Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2551
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
3 พฤศจิกายน 2551
 
All Blogs
 
อาศิรวิษ ตอนที่ 23 : ตำหนักฟองสมุทร (ครึ่งแรก)

ขอคุยกันก่อนนะคะ

เรื่องจ้าวจตุรทิศ ภาคอาศิรวิษ นี้แต่เดิมทีเคยลงแต่ในหน้าถนนนักเขียนของพันทิป แต่มีเหตุจำเป็นบางประการที่ทำให้ต้องย้ายมาลงในบล็อคของตนเองด้วย แต่เนื่องจากเนื้อเรื่องยาวววมาก คนเขียนเลยคัดมาเฉพาะในส่วนท้ายๆ เรื่องคือ ตั้งแต่ ตอนที่ 23 : ตำหนักฟองสมุทร ที่ลงไว้ตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน 2551 ค่ะ ตาม link ดังนี้
//topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2008/09/W7040533/W7040533.html





สำหรับผู้ที่มาใหม่ สามารถหาอ่านเรื่องย่อภาคแรก ได้ใน link นี้ค่ะ
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=runsaya&month=12-2007&date=02&group=1&gblog=9

(เรื่องย่อภาคสองจะทำให้อ่านในภายหลัง)


23.ตำหนักฟองสมุทร (ครึ่งแรก)


รามิตตัดสินใจออกเดินทางขณะที่ทุกคนกำลังพักผ่อนอยู่ในห้องส่วนตัวของปราสาทโครงกระดูกแห่งนี้ เขาหยุดเก็บเสบียงที่ห้องครัว และหวังว่าอาหารพวกนี้จะไม่ใช่เวทลวงตาที่มาลาสร้างขึ้น

เด็กหนุ่มเอาของทั้งหมดขึ้นสะพายหลัง และกำลังจะเดินตรงไปยังทางออก

เขาจึงเห็นเงาร่างของใครคนหนึ่งกำลังยืนรอเขาอยู่ข้างประตู

“ข้าไม่ได้คิดจะมาห้ามเจ้าหรอก” อีกฝ่ายกระชากเสียง ขยับร่างออกมาจากเงามืด

ในมือของหัสรังสีถือดาบสองเล่ม เขาพันมันไว้ด้วยเชือกผูกร้อยเอาไว้ด้วยกันก่อนจะโยนคืนให้เจ้าของเดิม

รามิตใช้สองมือรับกลางอากาศ เขาไม่ได้กล่าวอะไรออกมา แต่สายตาของสาวกแห่งปราสาทจันทรคราสกำลังฉายแววประหลาดใจ

“เจ้าเอาไปนั่นน่ะดีแล้ว หนักเป็นบ้า” เทพตะวันออกกล่าวด้วยน้ำเสียงฮึดฮัด เดินไปผลักบานประตูออกแล้วเปิดค้างไว้เช่นนั้น

เมื่อรามิตเดินออกมานอกปราสาท จึงพบว่ามีคนช่วยเตรียมมังกรไว้แล้ว อุดากันอยู่ในภาวะตื่นตัวเต็มที่ซึ่งเวลานี้น่าจะเป็นเวลานอนของมัน และที่จริงรามิตเองก็กำลังกังวลอยู่ว่าจะนำมันไปดีหรือไม่ เพราะไม่อยากปลุกมังกรขี้เซา

เด็กหนุ่มสังเกตเห็นว่าเงื่อนของเชือกที่ผูกร้อยสัมภาระบนหลังอุดากันและที่พันรอบดาบทั้งสองเป็นแบบอย่างเดียวกัน แต่ทว่าเมื่อเห็นทีท่าหยิ่งทะนงของหัสรังสี เขากลับตัดสินใจปิดปากตนเสีย

