นิยาย:บอดี้การ์ดสยบรัก:บทที่12:....เหลียวหลังหาใคร?


(อ่านง่ายสบายตากว่าตามลิงค์นี้คัรบ //writer.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=1483450  )







นิยาย:บอดี้การ์ดสยบรัก:บทที่12:....เหลียวหลังหาใคร?



“ก็ฉันอยากรู้นี่นา แล้วก็ต้องรู้ให้ได้ตอนนี้ด้วยนะยะ สารภาพมาซะดีๆ คุณนายไอลดา ณ หทัย มันอะไร ยังไง ที่ไหน เมื่อไหร่ ถี่ห่างถ่างแคบแค่ไหนยะ!”

คนถูกถามมองข้ามโต๊ะที่หล่อนนั่นอยู่บราลี ตรงเฉลียงนอกบาร์ค็อกเทล ต้องหยีตาสู้แสงสะท้อนระยิบระยับจากสระน้ำใหญ่เบื้องล่าง และจากพื้นน้ำสุดสายตาของอ่าวพัทยาที่อยู่เลยออกไป

“เราจำเป็นต้องมานั่นตรงนี้ด้วยเรอะ ฉันตัวเหนียวเหนอะหมดแล้ว” และที่สำคัญกว่านั้นคือ มารุตต้องโมโหแน่ๆ ที่พวกหล่อนเลือกออกมานั่งในที่โล่งอย่างนี้ ขณะที่เขาได้อยู่ในห้องที่ปลอดภัยจากการคุกคามที่สุด

ที่จริง เขาเลือกทำเลให้หญิงสาวกับเพื่อนสนิทไว้แล้วอย่างดี แต่บราลีเป็นคนลากหล่อนมานั่นตรงนี้ เสียงของบอดี้การ์ดหนุ่มยังวนเวียนอยู่ในหัว “ต้องระวังตัวตลอดเวลานะ”

“ก็จำเป็นน่ะซี ไม่งั้นฉันจะสูบบุหรี่ได้ยังไง” บราลีเลิกคิ้วสูง แล้วพูดต่อ “ตอบคำถามมาเสียที อย่าเฉไฉ” หล่อนเท้าศอกลงบนโต๊ะ โน้มตัวเข้าใกล้เพื่อกระซิบ “ฉันอยากรู้จนเนื้อตัวสั่นไปหมดแล้ว”

ไอลดายังส่ายหน้า

“น่า... นะลดา” อีกฝ่ายคะยั้นคะยอ “บอกมาสักนิดก็ยังดี อะไรก็ได้ เขาใหญ่ไหมล่ะ ตอนเสร็จน่ะ เขาครวญครางฮึมฮำหรือตะโกนโวย ๆ  แต่ฉันว่า เค้าต้องยิงสักหกนัดเป็นอย่างน้อย ออกจะหล่อล่ำกำยำขนาดนั้น นั่นมันม้าศึกชัดๆ”

คนฟังหัวเราะ “เธอนี่หมกหมุ่นเกินไปแล้วนะลี่” คำพูดที่ได้ยินนั่น แทบทำให้หล่อนหลุดปากเรื่องของวิลาศ ทั้งเรื่องคำพูดสุดท้าย และเรื่องถุงยางอนามัยบนเรือ ที่สนิทสนม และกล้าถามล้วงลึกกันขนาดนี้ หากบราลีร่วมรับรู้ มันจะทำให้หล่อนรู้สึกดีขึ้นอีกมากแน่ๆ

แต่หญิงสาวสัญญาเอาไว้กับมารุต เพราะบราลีจะต้องไปบอกต่อกับมานะสามีหล่อน และพี่นะจะต้องโวยวายแน่ๆ

บราลีเอนหลัง และหายใจถี่จนทรวงอกที่เสริมแต่งมาอย่างดีกระเพื่อม “แล้วเธอขย่มเขาอยู่นานไหม กว่าจะเสร็จ”

ไอลดายิ้ม ดื่มค็อกเทลมาร์ตินี่แบบฝรั่งเศส เหล้าเกรย์กูลและชองบอร์นั้นทำให้ริมฝีปากชานิดๆ “หนึ่งปี...” มันได้ผล เครื่องดื่มนั่นทำให้หล่อนพูดออกไปจนได้

“ปีนึงเชียวเรอะ” บราลีตาวาว ตัวใจเต้นแรงด้วยความริษยา ในความโชคดีของอีกฝ่าย “ที่กรุงเทพน่ะเหรอ ก่อนที่เราได้เจอกันใช่ไหม”

“ใช่ ก่อนเรารู้จักกัน คือ เรา... ฉันกับรุตเลิกกัน ไม่กี่เดือนก่อนงานที่คณะ ที่ฉันได้พบเธอ” แล้วไอลดาก็ขมวดคิ้ว “ตอนนั้น... เธอใช่ไหมที่แนะนำฉันให้รู้จักกับคุณวิลาศ ฉันจำได้ว่านั่นคือคืนแรก ที่ได้เจอเธอ แล้วเธอก็พาไปคุยกับคุณวิลาศ”

“อะไรกันล่ะ อยู่ๆ จะไปพูดถึงผัวแก่มะเขือเผาทำไมล่ะ” บราลีส่ายหน้า และหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ “อย่ามาโยกโย้เปลี่ยนเรื่องสิยะ”

ไอลดายิ้มให้เพื่อนอีกครั้ง “เธอจะรู้ให้ได้ทุกรายละเอียดเลยหรือไง”

“ก็ใช่น่ะซี บอกมาเถอะ” บราลีขยับตัวให้ทะมัดทะแมงเหมือนอยากคุยเรื่องลีลารักของมารุตต่อไปอีกนานๆ “เอาละ... ฉันทบทวนให้จะ เธอกับคุณรุตอยู่ด้วยกันปีนึง จากนั้นก็เลิกกัน...ทำไมล่ะ.. แต่... ช่างเถอะเรื่องนั้น เอาเป็นว่า ตอนที่คบกันนั่น จริงจังกันแค่ไหนเหรอ”

จริงจังรึ... เรื่องแบบนั้นแทบไม่อยู่ในหัวหล่อน มันเป็นการสนุกสนาน ตื่นเต้น ดื่มด่ำ อ่อนเพลีย อิดโรย... และไม่มีทางลืมได้เลยสักกระบวนท่า

ตอนนั้นมารุตร่าเริงกว่านี้ เจ้าสำราญและลีลาเด็ดดวง มากกว่าจะเงียบขรึมอย่างนี้

จนกระทั่ง เขาเริ่มจริงจัง และขอหล่อนแต่งงาน

“คือว่า... ตอนนั้นเราจะแต่งงานกัน” ไอลดาเริ่มเรื่องราวของตัวเองอีกครั้ง

“แต่งงาน...” บราลีขึ้นเสียงสูง “เธอไม่เคยเล่าให้ฉันฟังเลยนะ เรื่องที่ว่าเคยมีคู่รักมาก่อน” คำต่อว่านั้น แฝงแววไม่พอใจอยู่ด้วย

“ก็ไม่ถึงกับเตรียมการแจกการ์ดอะไรหรอก เราตกลงกันง่ายๆ  แต่ก็ยังไม่ทันได้ทำอะไรอีก”

ไม่มีการประกาศ ไม่มีแหวนหมั้น ไม่มีการเลี้ยงฉลอง หล่อนแค่บอกพ่อและเขาไม่เข้าใจ ทั้งคู่เถียงกันรุนแรง แล้วต่างคนต่างเข้านอน ทว่า... เย็นวันรุ่งขึ้น มารุตมาเคาะประตูแล้วบอกหล่อนว่า พ่อของหล่อนตายเสียแล้ว

นั่นคือ ไอลดาไม่ได้บอกลา ในเช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากทะเลาะกัน ไม่ได้บอกเขาว่าหล่อนเสียใจ ไม่ได้บอกเขาว่า หล่อนรักเขามากมายขนาดไหน

และนั่นคือจุดจบ หลังจากการตกลงแต่งงานกัน...

ยังไม่ทันครบสี่สิบแปดชั่วโมงด้วยซ้ำ

“ทำไมถึงเลิกล่ะ มันไม่น่าเกี่ยวกัน”

“พ่อฉันตายนะลี่”

“แต่ว่า... “ บราลีเอ่ยขึ้นพร้อมเคาะไปไฟแช็คแล่น “งานแต่งงานมีได้นะลดา แม้จะมีงานศพมาก่อนก็เถอะ”

“แต่ไม่ใช่กรณีของฉัน”

คนฟังเลิกคิ้วข้างหนึ่ง เสยผมสลวยไปด้านหลังของไหล่ “ถ้าเธอยังอมพะนำอยู่อย่างนี้ เราคงต้องเลิกเป็นเพื่อนกันแล้วละลดา”

“ก็... รุตเค้า... ฉันคิดว่าเขาเจตนา การตายของพ่อน่ะ... ลี่... เธอเข้าใจไหม ทั้งสองคนเป็นปปส. ออกภาคสนามด้วยกันในวันนั้น อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยกัน”

“อ้าว! หรือคุณรุตจะ... เป็นไปไม่ได้หรอก เล่ามาเดี๋ยวนี้ เกิดอะไรขึ้น”

ไอลดารู้ว่าไม่อาจปฏิเสธบราลีได้ เมื่อหล่อนอยากรู้อะไรสักอย่าง “ฉันเพิ่งบอกพ่อว่าเราจะแต่งงานกัน และหัวเด็ดตีนขาดพ่อก็ไม่ยอม เพราะเอาตัวเองเป็นตัวอย่าง ว่าครอบครัวที่ฝ่ายชายทำงานปปส. มักจบไม่สวย... แล้วคิดดูสิ วันรุ่งขึ้น ไปล่อซื้อยา แล้วพ่อฉันก็ถูกฆ่า ซึ่ง...”

“ซึ่งอะไรอีกล่ะ”

“ซึ่งฉันก็เชื่อว่า รุตจะต้องป้องกัน หรือระวังหลัง หรือคุ้มกันพ่อได้ แต่เขาไม่ทำ” หญิงสาวเบือนหน้ากลับไปทางสระว่ายน้ำ “แล้วฉันก็บอกข้อสันนิษฐานนี้กับปปส. รุตถูกเรียกเข้าไปแขวนในสำนักงาน เพื่อไต่สวน แล้วเราก็เลิกกัน ก็... จบ”

“จบจนกระทั่งอาทิตย์ที่แล้ว ที่เธอกับเขากลับมาเริ่มใหม่อีกครั้ง?” บราลีดึงบุหรี่อีกตัวออกมา คลึงมันเล่นด้วยปลายนิ้ว

“ไม่หรอกลี่ ไม่มีการเริ่มใหม่อะไรทั้งนั้น”

“เหรรรรรรอ...” เพื่อนสนิทลากเสียงยาวยืด “ฉันยังจำได้นะ ไอ้ท่าทางเก็บอาการไม่อยู่ ตอนที่เขามาปรากฏตัวนั่นน่ะ” หล่อนจ้องอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยินเด็ดขาด

ไอลดายิ้ม “ก็... ก็ยอมรับนะว่า ฉัน... ตื่นเต้น ที่ได้เจอเขาอีก”

“ก็แหงละซี อะไรโลกจะกลมได้ขนาดนั้น จากบอดี้การ์ดทั้งหมดในโลก เธอกลับถูกแจ๊กพ็อต ได้แฟนเก่ามาเป็นคนคุ้มกัน” บราลีวางบุหรี่ที่ยังไม่ได้จุดลงบนหลังซอง แววตาของหล่อนวาวขึ้นอย่างมีเลศนัย “ฉันน่ะ... ไม่เชื่อหรอกว่า เรื่องนี้มันบังเอิญ”

“ฉันก็ไม่เชื่อ” ไอลดาดื่มเหล้าค็อกเทลในแก้วอีกครั้ง

“แล้วเธอจะเอาไงต่อ”

“ยังไม่รู้เลย... หลังจากนั้นเขาก็ลาออกจากปปส. แล้วตอนนี้เขาก็ทำงานให้กับบริษัทที่รับงานผ่านบริษัทประกันชีวิตอีกที จากนั้นฉันได้ก็เขามาเป็นบอดี้การ์ด... ก็... ไม่ใช่มันจะเป็นไปไม่ได้”

“ลดา... พูดก็พูดเถอะนะ ฉันว่าเขายังต้องการเธอ อาจวิ่งเต้นขอรับงานนี้ เพื่อจะได้กลับมาหาเธออีกครั้ง”

“กลับมาหาฉันน่ะรึ ฉันหรอกนะที่ต้องเสียพ่อ แล้วก็... นี่... คุณวิลาศก็เพิ่ง...”

