****ทำความดีวันละนิดจิตแจ่มใส**** ใดๆในโลกล้วนอนิจจัง ทุกขังและอนัตตา สิ่งที่ตามเราไปมีเพียงแต่บุญและบาป
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2551
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
28 ตุลาคม 2551
 
All Blogs
 
ฉลาดทำบุญ...การทำบุญให้มีผลมากอานิสงส์มาก

ฉลาดทำบุญ...การทำบุญให้มีผลมากอานิสงส์มาก

ให้ทานด้วยศรัทธา  

     การทำบุญโดยขาดความศรัทธา ทำบุญให้ทานเพราะความเกรงใจ เพราะถูกบังคับ เพราะกลัวเสียหน้า แม้ใช้ทรัพย์เป็นแสนเป็นล้านก็ให้ผลน้อย อานิสงส์น้อย


     การทำบุญให้ทานให้มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ต้องเริ่มด้วยการทำบุญให้ทานด้วยความศรัทธา ยิ่งศรัทธามาก ยิ่งมีผลมาก อานิสงส์มาก ในครั้งพุทธกาลมีอุบาสกอุบาสิกาหลายคนที่ได้รับผลของบุญเห็นทันตาภายในวันนั้นเลย เช่น นายสุมนมาลาการ พระนางมัลลิกาเทวี พระนางโคปาลมาตาเทวี นางสุปิยอุบาสิกา นางปุณณทาสี จูเฬกสาฎกพราหมณ์


     พราหมณ์ชื่อ จูเฬกสาฎก อาศัยอยู่ในเมืองสาวัตถี แกเป็นคนยากจนมาก ผ้าสาฎกสำหรับใช้ห่มเวลาออกนอกบ้านมีผืนเดียว นางพราหมณีภริยาก็มีผืนเดียว คือ ใช้ผืนเดียวกันกับสามี เวลาจะไปนอกบ้าน พราหมณ์หรือพราหมณีย่อมไปได้ทีละคน เพราะต้องผลัดกันใช้ผ้าสาฎก

     วันหนึ่ง มีประกาศเชิญชวนให้ไปฟังธรรมในวิหาร พราหมณ์ถามภริยาว่าเธอจะไปฟังธรรมกลางวันหรือกลางคืน พราหมณีเลือกไปกลางวัน ตกลงกันแล้ว นางพราหมณีก็ห่มผ้าสาฎกไปฟังธรรมที่วิหารเวลากลางวัน

     ตกเย็น นางพราหมณีกลับมา พราหมณ์ก็รับผ้าสาฎกมาห่ม แล้วไปที่วิหารเพื่อฟังธรรมบ้าง
     เขาเลือกไปนั่งฟังธรรมตรงหน้าพระศาสดา

     เมื่อพราหมณ์ได้ฟังธรรมก็เกิดความปิติซาบซ่านไปทั่วร่าง อยากจะเอาผ้าสาฎกถวายพระพุทธเจ้าเต็มกำลัง แต่คิดแล้วคิดอีกว่าถ้าถวายไปแล้วพราหมณีจะไม่มีผ้าสาฎกใช้ห่มอีก คิดแล้วคิดอีก ถวาย ไม่ถวาย หรือถวาย หรือไม่ถวาย จนเวลาล่วงเลยปฐมยาม

     ครั้นถึงมัชฌิมยาม ปิติของพราหมณ์ก็รุกเร้าขึ้นอีกว่าถวาย ไม่ถวาย หรือถวาย หรือไม่ถวาย

     จนเวลาล่วงเข้าสู่ปัจฉิมยาม คราวนี้ศรัทธาของพราหมณ์ข่มชนะความตระหนี่เอาไว้เด็ดขาด ถอดผ้าสาฎกออกพับอย่างดี นำไปถวายพระพุทธเจ้าแทบบาทมูล เสร็จแล้วก็เปล่งเสียงดังขึ้น ๓ ครั้ง ว่า

     "เราชนะแล้ว เราชนะแล้ว เราชนะแล้ว"

