Bloggang.com : jenifaae :

ทางออกเศรษฐกิจไทยยุคสหรัฐฯล่มสลาย

     โชคดูจะไม่เข้าข้างคนไทยสักเท่าไหร่ เพราะถึงแม้จะได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถตอบคำถามของคนส่วนใหญ่ได้ว่า จะแก้ไขวิกฤตการณ์ทางการเมืองที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งในขณะนี้ได้อย่างไร

ที่สำคัญ จะสามารถจัดการกับการชุมนุมประท้วงยึดทำเนียบ รัฐบาลของกลุ่มพันธมิตร ประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่มีจำนวนคนร่วมชุมนุมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆได้อย่างไร

     ท่ามกลางบรรยากาศที่กำลังสูญเสียความเชื่อมั่น และการควบคุมผู้คนให้อยู่ในความสงบ ประเทศไทยยังต้องเผชิญหน้ากับวิกฤติการล่มสลายของสถาบันการเงินในสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อเศรษฐกิจโลก การส่งออก และยังอาจลุกลามบานปลายถึงขั้นที่มีการไหลออกของเงินทุนจำนวนมากอีกด้วย

ภายใต้สถานการณ์เช่นว่านี้ ประเทศไทยจะดำรงอยู่ อย่างไร? ลองหาคำตอบจากบุคคลซึ่งจัดเป็นตัวแทนทางความคิดของคนกลุ่มต่างๆเหล่านี้ดู

ธนินท์ เจียรวนนท์

ประธานกรรมการเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซี.พี.

“ในวันนี้ ผมยังมองว่าประเทศไทยเต็มไปด้วยโอกาส แต่ในสิบปีต่อไปนี้ จะต้องวางแผนให้ดี เพื่อวางนโยบายให้ภาคอุตสาหกรรมมีการปรับเปลี่ยน และใช้ทรัพยากรมนุษย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด”

     ดังนั้น เราต้องสร้างคนของเราให้เรียนรู้เทคโนโลยี รู้เทคนิคการทำงาน และไปทำงานในต่างประเทศหารายได้เข้าประเทศมากขึ้น เช่น ช่างเทคนิค หัวหน้ากุ๊ก นางพยาบาล ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศ ไม่ใช่ไปขายแรงงานเหมือนแต่ก่อน เราต้องขายความรู้ ขายคนที่มีคุณภาพ

ขณะที่สินค้าภาคการเกษตร โดยเฉพาะยางพารา ประเทศไทย จะต้องขึ้นเป็นผู้นำ เพราะไทยขายสินค้าเกษตรมากที่สุดในโลก ในส่วนของการส่งออกยางพารา เราควรส่งเสริมให้มีการปฏิรูปการส่งออก พัฒนาให้เราเป็นผู้กำหนดราคายาง ซึ่งจะต้องแพงกว่าราคาน้ำมัน

เพราะยางเทียมที่ทำมาจากน้ำมัน ราคายังสูงขึ้นไปอยู่ 100 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล แต่เรายังขายยางดิบ 90 บาทต่อ กก. เพราะเราไม่ได้เข้าไปบริหารจัดการ ปล่อยให้ขายกันตามบุญตามกรรม คนซื้อมีจำนวนน้อย แต่คนขายมีมาก ถ้าเราไม่จัดการก็จะเหมือนราคาข้าว

     ขณะที่เกษตรกรไทยต้องหันมาใช้เทคโนโลยีช่วยเพิ่มผลผลิตให้เพิ่มขึ้นหลายเท่า และถ้าจะสู้กับน้ำมันได้ นอกจากพลังน้ำแล้ว เราต้องใช้ปรมาณูนิวเคลียร์แล้วมาปันไฟ ซึ่งในโลกนี้ทำมาหลาย 10 ปีแล้ว เพราะถ้าประเทศไทยจะก้าวไปสู่ตลาดโลก เมืองไทยต้องพร้อม ต้องมีน้ำมันที่ใช้ไม่มีวันหมด มีบ่อน้ำมันที่เพิ่มขึ้นได้ทุกปี ต้องเอาไบโอเทคโนโลยีเข้ามาช่วย

ตรงนี้ ผมมองว่าเมืองไทยเต็มไปด้วยโอกาสและสำคัญยิ่ง ผมเชื่อว่า พื้นฐานของเรายังสู้กับจีนกับเวียดนามได้ เพราะมีความพร้อมกว่า ต่างประเทศยังสนใจลงทุนอยู่