“แต่เขาก็เสียอนาคตในปปส.ไงล่ะ”

“นั่นก็ไม่เชิงนะลี่...” ไอลดาเถียง “เขาแค่ถูกเรียกให้ประจำสำนักงาน เพื่อไต่สวน มันก็ระบบราชการทั่วไป... ถ้าเขาอดทนพอ และไม่ได้มีเจตนาจะปล่อยให้พ่อฉันตาย ก็ก้าวหน้าไปสิ”

บราลีโบกมือ ราวไม่อยากจะฟังต่อ “จะอะไรก็ช่างมันเถอะ แต่เธอไม่ควรไว้ใจใครก็ตามที่คิดแก้แค้น เพราะนั่นมันเป็นความคิดที่งี่เง่าที่สุด”

ถึงตอนนี้ไอลดารู้สึกไม่ค่อยสบายตัว ทั้งจากความร้อนและแอลกอฮอล์ ที่ผสมปนเปอยู่ในเส้นเลือด “เราเปลี่ยนเรื่องคุยกันเถอะนะลี่”

บราลีหรี่ตา “แล้วเธอล่ะ... ตัวเธอเองล่ะคะคุณนายไอลดา”

“ทำไม ตัวฉัน อะไร”

“ก็เธอน่ะ ยังโกรธ ยังเกลียดเขาอยู่อีกหรือเปล่า”

คนถูกถามยักไหล่ “ก็... ดูเหมือนมันจะไม่มีความหมายอะไรแล้วในตอนนี้”

“หรือว่า... สารภาพมาเถอะลดา เธอยังต้องการเขา”

อย่างสุดหัวใจเลยละ “ไม่... ไม่แม้แต่น้อย”

 

บราลีหัวเราะก่อนจุดบุหรี่  “เธอจะต้องการเขา ก็เรื่องของเธอนะลดา มันเรื่องธรรมชาติมากๆ คุณมารุตดูดีอย่างไม่น่าเชื่อ และเธอก็... แทบจะอุดตันซะละมั้ง ฉันว่าน่ะ ถ้าหากเขากลับมาเพื่อนอนกับเธออีก เธอก็สนองเขาสักครั้ง ให้มันจบๆ แบบไม่ค้างคาใจ” หล่อนยิ้มให้คนฟัง  “คืนนี้เลยดีไหม”

ไอลดาหัวเราะและกลอกตาไปมา “คืนนี้อยากให้เธอมากินข้าวเย็นด้วยกันมากกว่า ฉันให้ป้าแม้ทำมัสมั่นเนื้อรอไว้แล้ว ของโปรดเธอไงล่ะ”

บราลีเรียกบริกรเพื่อเติมเครื่องดื่ม “ฉันไปไม่ได้หรอกจ้ะ ช่วงนี้คงปล่อยให้พี่นะอยู่คนเดียวไม่ได้”

“เขา... ไม่เป็นไรใช่ไหม”

แทนคำตอบ ไอลดาสังเกตเห็นแววความเศร้าโศก ผุดขึ้นในดวงตาของเพื่อนสนิท แต่ถือเป็นจังหวะดี ที่จะเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนาไปทางหล่อนบ้าง

“ดูเหมือนเมื่อเช้าวันก่อน เธอจะเครียดๆ” หญิงสาวเท้าความ “มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

“ฉันก็แค่... ช่างเถอะ ไม่มีอะไรหรอก” คนตอบขยับตัวอย่างอึดอัด ทำเป็นมองไปทางผู้คนที่เดินอยู่ไกลๆ

“ลี่...” หล่อนแตะมือบราลี “เราเป็นเพื่อนกันนะลี่ บอกมาเถอะว่าเกิดอะไรขึ้น”

“ฉัน... เป็นห่วงพี่นะน่ะ” หล่อนอัดควันบุหรี่เข้าปอด หลังดีดเถ้าที่ยาวเกือบครึ่งมวนลงในที่เขี่ย “คือเขาเหม่อๆ จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่เป็นตัวของตัวเองอะไรแบบนั้น... เพราะงาน งานของณหทัยกรุ๊ปนั่นละ”

การคุยเรื่องธุรกิจในเครือณหทัยกับบราลี เป็นเรื่องที่ไอลดาลำบากใจที่สุด เพราะสามีหล่อนอยู่ในฐานะลูกจ้าง แต่ว่า หลายครั้งมันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ “มันเกี่ยวกับส่วนงานของเขาหรือเปล่า”

“ก็...ไม่เชิง มันเกี่ยวกับยูมอลล์ที่กำลังก่อสร้างอยู่ในสามเมืองหลวงของอาเซียนนั่นแหละ”

“มีอะไรหรือ”

“พี่นะบอกว่า คุณวิลาศคุยกับเขาแล้ว ก่อนที่จะตาย” บราลีโน้มตัวข้ามโต๊ะ เสียงหล่อนแผ่วลง “เขาบอกฉันว่า คุณวิลาศอยากให้สร้างพร้อมๆ กัน อยากเปิดตัวให้ยิ่งใหญ่ แบบออนไลน์ถ่ายทอดสด และพี่นะก็รับอาสาจะช่วยดูแลงานนี้ แต่... พอเธอสั่งระงับ พี่นะก็เหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก เขาว่าอาจต้องพิจารณาตัวเอง เพราะเธอไม่ไว้วางใจเขา”

“คิดอะไรอย่างนั้นล่ะ ไม่ใช่เรื่องว่าฉันไม่ไว้ใจพี่นะ แต่มันก็แค่...”

บราลียกมือห้าม “พอเถอะลดา เธอก็รู้ว่าฉันไม่ชอบคุยเรื่องแบบนี้ สู้คุยเรื่องคุณมารุตก็ไม่ได้ นะ... มีอะไรแบบส่วนตั๊วส่วนตัวก็เล่าให้กันฟังบ้างสิ หรือ... เออนี่! เขาเคย...”

“ฉันจะคุยกับพี่นะเรื่องยับยั้งการก่อสร้างนั่น จริงๆ นะลี่ ถ้ามันไม่มีอะไรเสียหาย หรือมีเหตุผลมากพอที่จะเร่งเดินหน้า ฉันก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”

คนฟังยกมือทั้งสองขึ้นในท่ายอมแพ้ “พอเถอะ บอกแล้วไงว่า ไม่คุยเรื่องงาน และ...ขอโทษนะ ฉันมีสิทธิ์จะเลิกคุย เพราะฉันเป็นคนเริ่ม”

“เธอไม่ได้เริ่ม...” ไอลดาแก้คำพูดให้เพื่อน “ฉันจับน้ำเสียงเธอได้ว่า เมื่อเช้าวันก่อนเธอไม่สบายใจอะไรสักอย่าง แล้วฉันก็เดาว่า มันไม่ใช่แค่เรื่องต่างหูคู่นั้น”

“ฉันรักพี่นะมากนะลดา แต่ตอนนี้... เขาดูเหมือนจะแก่ไปอีกสักยี่สิบปี ดูห่อเหี่ยวไปหมด” หล่อนยื่นมือมาบีบมือเพื่อน

“ลดา เธอก็รู้ดีว่าความเครียดทำให้ผู้ชายวัยอย่างพี่นะ หรือคุณวิศาลเป็นอะไร... ปัญหามันอยู่ตรงนั้น... เหมือนกับคุณวิลาศ ตอนนี้พี่นะของฉันนกเขาไม่ขัน...”

ไอลดาเกือบหลุดปากออกไปแล้ว เรื่องที่เพิ่งได้รับรู้ เกี่ยวกับถุงยางอนามัยนั่น รวมทั้งเรื่องลายเซ็นปลอม อะไรพวกนั้น ซึ่งมานะน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง เหล่านี้ทำให้หล่อนรู้สึกว่าผิดต่อบราลี เพราะไม่ยอมเล่าสู่ให้เพื่อนฟัง

“ลี่... แล้วถ้าเกิดว่า...” หญิงสาวมองข้ามโต๊ะ “แล้วถ้าการตายของคุณวิลาศ ไม่ใช่จากเรื่องสาเหตุธรรมชาติล่ะ”

คนถูกถามอ้าปากค้าง “แต่... เป็นเธอนะที่นอนอยู่กับเขา”

“นั่นก็จริง แต่ถ้ามีใครทำอะไรบางอย่าง หรือให้คุณวิลาศเขากินอะไรๆ ที่...” หญิงสาวลดเสียงให้เบาลง “อะไรที่... ทำให้เขาหัวใจวาย”

“แล้วใครจะไปคิดแบบนั้นล่ะ” บราลีกระแทกเสียงถาม

“ก็... บริษัทประกันชีวิตนั่นแหละ เขากำลังดูประเด็นนี้ด้วย ถึงความเป็นไปได้น่ะ”

ดวงตาของบราลีวาวขึ้น “อะไรกัน!... แล้วเขากล่าวหาใครล่ะ เธอน่ะรึ!”

“ยังหรอกลี่ ยังไม่มีใครกล่าวหาใครทั้งสิ้น มันเป็นแค่ข้อสันนิษฐาน” ไอดลาปรับน้ำเสียงให้นุ่มนวลขึ้น แน่นอนว่าบราลีต้องโมโห ตัวหล่อนเองก็รู้สึกแบบนั้น ตอนที่มารุตพูดถึงเรื่องนี้เป็นครั้งแรก

“ข้อสันนิษฐานของใครล่ะ มันบ้าชัดๆ นี่มันร้ายแรงนะ อยู่ๆ จะมาปรักปรำกันว่าเป็นฆาตกรฆ่าผัวเนี่ย!” บราลีถึงกับกระแทกแก้วเปล่ากับโต๊ะด้วยความขัดใจ “แล้วพวกนั้นมันก็บ้า จะยอมให้คนที่ตายไปแล้ว จากไปแบบสงบสุขไม่ได้หรือยังไงกัน!”

ไอลดาอึดอัด ไม่คิดว่าเพื่อนสนิทจะมีปฏิกิริยากับเรื่องที่บอกถึงขนาดนี้ “มันอาจยืดเยื้อ ถ้าบริษัทประกันชีวิตได้เบาะแส หรือค้นพบหลักฐานอะไรๆ”

“แต่พวกนั้นน่าจะเอาเวลาและเงินที่เธอจ้าง ไปตามล่าฆาตกรตัวจริง ไม่ใช่มาตามสงสัยเอากับคนรอบๆ ตัวอย่างนี้” ตรรกะของคนพูดเริ่มเรรวน เพราะความเห็นแก่พวกของตนเองแน่ๆ

“ปัญหาตอนนี้คือหมอหายตัวไปแล้ว”

“หมอที่ไหนล่ะ”

“ก็หมอชันสูตรศพ พยาธิแพทย์ที่ชันสูตรศพคุณวิลาศน่ะสิ”

บราลีทำหน้าเหมือนอยากเข้าห้องน้ำ ราวกับการพูดถึงการชันสูตรทำให้หล่อนคลื่นไส้ “แล้วหายไปอยู่ที่ไหนล่ะ”

ไอลดายักไหล่ “ที่ไหนสักแห่งในเกาหลี คือทางนั้นที่ตามหา ก็ยังไม่ได้ข่าว”

“ถ้าเจอแล้วจะยังไง คือ... มันจะช่วยให้มีอะไรดีขึ้นงั้นเรอะ ในเมื่อเมื่อสามเดือนก่อนไม่เห็นจะมีคนถามถึงเรื่องนี้ แต่วันนี้กลับคิดจะมาขุดคุ้ย”

ไอลดาพยักหน้าให้เพื่อนอย่างไม่รู้จะตอบอย่างไร คิดอยู่ว่าควรบอกหรือไม่ ถึงคำพูดก่อนตายของวิลาศ

บราลีจะช่วยไขปริศนา หรือจะกลายเป็นภาระให้หนักสมองมากขึ้น หรือหล่อนจะเอาไปพูดต่อ กลายเป็นข่าวสังคมซุบซิบ หรือที่เลวร้ายกว่านั้น จะกลายเป็นว่า ถ้าหล่อนคิดจะค้นหาความจริงด้วยอีกคน เพื่อนสนิทของเธอ ก็จะต้องเสี่ยงอันตรายโดยใช่เหตุ

อีกฝ่ายจ้องหน้าหล่อนอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาหรี่ลงอย่างครุ่นคิด “แต่... ฉันรู้แล้วละ”

“รู้... รู้อะไร”

“ก็แหม... ลดา ตอนนี้มันก็ชัดเจนไงล่ะ แฟนเก่าเธอกลับมา อันนั้นไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่” บราลีพูดเสียงใส คล้ายหาหนทางสว่างให้ตัวเองได้เรียบร้อยแล้ว

“แต่ที่ตลกคือเขาบังเอิญทำงานให้บริษัทประกันชีวิต ที่กำลังไม่อยากจ่ายเงินมหาศาลให้เธอ พวกมันก็เลยพยายามทำให้การตายแบบธรรมชาติที่สุด กลายเป็นการฆาตกรรม กลายเป็นการฆ่าเอามรดก กับประกันอีกหลายสิบล้าน”

“เงินประกันชีวิตนั่น เป็นส่วนนิดเดียวจากสินทรัพท์ทั้งหมดของคุณวิลาศ...” ถึงอย่างไรความเห็นนั้นของเพื่อนก็ไม่อาจมองข้าม “และ... รุตเขาก็ไม่ได้ทำงานให้บริษัทประกันชีวิตนั่นโดยตรง เขาทำงานให้บริษัทนั่นติดต่อไปอีกที”

“ก็ ต่างกันตรงไหน...” บราลีจ้องหน้าคนนั่งตรงข้ามเขม็ง “ใช่ไหมล่ะ มันไม่ต่างกันหรอกนะลดา”

อาจจะใช่หรือไม่ใช่ก็ได้ทั้งนั้น “เธอไม่รู้จักรุตหรอกลี่”

“ผู้ชายก็เหมือนกันหมด ฉันรู้เรื่องทำนองนี้ของผู้ชายดีเลยละ แบบว่า เธอทำให้เขาเจ็บปวด และเขาก็จะทำให้เธอเจ็บยิ่งกว่า มันเห็นชัดๆ อยู่แล้วว่า นายมารุต  โรจนา กลับเข้ามาในชีวิตเธอ ก็เพื่อทำลายเธอ เชื่อฉันเถอะลดา”

ไอลดารู้สึกคล้ายขนที่ต้นคอลุกชัน สมองเครียดเกร็งโดยไม่อาจระงับ ภาพกล่องถุงยางอนามัยในกระเป๋าของวิลาศผุดขึ้นในใจ...