     พระเจ้าปเสนทิโกศลซึ่งนั่งฟังธรรมอยู่ด้วย ได้ยินเสียงตาพราหมณ์ตะโกนดังนั้นจึงรับสั่งให้ราชบุรุษไปถามว่าพราหมณ์ชนะอะไร เมื่อราชบุรุษกลับมากราบทูลให้ทรงทราบ พระเจ้าปเสนทิโกศลดำริว่าพราหมณ์ได้ทำสิ่งที่บุคคลทำได้ยากแล้ว เราจะทำการสงเคราะห์เขา ดำริแล้วจึงรับสั่งให้พระราชทานผ้าสาฎก ๑ คู่ให้พราหมณ์

     พราหมณ์ได้รับพระราชทานผ้าสาฎกมาแล้วก็ยินดี แต่แทนที่จะเก็บไว้ใช้ กลับคิดว่าวันนี้โชคดีมีผ้าสาฎกเนื้อดีอยู่ในมือ เราจะทำบุญด้วยผ้าสาฎกนี้

     คิดแล้ว ตาพราหมณ์จึงนำผ้านั้นไปถวายพระพุทธเจ้าอีก พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงรับสั่งให้นำผ้ามาอีกเพิ่มเป็นทวีคูณ คือ ๒ คู่ ๔ คู่ ๘ คู่ ๑๖ คู่ พราหมณ์ก็เอาผ้านั้นไปถวายพระพุทธเจ้าจนหมด

     เมื่อพระราชาพระราชทานผ้าเพิ่มเป็น ๓๒ คู่ พราหมณ์จึงได้เก็บผ้า ๑ คู่ไว้สำหรับตน ๑ คู่สำหรับพราหมณี อีก ๓๐ คู่ถวายพระทศพล

     พระราชาเห็นดังนั้นจึงให้ราชบุรุษนำผ้ากัมพล ๒ ผืน มูลค่าแสนหนึ่งมาพระราชทานให้อีก พราหมณ์คิดว่าผ้ากัมพลเหล่านี้ไม่สมควรแตะต้องที่สรีระสกปรกของเรา ผ้าเหล่านี้สมควรแก่พระพุทธศาสนาเท่านั้น เขาจึงนำผ้ากัมพลผืนหนึ่งไปขึงเป็นเพดานไว้เหนือที่บรรทมของพระศาสดาในพระคันธกุฎี อีกผืนหนึ่งไปขึงเป็นเพดานในที่ทำภัตกิจของภิกษุในเรือนของตน

     เย็นวันต่อมา พระราชาเสด็จไปสู่สำนักของพระศาสดา ทรงเห็นผ้ากัมพลก็จำได้ ทูลถามว่าใครบูชาผ้ากำพลพระเจ้าข้า

     พระศาสดาตรัสตอบว่าพราหมณ์ชื่อเอกสาฎก

     พระราชาชื่นชมความศรัทธาของพราหมณ์ จึงพระราชทานวัตถุอย่างละ ๔ คือ ช้าง ๔ ม้า ๔ สตรี ๔ ทาสี ๔ บุรุษ ๔ บ้านส่วย ๔ ตำบล และกหาปณะ ๔ พัน แก่พราหมณ์

     ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า ทานของพราหมณ์จูเฬกสาฎกน่าอัศจรรย์ เขาให้ทานแล้วได้รับผลของทานในวันเดียวกันนั้นเอง

     พระศาสดาทรงตรัสว่า
     “ภิกษุทั้งหลาย ถ้าเอกสาฎกนี้ถวายทานตั้งแต่ปฐมยามไซร้ เขาจะได้วัตถุอย่างละ ๑๖ ถ้าถวายในมัชฌิมยามไซร้ เขาจะได้วัตถุอย่างละ ๘ แต่เพราะถวายเวลาจวนใกล้รุ่ง เขาจึงได้วัตถุเพียงอย่างละ ๔

     แท้จริงเมื่อจะทำกรรมดีงาม ควรจะทำในทันทีนั้นเอง ด้วยว่ากุศลที่บุคคลทำช้าความศรัทธาจะเสื่อมเสีย เมื่อได้สมบัติย่อมได้ช้าเหมือนกัน เพราะฉะนั้นพึงทำกรรมดีในลำดับแรกที่จิตเกิดความศรัทธาเลยทีเดียว"


     พระพุทธเจ้าตรัสสรรเสริญการทำบุญด้วยความศรัทธานี้แล้ว ดังนั้นการทำบุญ แม้เพียงการหยอดตู้รับบริจาคในวัดด้วยเหรียญบาท หากมีจิตศรัทธามาก ย่อมได้ผลมาก ได้อานิสงส์มาก เหมือนผลที่เกิดแก่ จูเฬกสาฎกพราหมณ์ ผู้นี้





Free TextEditor



Create Date : 28 ตุลาคม 2551
Last Update : 28 ตุลาคม 2551 17:28:42 น. 9 comments
Counter : 419 Pageviews.

