ฉลาดทำบุญ...การทำบุญให้มีผลมากอานิสงส์มาก
ฉลาดทำบุญ...การทำบุญให้มีผลมากอานิสงส์มาก
ให้ทานด้วยศรัทธา
การทำบุญโดยขาดความศรัทธา ทำบุญให้ทานเพราะความเกรงใจ เพราะถูกบังคับ เพราะกลัวเสียหน้า แม้ใช้ทรัพย์เป็นแสนเป็นล้านก็ให้ผลน้อย อานิสงส์น้อย การทำบุญให้ทานให้มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ต้องเริ่มด้วยการทำบุญให้ทานด้วยความศรัทธา ยิ่งศรัทธามาก ยิ่งมีผลมาก อานิสงส์มาก ในครั้งพุทธกาลมีอุบาสกอุบาสิกาหลายคนที่ได้รับผลของบุญเห็นทันตาภายในวันนั้นเลย เช่น นายสุมนมาลาการ พระนางมัลลิกาเทวี พระนางโคปาลมาตาเทวี นางสุปิยอุบาสิกา นางปุณณทาสี จูเฬกสาฎกพราหมณ์
พราหมณ์ชื่อ จูเฬกสาฎก อาศัยอยู่ในเมืองสาวัตถี แกเป็นคนยากจนมาก ผ้าสาฎกสำหรับใช้ห่มเวลาออกนอกบ้านมีผืนเดียว นางพราหมณีภริยาก็มีผืนเดียว คือ ใช้ผืนเดียวกันกับสามี เวลาจะไปนอกบ้าน พราหมณ์หรือพราหมณีย่อมไปได้ทีละคน เพราะต้องผลัดกันใช้ผ้าสาฎก
วันหนึ่ง มีประกาศเชิญชวนให้ไปฟังธรรมในวิหาร พราหมณ์ถามภริยาว่าเธอจะไปฟังธรรมกลางวันหรือกลางคืน พราหมณีเลือกไปกลางวัน ตกลงกันแล้ว นางพราหมณีก็ห่มผ้าสาฎกไปฟังธรรมที่วิหารเวลากลางวัน
ตกเย็น นางพราหมณีกลับมา พราหมณ์ก็รับผ้าสาฎกมาห่ม แล้วไปที่วิหารเพื่อฟังธรรมบ้าง เขาเลือกไปนั่งฟังธรรมตรงหน้าพระศาสดา
เมื่อพราหมณ์ได้ฟังธรรมก็เกิดความปิติซาบซ่านไปทั่วร่าง อยากจะเอาผ้าสาฎกถวายพระพุทธเจ้าเต็มกำลัง แต่คิดแล้วคิดอีกว่าถ้าถวายไปแล้วพราหมณีจะไม่มีผ้าสาฎกใช้ห่มอีก คิดแล้วคิดอีก ถวาย ไม่ถวาย หรือถวาย หรือไม่ถวาย จนเวลาล่วงเลยปฐมยาม
ครั้นถึงมัชฌิมยาม ปิติของพราหมณ์ก็รุกเร้าขึ้นอีกว่าถวาย ไม่ถวาย หรือถวาย หรือไม่ถวาย
จนเวลาล่วงเข้าสู่ปัจฉิมยาม คราวนี้ศรัทธาของพราหมณ์ข่มชนะความตระหนี่เอาไว้เด็ดขาด ถอดผ้าสาฎกออกพับอย่างดี นำไปถวายพระพุทธเจ้าแทบบาทมูล เสร็จแล้วก็เปล่งเสียงดังขึ้น ๓ ครั้ง ว่า
"เราชนะแล้ว เราชนะแล้ว เราชนะแล้ว"
พระเจ้าปเสนทิโกศลซึ่งนั่งฟังธรรมอยู่ด้วย ได้ยินเสียงตาพราหมณ์ตะโกนดังนั้นจึงรับสั่งให้ราชบุรุษไปถามว่าพราหมณ์ชนะอะไร เมื่อราชบุรุษกลับมากราบทูลให้ทรงทราบ พระเจ้าปเสนทิโกศลดำริว่าพราหมณ์ได้ทำสิ่งที่บุคคลทำได้ยากแล้ว เราจะทำการสงเคราะห์เขา ดำริแล้วจึงรับสั่งให้พระราชทานผ้าสาฎก ๑ คู่ให้พราหมณ์
พราหมณ์ได้รับพระราชทานผ้าสาฎกมาแล้วก็ยินดี แต่แทนที่จะเก็บไว้ใช้ กลับคิดว่าวันนี้โชคดีมีผ้าสาฎกเนื้อดีอยู่ในมือ เราจะทำบุญด้วยผ้าสาฎกนี้
คิดแล้ว ตาพราหมณ์จึงนำผ้านั้นไปถวายพระพุทธเจ้าอีก พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงรับสั่งให้นำผ้ามาอีกเพิ่มเป็นทวีคูณ คือ ๒ คู่ ๔ คู่ ๘ คู่ ๑๖ คู่ พราหมณ์ก็เอาผ้านั้นไปถวายพระพุทธเจ้าจนหมด
เมื่อพระราชาพระราชทานผ้าเพิ่มเป็น ๓๒ คู่ พราหมณ์จึงได้เก็บผ้า ๑ คู่ไว้สำหรับตน ๑ คู่สำหรับพราหมณี อีก ๓๐ คู่ถวายพระทศพล
