรรม กฎหมายใดเป็นอุปสรรคขวางกั้นความต้องการของตน ก็จัดการแก้มันเสียเพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของตน แม้กระทั่งรัฐธรรมนูญมาตราไหนเป็นอุปสรรคกับตนก็โละมันออกไปแล้วเขียนขึ้นใหม่

ทำผิดกฎหมายก็จะออกกฎหมายนิรโทษให้

ยัดเยียดความผิดให้คนที่ไม่เห็นด้วยหรือต่อต้านตนแล้วบอกว่ามาปรองดองกันดีกว่าด้วยการออกกฎหมายปรองดอง

สร้างหนี้สินมหาศาลแก่บ้านเมืองไป ๕o ปี จึงจะใช้คืนได้หมด ซึ่งก็ต้องตกเป็นภาระของคนรุ่นหลังที่จะต้องใช้คืนนั่นเอง

นี่คือเงื่อนไขที่สร้างกันขึ้นมาอีกจากเงื่อนไขเดิมที่มีอยู่ ๔ ข้อ ในการเกิดรัฐประหารเมื่อปี ’๔๙ ซึ่งเป็นเรื่องที่นกแก้วไม่หยิบยกไปพูดที่มองโกเลียในวันนั้นให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้ทราบข้อเท็จจริง ไปพูดแต่สิ่งไม่ดีของการรัฐประหาร

เรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่นางนกแก้วไปพูดในวันนั้นว่า ได้ถูกปล้นไปนั้น นางนกแก้วคงไม่รู้ความหมายที่แท้จริงตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญว่า สิทธิเสรีภาพนั้นหมายความว่าอะไร นางนกแก้วคงคิดได้อย่างเดียวว่าจะทำอะไรก็ได้จะไปด่าว่าขัดขวางปิดล้อมข่มขู่แสดงความอาฆาตมาดร้ายกับใครแม้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก็ทำได้ ประชาชนผู้บริสุทธิ์มาชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ เพื่อแสดงออกคัดค้านการทำงานของนักการเมืองที่ไม่ถูกต้อง แต่รัฐบาลนางนกแก้วให้ตำรวจใช้อาวุธเข้าจัดการก็ทำได้

นางนกแก้วไปอ่านเรื่องนี้ในรัฐธรรมนูญให้ดี ว่าเขากำหนดเรื่องสิทธิเสรีภาพของบุคคลไว้อย่างไรบ้าง โดยเฉพาะการใช้สิทธิเสรีภาพของตนได้เท่าที่ไม่ไปละเมิดสิทธิเสรีภาพของคนอื่น และไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน ไม่ใช่เอะอะออกมาบอกว่าสิทธิเสรีภาพถูกปล้นไป


จากคอลัมน์ "กวนใจให้สะอาด"
นสพ.แนวหน้า ๑o พพ.ค. ๒๕๕๖



บีจีและไลน์จากคุณญามี่


Free TextEditor


Create Date :11 พฤษภาคม 2556 Last Update :14 มิถุนายน 2556 19:35:09 น. Counter : 6360 Pageviews. Comments :0