“ถ้าผมเป็นผู้ตัดสินใจ สิ่งแรกที่ผมจะลงทุน คือ ชลประทาน ซึ่งจะเหมือนเอาเงินเข้าประเทศ 300,000 ล้านบาท ให้เงินต่อเงิน เพราะการจ้างงานจะทำให้ทุกอย่างคึกคัก ขณะเดียวกัน จะทำให้ผลผลิตของเรามั่นคง ไม่กลัวแห้งแล้ง ไม่มีฝนก็ปลูกได้ รวมทั้งควรนำระบบตัดต่อยีนมาใช้เพิ่มผลผลิต”

     นอกจากนี้ รัฐบาลในอนาคตต้อง ส่งเสริมให้นักธุรกิจไทยไปทำธุรกิจต่างประเทศ ขณะนี้เดียวกันต้องยอมรับการลงทุนจากต่างชาติ แม้ว่าจะเป็นธุรกิจร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ก็ตาม เพราะเราควรดูว่าต่างชาติที่เข้ามาทำประโยชน์ให้กับประชาชนส่วนใหญ่หรือไม่ ถ้าเข้ามาทำประโยชน์ให้คนไทยได้ก็ไม่ควรรังเกียจ

สมคิด จาตุศรีพิทักษ์

อดีตรองนายกฯ และ รมว.คลัง

     สิ่งที่ต้องระวัง และเอาใจใส่เป็นพิเศษไม่ให้กระทบเชิงลึกต่อเศรษฐกิจประเทศไทยในอนาคตก็คือ

1. อย่าให้เหตุการณ์ที่ไม่มีความเชื่อมั่นในขณะนี้ กลายเป็นความไม่เชื่อถือ อย่างในช่วงที่มีปฏิวัติใหม่ๆทำให้กระทบกับความเชื่อมั่น แต่ความเชื่อมั่นนี้เรียกกลับคืนมาได้ไม่ยาก ผิดกับขณะนี้ ที่สำนักข่าวต่างประเทศต่างพาดหัวข่าวเกี่ยวกับประเทศไทยต่างๆนานา เช่น ดิ อีโคโนมิสต์ พาดหัวว่า ประเทศไทยไม่สามารถปกครองได้ สิ่งนี้ทำให้ผู้คนไม่เข้าใจสถานะประเทศไทยจริงๆ และเกิดภาพลักษณ์ที่ต้องระวัง

2. ปัญหาที่เกิดขึ้นกับสถาบันการเงินในสหรัฐฯ ไม่ง่ายอย่างที่ทุกคนประเมิน เพราะเกิดขึ้นกับประเทศยักษ์ใหญ่ที่เป็นเครื่องจักรใหญ่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก นอกจากผลกระทบทางตรงแล้ว ยังต้องระวังผลกระทบทางอ้อมที่มองไม่เห็นด้วย เพราะขอบเขต ความเสียหายยังประเมินค่าออกมาไม่ได้ แต่จะไม่ใช่สถาบันการเงินเสียหายจากการลงทุนในซับ�ไพร์มเท่านั้น ยังมีองค์กร ห้างร้านต่างๆที่จะได้รับผลเสียหายไปด้วย และผลพวงจากปัญหาภาคการเงิน จะไปกระทบกับภาคเศรษฐกิจจริง สินเชื่อจะหายากขึ้น ต้นทุนจะแพงขึ้น และสิ่งเหล่านี้กำลังเกิดขึ้น เพียงแต่จะโผล่ออกมาอีกเมื่อใด ไม่มีใครรู้

“สำหรับประเทศไทย ความร่วมมือระหว่างกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการตรวจสอบติดตาม ประเมินสถานการณ์ และเตรียมมาตรการล่วงหน้าเป็นสิ่งจำเป็น หากมีปัญหาเกิดขึ้นกับภาคเศรษฐกิจจริง ทั้งส่งออก และเอสเอ็มอี จะได้มีมาตรการดูแลได้ทัน เราจึงควรระวังเป็นพิเศษในเรื่องนี้ อย่าคิดว่า นี่เป็นเรื่องไกลตัว หรือประเทศไทยมีธุรกิจ เกี่ยวข้องกับเลห์แมน (บริษัทเลห์แมน บราเธอร์ส โฮลดิ้ง) และเอไอจี (บริษัท อเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป) น้อย”