รามิตขยับสายบังเหียนให้เข้าที่ก่อนจะโยนบางสิ่งกลับคืนมาให้เทพตะวันออก อีกฝ่ายรับไว้ได้อย่างแม่นยำ เมื่อหัสรังสีพลิกมือกลับจึงพบว่าสิ่งที่รามิตโยนให้เขาคือขลุ่ยเวทของเจ้าเมืองมาตี แม้จะรู้ว่าเหตุใดที่ฝ่ายตรงข้ามส่งของวิเศษแบบนี้มาให้แต่ความยโสในวงศ์อาทิตย์ทำให้หัสรังสีกล่าวด้วยน้ำเสียงผยองตน

“ข้าไม่อยากได้สิ่งของจากแดนตะวันตก เอาคืนไป”

แต่รามิตทำเหมือนไม่ได้ยิน

“อีกชั่วยามหนึ่งข้าจะดึงความสนใจของมาลากับพวกทากน้ำให้ ระหว่างนั้นท่านต้องพาท่านทิวากาลกับมัสลินหนีออกจากปราสาท ทานพ...ข้าหมายถึงผีเสื้อน้ำจะนำทางกลับไปยังเมืองมาตีเอง ท่านมีขลุ่ยแห่งบาดาล พวกมันจะเชื่อฟัง”

แม้ทายาทวังตะวันออกยังคงมองคู่อริด้วยสายตาคลั่งแค้น หากทว่าเวลานี้เขายังเห็นว่าการช่วยทิวากาลและมัสลินเป็นเรื่องสำคัญกว่า ในที่สุดหัสรังสีพยักหน้าช้าๆ เข้าทำนองว่าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง...เจ้ารับผิดชอบตนเองเถอะ

รามิตกล่าวขอบคุณด้วยความเคยชิน พลางถอนหายใจ เขาส่งสัญญาณให้มังกรบินขึ้น อุดากันเดินถอยหลังไปสองสามก้าวเพื่อตั้งหลักและหาทิศทางบนอากาศของตน และในทันทีที่กล้ามเนื้อขาอันทรงพลังของมันเริ่มทำงาน ด้วยการดีดตัวเพียงครั้งเดียวทั้งคนและมังกรก็ทะยานขึ้นสู่เบื้องบน

ในระหว่างนั้นเองที่รามิตคิดว่าตนน่าจะหูฝาดเป็นแน่เมื่อได้ยินเสียงของว่าที่จ้าวแดนตะวันออกดังมาแว่วๆ

“เฮ้!” หัสรังสีตะโกนเรียก “ห้ามตายนะเว้ย!”

แต่เมื่อเด็กหนุ่มหันหลังไปมองอีกที กลับพบว่าบินไกลออกมาจากปราสาทบาดาลมากพอสมควร เขาไม่แน่ใจว่าได้ยินประโยคต่อมาของอีกฝ่ายเข้าทำนองว่า เพราะข้ายังไม่ได้แก้มือเลย หรือไม่ก็เรายังไม่รู้ผลแพ้ชนะ...อะไรทำนองนี้

รามิตมองไปที่ดาบสองเล่มที่เทพตะวันออกนำมาคืน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตามและคิดย้อนไปว่าหากเขาเป็นหัสรังสี...เขาจะคืนอาวุธเหล่านี้ให้แก่ศัตรูหรือไม่

เขาไม่รู้ อาจจะคืนหรือไม่ก็ได้...

รามิตจงใจให้ตนคิดเรื่อยเปื่อยพลางกะเวลาคร่าวๆ

จะทำอย่างไรเพื่อดึงความสนใจของมาลา? และปราศจากรากษสใครจะรู้เส้นทางไปสู่ทวารชั้นสุดท้าย?


*****

ความคิดปริวิตกของรามิตก็พลันสะดุดกึกเมื่อสายตาสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง...บางสิ่งที่ยามเมื่ออยู่บนผืนดินมองไม่ถนัดนัก หากบัดนี้เมื่อเขาเพ่งมองอีกครั้งบนหลังของอุดากัน จึงแน่ใจว่าตนได้มองเห็นเส้นทางสู่ทวารชั้นสุดท้ายของเมืองใต้ดิน