 
ให้ทานด้วยความเคารพ

     วิธีการทำบุญให้ทานให้มีผลมาก มีอานิสงส์มาก นอกจากทำด้วยความศรัทธาแล้ว ยังต้องทำด้วยความเคารพ ผลบุญของพระเจ้าปายาสิที่ให้ทานด้วยความไม่เคารพ ย่อมสู้ผลบุญของ อุตตรมาณพ คนใช้ของพระองค์เองที่ให้ทานด้วยความเคารพไม่ได้


     พระเจ้าปายาสิเป็นพระราชาเมืองเสตัพยะ พระองค์ไม่เชื่อว่าสวรรค์มีจริงนรกมีจริง ไม่เชื่อผลของบุญและผลของบาป พระองค์จึงไม่ทำบุญและไม่ให้ทาน ต่อมาพระกุมารปัสสปะเถระได้ล้างมิจฉาทิฏฐิของพระเจ้าปายาสิลงได้ พระองค์จึงเริ่มหันมาให้ทานแก่คนยากไร้ แต่ด้วยนิสัยดั้งเดิมเป็นคนตระหนี่ จิตใจคับแคบ และยังไม่คุ้นเคยกับการเป็นผู้ให้ พระองค์จึงให้ทานด้วยของปอนๆ เสื้อผ้าเนื้อหยาบ และสักแต่ว่าให้ ไม่ได้ให้ทานด้วยความเคารพ


     พระเจ้าปายาสิมอบหมายให้คนรับใช้ชื่อ อุตตระมาณพ เป็นผู้ดูแลการให้ทานนั้น แม้วัตถุทานจะไม่ใช่ของตนเอง แต่อุตตระมาณพก็ดูแลจัดการให้ทานนั้นด้วยความเคารพ

     ผลของการให้ทานด้วยความเคารพที่แตกต่างกัน เมื่อทั้งสองถึงกาละจากโลกมนุษย์ไปแล้ว พระเจ้าปายาสิเจ้าของทานไปอุบัติเป็นเพียงเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นต่ำสุด ส่วนอุตตระมาณพไปอุบัติเป็นเทวดาชั้นสูงกว่าอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีวิมานสูง ๑๒ โยชน์ ชื่อว่า อุตตระเทพบุตร





Free TextEditor


โดย: you4lucky วันที่: 28 ตุลาคม 2551 เวลา:17:31:59 น.  

 
ให้ทานแต่ตกนรก

     การให้ทานด้วยความเคารพนั้นมีผลมาก แต่หากให้ทานผิดวิธี ให้ทานด้วยความตระหนี่ ขาดความศรัทธา ขาดความเคารพ ผลอาจเป็นตรงกันข้ามเหมือนทานของนางเรวดี


     นางเรวดี เป็นภริยาของนันทิยะมาณพชาวพาราณสี นันทิยะมาณพเป็นคนชอบทำบุญ เมื่อแต่งงานแล้วได้มอบหน้าที่ให้นางเรวดีเป็นผู้ดูแลการทำบุญใส่บาตร และการให้ทานคนยากจนอนาถา ซึ่งนางเรวดีก็แสร้งทำตามทั้งที่ใจนั้นไม่อยากทำเลยเพราะนางเป็นคนโลภและตระหนี่

     เมื่อนันทิยะมาณพเดินทางไปค้าขายต่างเมือง นางเรวดีก็จะหยุดให้ทานคนอนาถา ส่วนพระสงฆ์นางก็ใส่บาตรด้วยข้าวต้มผสมน้ำตาล แถมยังเอาข้าวสุกที่ตัวเองกินเหลือ เอาเศษเนื้อเศษปลาเศษกระดูก มาโปรยในสถานที่ฉันอาหาร แล้วเที่ยวบอกใครๆ ว่าสมณะพวกนี้ทิ้งขว้างของที่นางถวายด้วยความศรัทธา

