คำปรารถการพิมพ์
สืบเนื่องจากที่ธรรมสภาและสถาบันบันลือธรรมได้จัดพิมพ์หนังสือ ธธมสมเด็จย่า อันเป็นหนังสือที่คุณอัครวัฒน์ โอสถานุเคราะห์ ได้ขอกราบบังคมทูลเข้าเฝ้าสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เพื่อขอพระราชทานสัมภาษณ์ ณ กรุงโลซานต์ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๒๑
ในหนังสือนี้ พระองค์ท่านทรงปรารถอาราธนาสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มื่อครั้งทรงสมณศักดิ์ พระสาสนโสภณ เรียบเรียงขึ้น เพื่อพุทธบริษัทและประชาชนได้อ่านและศึกษา ให้เกิดความรู้เป็นแนวทางการปฏิบัติ อันเป็นเริ่องที่ทุกคนควรทำความเข้าใจให้ถูกต้อง
ทำให้พุทธศาสนิกชนมากมายสนใจและต้องการศึกษาหนังสือธรรม โดยพระราชดำริปรารถ ที่ทรงนิพนธ์ โดยสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ธรรมสภาและสถาบันบันลือธรรม พร้อมด้วย คุณอัครวัฒน์ โอสถานุเคราะห์ จึงได้กราบบังคมทูลเข้าเฝ้า สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ขอประทานอนุญาติจัดพิมพ์หนังสือธรรม ที่ทรงพระนิพนธ์ชุดนี้
เพื่อเผยแพร่แก่พุทธศาสนิกชน โดยพระองค์ท่านทรงพระเมตตาอนุญาติ ให้จัดพิมพ์เผยแพร่ได้ เพื่อประโยชน์สุขอันบังเกิดแก่พุทธบริษัท
หนังสือธรรมชุดนี้ มี ๔ เล่ม ประกอบด้วย
๑. พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอะไร ๒. หลักการทำสมาธิเบื้องต้น ๓. ศีลและพรหมวิหาร ๔ ๔. กรรม อวิชชา สันโดษ
ธรรมสภาและสถาบันบันลือธรรม ได้จัดพิมพ์หนังสือธรรมนิพนธ์ชุดนี้ เผยแพร่แก่ประชาชนผู้เป็นพุทธบริษัทและน้อมเกล้า ขอประธานอนุญาติถวายแด่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก จำนวน ๔,๐๐๐ เล่ม เพื่อไว้แจกเป็นธรรมบรรณาการแก่พุทธศาสนิกชนที่ได้กราบบังคมทูลเข้าเฝ้าขอพรเพื่อเป็นสิริมงคล เนื่องในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๔๕
ธรรมสภาและสถาบันบันลือธรรม ปรารถนาเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือธรรมนิพนธ์ตามพระราชดำริปรารถโดย สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ชุดนี้ จักเผนแพร่ได้อย่างกว้างขวาง ตามพระราชประสงค์ของพระองค์ท่าน
จึงขอให้ท่านที่ได้อ่านและศึกษาทำความเข้าใจ จงช่วยกันเผยแพร่ให้แพร่หลาย เพื่อเป็นการน้อมรำลึกในพระเมตตาอันหาที่สุดมิได้ ถวายเป็นพระราชกุศล แด่ องค์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี สมเด็จย่าของปวงชนชาวไทย