มารุตเป็นคนเอามันไปใส่ไว้หรือเปล่า...

เขาจะทำถึงขนาดนั้นเชียวหรือ เขาเกลียดหล่อนที่ทำลายอนาคต ทำลายอาชีพของเขาหรือเปล่า

“ฉันไม่คิดว่ารุตจะเป็นคนแบบนั้น...” หล่อนตอบเพื่อนอย่างไม่ค่อยมั่นใจเสียแล้ว

“ความรักความหลงจะทำให้เธอตาบอดนะลดา นายนั่นอยากแก้แค้นเธอใจจะขาด และเขาต้องเล่นงานเธอด้วยเรื่องนี้แน่ๆ” บราลีกำมือแน่น

“เขากลับมาเพื่อทำลายเธอ เธอต้องจัดการเขาเสียก่อน หรือไม่ก็ หาทางออกห่างจากเขาให้เร็วที่สุด”

ความเย็นเยียบแล่นผ่านสันหลังของไอลดา

หล่อนสูดลมหายใจลึกๆ มือมีมือสองข้างสัมผัสลงบนไหล่จากด้านหลัง พร้อมลมหายใจอุ่นๆ ที่ผ่าวรดลำคอ ตอนที่เขาก้มลงกระซิบ

“คุณเข้าไปหาบาตี้กับผมหน่อย ได้ไหม ลดา...”

หญิงสาวนิ่งขึง คอแข็ง จ้องตาเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่อีกด้านของโต๊ะ ทำปากมุบมิบเอ็ดเพื่อน “เธอน่าจะเตือนฉันสักหน่อยนะลี่!”

สายตาแน่วแน่ของคนถูกโวย จ้องตรงกลับมา

“ก็ฉันเพิ่งจะเตือนเธอไปไงล่ะ!!!”

 *******************





Create Date : 22 มิถุนายน 2559
Last Update : 22 มิถุนายน 2559 12:58:12 น.
Counter : 1437 Pageviews.

2 comment
นิยาย:บอดี้การ์ดสยบรัก:บทที่11:ความลับของบาตี้


(อ่านง่ายสบายตากว่าตามลิงค์นี้คัรบ //writer.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=1483450  )

เวลาที่ บิณฑ์ ณ หทัย ไม่เมา เขาก็จัดได้ว่าเป็นหนุ่มเจ้าเสน่ห์คนหนึ่ง แต่พอเมายาแล้วเขามักคิดว่าตัวเองเป็นยิ่งกว่าเทพบุตร เพราะเวลานั้นใครๆ ก็รู้สึกว่าเขาน่ายำเกรง ถึงขนาดต้องพากันหลีกทางหรือหนีหน้า

อย่างในตอนนี้ ที่กำลังเมากัญชาได้ที่ บิณฑ์คิดว่า หากได้รถกัลลาร์โดของตนคืนมา ก็น่าจะร่อนได้สะดวกง่ายดายกว่าที่เป็น เพราะจะเหาะเหินไปไหนต่อไหนก็ได้ ตามที่ใจปรารถนา

“รอก่อนนะจ๊ะ” เขาพูดกับหญิงสาวที่ขับรถมาส่งถึงหน้าคฤหาสน์ของผู้เป็นบิดา ที่ขณะนี้แม่เลี้ยงซึ่งอายุอ่อนกว่าเขา ได้สิทธิในการครอบครอง

บิณฑ์จำไม่ได้แน่นอนว่าหล่อนชื่อ ปุบผา ผกา หรือมาลี แต่รู้แน่ว่าเป็นคำดอกไม้ๆ อะไรสักอย่าง เขาเพิ่งได้พบหล่อนเมื่อชั่วโมงก่อน ที่กอล์ฟคลับในโรงแรมริมหาดพัทยาใต้ หล่อนบอกว่าร้อนอบอ้าว ชวนให้เขาหาที่เหมาะๆ ลี้ลับจากสายตาผู้คน นั่งคุยกันเล่นให้เย็นใจ

ตอนแรกเขาไม่ได้สนใจอะไรนัก เพราะหล่อนเป็นสาวเจ้าเนื้อ คอยแต่จะจดจ้องและไล่ไขว่คว้าอยู่แต่กับท่อนลำของเขา แต่เมื่อหล่อนบอกว่า มีกัญชาของโปรด เขาก็เป็นอันได้กระโจนขึ้นรถ ไปถึงไหนถึงกันได้ทันที

จะดีกว่านี้ หากแม่ปุบผาผกางาม เป็นเจ้าของบ้านสักหลังในหมู่บ้านสุดหรู ซึ่งราคาไม่ต่ำกว่าหลังละห้าสิบล้านนี่ แต่ก็ยังดีที่หล่อนทำงานอยู่ในบ้านหลังใดหลังหนึ่ง และมีบัตรผ่านเข้าออก ตรงรั้วใหญ่ด้านหน้าโครงการ

นั่นละคือสิ่งที่เขาต้องการ การผ่านเข้ามาอย่างสะดวกง่ายดาย

“ไม่โทร.เข้าไปก่อนหรือคะ” หล่อนถาม “คือ ฉันหมายความว่า มันไม่ดึกไปหน่อยหรือคะ ถ้าจะเข้าไปทักทายคุณแม่ แบบที่ไม่โทร.เข้าไปบอกกันสักนิด”

บิณฑ์ยิ้มให้กับข้อเสนอ เขาชอบเหตุผลที่ตัวเองปั้นแต่งขึ้นที่ว่า “ผมอยากให้แม่แปลกใจน่ะ คืออยากเป็นคนแรกที่อวยพรวันเกิดให้ท่าน”

ก็ดึกเสียขนาดนี้ หากไม่ใช้ลูกไม้กตัญญูแบบนี้ มีหรือที่หล่อนจะยินยอม อ้างกับยามหน้าโครงการให้เขาว่า เจ้านายเรียกตัวเข้ามาด่วน

“ไม่เป็นไรหรอกน่า... มันต้องแบบว่า เซอร์ไพรส์ ใช่ไหมล่ะ ผมจะเข้าไปก่อน แม่ต้องดีใจแน่ๆ คุณก็เห็น ผมไม่น่าจะเป็นลูกที่ดีได้หรอก จริงไหม... คุณรอผมแป๊บๆ นึง ประเดี๋ยวผมจะออกมารับ พาแฟนไปแนะนำตัวไงล่ะ”

สาวเจ้าเนื้อดูระแวงเล็กน้อย เขาจึงโน้มตัวใกล้ใบหน้าหล่อนมากขึ้น แน่นอนว่าบิณฑ์ทำได้ทุกอย่าง เพื่อหลอกให้ใครสักคนทำตามที่ตนต้องการ การหลากใช้ผู้หญิงคนนี้ ต้องใช้ความกระสันของหล่อนนั่นละ เป็นเครื่องมือ

เขาปั้นเสียงให้ทุ้มนุ่มและฟังดูเซ็กซี่ “รอผมนะครับที่รัก อีกประเดี๋ยวคุณจะได้เข้าไปถึงเตียงนอนผมเชียวละ คุณแม่ยังเก็บเรือนเล็กริมทะเลไว้ให้ผมเสมอ” แต่ที่จริงคือเขาอยากให้หล่อนรออยู่จนเขาได้กัลลาร์โดกลับคืนมาชัวร์ๆ เท่านั้นเอง

หญิงเจ้าเนื้อเบ้ปากนิดหนึ่ง ตอนแรกคิดว่าหล่อนจะหัวเราะเยาะหรือจับไต๋ได้ แต่แล้วหญิงสาวก็หัวเราะออกมา ฟันซี่เล็กๆ ขาวสะอาดและเรียงเป็นระเบียบ ดูรวมๆ แล้วก็เป็นสาวอวบที่น่ารักไม่น้อยเลย ดวงตาเล็กๆ แต่เป็นประกายของหล่อนก็น่าหลงใหล...

เดี๋ยว... ไม่สิ... ข้างในบ้านนั่นต่างหาก ขุมทรัพย์ของเขา

บิณฑ์ต้องตั้งสติ ข้างในต่างหากที่เป็นทุกอย่างของเขา และ... ถ้าจะมีอะไรกับหล่อน ให้เขาช่วยตัวเองซะยังดีกว่า

ที่ต้องทำก็แค่เข้าไปเอารถ ขับออกไป เพราะประตูอัตโนมัติจะจับสัญญาณรีโมตจากรถเขาได้ แล้วก็โทร.หา... ผกา... มาลี หรือชงโค... จะชื่ออะไรก็คือก็นางอ้วนนี่แหละ ให้ขับรถตามกันออกไป หาโรงแรมริมทางที่ไหนสักแห่ง แล้วพี้กัญชากันให้ถึงสรวงสวรรค์

รถซีดานของหล่อนนะรึ จะตามทัน เมื่อเขาออกไปถึงถนนใหญ่...

“รอผมแป๊บเดียวนะครับที่รัก” เขาเลือกเรียกหล่อนอย่างนั้น ลงทุนโน้มตัวลงจูบหล่อน หลบทันริมฝีปากที่ยื่นสวนมา ถึงจะยังไง เขาก็ทนแลกน้ำลายกับหล่อนไม่ได้แน่ๆ “แค่ห้านาที เผลอๆ ก็ไม่ถึง”

หญิงสาวเลียริมฝีปาก “ก็ได้... ฉันจะรอ”

เขาลงจากรถ วิ่งเหยาะๆ ไปยังกำแพงที่ซ่อนอยู่ในเงาสลัวของร่มไม้ใหญ่ และใช้มันบดบังตัวเองจากสายตาของคนขับรถมาส่ง ไม่อยากให้หญิงอ้วนนั่น โทร.เรียกยามเสียก่อน

เมื่ออยู่ในเงามืด บิณฑ์ก็ค่อยปีนข้ามกำแพง คิดว่าดีแล้วที่รีบมา เพราะถ้าไอลดายังอยู่กับไอ้บอดี้การ์ดตัวเบิ้มนั่น อีกหน่อยก็ต้องมีหมาเฝ้าบ้าน มีกล้องวงจรปิด และอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยอีกสารพัด อาจมียามที่มีอาวุธสำหรับเป่าขมองใครก็ได้ที่บุกรุกด้วยซ้ำ

เขาทำเสื้อขาดขณะรูดตัวลงมาด้านในกำแพง มือครูดคอนกรีตสากๆ จนได้เลือด สะดุดรากไม้อีกหน หัวแม่โป้งเท้าแทบหัก แต่ยังฝืนใจไม่ส่งเสียง ตบกระเป๋าตัวเองดูให้แน่ใจว่า กุญแจสำรองยังไม่หล่นหายไปไหน

ในเรือนใหญ่ ยังมีไฟเปิดอยู่บางดวง เขามองไม่เห็นห้องด้านหลังที่ติดชายฝั่งทะเลนั่น ไอลดาอาจยังไม่นอน...

แล้วก็ได้ยินเสียงทุ้มๆ และเคร่งเครียดดังมาจากเฉลียงด้านข้าง

เขาชะงัก นิ่งงันไปครู่หนึ่ง แล้วรีบซ่อนตัวในเงาไม้ แต่แรงกัญชาที่สูบเข้าไปก่อนหน้า ทำให้ใจยังกล้า เขาย่องไปตามกำแพง ลัดเลาะไปตามพุ่มไม้ พอได้ยินเสียงนั้นอีกครั้งก็หยุดแทบหมอบ ...แต่แล้วก็ยืดตัวขึ้น ก้าวไปข้างหน้าอีกสองสามก้าว อย่างอยากรู้อยากเห็น

“ไม่น่าเชื่อ ที่ไม่มีใครจำได้ว่า เคยเห็นเขาทั้งสองอยู่ด้วยกัน”

มีเสียงผู้ชายตอบ แต่บิณฑ์ฟังไม่ออกว่าคนผู้นั้นพูดอะไร

มันเป็นความเสี่ยงที่จะต้องคิดแผนหลบหลีกใหม่ๆ เขารู้ว่าปกติไอลดาไม่น่าจะนอนดึกขนาดนี้ แต่เพราะมีไอ้หมอนั่นเข้ามา อาจคุยกัน จีบกัน หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ที่แน่ๆ คือ เขาไม่รู้ว่าจะเอารถออกไปแบบที่ สองคนนั่นไม่รู้ตัวได้อย่างไร

“คิดว่าบางคนที่ท่าเรือนั่น พวกนั้นดูจะแปลกใจนะคะที่ได้เห็นฉันตัวจริงๆ” ม่ายสาวเจ้าของคฤหาสน์สุดหรูริมทะเล พูดถึงอะไรสักอย่าง น่าจะเกี่ยวกับเรือ... เรือซึ่งควรจะเป็นของเขาด้วยเช่นกัน

“ก็คุณบอกว่า ไม่เคยออกทริปทางเรือไปกับพวกเขาเลย”

บิณฑ์เบ้หน้า ตอแหลละซี มีอย่างหรือผู้หญิงหิวเงิน ยอมกระทั่งแต่งงานกับคนแก่คราวพ่อ จะไม่สนใจจะลองใช้ชีวิตหรูหราบนเรือยอร์ชนั่น และตอนนี้เขาก็ยิ่งเคียดแค้น ไอ้บอดี้การ์ดสารเลวนั่น มันเอาปืนขู่ ว่าให้อยู่ห่างๆ จากที่นี่

“แล้วคุณจะบอกบริษัทประกันนั่นว่าไง” เสียงหล่อนถามอีก

แล้วบริษัทประกันเข้ามาเกี่ยวอะไรอีกเล่า หรือว่านังนั่นมันเอาเรือไปชนหินโสโครกที่ไหน

“ไม่บอกอะไรทั้งสิ้น จนกว่าเราจะได้ข่าวจากแดน และรู้ว่าหมอคนนั้นให้ข้อมูลอะไรบ้าง” เสียงทุ้มต่ำของไอ้คนระยำที่หน้าหล่อและล่ำ ยิ่งกว่าพระเอกคนไหนๆ ฟังชัดเจนขึ้น เมื่อบิณฑ์ขยับใกล้ต้นเสียงเข้าไปอีก

“ยังไม่มีข้อมูลมากพอจะปิดคดีนี้หรอกนะลดา”

คดีอะไรวะ!

