bloggang.com mainmenu search


ถอนพิษความทรงจำอันเจ็บปวด

พระไพศาล วิสาโล


ในชีวิตของเราย่อมมีเหตุการณ์มากมายที่ยากจะลืมเลือนได้
จะวิเศษเพียงใดหากเหตุการณ์เหล่านั้นล้วนเป็นเรื่องที่หวานชื่นระรื่นใจ
แต่ความจริงก็คือ มันมักเป็นเรื่องราวที่ขมขื่น หนาวเหน็บและเจ็บปวด
นึกทีไรความเศร้าโศก โกรธแค้น หรือรู้สึกผิดก็เกาะกุมใจ
ครั้งแล้วครั้งเล่าที่อยากกำจัดมันออกไปจากความทรงจำ
แต่ยิ่งพยายามกำจัด มันก็ยิ่งประทับแน่น
ยิ่งผลักไสมันให้ไกล มันก็ยิ่งโผล่หน้ามาหลอกหลอน


จะว่า ชะตากรรมชอบเล่นตลกกับเราก็ได้
แต่อันที่จริงแล้วตัวการมิใช่อะไรอื่นเลย
หากเป็นธรรมชาติของใจเราเอง
สิ่งใดที่เราเกลียดหรือรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ มันจะมีแรงดึงดูดต่อใจของเรา
สังเกตไหมเวลาเราโกรธเกลียดใคร เราจะนึกถึงคน ๆ นั้นบ่อย ๆ
เศร้าโศกเสียใจเรื่องอะไร มันก็จะยิ่งผุดโผล่ขึ้นมาในใจ
แต่นั่นยังไม่เท่าไร ปัญหาจะเกิดขึ้นเมื่อเราพยายามผลักไสหรือกำจัดมัน
มันยิ่งตามมารบกวนจิตใจบ่อยขึ้น แม้กระทั่งในยามหลับ


ที่ออสเตรเลียเคยมีการทดลองกับนักศึกษาจำนวน ๑๐๐ คน
โดยให้แต่ละคนเลือกความนึกคิดมาหนึ่งเรื่องที่เขาไม่ชอบแต่มักปรากฏในจิตใจ
จากนั้นก็ให้นักศึกษาครึ่งหนึ่งกดข่มความคิดนั้นก่อนนอน ๕ นาที
เมื่อตื่นขึ้นมาให้ทุกคนรีบเขียนบันทึกเกี่ยวกับความฝันในคืนนั้นทันที
การวิเคราะห์พบว่า นักศึกษากลุ่มหลังนี้
ฝันถึงความคิดดังกล่าวมากกว่ากลุ่มที่ไม่ได้กดข่มมัน


การทดลองนี้ยืนยันว่า
ยิ่งอยากกำจัดความคิดหรือความทรงจำอย่างใดอย่างหนึ่ง
มันยิ่งตามมารบกวนทั้งในยามตื่นและหลับ


ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?


การค้นพบทางด้านประสาทวิทยาอาจให้คำตอบในเรื่องนี้ได้
เมื่อประสบเหตุการณ์ที่ทำให้เรารู้สึกเจ็บปวด โกรธแค้น หรือเศร้าโศก
ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนความเครียด ซึ่งไปกระตุ้นให้อามิกดาลา
(สมองส่วนที่ทำงานเกี่ยวกับอารมณ์)
สั่งการให้มีการบันทึกความจำเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้น
ฮอร์โมนดังกล่าวหลั่งออกมามากเท่าไร
ความจำในเรื่องนั้น ๆ ก็จะยิ่งฝังลึกโดยมีอารมณ์ความรู้สึกเข้าไปย้ำ


อารมณ์ความรู้สึกที่เกิดจากเหตุการณ์เหล่านั้น
จึงเป็นตัวการสำคัญที่ตอกย้ำความทรงจำให้ประทับแน่นมากขึ้น
ยิ่งเจ็บปวดมากเท่าไร ก็ยิ่งลืมเลือนได้ยาก
แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ตรงนี้เท่านั้น
ตอนที่หวนระลึกถึงเหตุการณ์นั้นอีก แล้วเราเกิดความรู้สึกเจ็บปวดตามมา
แถมยังพยายามจะไปกำจัดมัน ความเครียดที่เกิดจากกระบวนการดังกล่าว
ยิ่งทำให้ความทรงจำนั้นฝังลึกมากขึ้น