3. ในขณะที่ไทยเผชิญปัญหาเงินเฟ้อ และเศรษฐกิจโลกชะลอตัว กระทรวงการคลัง และ ธปท. ต้องเป็น “คอหอย ลูกกระเดือก” ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด ใช้มาตรการการทางการเงิน และการคลังสอดประสานกันไปสู่จุดหมาย ไม่ใช่มัวถกเถียงเรื่องอัตราดอกเบี้ยจะขึ้นจะลงเท่าใด ขณะที่กระทรวง ทบวง กรม ที่เกี่ยวข้องก็ต้อง มีพลังขับเคลื่อนในทิศทางเดียวกัน ภายใต้ความมีสปิริต และการกล้าตัดสินใจของข้าราชการ

4. ประเทศไทยต้องสร้างเครือข่ายในภูมิภาค หากทำตัวเหมือนคนป่วย จะไม่มีใครให้ความสำคัญเลย ลองพิจารณาดูเถอะว่า ในเวทีโลกวันนี้ เสียงเขมรยังดังกว่าไทย เรื่องนี้กระทบระยะยาว และในโอกาสที่เรามีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ชื่อ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ภาพที่เห็นนี้จะสำคัญยิ่งว่า เขาต้องเป็นนายกฯของคนทั้งประเทศ ไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่ง และต้องใช้โอกาสนี้ตั้งคณะรัฐมนตรีที่ทำงานได้ สรรหาคนดีมีความสามารถ รวมทั้งคนนอกทั้งที่ไม่ใช่นักการเมืองเข้ามา อย่างน้อยจะทำให้คนเชื่อถือ และต้องทำให้ประเทศขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้ ไม่นิ่งอยู่กับที่ ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถดูแลปัญหาในอนาคตได้

     “การตั้ง ครม.ต้องไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ต้องเป็นที่ยอมรับของคนส่วนใหญ่ และมีพลังในการทำงาน พร้อมเสียสละเพื่อบ้านเมือง ไม่ใช่มาแบ่งเค้ก เพราะในสถานการณ์ปกติ จะแบ่งโควตากันอย่างไรไม่มีใครว่า แต่นี่คือจังหวะที่เหมาะสม ที่จะเร่งสร้างความน่าเชื่อถือของประเทศจากความน่าเชื่อถือรัฐบาล ประเทศไทยจริงๆแล้วมีทางออก แต่ไปมองกันเพียงการชนะระหว่างกัน ซึ่งไม่ได้เอาประเทศชาติเป็นตัวตั้ง”

นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ

ผู้อำนวยการใหญ่บริษัทการบินกรุงเทพ จำกัด

“ความรุนแรงทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา กระทบการท่องเที่ยวที่เป็นรายได้หลักของประเทศอย่างรุนแรง โดยเฉพาะการปิด สนามบินในจังหวัดท่องเที่ยว เป็นแผลในใจนักท่องเที่ยวซึ่งสร้างความเสีย หายมหาศาล อาจทำให้การมาเที่ยวเมืองไทยหยุดชะงักในปีนี้ และ เรียกคืนไม่ได้ในฤดูกาลท่องเที่ยวปีหน้า”

จึงต้องเร่งกู้วิกฤติการท่องเที่ยวไทยเพื่อคงรายได้หลักของประเทศไว้ เพราะการท่องเที่ยวสร้างราย ได้ให้กับประเทศมหาศาลแต่ลงทุนต่ำที่สุด และคาดกันว่า การท่องเที่ยวปีนี้จะลดลง 20% จากปีก่อน

“ผมเสนอให้ปฏิรูปการท่องเที่ยวไทยทั้งระบบ เริ่มต้นจากการวางแผนโปรโมตการท่องเที่ยวไทย จากปีต่อปี เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เป็นการวางแผนระยะยาว 5 ปี โดยให้อยู่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งเป็นแผนแม่บทพัฒนาประเทศไทย รวมทั้งควรตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐ และเอกชนส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งชาติ เพื่อเป็นองค์กรเดียวทำหน้าที่ตัดสินใจ ดูแลการท่องเที่ยวของประเทศ”

“ขณะเดียวกัน การบริหารเมืองท่องเที่ยวก็เป็นอีกจุดที่สำคัญ ผมมองว่า ผู้ว่าราชการเมืองท่องเที่ยวควรจะให้อยู่ในตำแหน่งเดิมให้นานกว่าที่เป็นอยู่ และมีอำนาจวางนโยบายการท่องเที่ยวของจังหวัดให้ชัดเจน ไม่ใช่อยู่ปีเดียวก็ย้ายอย่างในปัจจุบัน แต่จะต้องคัดเลือกบุคคลที่มีความรู้และเข้าใจในการท่องเที่ยว”