“แต่ก็มีมากพอที่จะสอบสวนฉัน” แม่เลี้ยงเขาตอบขื่นๆ “มีมากพอจะสงสัยว่าฉันฆ่าสามีของตัวเอง”

คนแอบฟังยืนนิ่ง ตะลึงงัน ความตื่นเต้นแผ่ซ่านไปตามเส้นเลือด ราวได้พี้กัญชาเกรดสามดาว

บริษัทประกันชีวิตคิดว่า นางผู้หญิงนั่นฆ่าพ่อเขางั้นรึ

“ถ้าอย่างนั้น...” เจ้าบอร์ดี้การ์ดพูดอีก แต่น้ำเสียงงึมงำจนจับใจความแทบไม่ได้ “เก็บข้อสงสัยนั้นไว้...” บิณฑ์สบถเบาๆ เพราะไม่ได้ยินส่วนที่เป็นใจความสำคัญ

“แต่พวกเขามีหลักฐานอะไรล่ะ ไม่มีเลย หมอชันสูตรก็หายตัวไป แค่ความสงสัยมันไม่พอหรอกที่จะฟ้องร้อง”

“แต่ตอนนี้คุณมีแรงจูงใจแล้วนะลดา”

ว้าว!... ดีมาก คุยอีก คุยกันเยอะๆ... พูดกันเสียงดังๆ ด้วยสิวะ!

“แต่ฉันเป็นคนค้นพบความจริงนะรุต เป็นเจ้าของความจริงที่เห็นเขาตายต่อหน้าต่อตา นอกจากหมอชันสูตรแล้วก็มีฉันคนเดียวนี่แหละ ที่รู้ว่ามันไม่ใช่อาการหัวใจวายธรรมดาๆ”

บิณฑ์รู้สึกว่าขนลุกซู่กับบทสนทนาที่ได้ยิน มันไม่ใช่การหัวใจวายตามธรรมดาจริงๆ นั่นแหละ การฟ้องร้องเรอะ เขาเผลอขยับใกล้อีกนิด คราวนี้พลาดเหยียบกิ่งไม้ ซวนเซจนพุ่มไม้ที่ใช้กำบังตัวขยับไหว

เหี้ยแล้วไง!

คนลักลอบเข้ามารีบขยับออกห่างพุ่มไม้นั้น ตัดสินใจพุ่งเข้าใกล้ขอบระเบียง ต้องคุกเข่าลงเพราะใจเริ่มฝ่อ ขาเริ่มสั่น ถ้าโดนจับได้ เขาต้องถูกไอ้บอดี้การ์ดมหาโหดนั่นฆ่าทิ้งแน่ๆ

เสียงของสองคนข้างในเบาลง แต่บิณฑ์คิดว่าเขาต้องตั้งใจฟังให้ได้ใจความ

“และเมื่อถึงการฟ้องร้องอะไรนั่น  ฉันก็จะถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกร ฆ่าสามีตัวเอง”

ให้ตายเถอะ นี่เขาได้ยินถูกหรือเปล่า ไอ้บริษัทประกันชีวิตระยำนั่น คิดว่าหล่อนฆ่าพ่อของเขา มันจริงๆ น่ะหรือ ถึงว่าเถิดที่ทำไมต้องจ้างคนคุ้มครอง ดี... ดีฉิบหายเลยว่ะ!

บิณฑ์พยายามฟังคำตอบของอีกฝ่าย แต่ความตื่นเต้นทำให้เสียงตึกๆ ของหัวใจตัวทำให้เขาได้ยินไม่ถนัด แต่ก็รู้มากพอแล้ว ตอนนี้เขารู้ว่า ไอลดาฆ่าพ่อตนจริงๆ อย่างที่สงสัยมาตลอดนั่นละ

และหล่อนก็กำลังหวาดกลัว กลัวถูกยึดสมบัติ กลัวติดตะราง... เขาคิดว่าได้ยินความกลัวเหล่านี้จากน้ำเสียงของหล่อน

หนุ่มขี้ยาเกือบตะโกนด้วยความดีใจ สิ่งที่เพิ่งได้รับรู้นี้ จะทำให้ทุกสิ่งเปลี่ยนไป เขาจะใช้มันทำลายหล่อน  ถึงสุดท้ายหล่อนจะไม่ถูกตัดสินว่าผิด แต่ถ้าแค่มีคนเชื่อว่า หล่อนผิดจริงๆ เมื่อนั้นเขาจะเอาอะไรก็ต้องได้ ในฐานะลูกแท้ๆ ที่น่าสงสาร

บิณฑ์ยืนขึ้น เร็วเกินไปจนหัวหมุน เข่าอ่อนยวบ เซไปจนต้องควานหาที่ยึด ปลายกิ่งไม้นั่น ฟาดผัวะเอากับฝาผนัง

ไอลดาชะงักคำ หล่อนรีบเดินมามองผ่านกระจกหน้าต่างที่ยังแง้ม รีบปิดมัน แล้วรูดม่านปิดอีกชั้นหนึ่ง

คนแอบฟังถอนใจ ต้องทำอะไรสักอย่าง เขาหันรีหันขวาง ต้องทำอะไรล่ะ วิ่งหนีแล้วก็หนีไม่พ้น ถูกยิงกลางหลัง... หรือว่าจะเปิดเผยตัว แต่ก็คงไม่พ้นถูกยิงแสกหน้าอยู่ดี นางวายร้ายนั่น ต้องบอกว่าเป็นการป้องกันตัว

หรือว่า เขาแค่เดินไปเอารถ ทำตัวเป็นเจ้าของบ้านคนหนึ่ง... ซึ่งมันจะเป็นจริงในไม่ช้า

จากนั้นก็ขับออกไป แต่ก็อาจถูกยิงอยู่ดีละมั้ง... ที่ขมับ... น่าจะใช่นะ

ในที่สุดบิณฑ์ก็ยังนั่งเงียบอยู่ที่เดิม เอาเถอะ นิ่งๆ อยู่ตรงนี้ เผื่อได้ยินอะไรมากขึ้น อย่างนั้นหากถูกยิงตายก็ยังไม่ตายเปล่า...

ไม่สิ! ไอ้โง่

เขาด่าตัวเอง มึงต้องไปจากตรงนี้สิวะไอ้บิณฑ์

คิดดังนั้นลูกเลี้ยงของไอลดา ก็พุ่งตัวออกไปที่ถนนในบ้าน  รีบล้วงหากุญแจในกระเป๋า การวิ่งไปค้นกระเป๋าไปทำให้เสียหลัก สะดุด มือข้างหนึ่งติดอยู่ในกระเป๋ากางเกง ตอนที่ถลาล้มกระแทกลงกับพื้น

แล้วก็มีอะไรบางอย่างกดลงบนกลางหลัง

รองเท้า... ใหญ่ หนักอึ้ง

แล้วก็... ปืน... ปลายกระบอกเย็นเฉียบ จ่อประทับอยู่กับท้ายทอย

“บอกแล้วว่าไม่ให้มายุ่งย่าม” มารุตใช้อีกมือยันคอผู้บุกรุกเอาไว้ ก่อนลากขึ้นมาทั้งอย่างนั้น ดันไปจนปะทะกับไม้ใหญ่ต้นใกล้ที่สุด จับหันหน้า แล้วถอยออกมาก้าวหนึ่ง ตั้งท่าเตรียมพร้อมจะยิงแสกหน้าได้จริงๆ

บิณฑ์ตัวสั่นระริก “แค่... ผมแค่มาเอารถคืน แค่นั้น... แค่นั้นเองนะ”

“รถอยู่ตรงฝั่งนี้ที่ไหน มันจอดบนสนามหญ้านี่ได้งั้นเรอะ” แววตาดุดันที่แค้จะแค่จ้องฝ่าความสลัวของไฟสนาม ก็ยังทำให้คนถูกจดจ้องขนพองสยองเกล้า พอเขาเลื่อนปลายกระบอกปืนใกล้เข้ามาอีก อีกฝ่ายก็ถึงกับยกมือไหว้อ้อนวอน

 

“ได้โปรด... อย่า... อย่ายิง” ความกลัวประเดประดังเข้ามาจนคนร้องขอชีวิตเองถึงกับหูอื้อตาลาย “ไปแล้ว... ผมจะไปแล้วละ”  เขายังไม่อยากถูกยิง ยังไม่ใช่ตอนนี้ ไม่ใช่ตอนที่เขากำลังจะได้เปรียบ ตอนที่สถานการณ์กำลังจะพลิกผัน ตอนที่เขาจะได้เป็นต่อ

แต่ไอ้บอดี้การ์ดหน้าหล่อแต่ท่าทางเหี้ยมสุดๆ ไม่ยอมปล่อย “นายมาทำอะไรตรงนี้”

“ก็... แบบว่าผมได้ยินเสียงไงล่ะ...” บิณฑ์ตะกุกตะกัก “แบบว่า.. เลยมาดูให้แน่ใจว่าแม่เลี้ยงสุดสบึมของผมยังปลอดภัยดีอยู่”

มารุตลากคอคนบุกรุกมาตรงที่มีแสงสว่าง “นายน่าจะไปเที่ยวโรงพักสักรอบ ค้างที่นั่นอีกสักคืนนะบิณฑ์”

คนถูกขู่หลับตาเพื่อตั้งสติ กับข้อมูลเมื่อครู่ เขาต้องเอาตัวให้รอด เพื่อซื้อเวลาสำหรับอนาคต “ฟังนะคุณ ผมขอโทษที่เข้ามาแบบไม่บอกก่อน แต่แค่จะมาเอารถ... แค่นั้นเอง”

ตอนนี้บิณฑ์รู้สึกว่า มือที่ขย้ำคอเขา ผ่อนแรงบีบรัดลงบ้างแล้ว

“จริงๆ สาบานเลยนะ แต่ไม่ต้องก็ได้ ถ้าคุณยังไม่อนุญาต ผมมากับเพื่อน จอดรถรออยู่หน้าประตูโน่น กับผู้หญิงคนนั้นก็ได้ นะ... ไม่เอารถก็ได้ แค่ปล่อยผมไป”

มารุตระบายลมหายใจออกมา ผลักหนุ่มขี้ยาไปทางประตูรั้วหน้าบ้าน

“ปล่อยผมเถอะนะ...ได้โปรด” เขาอ้อนวอนจริงจัง “คุณจะตามไปให้เห็นก็ได้ว่า ผมขึ้นรถเพื่อนแล้วไปแล้วจริงๆ สาบานได้นะ แค่จะมาเอารถ แค่นั้นจริงๆ”

บิณฑ์โล่งใจขึ้นอีกเยอะ ที่บอดี้การ์ดจอมโหด พยักสั่งให้ยามเปิดประตู จึงรีบเดินพ้นออกมาแบบไม่เหลียวกลับหลัง

ชายหนุ่มไม่แปลกใจที่สาวเจ้าเนื้อทิ้งไปแล้ว ค่อยเดินมาที่ประตูหน้าโครงการ ขอให้ยามตรงนั้นเรียกแท็กซี่ให้ อารมณ์ดีพอจะยิ้มให้กับทุกคน...

แค่นี้ละ...แค่คืนนี้ละที่จะต้องลำบาก พรุ่งนี้ชีวิตเขาจะเปลี่ยน จะได้เป็นคุณบิณฑ์ ณ หทัย ผู้อู้ฟู่เป็นหนุ่มไฮโซสมบูรณ์แบบเหมือนเมื่อก่อน

แค่ต้องหาตัวช่วยดีๆ ให้ได้สักตัว... สักคนที่จะได้ผลประโยชน์ในเรื่องที่เขาได้ยินมา

ได้ร่วมกันใช้เรื่องนี้... ทำให้พากันร่ำรวยจริงจังกันเสียที


ไอลดาฝันว่ามารุตมานอนหลับอยู่ข้างกาย ทำให้รู้สึกตัวตื่นด้วยความเสียดาย

หล่อนเข้านอนพร้อมอาการปวดหัวอย่างหนัก หลักจากที่เขาจัดการกับบิณฑ์ไปแล้วไม่นานนัก หันไปทางโต๊ะข้างเตียง นาฬิกาบอกเวลาตีห้ายี่สิบนาที...