หากตั้งต้นให้ปราสาทโครงกระดูกเป็นจุดปลายของแม่น้ำที่ปัจจุบันแห้งผากจนกลายเป็นสุสานร้างพันปี แต่เมื่อรามิตมองจากที่สูงเขาจนสามารถมองทางน้ำโบราณเสมือนการแกะรอยแผนที่ชำรุด ภาพแต่ละส่วนแม้จะไม่ต่อเนื่องกันและบางส่วนก็ขาดหาย แต่ก็ยังสามารถคาดเดาและปะติดปะต่อภาพจากส่วนที่คงเหลืออยู่ได้

โชดดีที่ซากทางน้ำและสุสานใต้ดินนี้ยังไม่ถูกใครรบกวนมากนัก รวมทั้งรูปโค้งของทางเกษียรทะเลดั้งเดิมนั้นเป็นรูปโค้งงอซ้อนกันหลายชั้นแต่ก็เป็นวนต่อเนื่องกันไม่ขาดตอน และวนเส้นโค้งนั้นต่างมีจุดกำเนิดเพียงจุดเดียว...นั่นคือจุดแรกของทางน้ำกำเนิดนั่นเอง

รามิตกระตุ้นสายบังเหียนให้อุดากันบินไปตามทางเส้นโค้งเพื่อใช้มันนำทาง
มังกรบินขยับปีกช้าๆ เหนือสุสานโครงกระดูกอย่างไม่ถูกรบกวนจากพวกทากใต้ดิน ทำให้รามิตยิ่งแน่ใจว่าเขามาถูกทางแล้ว

อุดากันใช้เวลาบินไม่นานนักก็เริ่มเข้าใกล้ส่วนที่เป็นจุดศูนย์กลาง

ความจริงแล้วมันก็ไม่น่าจะเรียกว่าเป็นจุดได้...

แท้จริงมันคือหลุมยักษ์...

มันแลคล้ายฟองอากาศทรงคว่ำขนาดมหึมาที่ถูกคว้านออกจนกลายเป็นแอ่งกระทะ มีสะพานเชื่อมจากสี่ทิศไปยังอาคารโดมคล้ายประภาคารที่ตั้งโดดเดี่ยวอยู่กลางหลุมดำ

รามิตส่งสัญญาณให้อุดากันร่อนลงเหนือขอบผาแทนที่จะบินตรงไปยังป้อมปราการรูปโดม เพราะคะเนจากสายตาแล้วเห็นว่า แม้ทุกอย่างจะก่อสร้างจากหินหากทว่าสภาพทรุดโทรมคล้ายจะพังทลายได้ตลอดเวลาทำให้รามิตไม่อยากเอามังกรบินเข้าไปเสี่ยงภัยด้วย นอกจากนี้ป้อมปราการทรงแคบสูงไม่มีที่พอจะนำมังกรร่อนลง

รามิตรอจนอุดากันถึงพื้นและแน่ใจว่าโครงกระดูกชิ้นหนึ่งสามารถรองรับน้ำหนักตัวของมันได้ เขาจึงปีนลงมาจากหลังมังกรท่ามกลางสายตาประท้วงและไม่เข้าใจของอุดากัน

“เจ้าเองไม่อยากจะตามข้าแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือ? เจ้าน่าจะดีใจนะที่จะได้กลับไปหาท่านไทราเสียที” เขากล่าวพลางตบที่ศีษะของมันเบาๆ

ทันใดนั้นมังกรบินพลันน้ำตาตกใน ความจริงแล้วมันเองก็คิดถึงเจ้าของใจแทบขาด คิดถึงรังอันแสนสะอาดสะอ้านในโรงเลี้ยง คิดถึงชิ้นเนื้อโตๆ ที่คนงานผลัดกันมาให้วันละครั้ง คิดถึงพี่น้องร่วมร้อยตัวในครอกเดียวกัน คิดถึงท้องน้ำในมายาเลที่ไทราจะพามันมาเล่นยามที่ว่างจากการทำงานทุกครั้ง คิดถึง...ฯลฯ

แต่...แต่...มันเริ่มติดรามิตแล้วอ่ะ...

