ความแตกต่างที่ยุติธรรม
ฟังอาจารย์บุษกรสอนธรรมะ และให้ข้อคิดในเช้าวันเสาร์-อาทิตย์ เมื่อไรๆ ก็เห็นความแตกต่างของระดับปัญญาระหว่างท่านกับเราทุกครั้งไป
และที่สำคัญธรรมะที่ท่านสอนให้นั้น เมื่อเรานำกลับมาสำรวจที่ตนเอง ก็จะรู้จักตนเองมากขึ้น
เช่นเดียวกัน วันเสาร์ที่ผ่านมา ท่านได้ให้ข้อคิดเรื่องบุคคล ๔ จำพวก
..ตอนแรกนึกไปถึงบัว ๔ เหล่า
แต่ปรากฏว่า
.พอฟังแล้ว เข้าใจว่าท่านน่าจะเอามาจากประสบการณ์ของชีวิต ที่ท่านได้พบปะผู้คน (รวมทั้งพวกเราที่เป็นลูกศิษย์ด้วย) จึงจำแนกบุคคลออกเป็น
๑. บุคคลที่ต้องหลีกเลียง
เป็นผู้ที่ไม่รู้อะไรเลย (ประเภทไม่รู้แล้ว ยังไม่ยอมรับรู้อีกด้วย) ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนไม่รู้อะไรเลย ..
คือเป็นผู้ที่ไม่รู้ว่า ชีวิตคืออะไร ตนเองกำลังทำอะไรอยู่ และทำไปเพื่ออะไร ทำแล้วมีผลอย่างไร
สรุปได้ว่า เป็นผู้ที่ไม่มีเป้าหมายในชีวิต บุคคลประเภทนี้จัดได้ว่าเป็น คนโง่ ที่เราควรหลีกเลี่ยง
๒. บุคคลที่น่าสงสาร เป็นผู้ที่ควรสอน
เพราะเป็นบุคคลที่ไม่รู้อะไร (และยอมรับว่าไม่รู้) ไม่เคยรู้เรื่องกรรม-วิบาก คือ ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนเองเป็นอยู่ทุกวันนี้มาจากเหตุอะไร หรือสิ่งที่กำลังทำอยู่จะให้ผลอย่างไร
บุคคลประเภทนี้จัดได้ว่าเป็น ผู้ที่ไร้เดียงสา น่าสงสาร น่าที่จะสอนให้เขาได้รู้จักความจริงของชีวิต
๓. บุคคลที่ต้องคอยปลุกเขาให้ตื่น
บุคคลประเภทนี้มีความรู้ เป็นผู้ที่ศึกษามาก เรียนรู้เรื่องชีวิต แต่เมื่อจะต้องนำธรรมะมาใช้ ปรากฏว่า ลืม ! (คงประเภทเรียนเอาดีกรี
หรือเรียนแล้วไม่ปฏิบัติ ธรรมะจึงไม่ฝังรากเข้าสู่จิตใจ) บุคคลประเภทนี้จัดได้ว่าเป็น ผู้ที่ยังหลับไหล ลืมหลง จึงต้องคอยปลุกเขาให้ตื่น คือกระตุ้นให้เขาได้นำธรรมะที่เรียน มาปฏิบัติที่ตนเอง
๔. บุคคลที่สมควรที่จะเดินตามท่านได้
คือเป็นผู้ที่รู้จักตนเองดี มีธรรมะ มีสติรู้ในธรรมะตลอดเวลา คือรู้ตามสภาวธรรมที่ตนเรียนมา
บุคคลประเภทที่ ๔ นี้ จัดเป็นบุคคลที่ฉลาด สมควรเดินตามทางท่าน
ฟังแล้วจึงไม่รู้สึกแปลกใจเลยว่า ทำไมอาจารย์บุษกรจึงเป็นห่วงพวกเรามากมายนัก ถึงขนาดเจ็บป่วยมากมายก็ยังสู้อุตสาห์มาสอนที่มูลนิธิ
เพราะแม้แต่คำถามที่ท่านถามว่า
ความผิดพลาด ดีหรือไม่
ลูกศิษย์ส่วนใหญ่ก็ตอบว่าไม่ดี เพราะใครๆ ก็ย่อมไม่ต้องการความผิดพลาดของชีวิต
.
แต่ท่านก็ได้ให้ข้อคิดว่า ..ความผิดพลาดเป็นของดี เพราะเมื่อผิดพลาดครั้งหนึ่ง ย่อมจะทำให้เราเกิดความระมัดระวังในครั้งต่อๆ ไป
ฉะนั้นบุคคลใดที่ยอมรับความผิดพลาด ย่อมต้องดีแน่นอน หากเทียบกับผู้ที่ไม่รู้เลยว่า อะไรคือความผิดพลาด หรือไม่ยอมรับเลยว่าตนเองเป็นผู้ผิดพลาด ซึ่งคนเช่นนี้ คือบุคคลประเภทที่ ๑ ที่ควรหลีกเลี่ยง
อาจารย์จึงให้ข้อคิดว่า
เมื่อใดที่เราต้องพบกับความผิดพลาดของชีวิต
ขอเพียงให้รู้จัก และพยายามปรับเปลี่ยน แก้ไขตนเองให้ดีขึ้น
นับได้ว่า
.พวกเราทุกคนโชคดี
เพราะเมื่อได้เรียนบทเรียนเรื่องชีวิตแล้ว ก็ยังมีอาจารย์บุษกรมาคอยช่วยตรวจแบบฝึกหัด(ของชีวิต) ให้อีก..