วันนี้หล่อนจะต้องทำอะไรบ้าง ตรวจสอบแฟ้มเอกสารทั้งหมดของวิลาศงั้นหรือ หรือว่าค้นสมุดโทรศัพท์ทั้งหมด หรือขุดคุ้ยชีวิตลับของเขา

ไอลดายันกายขึ้นจากที่อันอ่อนนุ่มและอบอุ่น เข้าห้องน้ำจัดการธุระส่วนตัว ดึงกางเกงผูกสายขึ้นมาสวม แล้วคลุมด้วยเสื้อตัวยาว เดินเบาๆ ลงมายังห้องครัว

หัวใจหล่อนหนักอึ้ง เหม่ออยู่จนไม่ได้ยินเสียงเครื่องทำกาแฟเดือดปุดๆ และส่งเสียงประท้วง

นึกถึงวิลาศ ก็ต้องนึกไปถึงคนที่เขาเป็นชู้ด้วยคราวนั้น มีขาประจำแค่คนเดียว หรือมั่วไปทั่วก็ไม่รู้ หรือว่าจะเป็นใครคนหนึ่ง ที่หล่อนเคยคุยด้วยในงานระดมทุน หรือภรรยาของคนอื่น ที่สามีผู้ล่วงลับของหล่อนเคยพบปะอยู่ในวงสังคม

ไอลดาไม่คิดเลยว่า เขาจะทรยศหล่อนได้ลงคอ มันไร้เหตุผลสิ้นดี

หล่อนวางถ้วยกาแฟในตำแหน่ง แต่ก็ใจลอยเกินกว่าจะให้น้ำกาแฟข้นๆ ไหลลงจนหยุดสุดท้าย มันจึงเลอะเทอะ แบบที่ตนเองไม่คิดจะเช็ดทำความสะอาด

ในเวลานี้ ความคิดของไอลดาทั้งงงงันทั้งสับสน เมื่อวานหล่อนกับมารุตก็ไม่ได้เบาะแสอะไรเลย จริงอยู่ที่ว่ามีคนจำนวนมาเคยเห็นวิลาศอยู่บนเรือนั่นก่อนเขาจะตาย แต่ไม่มีใครเห็นเขากับผู้หญิงคนไหน นั่น... ทำให้หล่อนต้องภาวนา เขาคงไม่ได้ใช้ห้องนอนบนเรือ เพื่อมีอะไรกับใครต่อใคร อยู่ตรงปลายจมูกเธอนี้เอง ใช่ไหม

ไม่สิ เขาต้องไปที่อื่น...

แต่อายแชโดว์สีม่วงที่มารุตพบ มันก็ฟ้องอยู่คาตา เพราะหล่อนไม่เคยใช้สีน่าเกลียดแบบนั้น

ไอลดาเดินเข้าห้องทำงาน เพื่อลองจะค้นหาเงื่อนงำอีกครั้ง ในเมื่อสงสัยว่าเขามีผู้หญิงคนอื่น สิ่งที่จะมองหาทุกอย่างก็ต้องต่างไปจากเดิม

ใบเสร็จการใช้บัตรเครดิต การจองตั๋วเครื่องบิน จองทัวร์หรือแผนการเดินทางต่างๆ

แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นมารุตก้มหน้าก้มตาอยู่หลังจอคอมพิวเตอร์ ในสภาพมีชั้นในแบบเต็มตัวห่อคลุมตรงนั้นไว้เพียงชิ้นเดียว หล่อนต้องรีบเบนสายตาขึ้นมา มองที่ไรเคราเขียวครึ้มและผมเผ้ายุ่งเหยิงนั่นแทน

“คุณต้องไม่ชอบเรื่องนี้แน่ๆ” เขาพูดโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา

หญิงสาวระบายลมหายใจยืดยาว “มีอะไรอีกหรือคะ”

เขาหันมาในที่สุด สายตาเลื่อนจากเสื้อคลุม ซอกซอนเข้าไปในกางเกงของหล่อน ก่อนจะเลื่อนกลับมาหยุดอยู่ที่ถ้วยกาแฟ “แค่ถ้วยเดียวเอง...”

“ดื่มด้วยกันก็ได้ค่ะ” หล่อนตอบพร้อมย่างเท้าเปลือยเปล่าเข้าใกล้เขา “หวังว่าคุณยังดื่มกาแฟดำ ที่เหยาะน้ำตาลน้อยกว่าครึ่งช้อนชา เหมือนเดิมนะคะ”

“บางสิ่งมันไม่มีวันเปลี่ยนแปลงหรอก” เขาพึมพำพร้อมยื่นมือไปเพื่อรับแก้ว

หญิงสาวส่งถ้วยกาแฟให้ มองเอกสารและแฟ้มที่เขานำออกมาแผ่กาง “คุณไม่ได้นอนเลยเหรอคะ”

เขาดื่มกาแฟรวดเดียวครึ่งถ้วย “ผมได้งีบไปแล้วละ” เขาชูถ้วยขึ้น “ขอบคุณนะ”

“ไม่เป็นไรค่ะ” หญิงสาวตอบ มองใบหน้าที่ไม่ได้โกนหนวด แล้วเลื่อนลงมายังท่อนบนเปลือยเปล่า มัดกล้ามเนื้อทั้งหมดนั่น คือสิ่งที่หล่อนหลงใหล แผนอกแน่นแกร่ง คือความอบอุ่นที่หล่อนเคยได้อิงซบ “แล้ว... อะไรที่ฉันจะต้องไม่ชอบนั่นล่ะ”

มารุตเอื้อมมือไปที่เครื่องพิมพ์ หยิบกระดาษแผ่นบนที่เพิ่งพิมพ์ออกมายื่นให้หญิงสาว แล้วกระดกกาแฟอีกอึก

ไอลดาอิงสะโพกกับมุมโต๊ะทำงาน หันความสนใจไปที่กระดาษที่ยังอุ่นๆ ในมือ หัวกระดาษบอกว่า ข้อมูลถูกส่งมาจากที่ไหน บีซีทีการ์ดดอทคอม

“บลูแคททีม... ถึงคุณมารุต โรจนา”

“ใช่... จากที่ทำงานผมเอง

เซบาสเตียน ...  การตรวจสอบประวัติ “บาตี้... คุณกำลังสืบประวัติของบาตี้?”

“ใช่...” เขายอมรับง่ายๆ “ผมไม่ชอบท่าทางที่เขาถูกเนื้อต้องตัวคุณ”

หญิงสาวกลอกตามองบน “แต่มันเป็นงานของเขา”

“ถ้าเขาแตะต้องตัวคุณแบบนั้นโดยไม่คิดอะไร เขาก็ต้องเป็นพวกชอบไม้ป่าเดียวกัน”

“ไม่ใช่หรอกค่ะ เขาเป็นนักบำบัด เป็นนักกายภาพบำบัด เก่งเรื่องชีวจิตอีกต่างหาก” หล่อนพลิกกระดาษและตรวจอ่านข้อความ สถานที่เกิด ที่อยู่ที่ทราบล่าสุด ประวัติการศึกษา ข้อมูลทางการเงิน และ...

“ตายจริง!” หล่อนรู้สึกวูบๆ คล้ายมีอะไรกระทุ้งเบาๆ ที่ช่องท้อง “เขามีประวัติอาชญากร...”

มารุตเอนตัวพิงเก้าอี้ พยักหน้าแล้วบอกว่า “ใช่เลย... เคยถูกจับที่ฮ่องกง ถูกตั้งข้อหามีโคเคน... นั่น ไม่ใช่ชาเขียวหรือบีทรูท หรือสมุนไพรอื่นใด” เขาเสริมด้วยสายตามีเลศนัย

หล่อนเลิกมองหน้าเขา หันกลับมาสนใจย่อหน้าต่อไป

“...เก้าปีที่แล้ว”

“ถูกต้อง” เขาตอบเสียงห้วน “และบอกตามตรง ผมไม่ได้สงสัยเรื่องนั้น เพราะนั่นคือตอนที่เขายังคึกคะนอง อ่อนต่อโลก และโง่พอจะไปข้องแวะกับไอ้พวกที่ไม่น่าคบหาด้วย” เขาเอื้อมมือไปที่เครื่องพิมพ์อีกครั้ง ยื่นกระดาษอีกแผ่นมาให้หญิงสาว “ที่ผมสนใจจริงๆ ก็คือเขาเคยแต่งงาน หรือที่จริงกว่านั้นก็คือ เขาเคยหย่า”

“ฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่าเขาแต่งงาน” และหญิงสาวก็ไม่ได้สนใจในประเด็นนี้เท่าไร เพราะเซบาสเตียน ไม่ได้อยู่บนเรือกับสามีหล่อนแน่ๆ หมอนวดประจำตัวหล่อนไม่ใช่คนสุดท้ายที่เห็นวิลาศ แต่เป็นหล่อนต่างหาก

ไอลดาวางกระดาษทั้งสองแผ่นลงตรงหน้าเขา “คุณทำให้ฉันเสียเวลานะคะ”

“เขาเคยแต่งงาน... กับแม่ม่าย ที่รวยมาก”

หญิงสาวขมวดคิ้วใส่เขา คงไม่ได้พูดเป็นนัยๆ ใช่ไหมล่ะนั่น “อธิบายง่ายๆ ดีกว่าค่ะรุต ฉันตามคุณไม่ค่อยทัน”

มารุตขยับมานั่งในท่าเป็นการเป็นงานอีกครั้ง จ้องหน้าหล่อนเขม็ง “คุณเคยบอกผมใช่ไหมว่า คุณกับคุณวิลาศเป็นหนึ่งในลูกค้าที่ดีที่สุดของเขา”

“ใช่ ที่จริงแล้วคุณวิลาศมีนัดกับเขาในวันที่...” เสียงหล่อนแผ่วลง หยิบเอกสารขึ้นมาอ่านอีกครั้ง แล้วสบถออกมาเบาๆ

“บาตี้เคยทำงานให้กับสายส่งยาเสพติดตอนที่เขาอายุสิบเก้า แต่ก็เป็นพวกค้ายาระดับล่าง ซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรผิดสังเกตมากนัก แต่ข้อมูลของเมียเก่าที่ผมตรวจสอบดู มันทำให้เจออะไรเพิ่มอีกด้วย” เพราะมันยังไม่ถูกพิมพ์ออกมา เขาจึงพยักให้หล่อนมาดูด้วยกันผ่านหน้าจอ

ไอลดาอ่านข้อความในอีเมล์และรายชื่อผู้ส่ง “จีรนันท์ อัญชนา คือใคร”

“เจสซี่น่ะ เป็นนักสืบทางอิเลคทรอนิกส์ฝีมือเยี่ยม เคยเป็นผู้ว่าจ้างบลูแคทมาก่อน แต่ตอนนี้มาทำงานร่วมกับพวกเราแล้ว”

หญิงสาวโน้มตัวเข้าหาหน้าจอ “เธอต้องพอใจหรือมีความสุขกับบลูแคทมากสินะ  ถึงได้เข้าร่วมงานกับพวกคุณ”

“รักกับบอดี้การ์ดที่ดูแลเธอน่ะ” เขาชี้กลับไปที่จอคอมพิวเตอร์ “อ่านสิลดา”

หล่อนอ่านออกเสียง “อารีน มิเชล หยาง เป็นแม่ม่ายเศรษฐินี ต่อมาแต่งงานกับเซบาสเตียน ทั้งคู่แต่งงานภายในเวลาไม่ถึงปีหลังจากที่สามีหล่อนตายด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์... เขากับแม่ม่ายมิเชล หย่ากันในอีกสามปีให้หลัง ศาลตัดสินให้เขาได้รับส่วนแบ่งก้อนใหญ่” ไอลดาละสายตามามองที่มารุต “เอาละ... บาตี้แต่งกับแม่ม่ายที่รวยมหาศาล แล้วก็หย่า แล้วคุณจะโยงเรื่องนี้กับการตายของคุณวิลาศว่ายังไงล่ะ”

“เขามีเงินมากพอ ฝากธนาคารไว้ที่อเมริกา มันช่วยเบิกทางให้สามารถไปไหนๆ ก็ได้ เข้าสู่วงสังคมสูงแค่ไหนก็ได้ เขามีหุ้นส่วนกับสปาทั่วโลก และนั่นคือโอกาสที่จะได้พบกับแม่ม่ายสาวๆ ที่รวยล้นฟ้าได้เรื่อยๆ”

“แต่ฉันไม่ได้เป็นม่าย ตอนที่เจอกับเขา ฉัน...” คนพูดชะงักเมื่อเห็นสายตาของคนฟัง “หรือ... ตายละ หรือคุณกำลังจะบอกว่า บาตี้ฆ่าคุณวิลาศเพื่อที่ฉันจะได้เป็นอิสระ แล้วก็พร้อมที่จะเป็นเหยื่อสูบเงินทองจากฉันงั้นหรือ”