แม้บางครั้งรามิตจะดุ และใช้งานมันแบบไม่ค่อยเห็นใจ ตอนแรกมันไม่ว่าอะไรเพราะถือว่านี่คือเพื่อนของเจ้านาย...แต่รามิตไม่เคยทิ้งมันกลางทาง ถึงแม้จะทุลักทุเลแต่ก็ยังพามันไปด้วยเสมอ ไม่เคยปล่อยให้มันหิวแม้อาหารที่นำมาให้ทานหน้าตาจะดูแย่กว่าชิ้นเนื้อหลายร้อยเท่าและยังมีกลิ่นตุๆ อีกด้วย

ตอนที่รามิตโผล่ออกมาช่วยมันในเมืองมาตี มันดีใจจนเสียชาติมังกรเพราะไปเลียนแบบท่าทางดีใจของสุนัข

แต่...แต่...จะทิ้งกันง่ายๆ อย่างนี้หรือ?

มังกรบินพยายามทำตาซึ้งมองตามร่างของเด็กหนุ่มที่ขึ้นๆ ลงๆ เอาสัมภาระลงมาจากหลังของมัน สุดท้ายเมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาของทั้งหมดขึ้นสะพายหลัง ไอ้ที่ดูหนักที่สุดน่าจะเป็นแท่งโลหะที่ปกติแล้วจะมีอีกคนหนึ่งถือให้ไม่ใช่หรือ? ไอ้คนนั้นมันไม่มาด้วย ดี...เค้าก็ไม่ชอบหน้ามัน

“ไปนะ อุดากัน เจ้าคงหาทางกลับได้เองใช่ไหม?”

รามิตบอกลาง่ายๆ ก่อนจะแปลกใจว่ามังกรบินไม่ยอมบินจากไปแต่กลับเดินคอตกตามหลังมาอย่างช้าๆ

“สะพานนี้รับน้ำหนักเจ้าไม่ได้หรอก กลับไปเถอะ”

รามิตกล่าวย้ำ ทำให้มังกรบินหยุดชะงักค่อยๆ หย่อนขาหน้าตามมาด้วยขาหลังแล้วหมอบลงหน้าสะพานหิน ราวกับจะบอกว่า

งั้นข้าจะรออยู่นี่...กลับมาไวๆ นะ

เมื่อแน่ใจว่าไล่อย่างไรอุดากันคงไม่ยอมไปแน่ รามิตจึงแบ่งเสบียงเอาไว้ให้มังกรบินเสียกึ่งหนึ่งจึงค่อยเดินจากมาพลางถอนใจยาว ไม่แน่ใจว่านี่คือการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือไม่? ในเมื่อท่านทิวากาลก็ปลอดภัยแล้ว ทานพและอังกาน่าจะช่วยทั้งหมดกลับออกไปได้ ข้าควรไปตามลำพังหรือ? หรือเขาน่าจะกลับไปศิลาลัยเพื่อขอร้องให้นายท่านช่วย...รามิตเพ่งมองกองกระดูกมังกรสูงท่วมหัว

บุรุษเมธจะมีชีวิตอยู่ได้ถึงเจ็ดวัน...นี่มันก็ผ่านมาแค่วันที่สี่เท่านั้น

เขาคลำข้อแขนของตนที่ถูกพันด้วยเวทรักษาอย่างดีของทิวากาล จนทำให้เขาไม่รู้สึกถึงบาดแผลที่เกิดขึ้น

เขาหันหลังกลับ

อุดากันผงกหัว หางก็กระดกขึ้นกระดกลง เมื่อเห็นเด็กหนุ่มเดินย้อนกลับมา
รามิตปลดสัมภาระจากเป้หลัง เขาหยุดคิดอะไรบางอย่างก่อนจะหยิบดาบสองเล่มออกจากที่เก็บและผูกไว้บนหลังของอุดากันตามเดิม

“หากพ้นสองวันแล้วข้ายังไม่กลับมา อุดากันจงนำสิ่งของบนหลังเจ้ากลับไปหาชายที่ชื่อคาชา”