ด้วยความสุจริต หวังดี ธรรมสภาปรารถนาให้โลกพบกับความสงบสุข |
กรรม อวิชชา สันโดษ
กรรม
กุศลกรรม อกุศลกรรม อพยากตธรรม
O เรื่องกรรม (บาลี กัมมะ) เป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งในพระพุทธศาสนา ปรากฏในพระพุทธประวัติว่า เมื่อพระพุทธเจ้ายังมิได้ตรัสรู้ ยังทรงเป็นโพธิสัตว์อยู่ ได้เสด็จออกแสวงหาทางที่เป็นเครื่องหลุดพ้น ที่เรียกว่า โมกขธรรม เมื่อได้ทรงพบทางปฏิบัติที่ถูกต้องแล้วก็ได้ทรงปฏิบัติในทางนั้นจนถึงในราตรีที่จะตรัสรู้
O ในยามที่ ๑ แห่งราตรีนั้น ทรงได้ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ญาณนี้คือพระปรีชาหยั่งรู้ถึงขันธ์ที่เป็นที่อยู่อาศัยในปางก่อน เรียกสั้นว่าระลึกชาติได้
O ในยามที่ ๒ ทรงได้ จุตูปปาตญาณ พระปรีชาหยั่งรู้ในจุติและอุบัติของสัตว์ (สัตตะ) ทั้งหลาย คือ การตายและการเกิดอีกของสัตว์ทั้งหลายในชาตินั้นๆ ว่าเป็นไปตามกรรม กระทำชั่วไว้ก็เข้าถึงชาติที่ชั่วมีทุกข์ กระทำความดีไว้ก็เข้าถึงชาติที่ดีมีสุข
O ในยามที่ ๓ จึงทรงได้ อาสวักขยญาณ พระปรีชาหยั่งรู้วิธีกำจัดอาสวะ คือ กิเลส (ความไม่ดี) ที่นอนจมหมักหมมอยู่ในจิตสันดาน สำเร็จเป็นพุทธ คือ พระผู้ตรัสรู้
O กรรม เป็นคำกลางแปลว่า การงานที่บุคคลกระทำทางกาย ทางวาจา ทางใจ กรรมแบ่งออกได้เป็น ๓ คือ
กุศลกรรม คือ กรรมที่เป็นส่วนดี
อกุศลกรรม คือ กรรมที่เป็นส่วนชั่ว
อัพยากตกรรม คือ กรรมที่ไม่เป็นกุศลหรืออกุศล
กรรมทุกอย่างพระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้โดยชัดเจนว่า กรรมเช่นไรเป็นอกุศล เช่นไรเป็นกุศล เช่นไรเป็นอัพยากตกรรม
O กรรมที่เป็นอกุศล
ทางกาย เช่น ฆ่าและทรมานสัตว์ ลักของเขา โกง ประพฤติผิดในทางกาม
ทางวาจา พูดปด พูดส่อเสียด นินทา ว่าร้าย คนอื่น พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ เป็นต้น
ทางใจ โลภ เพ่งเล็งทรัพย์ของเขา พยาบาท คิดปองร้าย เห็นผิดจากคลองธรรม
O กรรมที่เป็นกุศล
เว้นจากอกุศลกรรมต่างๆ ปฏิบัติไปในทางสุจริต มีเมตตา กรุณา มีทาน มีศีล
O อัพยากตธรรม
กรรมที่เป็นอาชีพ เช่น กสิกรรม พาณิชยกรรม ที่เกี่ยวแก่ความรื่นเริง การเดิน ยืน นั่ง นอน กิน ดื่ม ถ่าย พูด นิ่ง เหล่านี้ไม่จัดว่าเป็นกุศลหรืออกุศล
O คนเรานั้นได้ทำกรรมต่างๆ ซับซ้อนกันอยู่มากมายทั้งในอดีตและชาตินี้ เมื่อเกิดมาในชาตินี้ บางทีกระทำดีต่างๆ อยู่แต่ปรากฏว่าไม่ได้รับผลดี ทั้งนี้ก็หาใช่ว่ากรรมดีที่ทำไว้นั้นจะไม่ให้ผล แต่ก็เพราะว่ากรรมไม่ดีที่ทำไว้แต่ชาติก่อนให้ผลจึงรับผลที่ไม่ดี กรรมดีที่ทำอยู่ปัจจุบันนี้ก็จะให้ผลในเวลาต่อไป