พระราชาเห็นดังนั้นจึงให้ราชบุรุษนำผ้ากัมพล ๒ ผืน มูลค่าแสนหนึ่งมาพระราชทานให้อีก พราหมณ์คิดว่าผ้ากัมพลเหล่านี้ไม่สมควรแตะต้องที่สรีระสกปรกของเรา ผ้าเหล่านี้สมควรแก่พระพุทธศาสนาเท่านั้น เขาจึงนำผ้ากัมพลผืนหนึ่งไปขึงเป็นเพดานไว้เหนือที่บรรทมของพระศาสดาในพระคันธกุฎี อีกผืนหนึ่งไปขึงเป็นเพดานในที่ทำภัตกิจของภิกษุในเรือนของตน
เย็นวันต่อมา พระราชาเสด็จไปสู่สำนักของพระศาสดา ทรงเห็นผ้ากัมพลก็จำได้ ทูลถามว่าใครบูชาผ้ากำพลพระเจ้าข้า
พระศาสดาตรัสตอบว่าพราหมณ์ชื่อเอกสาฎก
พระราชาชื่นชมความศรัทธาของพราหมณ์ จึงพระราชทานวัตถุอย่างละ ๔ คือ ช้าง ๔ ม้า ๔ สตรี ๔ ทาสี ๔ บุรุษ ๔ บ้านส่วย ๔ ตำบล และกหาปณะ ๔ พัน แก่พราหมณ์
ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า ทานของพราหมณ์จูเฬกสาฎกน่าอัศจรรย์ เขาให้ทานแล้วได้รับผลของทานในวันเดียวกันนั้นเอง
พระศาสดาทรงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ถ้าเอกสาฎกนี้ถวายทานตั้งแต่ปฐมยามไซร้ เขาจะได้วัตถุอย่างละ ๑๖ ถ้าถวายในมัชฌิมยามไซร้ เขาจะได้วัตถุอย่างละ ๘ แต่เพราะถวายเวลาจวนใกล้รุ่ง เขาจึงได้วัตถุเพียงอย่างละ ๔
แท้จริงเมื่อจะทำกรรมดีงาม ควรจะทำในทันทีนั้นเอง ด้วยว่ากุศลที่บุคคลทำช้าความศรัทธาจะเสื่อมเสีย เมื่อได้สมบัติย่อมได้ช้าเหมือนกัน เพราะฉะนั้นพึงทำกรรมดีในลำดับแรกที่จิตเกิดความศรัทธาเลยทีเดียว"
พระพุทธเจ้าตรัสสรรเสริญการทำบุญด้วยความศรัทธานี้แล้ว ดังนั้นการทำบุญ แม้เพียงการหยอดตู้รับบริจาคในวัดด้วยเหรียญบาท หากมีจิตศรัทธามาก ย่อมได้ผลมาก ได้อานิสงส์มาก เหมือนผลที่เกิดแก่ จูเฬกสาฎกพราหมณ์ ผู้นี้
Free TextEditor
Create Date : 28 ตุลาคม 2551 |
Last Update : 28 ตุลาคม 2551 17:28:42 น. |
|
9 comments
|
Counter : 419 Pageviews. |
|
|
วิธีการทำบุญให้ทานให้มีผลมาก มีอานิสงส์มาก นอกจากทำด้วยความศรัทธาแล้ว ยังต้องทำด้วยความเคารพ ผลบุญของพระเจ้าปายาสิที่ให้ทานด้วยความไม่เคารพ ย่อมสู้ผลบุญของ อุตตรมาณพ คนใช้ของพระองค์เองที่ให้ทานด้วยความเคารพไม่ได้
พระเจ้าปายาสิเป็นพระราชาเมืองเสตัพยะ พระองค์ไม่เชื่อว่าสวรรค์มีจริงนรกมีจริง ไม่เชื่อผลของบุญและผลของบาป พระองค์จึงไม่ทำบุญและไม่ให้ทาน ต่อมาพระกุมารปัสสปะเถระได้ล้างมิจฉาทิฏฐิของพระเจ้าปายาสิลงได้ พระองค์จึงเริ่มหันมาให้ทานแก่คนยากไร้ แต่ด้วยนิสัยดั้งเดิมเป็นคนตระหนี่ จิตใจคับแคบ และยังไม่คุ้นเคยกับการเป็นผู้ให้ พระองค์จึงให้ทานด้วยของปอนๆ เสื้อผ้าเนื้อหยาบ และสักแต่ว่าให้ ไม่ได้ให้ทานด้วยความเคารพ
พระเจ้าปายาสิมอบหมายให้คนรับใช้ชื่อ อุตตระมาณพ เป็นผู้ดูแลการให้ทานนั้น แม้วัตถุทานจะไม่ใช่ของตนเอง แต่อุตตระมาณพก็ดูแลจัดการให้ทานนั้นด้วยความเคารพ
Free TextEditor