มารุตหยิบกระดาษอีกแผ่น “ก็อย่างที่คุณเคยพูดมาหลายครั้งนั่นแหละ ที่ว่าเขาเป็นนักบำบัด เป็นพวกธรรมชาติบำบัด หรือชีวจิตอะไรนั่น เขารู้เรื่องกล้ามเนื้อและสมุนไพรเป็นอย่างดี คุณว่าเขาเป็นถึงดอกเตอร์ด้วยซ้ำ”

ไอลดารู้สึกว่ารสกาแฟในปากขมขึ้นมาทันที ขณะมารุตหยิบกระดาษอีกแผ่น

“นี่คือรายชื่อของวิธีการบำบัดตามธรรมชาติ ทั้งการนวดและใช้สมุนไพร และวิธีการรับประทาน ที่จะทำให้ในที่สุดเส้นเลือดเลี้ยงหัวใจจะอุดตันได้ในวันหนึ่ง ชื่อนี่คือบรรดาสิ่งของที่เขาใช้รักษาอาการต่างๆ ตั้งแต่โรคไขข้ออักเสบจนถึง...” เขาหันกลับมามองหล่อน “อาการไร้สมรรถภาพ”

หญิงสาวเพ่งมองรายชื่อพืชและสมุนไพร ความงงงันถั่งท้นเข้ามาในหัว “หรือคุณคิดว่าคุณวิลาศาอาจกินอะไร ที่กระตุ้นหรือสะสมตกค้าง จนเกิดภาวะหัวใจวายงั้นหรือคะ”

“มันก็เป็นไปได้เหมือนกัน”

“แต่ฉันว่า มันออกจะโหดเหี้ยมเกินไปหน่อย” หล่อนถอยไปทรุดตัวลงกับโซฟาหนังและอ่านเอกสารซ้ำ “บาตี้ไม่เคยพูดหรือแสดงออกอะไร ที่ดูไม่เหมาะหรือไม่สมควรเลยสักครั้ง...”

“เขารอจังหวะเหมาะๆ อยู่น่ะซี รอให้คุณผ่านช่วงโศกเศร้านี่ไปก่อน แต่เขาต้องทำอะไรสักอย่างแน่ๆ เชื่อผมเถอะ ผมรู้ได้จากสายตาที่เขามองคุณนั่นละ”

“แต่มีแม่ม่ายอีกมากมาย รวยๆ ทั้งนั้นนะคะ ที่ไปที่ฮิลตันแกรนด์ ที่ไปใช้บริการที่สปานั่น ถ้าเขาสนใจจะแต่งงานเพื่อฮุบสมบัติ” ไอลดาเหลือบมองรายชื่อพืชสมุนไพรเหล่านั้นอีกครั้ง “เขาไม่จำเป็นต้องฆ่าใครสักคน เพื่อให้เมียใครคนนั้นกลายเป็นม่าย”

“แต่มีสักกี่คนที่มีเงินเป็นพันล้านล่ะลดา มีกี่คนที่สวยสง่าและดูดีอย่างคุณ แล้วจะมีคนอื่นอีกหรือไง ที่รู้ว่าคุณอยู่ห้องไหนเมื่อวานนี้”

หล่อนพยักหน้า คิดตามที่เขาสันนิษฐาน “เขาต้องลอบวางยาคุณวิลาศ ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง ที่จริงคุณวิลาศไม่เชื่อเรื่องวิธีทางยาหรือธรรมชาติบำบัดอะไรทั้งสิ้น คือเขาไม่กินแม้กระทั่งวิตามินหรืออะไรก็ตามที่โฆษณาว่าดีนักหนา เขาภูมิใจมากกับเรื่องนี้”

“ลดา หากเขาไร้สมรรถภาพจริงๆ คุณก็ไม่รู้หรอกว่า เขาทำอย่างไรเพื่อแก้ปัญหา จริงไหมล่ะ”

ไร้สมรรถภาพจริงเรอะ กับตัวหล่อนก็น่าจะเป็นงั้น... แต่... แล้วทำไมเขาถึงต้องมีถุงยางอนามัยด้วย

“แล้วทำไมถึงไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับสารพิษหรือสารตกค้างของสมุนไพรพวกนี้ในรายงานผลการชันสูตรล่ะ” หล่อนลุกไปที่ตู้เอกสาร หยิบแฟ้มที่พูดถึงออกมา

ขณะมารุตอ่านสำเนาผลการชันสูตร หล่อนก็อ่านข้อมูลของเซบาสเตียนกับสมุนไพรต่างๆ ซ้ำ รวมทั้งอีเมล์จากจีรนันท์ อัญชนา คนนั้นด้วย

“นี่มันแค่สำเนา...” มารุตเอ่ยขึ้นขณะพลิกหน้ารายงานไปเรื่อยๆ “อาจมีการแก้ไขข้อความก็ได้ แดนอาจได้รู้อะไรมากขึ้น ถ้าหาหมอลูกครึ่งเกาหลีคนนั้นพบ ...และระหว่างนี้ ผมคงต้องไปคุยกับบาตี้ของคุณสักหน่อย”

“ฉันไปด้วยได้ไหมคะ”

มารุตสั่นศีรษะ “ผมน่าจะได้อะไรจากเขามากกว่า ถ้าคุณไม่ได้ไปด้วย คุณควรอยู่ที่นี่ มันปลอดภัยกว่าที่อื่นๆ”

“มัวแต่รอๆ แล้วก็รอ ฉันคงเป็นบ้าไปก่อน รุตคะ อย่างน้อยฉันก็อยากเจอกับลี่ แค่ไปด้วย แล้วคุณทิ้งฉันไว้กับลี่ที่ร้านกาแฟที่ล็อบบี้ก็ได้”

“อย่างนั้นก็ต้องไม่เล่าอะไรให้เพื่อนคุณฟัง” เขาเตือน “ผมรู้สึกว่าเธอพูดเยอะเกินไป”

“ได้เลยค่ะ อย่างนั้นฉันจะลองดูว่าจะนัดลี่ไปที่นั่น ตอนคุณไปคุยกับบาตี้ได้ไหม”  หล่อนตอบ สีหน้าเบิกบานขึ้นอีกตอนถามเขาว่า “วันนี้เรื่องที่คุณข้องใจมีแค่นี้ใช่ไหมคะ”

เขาเลิกคิ้วข้างหนึ่ง “ไม่ใช่... ไม่ใช่แค่นี้หรอก”

ถ้อยคำของเขาทำให้หล่อนอยากจะกรีดร้อง มันจะยุ่งยากซับซ้อนอะไรกันนักหนา “งั้นมีอะไรอีกล่ะคะ”

สายตาเขาเลื่อนลงมายังเสื้อคลุมของหล่อนอึดใจใหญ่ เลื่อนผ่านทรวงอกขึ้นไปหยุดบนใบหน้าหล่อน

“เดี๋ยวคุณก็รู้เอง...”

***************************

 




Create Date : 20 มิถุนายน 2559
Last Update : 20 มิถุนายน 2559 19:42:29 น.
Counter : 613 Pageviews.

1 comment
นิยาย:บอดี้การ์ดสยบรัก:บทที่10:หลักฐานพลิก เกมเปลี่ยน




(อ่านง่ายสบายตากว่าตามลิงค์นี้คัรบ //writer.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=1483450  )


บทที่สิบ หลักฐานพลิกเกม



“คุณอนันต์  เมธาไนย มาถึงแล้วนะคะ” เสียงแม้นรายงาน ไอลดาเงยหน้าจากกระจกแต่งหน้า หล่อนถือแปรงปัดมาสคาร่าค้างอยู่ตรงขอบตา “นายหน้าซื้อขายเรือของคุณวิลาศใช่ไหม”

มุมปากของหญิงสูงวัยตกลงด้วยความเศร้า ทุกครั้งที่ได้ยินชื่อเจ้านายเก่าแก่ “ค่ะ อยู่ที่ท่าน้ำกับคุณมารุต”

คนรับรายงานคว้ารองเท้าแตะคู่หนึ่งมาสวม ไม่กี่นาทีจากนั้น หล่อนก็ถือด้วยกาแฟแล้วก้าวออกไปรับความแรงร้อน ของแดดกลางเดือนมีนาคม มุ่งหน้าไปที่ท่าน้ำ มีเสียงผู้ชายลอยมาจากด้านนั้น

เมื่อเข้าไปใกล้ ก็เห็นมารุตยืนอยู่ท้ายเรือ ตั้งอกตั้ใจคุยกับนายหน้า ที่หล่อนจ้างมาช่วยขายเรือยอชท์ติดเครื่องยนต์ขนาดสี่สิบแปดฟุต

ไอลดาก้าวเท้าช้าลง และเผลอดื่มด่ำภาพของชายที่หล่อนเคยรักอย่างมากมาย จนมันเจ็บแปลบๆ ทุกครั้งที่มองเห็นเขา

และตอนนี้ มันก็ยังคงเจ็บปวดอยู่เช่นนั้น

เขาสวมเสื้อโปโลสีฟ้าอ่อน ปักลายพังงาเรือเล็กๆ บนอกซ้าย กางเกงสีกากี คล้ายจะเล็กไป แต่ก็ทำให้ยิ่งชวนมอง ท่อนแขนกำยำที่โผล่พ้นเสื้อออกมา ทำให้หล่อนนึกถึงตอนที่ได้เคยขย้ำเล่น มัดกล้ามแน่นๆ นั่น กัดได้เต็มคำ และรสชาติไม่เลวเลย

ชายหนุ่มคนรักเก่าของหล่อน ไม่เคยเสื่อมคลายเสน่ห์ที่ชวนมอง ท่ายืนนั่น ดูมั่นคงแข็แรง ไม่ใส่ใจกับการโคลงตัวเล็กน้อยของเรือในกระแสคลื่น

แต่แล้วเขาก็หันขวับมาทางนี้ ราวกับรับรู้ถึงการมาของหญิงสาว หรือว่าเขามีจิตสัมผัส เชื่อมต่ออยู่กับหัวใจหล่อน

ไอลดารีบเลิกคิดฟุ้งซ่าน ปลดกลอนประตูรั้วเตี้ยๆ ที่เขาบอกว่ามันไม่ช่วยอะไรได้เลย แล้วเดินตรงไปยังท่าน้ำ

“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณอนันต์”

ชายผู้นั้นหันมา และโบกมือทักทายหล่อน “สวัสดีครับคุณผู้หญิง”

ขณะหล่อนก้าวมาบนสะพานท่าเรือ มารุตก็ก้าวลงมารอรับ

“มอร์นิ่ง...” เขาทัก ประกายดวงตาทำให้หล่อนพร่าพร่ายในหัวใจ ตอนยื่นมือให้เขาประคอง ความรู้สึกบางอย่างทำให้หัวใจยิ่งไหวสะท้าน

ไอลดาต้องเบนความสนใจของตัวเองมายังนายหน้า ปล่อยมือของมารุตทันทีที่ยืนติด “ไม่คิดว่าจะมาตั้งแต่เช้าขนาดนี้เลยค่ะคุณอนันต์ เร็วกว่าที่นัดกันเสียด้วย จำได้ว่าคุณบอกจะว่างมาก็อาทิตย์หน้า”

นายหน้าผู้กว้างขวางในวงสังคมชั้นสูง ยิ้มอย่างสดใส ในแบบที่พนักงานขายมือทองชอบใช้ “ตอนนั้น นั่นคือคนซื้อก็จะมารับเรือนี่แล้วละครับ ผมเลยอยากมาทำเรื่องเอกสารต่างๆ ให้เสร็จเรื่องตั้งแต่เนิ่นๆ”

“ฉันยังมีของส่วนตัวบางอย่างอยู่บนนี้” หล่อนบอก ยังต้องการเวลาให้แม้นขึ้นมาทำความสะอาดเรือ แต่จนถึงวันนี้ หญิงสูงวัยผู้น่าสงสารก็ยังจัดการเก็บของในตู้เสื้อผ้าของเจ้านายเก่าไม่เสร็จ  “คุณอยากให้เราลองแล่นเรือออกพ้นอ่าวอีกสักรอบไหมคะ”

“ไม่จำเป็นหรอกครับคุณนาย แต่จะดีมากถ้าเติมน้ำมันให้เต็มถึงเอาไว้ แต่รอช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ก็ได้” อนันต์ตอบด้วยน้ำเสียงแฝงความเห็นใจ จากนั้นเขาก็หยิบกระเป๋าผ้าของตัว “นี่คือเอกสารการขายครับ”

หล่อนเหลือบมองมารุตแวบหนึ่ง เห็นเม็ดเหงื่อเขาเริ่มผุดตามจอนผม “ให้ฉันขึ้นไปเอากุญแจก่อน แล้วเราค่อยไปจัดการเรื่องเอกสารกันในบ้าน”

“ผมยังมีกุญแจนะครับ ตั้งแต่ตอนที่ลองเรือ” อนันต์บอก เขาเดินไปที่ห้องควบคุมและไขกุญแจ