     เมื่อนันทิยะมาณพกลับมาจึงไล่นางเรวดีออกจากเรือนไป แต่ต่อมาก็ใจอ่อนยอมรับนางกลับมาเพราะเพื่อนๆ มาขอร้อง

     เมื่อนันทิยะมาณพถึงแก่กรรม นางเรวดีก็เลิกทำบุญให้ทานอย่างเด็ดขาด และยังเที่ยวด่าทอพระภิกษุด้วยอารมณ์โกรธ ทำให้ท้าวเวสสุวัณณ์ทนดูความหยาบช้าของนางเรวดีไม่ได้ ให้ยักษ์มาจับตัวพาไปดูวิมานของนันทิยะในสวรรค์ บอกว่าถ้านางเรวดีทำบุญให้ทานด้วยความเคารพ ก็จะได้มาอยู่ร่วมวิมานกับสามี แต่นางเรวดีให้ทานด้วยความตระหนี่ ไม่ศรัทธา ไม่เคารพ และยังด่าว่าบริภาษพระภิกษุด้วยความโกรธเคือง นางจึงไม่ได้รับผลของบุญ แต่กลับต้องตกนรกแทน

     จากนั้น นางเรวดีก็ถูกนายนิรบาลมาลากตัวไปลงโทษในสังสวกะคูถนรกเป็นเวลาหลายพันปี





Free TextEditor


โดย: you4lucky วันที่: 28 ตุลาคม 2551 เวลา:17:33:52 น.  

 
อานิสงส์ของความศรัทธา

     ทิ้งท้ายไว้ในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ว่าทำบุญไม่ต้องใช้ทรัพย์ก็ได้ ลืมยกตัวอย่างให้ดูครับ มีตัวอย่างของคนที่ได้ผลได้อานิสงส์ ไปอุบัติในสวรรค์ ทั้งๆ ที่ตลอดชีวิตเขาไม่เคยทำบุญอะไรเลย แต่ก่อนตายจิตมีความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธเจ้า ก็สามารถไปเกิดในสวรรค์ได้


     ตัวอย่างคือ มัฏฐกุณฑลีมาณพ

     มัฏฐกุณฑลี เป็นบุตรของพราหมณ์ชาวสาวัตถี ครอบครัวของเขามีฐานะดี แต่บิดาของเขาเป็นคนตระหนี่ ไม่เคยทำบุญ ไม่เคยฟังธรรม และไม่เคยให้อะไรแก่ใครๆ และยังสอนไม่ให้เขาทำบุญด้วย

     วันหนึ่งมัฏฐกุณฑลีล้มป่วย ด้วยความเสียดายทรัพย์พราหมณ์บิดาจึงไม่ยอมหายารักษา ปล่อยไว้จนอาการหนักรักษาไม่ได้ พราหมณ์ไม่อยากให้ลูกชายตายในเรือน จึงอุ้มเขามาวางไว้ที่นอกซุ้มประตู

     ใกล้รุ่งวันนั้น พระพุทธเจ้าทรงตรวจดูสัตว์โลก เห็นว่ามัฏฐกุณฑลีจะต้องตายในวันนี้ จึงเสด็จไปประทับยืนเปล่งพระพุทธรัศมีอยู่ที่หน้าเรือนเพื่อโปรดเขาโดยเฉพาะ

     มัฏฐกุณฑลีเห็นพระรัศมีจึงเหลียวดู เห็นพระพุทธเจ้าประทับยืนอยู่ด้วยอาการสงบน่าเลื่อมใส รู้สึกปิติโสมนัสว่าพระพุทธองค์เสด็จมาโปรด จึงยกมือขึ้นอัญชลีด้วยความเลื่อมใส พระพุทธเจ้าทอดพระเนตรเห็นมาณพมีจิตเลื่อมใสแล้วจึงเสด็จหลีกไป

     วันนั้น มัฏฐกุณฑลี ก็ถึงกาละ ด้วยกุศลกรรมที่จิตยึดถือพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ เขาจึงได้ไปอุบัติเป็นเทพบุตรชั้นดาวดึงส์ มีวิมานทองสูง ๑๒ โยชน์





Free TextEditor


โดย: you4lucky วันที่: 28 ตุลาคม 2551 เวลา:17:35:12 น.  