เมื่อเราทำผิดพลาดในข้อใด ท่านก็ได้ชี้แจงให้เห็นว่า ข้อที่ผิดนั้น ผิดตรงไหน และผิดอย่างไร
หากเรายอมรับ และทำความเข้าใจ
รับรองได้ว่าเมื่อใดที่เราต้องไปพบข้อสอบ คือปัญหาชีวิตเช่นนั้นอีก เราก็จะรู้วิธีการที่จะทำให้ถูกต้องได้ดีขึ้น
เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับบุคคล ๔ ประเภทนี้
.ก็เห็นความแตกต่างระหว่างท่านอาจารย์ กับพวกเราแล้ว !
ท่านรู้สึกไหมว่า เรากำลังเดินตามบุคคลประเภทที่ ๔ อยู่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ท่านตั้งคำถามว่า
มีความรู้สึกอย่างไรกับความแตกต่าง?
หลังจากที่ท่านได้ปรารภความในใจว่า วันที่ ๒๙ ที่จะเข้ารับการผ่าตัดกระดูก ซึ่งหมอต้องการให้พักหลังการผ่าตัดนานถึง ๓ เดือน แต่ท่านตั้งใจจะพักเพียง ๑ เดือนเท่านั้น
โดยบอกพวกเราว่า ยังไงๆ ก็จะมามูลนิธิ
นอนสอนก็ได้ เพราะปากยังใช้พูดได้
หากจะมีความแตกต่างกันก็เพียงแค่
ปัจจุบันนี้ยังนั่งสอนอยู่ได้ แต่อนาคตข้างหน้าต่อไปอาจจะต้องนอนสอน
เพราะท่านเองก็ไม่ทราบเลยว่า ผ่าแล้วจะเป็นอัมพาตหรือไม่
ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่การทำใจ ซึ่งคนส่วนใหญ่คิดว่าเป็นเรื่องที่ยาก
ท่านอาจารย์เคยให้ข้อคิดว่า
ไม่มีใครทำให้เราตกต่ำได้ ถ้าเราไม่ยินยอม
และท่านก็ทำให้พวกเราได้เห็นว่าท่านทำได้แล้วจริงๆ
เพราะทุกครั้งที่ไปผ่าตัด หากวันที่ออกจากโรงพยาบาลเป็นวันเสาร์ หรืออาทิตย์ ท่านก็จะตรงมาที่มูลนิธิ โดยไม่ได้กลับไปพักฟื้นที่บ้านเช่นคนไข้รายอื่นๆ
หากตั้งคำถามตนเองว่า ถ้าเป็นเราล่ะ ?
คงไม่ต้องบอกนะว่าจะตอบอย่างไร
เหมือนกับการถามว่า ทำไมทุกวันนี้เราจึงยังมีกิเลสอยู่อีก ?
แน่นอนย่อมได้คำตอบว่า เพราะเรายินยอมตกเป็นทาสของกิเลสเอง
นี่คือความแตกต่างระหว่างท่านอาจารย์ กับเรา !
ทั้งนี้เพราะมีการสร้างเหตุที่ไม่เหมือนกันมา
ท่านจึงแนะนำว่า
จงปรับฐานะทางจิตใจของตนเอง หมั่นสร้างปัจจุบันเหตุที่ดีๆ
เพราะว่า
ความแตกต่าง ย่อมเป็นธรรมชาติที่ยุติธรรม
ที่เขากับเราต่างกัน ก็เพราะ ธรรมชาติยุติธรรมนั่นเอง ทำให้นึกถึงคำพูดของหลวงพ่อที่บอกกับพวกเราว่า
.
กรรม คือคำตอบ แม้เราจะรู้สึกถึงความแตกต่างของตนเองในอดีต และปัจจุบันว่า
เมื่อก่อน.. มีอะไรเกิดขึ้น เราไม่เคยรู้เลยว่า มาจากเหตุอะไร
แต่ปัจจุบันนี้ เรายังรู้ และยอมรับว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา เป็นเพราะเราทำ(สร้าง)เหตุมาเอง
ซึ่งอาจารย์ก็ได้มาเปิดเผยความจริงให้เราได้รู้จักตัวเองมากขึ้นว่า
.
แท้ที่จริงแล้ว เราเพียงแค่ยกเอาเหตุ มาข่มใจ ปลอบขวัญตัวเอง เท่านั้นเอง
แค่นั้นยังไม่เพียงพอ
จนกว่าเราจะนำสิ่งที่ได้ศึกษานั้นมาปฏิบัติ คือพิจารณา ไต่สวน ตรวจสอบที่ตนเองบ่อยๆ จนญาณปัญญาเกิด
เมื่อนั้นแหละ
เราจึงจะเป็นผู้ที่เข้าถึงเหตุผลได้อย่างแท้จริง
เพราะทุกวันนี้เรากำลังเป็นผู้ที่ศึกษาเหตุผล
เมื่อเห็นอะไร มันไม่ธรรมดา (จิตใจยังเร่าร้อน เพราะกิเลสยังมีอยู่)
จึงได้แต่เพียง การข่มใจด้วยธรรมะ
แต่พระอรหันต์ ท่านเป็นผู้ที่เข้าถึงเหตุผลแล้ว
.เมื่อเห็นอะไร ก็ธรรมดา
(มีอะไรเกิดขึ้น จะแตกต่างกันสักเพียงใด ย่อมเป็นเรื่องธรรมดา)
.เพราะธรรมชาติยุติธรรมเสมอ
.
ขอบคุณเนื้อหาจาก มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