ดังนั้นถ้าไม่อยากให้มันฝังลึกมากไปกว่านี้
อย่างแรกที่ต้องทำก็คือ อย่าไปรู้สึกเป็นปฏิปักษ์กับความทรงจำดังกล่าว
เมื่อเหตุการณ์ใด ๆ ผุดโผล่ขึ้นมาในใจ อย่าไปหงุดหงิดหรือโกรธเกลียดมัน
ปล่อยมันไป ไม่ต้องสนใจมัน รวมทั้งไม่ต้องอยากไปกำจัดมันด้วย
เพราะถ้าเราหงุดหงิดใส่มัน โกรธเกลียดมัน หรืออยากกำจัดมันเมื่อไร
ฮอร์โมนความเครียดจะหลั่งออกมาและทำให้ความทรงจำในเรื่องนั้นฝังลึกขึ้น


เราไม่อาจเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ในอดีตได้
แต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงท่าทีหรือความรู้สึกต่อเหตุการณ์ที่ผ่านมาได้
แทนที่จะพยายามปฏิเสธมัน
หรือผลักไสกดข่มความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์เหล่านั้น
เราลองหันมายอมรับมันหรือวางใจเป็นกลางกับมัน
ใหม่ ๆอาจทำได้ยาก แต่เราสามารถฝึกใจได้ ด้วยการนั่งนิ่ง ๆ ทำใจให้สงบ
แล้วค่อย ๆ นึกถึงเหตุการณ์นั้น เมื่อความรู้สึกเจ็บปวดเกิดขึ้น ก็ให้รับรู้เฉย ๆ
โดยไม่พยายามกดข่มหรือปฏิเสธมัน เปิดใจต้อนรับเสมือนเป็นเพื่อนสนิทของเรา
หากอยากร้องไห้ ก็ขอให้ร้องไห้ออกมา
หากมีเพื่อนหรือประจักษ์พยานรับรู้ด้วย ก็ยิ่งดี
การที่เรากล้าเปิดเผยเรื่องราวเหล่านี้ให้เขาฟัง
แสดงว่า เราทำใจยอมรับมันได้มากขึ้นแล้ว


เมื่อใดก็ตามที่เราวางใจเป็นกลาง สงบ ไม่หวั่นไหวกับเหตุการณ์ในอดีต
เหตุการณ์เหล่านั้นก็ไม่อาจโบยตีหรือหลอกหลอนเราได้อีกต่อไป
มันอาจจะไม่เลือนรางในเร็ววัน แต่ก็จะรบกวนจิตใจเราน้อยลง
ถึงจะมาปรากฏในมโนสำนึกอีก แต่ก็ไร้พิษสง ไม่ทำให้เราเจ็บปวดอีก
แต่เดิมที่เคยเป็นเสมือนแผลเรื้อรัง ที่แตะต้องเมื่อไร ก็เจ็บเมื่อนั้น
บัดนี้แผลได้สมานสนิท แม้จะเป็นแผลเป็น
แต่ก็แตะต้องได้โดยไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกต่อไป




ความทรงจำเกี่ยวกับความผิดหวัง พลัดพราก สูญเสียในอดีตนั้น
ไม่จำเป็นต้องพ่วงมากับความรู้สึกเจ็บปวด โกรธแค้น เศร้าโศกเสมอไป
และมันมิใช่สิ่งเลวร้ายไปเสียหมด
แต่ยังสามารถเป็นต้นทุนที่เพิ่มประสบการณ์ชีวิต
ทำให้เราเข้มแข็งและมีปัญญามากขึ้น
ใช่หรือไม่ว่านี้คือ หัวใจสู่ชีวิตที่สงบเย็นและเป็นสุข



ที่มา..นิตยสารIMAGE กรกฎาคม ๒๕๕๒
//www.visalo.org
Create Date :02 พฤศจิกายน 2555 Last Update :2 พฤศจิกายน 2555 8:14:58 น. Counter : 1148 Pageviews. Comments :0