หรือบางคนทำกรรมชั่วในปัจจุบันแต่ก็ปรากฏว่าได้รับผลดี ผลดีที่ได้รับนั้นไม่ใช่เป็นผลของกรรมชั่วที่ทำอยู่ แต่เป็นผลของกรรมดีที่ได้กระทำไว้ก่อน เมื่อหมดผลของกรรมดีแล้วผลของกรรมชั่วก็จะปรากฏขึ้น เขาก็จะเข้าถึงทุกข์
O กุศลกรรมที่ประกอบในชาตินี้ ถ้ากรรมเก่าซึ่งเป็นอกุศลกรรมยังส่งผลหรือมีกำลังแรงกว่า ก็ต้านทานอกุศลกรรมได้ยาก ไม่ต้องมองดูให้ไกลออกไป แต่มองดูกุศล อกุศลกรรมในจิตใจในบัดนี้
เช่น บุคคลหนึ่งมีเจตนาแน่วแน่ในการประกอบกุศลกรรมเพื่อประโยชน์สุขสำหรับส่วนรวม ขณะเดียวกันก็มีบุคคลอีกคนหนึ่งหรือหลายคน มีจิตริษยาเสียแล้ว ทั้งที่ก็มีจิตอยากจะทำดีเหมือนกัน แต่อยากจะทำดีเพื่อให้ดีแต่ผู้เดียว
ตัวอย่างนี้เห็นได้ว่าความอิจฉาริษยายังมีอำนาจแรงอยู่ แสดงว่าอกุศลกรรมฝ่ายความริษยายังมีอำนาจแรงกว่า ทั้งๆ ที่วัตถุประสงค์ในด้านกุศลกรรมก็มีอยู่ตรงกัน ไม่ต้องกล่าวถึงบุคคลที่ปราศจากเหตุผล จิตคิดจะทำดีมีแต่อิจฉาริษยาเท่านั้น เป็นผู้ทำลายโลกโดยแท้
O ฉะนั้น จึงมีความจำเป็นต้องฝึกฝนตนเองให้มีกุศลกรรมให้มากขึ้น เช่น ถ้าเป็นคนมักริษยาคนอื่น ก็ต้องหัดทำมุทิตาจิต คือ ตั้งใจหัดใจทำความยินดีในกุศลกรรม ในความสุขความเจริญของผู้อื่นอยู่เสมอ
เมื่อกุศลกรรมฝ่ายมุทิตานี้เจริญมากขึ้น อกุศลกรรมฝ่ายริษยาก็จะลดลงจนหายไปได้ จะทำให้เกิดความคิดส่งเสริมทุกคนผู้ประกอบกุศลกรรม เพื่อให้สำเร็จผลเร็วยิ่งขึ้น
O เราทุกคนมีกรรมดีกรรมชั่วติดตัวมาตั้งแต่อดีตชาติ ผลของกรรมเหล่านั้น ก็ทำให้เราเกิดในครอบครัวต่างๆ จน มี ดี ชั่ว ฉลาด โง่ สวย ไม่สวย
ความพิการทางร่างกายและจิตใจของมนุษย์ จะเป็นผลของกรรมเช่นกัน เพราะไม่มีใครเกิดมาอยากพิการ หูหนวก ตาบอด แขนด้วน ง่อยเปลี้ย จิตใจไม่ปกติ ไม่สมประกอบ หรือปัญญาอ่อน เป็นต้น
เมื่อเราเข้าใจและเชื่อในท่านผู้รู้ (พระพุทธเจ้า) ว่าที่เราเป็นอย่างนี้ ดีบ้างไม่ดีบ้าง ก็เพราะกรรมที่เราได้ทำมา ก็ควรพยายามทำกรรมดีเพื่อความสุขความเจริญของเราในภายหน้า
ผู้ที่ประกอบกรรมดีอย่างหนักและบ่อยๆ กรรมดีนี้อาจชนะกรรมชั่วที่เบาที่ได้ทำไว้ในอดีต
O กรรมที่สำคัญที่ ๑ คือ ทางใจ ควรฝึกใจให้มีความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ไม่ให้มีอิจฉาริษยา ไม่เบียดเบียน ไม่นินทา ไม่พยาบาท เป็นต้น การกระทำที่ไม่ดีทางกาย และทางวาจา ก็จะลดน้อยลงจนหมด มีจิตใจการปฏิบัติสะอาด นั่นแหละคือความสุขที่แท้จริง