ทันทีที่หญิงสาวก้าวเข้าไปข้างใน ไอลดาก็นึกได้ว่า ทำไมหล่อนถึงเคยมาอยู่บนเรือเพียงครั้งเดียวในครึ่งปีหลัง ห้องหรูหรานี้เป็นสีโปรดของวิลาศ มีเบาะนั่งทำจากหนังวัวอย่างดี ล้อมรอบกลางตัวเตี้ย มีทีวีจอพลาสมาอยู่ด้านหนึ่ง มีชั้นวางของและมีส่วนเก็บของกว้างตลอดแนวด้านข้าง

อนันต์คลี่เอกสารต่างๆ ลงบนโต๊ะเตี้ยกลางวง มารุตเดินผ่านเข้าไปในห้องนอนทางหัวเรือ ไอลดาไม่เคยนอนที่นั่น แม้หล่อนจะรู้สึกผิดบ้าง แต่ก็เพราะสามีผู้ล่วงลับไม่เคยเอ่ยปากบังคับให้ได้ค้างคืนกันบนเรือ เพราะเขารู้ดีว่าหล่อนเมาคลื่น

ขณะนายหน้าคุยถึงเรื่องผู้ซื้อเรือ ซึ่งเป็นเจ้าของกาสิโนในประเทศเพื่อนบ้าน สายตาหล่อนเลื่อนลอยไปทั่วห้อง มันคือที่โปรดของนายวิลาศ แผ่นซีดีคลาสสิคเป็นแถวที่เขาเคยเปิดฟัง เสียงจะดังไพเราะจากลำโพงที่ซ่อนอยู่อย่างแนบเนียน มีรูปถ่ายของหล่อนในกรอบเงิน วางอยู่บนชั้นหนังสือ

ไอลดาเพ่งภาพนั้น นั่นคือตอนไปฮันนีมูน หล่อนนั่งไขว้ขาอยู่บนผืนทราย ของชายหาดริเวียร่าในฝรั่งเศส เมื่อเอื้อมมือจะหยิบ มันกลับถูกผนึกแน่นกับชั้น

แน่ละซี ไม่มีอะไรต้องกลิ้งไปมาเมื่อเจอคลื่นลมแรงอยู่แล้ว

หล่อนจับขอบกรอบรูปและโยก พยายามดึงมันออกมาจากตัวยึด ยกมันขึ้นจากสิ่งที่ติดตรึงมันไว้จนได้

ประกายแสงจ่างๆ สีทองที่อยู่ตรงมุมด้านหลังกรอบ สะดุดความสนใจของหญิงสาว มันคือขาตั้งกรอบรูปที่คล้ายถูกออกแบบไว้อย่างประณีตบรรจง

หล่อนหยิบขาตั้งซึ่งที่จริงคือรูปหล่อต้นปาล์ม ที่ใหญ่กว่าฝ่ามือตนเองเล็กน้อยขึ้นมา ลำต้นและใบนั้นโอนเอนเหมือนกำลังต้องพายุ เป็นองศาที่สามารถรับกรอบรูปได้พอดิบพอดี

เมื่อพลิกฐานขึ้น ก็ใช้นิ้วไล่ไปตามตัวอักษรที่แกะสลักเอาไว้ ตัวดับเบิ้ลยู และล้อมกรอบด้วยตัวอักษร เป็นคำที่เขียนติดกันเป็นลูกโซ่ว่า รัก รัก รัก รัก รัก ในภาษาอังกฤษ

นี่มันอะไรกัน?

“พวกเขาคิดว่า อาจต้องลองแล่นเรือนี้ไปสักสองสามวัน ซึ่งผมก็ว่าดี มันจะทำให้พวกเขารู้จักเรือลำนี้ทุกซอกทุกมุม” อนันต์เอ่ยแทรกความคิดหญิงสาว

ขาตั้งภาพหนักอึ้งยังอยู่ในมือ “ว่าไงนะคะ”

“ครอบครัวสมเด็จ ฯพณฯ” เขาตอบ “พวกนั้นวางแผนจะมารับเรือ แล้วล่องไปด้วยตัวเอง”

ไอลดารีบวางรูปหล่อโลหะลงกับพื้น “ฉัน... เอ่อ...ขอโทษเถิดค่ะ พอดีไม่ได้ตั้งใจฟัง”

เขาพยักหน้าให้หญิงสาวอย่างเข้าใจ “ก็ไม่มีอะไรมาก คุณแค่ต้องเซ็นเอกสารอีกสามฉบับ แล้วเจ้าหญิง ‘ณ หทัย’, ลำนี้ก็จะกลายเป็นของเจ้าของคนใหม่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย”

หล่อนมองที่ต้นปาล์มรูปร่างแปลกอีกครั้ง แล้วหยิบปากกา

“เรือยังใหม่เอี่ยมเลยนะครับ” นายหน้าบอก พร้อมชี้ที่กากบาท ตรงที่หล่อนจะต้องลงลายมือชื่อ

“เรากำจัดเพรียงทุกสองอาทิตย์เลยค่ะ” หล่อนพูดอย่างใจคอไม่อยู่กับตัว หญิงสาวเคยใช้เวลาบนเรือณหทัยนี้ ในช่วงบ่ายเพียงวันเดียว หลังจากที่นายวิลาศเสียชีวิต มันเป็นวันที่หล่อน บราลีและก็มานะ เอาเรือไปลอยอังคารให้สามีผู้ล่วงลับในทะเลหลวง

ไอลดาไม่สบายใจมาก จนกระทั่งต้องขอให้รีบจัดการธุระ แล้วก็รีบกลับ

หญิงสาวเลื่อนเอกสารที่เซ็นแล้วไปยังนายหน้า

“เท่านี้ก็เรียบร้อยครับ” เขาบอกง่ายๆ “ครอบครัวนั้นจะมาที่นี่ปลายสัปดาห์หน้า” เขายื่นกุญแจเรือคืนให้กับหญิงสาว “และผมก็ไม่จำเป็นต้องใช้กุญแจดอกนี้อีกต่อไป”

หล่อนรับกุญแจ ขอบคุณนายอนันต์อีกครั้ง

หลังจากนัดหมายเรื่องการส่งของกันสั้นๆ นายหน้าผู้นั้นก็จากไป หล่อนยืนอยู่บนสะพานท่าน้ำขณะเขาลงจากเรือ สายตาทอดไกลไปทางห้องพักริมน้ำ ที่แม้นเอาไม้กระดานปิดทับกระจกบานที่ถูกยิงไว้

มารุตโผล่พ้นห้องโถงเรือออกมา ก้มศีรษะหลบหลังคา ลมทะเลพัดแรงจนกางเกงตัวสบายนั้นลู่แนบเนื้อ รูปร่างท่อนลำปรากฏชัด จนหล่อนรู้สึกปั่นป่วนตรงใต้ท้องน้อย รู้ดีเลยว่าความรู้สึกเช่นนี้ ไม่ได้มาจากอาการเมาคลื่นแน่นอน

“เรียบร้อยแล้วใช่ไหมลดา” เขาถาม

“ยังมีของคุณวิลาศ ฉันต้องเคลียร์ออกอีก”

เขาเพ่งพินิจหญิงสาว ทำคิ้วขมวดก่อนจะค่อยมีท่าทีอ่อนโยนลง “คุณไม่เป็นไรนะ”

ไอลดาเผลอแตะที่หน้าท้องตนเบาๆ “ก็อย่างที่รู้ ฉันชอบอากาศบริสุทธิ์บนฝั่งมากกว่าบนเรือหรือในทะเล

“งั้นคุณก็อยู่ข้างล่างนั่นแหละ เดี๋ยวผมจัดการเคลียร์ของที่ว่าให้เอง” เขาเสนอตัว ความร้อนทำให้เขาถอดเสื้อออกโยนให้หล่อน แล้วฉวยกุญแจไปจากมือ

“เอาอย่างนั้นก็ได้ค่ะ” หล่อนยิ้มให้ รู้สึกขอบคุณที่เขายังมีแก่ใจ “แต่ฉันก็ต้องขึ้นไปอีกอยู่ดี ไม่แน่ใจว่าในตู้ ในห้องนอนนั่นยังมีอะไรอีกบ้าง ฉันไม่เคยเข้าไปในนั้นเลยค่ะ แค่อยู่บนดาดฟ้าเรือ ก็เวียนหัวจะแย่แล้ว”

ดังนั้นสองคนจึงพากันกลับเข้ามาในเรืออีกครั้ง ขณะเดินผ่านโถงชั้นบน ไอลดาเหลือบมองต้นปาล์มอีกครั้ง หล่อนรู้สึกถึงลางสังหรณ์อะไรบางอย่าง มันไม่น่าใช่เรื่องดี เพราะความวิงเวียนเคลื่อนเหียนกลับมาโจมตีพร้อมความรู้สึกนั้น

ในห้องทางหัวเรือ เตียงขนาดหกฟุตปูด้วยผ้าสีน้ำเงินขลิบทอง กินเนื้อที่เกือบทั้งหมดของห้อง มีตู้และลิ้นชักอยู่เต็มผนังด้านหนึ่ง อีกด้านมีจอทีวีพลาสมาใหญ่อีกเครื่อง

หญิงสาวดึงลิ้นชักบนสุด มันว่างเปล่าจนหล่อนต้องแปลกใจ เมื่อดึงลิ้นชักอื่นๆ ดู ก็ว่างเปล่าเช่นเดียวกัน

“หายไปไหนหมดล่ะ” ไอลดาพึมพำ “ฉันรู้ว่าคุณวิลาศเก็บเสื้อผ้าไว้ในนี้

“บางทีป้าแม้นของคุณ อาจมาจัดการไปเรียบร้อยแล้ว

“ไม่น่าใช่หรอกค่ะ ปกติป้าแม้นต้องถามก่อนเสมอ ไม่เคยทำอะไรโดยพลการ”

คนพูดยังไล่เปิดลิ้นชักที่เหลือ ยกเว้นอันล่างสุด ที่มีขอบเตี้ยๆของเตียงขวางอยู่

ทั้งคู่สังเกตเห็นผงสีม่วงมีประกายยิบๆ อยู่บนพื้น

“นั่นอะไร...” มารุตถาม พร้อมคุกเข่าลงเพื่อตรวจดูให้แน่ใจ เขาปาดมันขึ้นมา และดมกลิ่น “มัน...ดูเหมือน...” หลังใช่ปลายนิ้วคลึงไปมา ก็บอกได้ว่า “...อายแชโดว์”

หล่อนหัวเราะ “ไม่ใช่ละมั้งคะ ยกเว้นแต่ว่า คุณวิลาศ จะมีความลับเรื่องแอบแต่งเป็นผู้หญิง”

ตู้ลิ้นชักตัวนี้ ที่ชั้นล่างเปิดออกมาไม่ได้ ทำให้มันคล้ายอยู่ผิดที่ผิดทาง สองคนจึงช่วยกันสำรวจให้แน่ใจ เมื่อไม่มีสิ่งไรผิดปกติ คือคล้ายกับมันติดอยู่กับเรือตั้งแต่แรก เตียงนอนขนาดใหญ่นี้ต่างหาก ที่เข้ามาเป็นส่วนเกิน

“ไม่เข้าใจเลยค่ะ” หล่อนพึมพำ เมื่อสำรวจชั้นและส่วนอื่นๆ แล้วก็พบแต่ความว่างเปล่าเช่นกัน “ฉันเคยขึ้นมาครั้งเดียว หลังที่คุณวิลาศเสียชีวิต คิดว่าอาจได้เงื่อนงำอะไรบ้าง และตอนนั้นมันยังอยู่... เสื้อผ้าพวกนั้น”

“ป้าแม้นน่าจะจัดการไปโดยไม่ได้บอกคุณ” มารุตใช้ข้อวินิจฉัยเดิม “ผมจะไปดูทางหัวเรือ”

ไอลดายังยืนอยู่ในห้องนอน รู้สึกขนลุกเมื่อต้องอยู่คนเดียว คล้ายกลิ่นอายดวงวิญญาณของสามีผู้ล่วงลับยังวนเวียน แทบไม่กล้าเปิดตู้ติดผนังที่เหลือ และคิดว่ามันน่าจะว่างเปล่าเหมือนๆ กัน

หล่อนหันกลับมามองที่ต้นปาล์มโลหะอีกครั้ง อย่างไม่รู้จะทำอะไรต่อไปดี

“ลดา...” มารุตยืนอยู่ตรงทางเดินระหว่างห้องนอนกับครัวของเรือ สีหน้าเขาดูแปลกๆ ในมือมีกระเป๋าหนังใบเล็ก ซึ่งหล่อนจำได้ทันทีว่า คือกระเป๋าใส่อุปกรณ์ห้องน้ำของวิลาศ

“นี่ของสามีคุณหรือเปล่า”

“ใช่ค่ะ มีอักษรย่อตัวดับเบิ้ลยูเอ็นเอช”

มารุตพลิกดู จากนั้นก็เอียงด้านนั้นให้หญิงสาวมองเห็นตัวอักษรสีทอง “หรือว่าของคนอื่น” ทั้งที่อักษรย่อก็หราอยู่ชัดๆ ชายหนุ่มยังทำเหมือนอ่านไม่ได้

ไอลดาเอื้อมไปจะหยิบ แต่ชายหนุ่มดึงกลับ หล่อนมองหน้าเขา ทำหน้าบึ้งใส่

“มีอะไรหรือคะ”

“คุณแน่ใจจริงๆ นะ ว่านี่คือของสามีคุณ”