 
การทำบุญต้องเลือกเนื้อนาบุญที่ดี

     ผู้ที่เราให้ทานหรือทำบุญด้วยนั้น เรียกว่า เป็นเนื้อนาบุญ ทำหน้าที่ผลิตผลบุญให้แก่ผู้ทำทาน เหมือนนาที่ให้ผลผลิตแก่ผู้หว่าน
     การให้ทานด้วยวัตถุทานอย่างเดียวกัน ถ้าให้ทานแก่เนื้อนาบุญที่ต่างกัน อานิสงส์ของทานนั้นย่อมแตกต่างกันด้วย
     พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบเนื้อนาบุญว่าเป็นเหมือนนาข้าว ถ้าเป็นนาดีย่อมให้ผลดี แต่ถ้านานั้นมีหญ้าขึ้นรก นานั้นย่อมให้ผลไม่ดี

     "...

     สัตว์ผู้ปราศจากราคะเปรียบเหมือนนาดีไม่มีหญ้า
     ทานที่ให้แก่ทักขิไณยบุคคลผู้ปราศจากราคะ จึงมีผลมากเหมือนพืชที่หว่านในนาดี

     สัตว์ผู้ปราศจากโทสะเปรียบเหมือนนาดีไม่มีหญ้า
     ทานที่ให้แก่ทักขิไณยบุคคลผู้ปราศจากโทสะ จึงมีผลมากเหมือนพืชที่หว่านในนาดี

     สัตว์ผู้ปราศจากโมหะเปรียบเหมือนนาดีไม่มีหญ้า
     ทานที่ให้แก่ทักขิไณยบุคคลผู้ปราศจากโมหะ จึงมีผลมากเหมือนพืชที่หว่านในนาดี

     สัตว์ผู้ปราศจากความอยากเปรียบเหมือนนาดีไม่มีหญ้า
     ทานที่ให้แก่ทักขิไณยบุคคลผู้ปราศจากความอยาก จึงมีผลมากเหมือนพืชที่หว่านในนาดี

     ..."

     ตัวอย่างเช่น อังกุรเทพบุตร เมื่อเกิดเป็นมนุษย์เมื่อครั้งโลกว่างจากพุทธศาสนา ได้ตั้งเตา ๑๒ โยชน์ แล้วให้ทานนานถึงหมื่นปี แต่ผู้ที่รับทานนั้นเป็นเนื้อนาบุญที่ไม่ดี จึงได้อานิสงส์น้อยกว่า อินทกเทพบุตร ที่ใส่บาตรพระอนุรุทธเถระเพียงทัพพีเดียว"




Free TextEditor


โดย: you4lucky วันที่: 28 ตุลาคม 2551 เวลา:17:36:26 น.  

 
สังฆทานมีอานิสงส์ยิ่ง

     ใกล้กรุงสาวัตถีนั้นมีพี่น้องสองสาว คนพี่ชื่อ ภัททา คนน้องชื่อ สุภัททา ทั้งสองมีสามีเดียวกัน เพราะนางภัททาไม่มีบุตรจึงบอกให้สามีไปรับน้องสาวคือนางสุภัททามาเป็นภริยาอีกคน


     เมื่อมาอยู่ร่วมเรือนเดียวกัน นางภัททาได้สอนน้องสาวให้รู้จักการให้ทานและประพฤติธรรม นางสุภัททาก็ทำตามด้วยความเคารพพี่สาว

     วันหนึ่ง นางสุภัททาเตรียมอาหารมาใส่บาตรพระภิกษุ ๘ รูป นำโดยพระเรวตเถระ แต่พระเรวตะเถระหวังให้นางสุภัททาได้อานิสงส์มาก จึงพาภิกษุ ๗ รูปไปยังเรือนของนาง บอกให้นางถวายเป็นสังฆทาน เมื่อนางสุภัททาถวายสังฆทานแล้ว พระสงฆ์ก็อนุโมทนาแล้วกลับไป

     เมื่อนางสุภัททาถึงแก่กรรม นางก็ได้ไปอุบัติเป็น สุภัททาเทพธิดา อยู่ในสวรรค์ชั้นนิมมานรดี นางได้หวนระลึกว่าเพราะพี่สาวสอนให้รู้จักการทำบุญ นาง จึงได้เสวยทิพย์สมบัติเช่นนี้