เพื่อเป็นของตอบแทนที่ข้าคงมอบตราจันทรคราสของนายท่านให้เขาไม่ได้ คาชาคงไม่รู้ว่าในวันนั้นที่เขาบอกว่าจะยกตราให้ นายพ่อค้าไม่รู้ตัวหรอกว่ารามิตสามารถเรียกคืนตราแห่งตะวันตกมาได้ทุกเมื่อ

จากนั้นเขาเก็บของที่เหลือ

มังกรบินหมอบลงอีกครั้ง พลางมองตามร่างของเด็กหนุ่มที่ก้าวยาวๆ จากไป


*****

“หมายความว่าไง จอมเทพไม่อนุญาตให้เข้าพบ!”

บุษบรรณส่งเสียงดังอยู่หน้าวิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งศิลาลัย ข้างกายเธอยังมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งนั่งในอาการหมดเรี่ยวแรงอยู่ไม่ห่าง เสื้อผ้าคลุกไปด้วยฝุ่นและขาดวิ่นราวกับโดนฝูงยุงยักษ์รุมทำร้าย

“ก็อย่างที่ข้าแจ้งไปแล้ว” นายทหารแห่งศิลาลัยกล่าวอย่างไม่ยี่หระ

“ช่วงนี้ในวิหารมีการตรวจตรากันเข้มงวดมาก คนภายนอกที่ไม่มีภารกิจใดเกี่ยวกับกิจการภายในจะไม่สามารถเข้าพบจอมเทพได้ ท่านบุษบรรณ...ข้ารู้ว่าเทพนักล่ามีความใกล้ชิดกับจอมเทพรัตติกาลตั้งแต่ท่านเป็นจ้าวแดนตะวันตก แต่ท่านมาถึงโดยไม่มีสาส์นแนะนำตัว แม้ข้าอยากจะช่วยแต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร”

“เจ้าบ้าเอ้ย! อยากเจ็บตัวหรือไง!” เทพนักล่าแห่งทิศเหนือตวาดอย่างเหลืออด

แต่ฝ่ายทหารแห่งศิลาลัยกลับแสดงสีหน้าตำหนิ “ขออภัยท่านหญิง...แต่ข้าต้องทำตามหน้าที่ หรือไม่...ท่านก็ต้องแจ้งความประสงค์มา”

“ข้าบอกไม่ได้” บุษบรรรณยืนกราน

อีกฝ่ายส่ายหน้า

“ถ้าเช่นนั้น ข้าก็เสียใจ...”

“เจ้าพูดอะไรบ้างสิวาฬา” เด็กสาวร้องอย่างหัวเสีย ความที่กำลังห่วงอย่างอื่นมากกว่าทำให้เธอไม่ได้สังเกตอาการอ่อนแรงแบบผิดปกติของเทพมังกรหนุ่มที่มักจะร่าเริงอยู่เป็นเนืองนิจ

เทพมังกรไม่ตอบว่าอะไร เพียงแค่พยักหน้าหงึกๆ แต่กระนั้นเมื่อชายหนุ่มยืนขึ้น ครั้งเดียว...ก็หงายหลังล้มลงดังตึง ใบหน้าคมเข้มเริ่มซีดจาง ตาลอยขึ้นฟ้า

“วาฬา!” บุษบรรณร้องลั่น แล้วกล่าวต่ออย่างไม่พอใจ

“เจ้าไม่รู้หรือนี่คือคุณชายสามแห่งตำหนักมังกร ผู้มีสิทธิได้เป็นจ้าวตระกูลเทพ ยังไม่รีบไปตามเทพเวชรักษ์มาอีกหรือ?” เธอตวาด แต่ก็ได้ผลทำให้ฝ่ายทหารเฝ้าประตูรีบตาลีตาเหลือกวิ่งแจ้นไปทางหอหลวง

จากนั้นบังเกิดความโกลาหลขึ้นบริเวณที่ลานหอหน้านั่นเอง บรรดาเทพเวชรักษ์หลวงพากันนำตัวชายหนุ่มไปยังหอหลวงในทันที

เมื่อฝีเท้าค่อยๆ ดังออกไปแล้ว บุษบรรณจึงว่าขึ้น

“ลุกขึ้นมาได้แล้ววาฬา จะให้ข้าเชื่อหรือว่าตัวหนอนเจ้าสำราญอย่างท่านเป็นลมได้ง่ายดายเช่นนี้”

ได้ฟังจบประโยคคนที่นอนกลับส่งเสียงคร่อกๆ ในลำคอ แต่แล้วก็ลืมตาข้างหนึ่งปิ๊งขึ้นมา สาวเจ้าจึงประเคนตุ๊บเข้าให้กลางอกดังอึก...