อักโกสกสูตร
O ครั้งหนึ่ง เมื่อพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่พระวิหารเวฬุวัน อยู่ในเขตพระนครราชคฤห์ มีพราหมณ์คนหนึ่งชื่อ อักโกสก ได้ทราบว่าพราหมณ์ภารทวาชโคตรได้ไปบวชเป็นบรรพชิตในสำนักของพระพุทธเจ้า ก็โกรธขัดใจ
เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วด่าบริภาษพระพุทธเจ้าด้วยวาจาอันหยาบคายมิใช่ของสุภาพชน
O เมื่ออักโกสกพราหมณ์กล่าวอย่างนี้แล้ว พระพุทธเจ้าได้ตรัสถามว่า พราหมณ์ ท่านมีญาติมิตรมาเยี่ยมบ้างไหม พราหมณ์ได้ทูลตอบว่ามีมาเป็นครั้งคราว
พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสถามต่อไปว่า พราหมณ์เมื่อมีญาติมิตรมาหา ท่านเคยจัดของบริโภคหรือของดื่มต้อนรับแขกของท่านบ้างหรือไม่ พราหมณ์ก็ทูลตอบว่า ข้าพระองค์ได้จัดของบริโภคและของดื่มต้อนรับญาติมิตรในบางคราว
O พระพุทธเจ้าได้ตรัสถามว่า พราหมณ์ ถ้าญาติมิตรผู้เป็นแขกเหล่านั้นไม่รับ ของบริโภคและของดื่มเหล่านั้นจะเป็นของใคร พราหมณ์ได้ทูลตอบว่า ของต่างๆ เหล่านั้นเป็นของข้าพระองค์
O พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า พราหมณ์ ข้อนี้ก็เป็นอย่างเดียวกัน เราไม่รับการด่าว่าของท่าน ฉะนั้นการด่าว่าก็กลับไปเป็นของท่านผู้เดียว ผู้ใดด่าโกรธตอบบุคคลผู้ด่าผู้นั้นเราว่าบริโภคร่วมกัน เรานั้นไม่บริโภคร่วม
O พระพุทธเจ้าได้ตรัสต่อไปว่า...
ผู้ไม่โกรธ ฝึกฝนตนแล้วมีความเป็นอยู่สม่ำเสมอ
บุคคลที่ไม่โกรธตอบบุคคลผู้โกรธ
ชื่อว่าชนะสงครามที่ชนะได้โดยยาก
ผู้ใดรู้ว่าผู้อื่นโกรธแล้วมีสติสงบเสียได้
ผู้นั้นชื่อว่าปฏิบัติประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย
คือ แก่ตนและผู้อื่น
O เมื่อพระพุทธเจ้าได้ตรัสอย่างนี้แล้ว อักโกสกพราหมณ์คิดได้และเข้าใจ ได้กราบทูลว่าภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งมาก เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลง หรือส่องประทีปในที่มืด คนมีจักษุย่อมเห็นรูปได้ ข้าพระองค์มีความศรัทธา ขอพระองค์พึงอุปสมบทข้าพระองค์อยู่ในสำนักของพระองค์ต่อไป
O เมื่ออักโกสกได้รับการอุปสมบทแล้ว ก็ได้ปฏิบัติอย่างไม่ประมาท มีความเพียร ใช้ปัญญาพิจารณาในธรรมต่างๆ จนถึงความรู้ที่แท้จริงอย่างแจ่มแจ้ง ก็ได้สำเร็จพระอรหันต์
Free TextEditor