     สุภัททาเทพธิดาได้ตรวจดูว่าภัททาพี่สาวของเราไปเกิดที่ไหนหนอ ก็เห็นพี่สาวไปอุบัติเป็นบริจาริกาท้าวสักกเทวราชอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ สุภัททาเทพธิดาจึงไปหาภัททาเทพธิดาถึงวิมาน

     ภัททาเทพธิดาจำน้องสาวไม่ได้ สงสัยว่าเทพธิดายศใหญ่นี้เป็นใครหนอ ทำบุญด้วยสิ่งใดจึงมีอานุภาพมากเช่นนี้

     สุภัททาเทพธิดาจึงบอกว่า ดิฉันคือสุภัททาน้องสาวของพี่ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ได้ทำบุญให้ทานตามที่พี่แนะนำ

     ภัททาเทพธิดาสงสัยถามต่อว่า พี่ทำบุญให้ทานมากกว่าเธอ ใส่บาตรภิกษุมากกว่าเธอ ส่วนเธอถวายทานเพียงเล็กน้อยไม่กี่ครั้ง เหตุใดเธอจึงได้รับผลวิเศษไพบูลย์กว่าพี่มากมายเล่า

     สุภัททาเทพธิดาตอบว่า ดิฉันนิมนต์พระภิกษุ ๘ รูป มาถวายภัตตาหาร พระเรวตเถระมุ่งจะอนุเคราะห์แก่ดิฉัน จึงบอกว่าให้ดิฉันถวายสงฆ์เถิด ฉันได้ทำตามคำของท่าน ทานนั้นจึงเป็นสังฆทานอันหาค่าประมาณมิได้ ส่วนทานที่พี่ได้ถวายแก่ภิกษุเป็นรายบุคคล มีผลไม่มากเลย

     เมื่อปฏิสันถารกันแล้ว สุภัททาเทพธิดาก็กลับไปสู่เทวโลกของตน





Free TextEditor


โดย: you4lucky วันที่: 28 ตุลาคม 2551 เวลา:17:37:54 น.  

 
ชายโรคเรื้อนฟังธรรมแล้วไปสวรรค์

     สมัยหนึ่งในนครราชคฤห์ มีบุรุษคนหนึ่งเป็นโรคเรื้อน ชื่อว่า สุปพุทธะ เขาเป็นคนยากจนเข็ญใจที่สุดในนคร นุ่งห่มด้วยเศษผ้าที่เขาทิ้งแล้วนำมาเย็บต่อกันเป็นเสื้อผ้า เที่ยวถือกระเบื้องไปขอข้าวตังและเศษอาหารที่เป็นเดนเพื่อเลี้ยงชีพไปวันๆ

     วันหนึ่ง สุปพุทธะเดินถือกระเบื้องขอทานอาหารผ่านไปทางเวฬุวันมหาวิหาร ซึ่งขณะนั้นพระพุทธเจ้ากำลังทรงแสดงธรรมอยู่

     สุปพุทธะมองเห็นแต่ไกลว่ามีมหาชนประชุมกันอยู่ จึงเดินเข้าไปหวังจะขอเศษอาหารขบเคี้ยว แต่พอเข้ามาใกล้เห็นว่ามหาชนกำลังฟังธรรมอยู่ด้วยความสงบ รู้ว่าในที่นี้และเวลาเช่นนี้ไม่ใช่เวลาที่ใครจะมาให้อาหาร แต่เป็นเวลาฟังธรรมกัน แม้เราเองก็ควรฟังธรรมบ้าง ดำริแล้ว สุปพุทธะจึงนั่งลงฟังธรรมในที่ควรข้างหนึ่ง

     ลำดับนั้น พระพุทธเจ้าทรงกำหนดในพระทัยว่า พุทธบริษัทเหล่านี้มีใครบ้างหนอจะรู้แจ้งธรรม ก็ทรงเห็นสุปพุทธะอยู่ในพระญาณ พระองค์จึงทรงแสดงอนุปุพพิกถาเป็นลำดับที่สมควรแก่สุปพุทธะ คือ พรรณนาทาน ศีล และพรรณนาสวรรค์ ทรงแสดงโทษของกามอันต่ำทรามเศร้าหมอง และทรงสรรเสริญคุณของเนกขัมมะการออกบวช

     สุปพุทธะส่งกระแสจิตไปตามกระแสธรรม จิตก็เฟื่องฟูผ่องใสศรัทธาในพระธรรมคำสั่งสอนเป็นอันมาก พระพุทธเจ้าทรงทราบอยู่โดยตลอด พระองค์จึงทรงแสดงอริยสัจสี่ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค ในที่สุดสุปพุทธะก็สำเร็จเป็นพระโสดาบัน

     ฟังธรรมจบแล้ว สุปพุทธะก็ลุกจากอาสนะเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วกราบทูลว่า
     "...

     ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือตามประทีปไว้ในที่มืด

     ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ขอถึงพระผู้มีพระภาค พระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ เป็นสรณะ ข้าพระองค์ขอเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิตตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

     ..."
     สุปพุทธะถวายบังคม กระทำประทักษิณ แล้วออกจากวิหารไป และถูกแม่โคลูกอ่อนขวิดเสียชีวิตลง

     ภิกษุจำนวนมากเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าถึงที่ประทับ ทูลถามว่าสุปพุทธะทำกาละแล้ว เขาไปเกิดที่ไหน
     พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่า สุปพุทธะเป็นพระโสดาบัน บัดนี้เขาไปอุบัติเป็นเทพบุตรในดาวดึงส์

     ภิกษุรูปหนึ่งทูลถามว่าอะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้สุปพุทธะเกิดมาขัดสน กำพร้า ยากไร้

     พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ว่า ในอดีตกาล สุปพุทธะเกิดเป็นบุตรเศรษฐี วันหนึ่งพาบริวารไปเล่นในอุทยาน ได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าพระนามว่า ตครสิขี กำลังบิณฑบาตอยู่ เขามีดำริที่เป็นโทษว่า ใครนี่ หัวโล้น ครองผ้ากาสาวะ คงจะเป็นคนโรคเรื้อนจึงเอาผ้าคลุมกายไว้เช่นนี้ ดำริแล้วจึงถ่มน้ำลายแสดงอาการไม่สมควรแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า ด้วยผลของเศษกรรมนั้น เขาจึงไปเกิดอยู่ในนรกนานแสนนาน เมื่อได้มาเกิดเป็นมนุษย์ เศษกรรมได้ทำให้เขาเป็นคนยากไร้ กำพร้า ถูกคนอื่นติเตียนและดูหมิ่น และต้องอาศัยผ้าเก่าๆ ปะๆ เป็นเครื่องนุ่งห่ม อยู่ในกรุงราชคฤห์นี้เอง





Free TextEditor


โดย: you4lucky วันที่: 28 ตุลาคม 2551 เวลา:17:39:21 น.  

 

กบเป็นเทวดาเพราะฟังธรรม

     การฟังธรรมนั้นเป็นวิธีการทำบุญที่มีอานิสงส์ใหญ่ อย่างเช่นสุปพุทธะชายโรคเรื้อนฟังธรรมแล้วโดนโคขวิดตายก็ได้ไปอุบัติในสวรรค์ อย่าว่าแต่มนุษย์เลย แม้แต่สัตว์ดิรัจฉาน เมื่อได้ฟังธรรมเพียงครั้งเดียวยังได้ไปอุบัติในสวรรค์ ดังนั้นเมื่อเรามีโอกาสได้เกิดเป็นมนุษย์ก็อย่าเสียโอกาสให้ขายหน้าเทวดากบ


     ครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่ริมสระโบกขรณี ในนครจัมปา เมื่อพุทธบริษัทมาประชุมพร้อมกันเวลาเย็นเพื่อฟังธรรม พระพุทธองค์จึงทรงแสดงธรรมด้วยพระสุรเสียงไพเราะดังเสียงพรหม



     ขณะนั้น กบตัวหนึ่งอยู่ในสระโบกขรณี ได้ยินเสียงพระพุทธองค์รู้ว่าเป็นเสียงบรรยายธรรม จึงได้ขึ้นมาจากสระ มาฟังธรรมอยู่ท้ายพุทธบริษัท


     ขณะเดียวกัน คนเลี้ยงโคคนหนึ่งถือไม้ต้อนโคเข้ามายังที่แสดงธรรมนั้น ครั้นเห็นพระพุทธเจ้ากำลังแสดงธรรมอยู่ ก็ยืนสงบนิ่งฟังธรรม เอาไม้ต้อนโคที่ถืออยู่ปักลงบนพื้น และบังเอิญปักถูกที่หัวกบ กบจึงตายอยู่ ณ ที่นั้นเอง