“ลุกขึ้น!”

ความจริงแล้วเทพมังกรก็ไม่ค่อยเต็มพิกัดนักเนื่องจากเขาใช้ร่างแปลงมาเกินขีดจำกัดของตนแล้ว ทั้งยังใช้ความเร็วสูงสุดบินจากมายาเลเพื่อหนีฝูงพรายน้ำจนมาถึงศิลาลัยด้วยสถิติใหม่

ไอ้ที่ล้มไปเมื่อครู่ เขาทำให้ดูเกินอาการไปนิดหนึ่งเท่านั้น

“เจ้านี่มันใจร้ายจริงเลย บุษบรรณ”

เขาบ่นแต่ก็ฝืนขยับลุก และกระโดดลงมาจากเตียงคนป่วยแต่เมื่อเท้าสัมผัสพื้นร่างของเขากลับเป๋คล้ายจะเป็นลมจริงๆ ดังที่เด็กสาวว่าไว้

คราวนี้ของจริง...

บุษบรรณตัวเล็กกว่าวาฬา เธอจึงไม่สามารถช่วยพยุงร่างที่สูงกว่าได้ แต่ก่อนที่เทพมังกรหนุ่มจะเสียศูนย์ล้มพับเอาหน้าฟาดพื้นจนเสียหล่อ ร่างของของชายหนุ่มก็ถูกรับไว้โดยผู้ที่เพิ่งก้าวมาถึง

“ใช้ร่างแปลงนานเกินไปสินะ ถึงได้เป็นเช่นนี้”

คนที่เพิ่งมาถึงแม้เป็นผู้หญิงแต่ก็มีร่างสูงโปร่งจนเกือบเท่าบุรุษ ดวงตาคมขำแบบเทพทิศใต้เช่นเดียวกับวาฬา จากนั้นเธอจึงช่วยบุษบรรณหิ้วปีกคนละข้างของเทพมังกรหนุ่มขึ้นไปนอนสิ้นฤทธิ์อยู่บนเตียงผู้ป่วยตามเดิม


“ถ้าวาฬาอยู่ที่นี่ ท่านคงเป็นบุษบรรณแห่งป้อมนักล่า” หญิงสาวผู้นั้นทักขึ้น แม้เทพแห่งทิศเหนือจะสามารถจับนัยน้ำเสียงว่าอีกฝ่ายไม่ได้มุ่งร้าย แต่เธอก็ยังตั้งป้อมรีบถอยห่างออกมาสองสามก้าว

“ท่านเป็นใคร?”

แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มอย่างไม่ถือสา หญิงสาวปริศนาค้อมศีรษะลงนิดหนึ่งเพื่อเป็นการให้เกียรติต่อวรรณะเทพที่สูงกว่าของบุษบรรณ แม้อีกฝ่ายจะมีอายุน้อยก็ตาม

“ขออภัยที่ทำให้ตกใจ ข้าคือไทรา เทพพิทักษ์บาดาล” พูดจบก็เสมองไปที่วาฬา “ข้าเคยเป็นครูฝึกมังกรให้เขา เมื่อครั้นวาฬายังเป็นนายน้อยอยู่ที่มายาเล แต่สอนได้แค่สองสามอาทิตย์ก็เลิก เพราะอะไร...ท่านคงรู้” เธอยิ้ม

บุษบรรณยังคงมองอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ เพราะความทรงจำระหว่างที่เธออยู่ในมายาเลไม่น่าประทับใจเลยแม้แต่น้อย แต่ก่อนที่เธอจะกล่าวประโยคใดออกมา ไทราพูดขึ้นก่อน

“พวกท่านรีบร้อนมาที่นี่คงเป็นเรื่องเกี่ยวกับท่านทูต...อ้อ...รามิตใช่หรือไม่?”
ราวกับคำประกาศิตเด็กสาวลดอาวุธตนลงในทันใด ท่าทีเป็นปฏิปักษ์ก็คลายลงอย่างเห็นได้ชัด

“ท่านรู้จักรามิตด้วยหรือ?”