     กรณีการปิดสนามบินภูเก็ต ถือว่าเราฆ่าตัวตายเอง เพราะวันที่ 29-31 ส.ค.เป็นช่วงสุดท้ายของวันหยุดยาวในเมืองนอก นักท่องเที่ยวจะต้องบินกลับไปเตรียมตัวทำงานในวันที่ 1 ก.ย. ถ้ากลับไปทำงานไม่ได้ก็จะมีปัญหา วันนั้น ถ้าผู้ว่าฯภูเก็ตเข้าใจประเด็นนี้และชี้แจงให้ผู้ชุมนุมฟัง สถานการณ์อาจไม่เลวร้ายเท่านี้

อย่างไรก็ตาม การกู้ภาพลักษณ์และนักท่องเที่ยวกลับคืนมาจำเป็นต้องใช้เวลา และมาตรการเพิ่มเพื่อกู้สถานการณ์ เช่น การอำนวยความสะดวก ให้นักท่องเที่ยวทำวีซ่าเข้าไทยได้ง่ายขึ้น อนุญาตให้ คนถือพาสปอร์ตบางประเภทเข้าไทยได้ โดยไม่ต้องทำวีซ่าล่วงหน้า หรือร่วมกับเชงเก้นส์ วีซ่า (schengen visa) ใครที่ทำเชงเก้นส์ วีซ่า ซึ่งเข้ายุโรปได้ 26 ประเทศสามารถเข้าไทยได้ด้วย และเร่งประสานงานกับ 6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขงสร้าง “แม่โขง วีซ่า” เพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวที่ต้องการเข้ามาเที่ยวในภูมิภาคนี้

การส่งเสริมการท่องเที่ยวกรุงเทพมหานครโดยตรงเป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยเพิ่มนักท่องเที่ยวได้ “อย่าคิดว่า กรุงเทพฯ เป็นแค่เมืองผ่าน” ต้องทำให้กรุงเทพฯเป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวตั้งใจมาเที่ยว เหมือนกรุงปารีส ของฝรั่งเศส กรุงลอนดอน ของอังกฤษ หรือกรุงมาดริด ของสเปน

     ททท.ต้องเปลี่ยนวิธีโปรโมตกรุงเทพฯให้เป็นเมืองหลวงท่องเที่ยว ขณะที่ผู้ว่าฯกทม. จะดูแลการท่องเที่ยวมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีนโยบายให้กรุงเทพฯเป็นเมืองหลวงแห่งการท่องเที่ยวอย่างจริงจัง โดยต้องปรับปรุงสาธารณูปโภคการท่องเที่ยวให้ดีขึ้น โดยเฉพาะรถเมล์และรถแท็กซี่

ทัวร์ตรวจสุขภาพ (Medical Tour) เป็นอีกหนทางที่ดีที่ช่วยเพิ่มนักท่องเที่ยว โดยในปัจจุบัน หากส่งเสริม “ทัวร์สุขภาพ” ให้ดี ขอวีซ่าง่ายขึ้น ส่งเสริมการท่อง เที่ยวกรุงเทพฯ เชื่อว่าจะทำให้นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 10 ล้านคน จาก 15 ล้านคนในปัจจุบันเป็น 25 ล้านคน ภายในเวลา 5 ปีได้แน่นอน

พิชัย นริพทะพันธุ์

รักษาการรัฐมนตรีช่วยกระทรวงการคลัง

     สถานการณ์การเมืองขณะนี้คงยืดเยื้อไปอีกนาน หากพันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาธิปไตยไม่ยอมถอยเพื่อเปิดโอกาสให้ระบอบประชาธิปไตยทำงานตามหน้าที่ ส่วนรัฐบาลเอง แม้ผมจะนั่งอยู่ในรัฐบาล แต่ก็อยากแนะนำ ให้รัฐบาลใช้วิธีประนีประนอมเพื่อเจรจากับพันธมิตรฯ ยอมถอยก้าวแรกก่อน เพื่อเปิดโอกาสให้มีการเจรจาสองฝ่าย ซึ่งก็น่าจะเป็นหนทางในการแก้ไขปัญหาการเมืองที่เป็นอยู่ได้ดีที่สุด