     กบนั้นตายไปด้วยจิตเลื่อมใสในธรรมสัญญา จึงได้ไปอุบัติเป็นเทพบุตรในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีวิมานทองสูง ๑๒ โยชน์ มีหมู่นางเทพอัปสรแวดล้อม เทพบุตรนั้นคิดทบทวนรู้ว่าสมบัติทิพย์นี้ได้มาเพราะการฟังธรรม เทพบุตรนั้นจึงกลับมาพร้อมด้วยวิมานทอง ประคองอัญชลีนมัสการพระพุทธเจ้า เปล่งอานุภาพรัศมีไปไกลถึง ๑๒ โยชน์ ยืนฟังธรรมต่อ


     เมื่อฟังพระธรรมเทศนาจบ เทพบุตรนั้นก็สำเร็จเป็นพระโสดาบัน แล้วเทพบุตรก็ถวายบังคมพระพุทธเจ้าพาบริวารกลับไปยังเทวโลก






Free TextEditor


โดย: you4lucky วันที่: 28 ตุลาคม 2551 เวลา:17:40:26 น.  

 

บุญจากการอนุโมทนา

     ผลของบุญนั้นมีความมหัศจรรย์มาก เพราะบุคคลบางคนไม่ได้สละทรัพย์เป็นเจ้าของวัตถุทานและไม่ได้เป็นผู้ถวายทานนั้นด้วยมือ แต่เป็นผู้มีความยินดีเลื่อมใสในการทำบุญของบุคคลอื่น บุคคลนั้นก็จะได้รับผลของบุญประหนึ่งเป็นเจ้าของวัตถุทานหรือเป็นผู้ถวายทานนั้นเอง ดังเช่นผลบุญที่เกิดกับเพื่อนของนางวิสาขามหาอุบาสิกา

     ครั้งหนึ่ง พระอนุรุทธะเถระจาริกไปในดาวดึงส์เทวโลก เห็นทิพย์วิมานหลังใหญ่ กว้างยาวและสูง ๑๖ โยชน์ แวดล้อมด้วยอุทยานและสระโบกขรณี ล่องลอยอยู่ในอากาศ แผ่รัศมีไปไกลถึงร้อยโยชน์ เจ้าของวิมานนั้นเป็นเทพธิดาวรรณะงาม มีรัศมีสว่างไปทั่วทุกทิศ มีกลิ่นทิพย์หอมยวนใจฟุ้งออกจากอวัยวะน้อยใหญ่ เมื่อยามเยื้องกรายหรือร่ายรำก็มีเสียงทิพย์อันไพเราะ น่าฟัง น่ารื่นรมย์ใจ เปล่งออกจากอวัยวะน้อยใหญ่ พระอนุรุทธะเถระจึงถามเทพธิดานั้นว่าเธอทำบุญด้วยอะไร ทิพย์สมบัตินี้จึงเกิดขึ้นแก่เธอ


     นางเทพธิดาตอบพระเถระว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ดิฉันเป็นเพื่อนของนางวิสาขามหาอุบาสิกา เมื่อเพื่อนของดิฉันสละทรัพย์ถึง ๒๗ โกฏิ สร้างบุพพารามมหาวิหาร เธอชวนดิฉันและสหายอีก ๕๐๐ คน ไปเที่ยวชมปราสาท ดิฉันได้เห็นสมบัติปราสาทที่เธอสร้างถวายพระภิกษุสงฆ์ที่ดิฉันเคารพ ดิฉันเลื่อมใส จึงอนุโมทนาบุญกับเธอว่า สาธุ สาธุ


     ด้วยอานิสงส์ของการอนุโมทนาบุญนี้ ทิพย์สมบัติทั้งหลายเหล่านี้จึงบังเกิดแก่ดิฉัน






Free TextEditor


โดย: you4lucky วันที่: 28 ตุลาคม 2551 เวลา:17:41:32 น.  

 
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำในการทำทานน่ะค่ะ
ชอบมาก


โดย: PigfatnaraK วันที่: 28 ตุลาคม 2551 เวลา:17:44:34 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

you4lucky
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะคะ
Friends' blogs
[Add you4lucky's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.