อัศวินีมังกรพยักหน้ารับ ความจริงแล้วเธอเพิ่งเข้าใจว่าเหตุใดรามิตถึงได้เสี่ยงตายบินกลับไปช่วยสหาย

บุษบรรณมองไทราสลับกับวาฬา แม้จะยังไม่รู้จักว่าหญิงสาวร่างโย่งผู้นี้สามารถเชื่อใจได้หรือไม่ ในที่สุดเธอตัดสินใจเสี่ยงดวงเอา

“ไทรา...ข้ามีเรื่องอยากให้ท่านช่วย”


(ต่อครึ่งหลังค่ะ)






Create Date : 03 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 29 พฤศจิกายน 2551 22:46:49 น. 4 comments
Counter : 569 Pageviews.

 
//สนุกจัง//

แล้วจะแวะมาอีก

///กำลังใจ///


โดย: kaori jang IP: 123.225.185.119 วันที่: 6 พฤศจิกายน 2551 เวลา:9:47:27 น.  

 
สวัสดีค่ะ คุณ kaori jang,

ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ขอโทษที่ต้องมาให้อ่านกลางทางกลางอากาศอย่างนี้นะคะ เดี๋ยวจะทำ link ตอนก่อนหน้านี้ทั้ง 22 ตอนที่ถนนนักเขียนให้ค่ะ

บังเอิญช่วงนี้งานยุ่งมั่กๆ

แต่ก็ขอบคุณอีกครั้งที่ยังบอกว่าสนุกนะคะ


โดย: run saya วันที่: 7 พฤศจิกายน 2551 เวลา:21:35:41 น.  

 
เพิ่งจะเคยอ่านเรื่องนี้ สนุกดีค่ะ เสียดายหาภาค 2 ไม่เจอสักที เพิ่งจะมาเจอเอาตอนนี้


โดย: TK IP: 202.28.118.122 วันที่: 23 พฤศจิกายน 2555 เวลา:12:27:24 น.  

 
ขอบคุณค่ะ คุณ TK,

ขออภัยที่ตอนหลังๆ คนเขียนต้องลบเนื้อความในภาคสองออก เหลือไว้เพียงบางส่วน เนื่องจากเรื่องนี้ได้ตีพิมพ์ออกมาเป็นหนังสือแล้วค่ะ หากยังคงเรื่องไว้คงได้รับการตำหนิจากสนพ.แน่

สำหรับหนังสือเล่มสองได้พิมพ์ตั้งแต่ปีที่แล้ว ตอนนี้คงจะหาอ่านยากแล้วค่ะ แต่คิดว่าทางสนพ.น่าจะยังมีนะคะ

สำหรับเล่มสามภาคจัณฑวาตา ยังไม่ได้รับการตีพิมพ์ค่ะ


โดย: run saya วันที่: 26 พฤศจิกายน 2555 เวลา:0:33:46 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

run saya
Location :
Hong Kong Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [?]




บอกเล่าเก้าสิบ:)

เราย้ายกลับมาทำงานที่ออฟฟิคในกรุงเทพฯ แล้วค่ะ ช่วงนี้งานการยังยุ่งตามระเบียบ แต่ถึงอย่างไรจะพยายามหาเวลามาเขียนหนังสือและจบต้นฉบับ (ร่าง) ของเล่มสามให้ได้ภายในปีนี้ค่ะ (หวังว่า)

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่กรุณาเข้ามาสอบถามความคืบหน้านะคะ
Friends' blogs
[Add run saya's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.