ผมยอมรับว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเวลานี้ บั่นทอนความมั่นใจของประชาชน และนักลงทุน จนทำให้อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ลดลงเหลือเพียง 5% และหากไม่เกิดเหตุการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจไทยน่าจะเติบโตได้ดีกว่านี้ เพราะภาคการส่งออกขยายตัวได้สูงมาก ทำให้เศรษฐกิจไทยสามารถรับมือกับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่แพงมาก และอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นได้ โดยเฉพาะในภาคการเกษตรที่มีรายได้จากยอดส่งออกสูงทั้งข้าว และยางพารา

     ผมคิดว่า ยอดส่งออกปีนี้ น่าจะสูงกว่าเป้าหมายที่กระทรวงพาณิชย์คาดการณ์ไว้ที่ 12.5% เพราะช่วงที่เหลืออีก 3 เดือน ผู้ประกอบการไทยได้รับคำสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศจนเต็มแล้ว แต่ที่เป็นห่วงคือ ยอดการส่งออกในปี 2552 ที่ประเทศคู่ค้าของไทยไม่ว่า สหรัฐฯ ยุโรป หรือญี่ปุ่น ล้วนแต่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติสถาบันการเงินในสหรัฐฯทั้งนั้น สิ่งนี้จึงอาจทำให้ยอดการส่ง ออกในปีหน้าลดลงได้

เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมจึงอยากเห็นผู้ประกอบการไทยเร่งปรับตัวให้ทันกับความผันผวน และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโลก โดยเฉพาะในการเจาะตลาดใหม่ๆ เช่น จีน อินเดีย และตะวันออกกลางซึ่งยังมีโอกาสเติบโตได้สูง แม้เศรษฐกิจโลกจะได้รับผลกระทบจากวิกฤติสถาบันการเงินสหรัฐฯก็ตาม

ส่วนการกำหนดมาตรการรับมือกับวิกฤติสถาบันการเงินสหรัฐฯ จะต้องมาวิเคราะห์สถานการณ์ และเปรียบเทียบขนาดของเศรษฐกิจไทยกับสหรัฐฯก่อนเป็นอันดับแรกว่า จะส่งผลเป็นวงกว้างเพียงใด เพราะเมื่อปี 2540 ที่ประเทศไทยเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง มูลค่าจีดีพีในช่วงนั้นอยู่ที่ประมาณ 4.8 ล้านล้านบาท ขณะที่ความเสียหายจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินมีสูงถึง 1.4 ล้านล้านบาท

     ส่วนขนาดเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งใหญ่โตกว่าไทยมาก และมีมูลค่าประมาณ 13 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 442 ล้านล้านบาท (34 บาทต่อดอลลาร์) ขณะที่ความเสียหายในระบบสถาบันการเงินประมาณว่ามีราวๆ 500,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 17 ล้านล้านบาท ถือว่าของไทยเราเล็กน้อยมาก และไม่ถึง 1% ของ จีดีพีสหรัฐฯ ล่าสุดธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด รวมถึงภาคเอกชนของสหรัฐฯก็ใส่เงินทุนเพื่อ แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วประมาณ 300,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จึงมั่นใจว่า รัฐบาลสหรัฐฯ จะสามารถแก้ไขวิกฤติสถาบันการเงินที่เกิดขึ้นได้

     อย่างไรก็ตาม แม้จะดูเล็กน้อย แต่สถานการณ์ที่อาจยืดเยื้อ หรือลุกลามกลายเป็นโดมิโน ควรมีการเตรียมความพร้อม จัดตั้งกองทุนรับซื้อ สินทรัพย์ราคาถูกที่นักลงทุนต่างชาติจะขายออกมาเพื่อนำเงินกลับไปคืนบริษัทแม่ โดยเริ่มต้นจาก การเข้าซื้อสินทรัพย์ ราคาถูกจากเลห์แมนฯเหมือนๆกับที่เลห์แมนฯเคยประมูลซื้อสินทรัพย์ของเราไปในราคาถูก และช่วงนี้เป็นโอกาสดีที่จะซื้อเพื่อลงทุน หากมีกำไรก็ค่อยขายออกไป.

ทีมเศรษฐกิจ

ขอขอบคุณ
ที่มา : สกู๊ปเศรษฐกิจ ไทยรัฐออนไลน์ 22 กันยายน 2551

H O M E

Create Date : 22 กันยายน 2551

0 comments

Last Update : 22 กันยายน 2551 14:17:13 น.

Counter : 628 Pageviews.