“แน่ใจค่ะ” หล่อนกระแทกเสียง แต่ก็เริ่มหวั่นใจมากขึ้น จากน้ำเสียงอีกฝ่าย “มีอะไร ก็บอกมาสิคะรุต”

เขายื่นกระเป๋าให้หล่อนช้าๆ “ผมเจอซุกอยู่ใต้กองผ้าเช็ดตัว ที่อยู่บนลิ้นชักติดเพดาน ในห้องน้ำ”

ชายหนุ่มเปิดซิปค้างไว้ ให้หล่อนมองเห็นภายใน แปรงสีฟัน ยาสีฟัน น้ำยาหลังโกนหนวด มีดโกน และ... ถุงยางอนามัยกล่องยาว

“ตายจริง!” ไอลดาอุทาน เงยหน้ามองเขา

คุณพระคุณเจ้า ทำไมล่ะ

ทำไมวิลาศถึงมีของใช้แบบนี้ ทั้งที่ทั้งสองคนไม่เคยได้ใช้มันเลย

“มีอย่างอื่นอีกไหมคะ ในห้องน้ำนั่น” หญิงสาวถามเสียงเครือ

“ไม่มีอะไรอีก นอกจากผ้าเช็ดตัวบนชั้นบนสุด กับอุปกรณ์ทำความสะอาดใต้อ่างล้างหน้า”

“อย่างนั้นเราก็ไปจากที่นี่กันได้แล้วละ” ไอลดาหันกลับ เดินพ้นจากห้องนอนทันที ผ่านโถงเรือ ก็คว้าเอาต้นปาล์มรูปทรงพิลึกติดมือไปด้วย

ไอลดานั่งอยู่บนเบาะหนังที่วางเป็นแนวอยู่ท้ายดาดฟ้าเรือ หล่อนลูบคลำแทงโลหะสีทองอย่างเหม่อลอย มารุตมองหญิงสาวอยู่เงียบๆ อีกครู่ใหญ่ กว่าที่ทั้งสองคนจะได้สบตากัน

“เรื่องนี้จะต้องมีคำตอบค่ะ” หล่อนเอ่ยขึ้นเอง โดยเขายังไม่ได้ถาม

ก่อนหน้านี้มารุตเอากระเป๋ากลับไปวางที่เดิม ถือโอกาสตรวจวันหมดอายุของถุงยางอนามัย ซึ่งทั้งข้างกล่องและที่ซองบอกชัดว่า ยังใช้ได้อีกสามปีกว่า ที่สำคัญคือกล่องใหญ่ขนาดบรรจุยี่สิบสี่ซอง มีเหลืออยู่เพียงสิบเจ็ดซองเท่านั้น แปลว่าปีที่แล้วนี้เอง ที่มันถูกใช้

“ต้องมีเหตุผลใช่ไหมรุต!” หล่อนยังย้ำคำ “เขาอาจเจอมันลอยมาตามน้ำ หรือไม่ก็ของเพื่อนคนอื่นลืมทิ้งไว้ หรือ... หรือ เอามาทำอย่างอื่น ทุ่น... ทำเป็นเป่าลมเข้าไปทำเป็นทุ่นตกปลาไงล่ะ”

มารุตเองก็หวังให้ตัวเองหาเหตุผลอื่นๆ ได้สักอย่าง

“หรือ... มันเป็นแค่ของขวัญที่ใช้อำกันเล่น” เมื่อคิดว่าแต่ละสิ่งที่พูดมา ช่างไร้เหตุผล ไอลดาก็เสียงแผ่วลง

“ลดา...”

หล่อนยกมือห้าม “อย่าพูดค่ะ ไม่ต้องมาเห็นอกเห็นใจอะไร ฉันไม่ต้องการอะไรพรรค์นั้น สิ่งที่ต้องรู้ให้ได้คือ เกิดอะไรขึ้น...”

“แล้วคุณรู้ไหม...”

“รู้อะไร ฉันจะรู้อะไรได้ล่ะ!” หญิงสาวอดพาลใส่ไม่ได้

คนถามต้องใจเย็น ระบายลมหายใจยาวเพื่อปรับอารมณ์ เอ่ยขึ้นช้าๆ “รู้ว่า... คุณวิลาศจำเป็นต้องใช้ถุงยางอนามัย”

ยิ่งได้ยิน หล่อนก็ยิ่งใจหาย แต่ทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว เวลานี้มีแต่จะต้องเดินหน้าต่อไป ต้องตั้งสติอีกครั้ง “มาถึงตอนนี้ ฉันว่าตัวเองไม่ได้รู้เรื่องอะไรทั้งหมดของคุณวิลาศหรอกค่ะ” หล่อนตอบ กำรูปหล่อโลหะในมือแน่น “และ ฉันก็ไม่เคยเห็นของในกระเป๋านั่นมาก่อน แล้วก็...ไอ้นี่ด้วยค่ะ”

มารุตนั่งลงข้างหล่อน หยิบมันไปดู “ทองแท้นี่นะ สิบแปดเค ทองสวิส...” เขาพลิกดูใต้ฐาน มีคำว่ารักภาษาอังกฤษเป็นเส้นเชือก ล้อมรอบตัวอักษรดับเบิ้ลยู

ไอลดาดึงต้นปาล์มทองคำรูปร่างประหลาดกลับคืน แล้วยืนขึ้น

“ฉันจะกลับเข้าไปดูว่า มีอะไรหลงตาอยู่อีกบ้าง”

มารุตพยักหน้าให้ แต่ยอมให้หล่อนอยู่คนเดียวไม่ถึงห้านาที เพราะหญิงสาวเพียงแค่ไปนั่งจ่อมอยู่บนเตียง พอเขาเข้าใกล้ ไอลดาก็เททั้งกระเป๋าอุปกรณ์ห้องน้ำ กระจายเกลื่อนที่นอน

“ทั้งหมดนี้ ของคุณวิลาศทั้งนั้น ครีมโกนหนวด ยาสีฟันยี่ห้อนี้ โคโลญจน์กลิ่นนี้”

มารุตหยุดตัวเองไว้ที่ขอบประตู ยืนพิงง่ายๆ ถามว่า “เป็นไปได้ไหมว่า สามีคุณมีอะไรกับคนอื่น”

ไอลดาหยิบกล่องถุงยางอนามัยพลิกไปมาอย่างไร้ความหมาย “จะให้ตอบเหรอคะว่าเป็นไปไม่ได้  เขาซื่อสัตย์กับฉันเพียงคนเดียว... ก็หลักฐานมันเห็นๆ อยู่อย่างนี้ และฉันก็ไม่ได้โลกสวยขนาดนั้น!” อารมณ์เดือดดาลจนต้องเหวี่ยงกระเป๋าไปทางหนึ่ง แล้วก็กราดกวาดของทั้งหมดปลิวกระเด็น

“บ้าที่สุด! นี่มันเรื่องบ้าชัดๆ!”

เสียงหล่อนแตกพร่า โงนเงนจวนเจียนจะล้ม ดีว่ามารุตพุ่งตัวมารับไว้ทันการณ์ ทั้งลำเรือยังไหวโยกอยู่ตลอดเวลา ตามกระแสคลื่นลม

“ลดา...” เขาเรียกแผ่วเบา โอบหล่อนไว้ในอ้อมแขน หญิงสาวราวไร้เรี่ยวแรง น้ำตาพรากด้วยความสะเทือนใจ “ใจเย็นนะ... ใจเย็นๆ ไม่เป็นไร... ไม่เป็นไรนะลดา”

“เป็นสิ!” ไอลดาสะอื้น ดิ้นรนจะผละหนี แต่เขายังกอดเอาไว้แน่น

มารุตไม่รู้จะพูดปลอบโยนอย่างไร จึงได้แต่ยังโอบประคอง นึกแค้นใจเหมือนกัน ว่าทำไมนายวิลาศถึงมักมากขนาดนั้น ทั้งที่ได้นอนกอดผู้หญิงที่สวยและดีที่สุดในโลกอย่างหล่อนอยู่แล้วทุกคืนๆ

เขาจูบผมหล่อน ใช้มือลูบแผ่นหลังเบาๆ ให้คลายอาการสะอื้น

“ฉัน... ฉันคิดว่า เขาหมดสมรรถภาพ” ไอลดาเอ่ยขึ้นเบาๆ เมื่อตั้งตัวได้อีกครั้ง

คนโอบค่อยเอนตัวออกห่าง ไม่แนใจสิ่งที่ได้ยิน “คุณว่ายังไงนะ”

“นั่นละ ที่ทำให้ฉันเจ็บปวด...” หล่อนสารภาพ “เขา... เรา... ไม่ได้มีอะไรกัน” หญิงสาวหลับตา แก้มเริ่มเรื่อขึ้นด้วยความกระดากใจ “คือ... เราไม่ได้มีอะไรกันตั้งแต่แรกมาแล้ว ที่จริงที่แต่งงานกัน เรามีความรักทางใจเป็นสำคัญ ทุกอย่างมันโอเคไปหมด แม้ว่าจะไม่ต้องมีเรื่องเซ็กซ์เข้ามาเกี่ยวข้อง”

“แต่... ผมคิดว่าคุณเคยบอกว่า...” มารุตบังคับตัวเองไม่ให้คิดแบบนักสอบสวน “แต่คุณบอกผมเองว่า ที่มีลูกไม่ได้มันเป็นความผิดของคุณ”

“นั่นละค่ะ มันไม่ใช่ความผิดเขา...” หล่อนกลืนน้ำลาย “ตอนแรกมันก็ไม่ใช่เหรอกค่ะ เราไปพบหมอ แล้วรู้ว่าปัญหาอยู่ที่ฉัน จากนั้นพอเริ่มรักษา มันใช้เวลาหลายเดือนนะคะ แต่แล้ว พอฝั่งฉันพร้อม คุณวิลาศก็เหมือนหมดสมรรถภาพไปแล้ว และ... เขาไม่ได้ป่วยหรือใช้ยาเสพติดอะไร ที่ทำให้มันเป็นงั้นนะคะ ถ้าคุณอยากจะถาม”

“ลดา... ใครก็ตามที่นอนกับสามีคุณ นั่นอาจเป็นคนฆ่า หรือทำให้เขาหัวใจวาย... คุณก็ควรเดาเรื่องนี้ได้ ใช่ไหม”

หญิงสาวพยักหน้าช้าๆ ยังคงเหม่อลอยไปไกล “ทำไมฉันถึงไม่เคยระแคะระคายอะไรเลย ที่จริงฉันควรลงมาที่นี่บ่อยๆ ใช่ไหม... แต่ฉันเมาเรือ เมาคลื่น คุณก็รู้นี่คะ... แล้วฉันก็ให้เขาค้างที่นี่ ให้ล่องเรือไปกับเพื่อนๆ ในช่วงวันหยุด... มัน... มัน...” เสียงไอลดาแตกพร่าอีกครั้ง น้ำตาพรากลงมาอีก

“คุณอย่าโทษตัวเอง” เขาปลอบ “คุณต้องคิดว่านี่คือเบาะแส เราต้องช่วยกันคิดว่าน่าจะเป็นใคร หรือใครที่อาจเป็นพยานให้เรา ใครก็ได้ที่เคยเห็นสามีคุณกับคนที่เขาควงไปด้วย”

ไอลดาทำได้เพียงแค่พยักหน้า ปาดน้ำตาที่กบนัยน์ตา กลืนอาการสะอื้นลงคอ ก่อนจะพูดได้ว่า “เราเริ่มจากตรงไหนล่ะ”

คนถูกถามยืนขึ้น “จากที่นี่แหละ ในทะเล ในน้ำนี่ละ เราจะเอาเรือลำนี้ไปเติมน้ำมัน ทุกที่ ทุกท่าเรือ ทุกที่ที่เป็นไปได้ เท่าที่เคยมีบันทึกว่า เรือลำนี้เคยล่องไป และผมนี่ละ จะทำในสิ่งที่ผมถนัดที่สุด”

“ทำให้ใครต่อใครสารภาพน่ะหรือคะ”

“ใช่... คุณก็รู้ว่าผมทำได้เสมอ”

 

***********************




Create Date : 19 มิถุนายน 2559
Last Update : 19 มิถุนายน 2559 18:34:27 น.
Counter : 652 Pageviews.

1 comment
นิยาย:บอดี้การ์ดสยบรัก:บทที่09:ใช้ตัวช่วยหรือต้องช่วยตัวเอง



(อ่านง่ายสบายตากว่าตามลิงค์นี้คัรบ //writer.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=1483450  )


บทที่09:ใช้ตัวช่วยหรือต้องช่วยตัวเอง

“มึงต้องมีเรื่องดีกว่าที่กูกำลังเป็นนะไอ้รุต”เสียงของแดน กัลปา หงุดหงิดเต็มที่ เมื่อเขารับโทรศัพท์จากแดนไกลขณะยังหันไปยิ้มให้หญิงสาวที่คลอเคลียอยู่ด้วยกันบนเตียง เขาเขี่ยยอดอกสีชมพูดอ่อนที่เขากำลังขบเล่นตอนโทรศัพท์ดังขึ้น

“รอเดี๋ยวนะจ๊ะ มาริ” เขากระซิบกับหล่อน

สาวชาวอาทิตย์อุทัยหัวเราะคิกคักกับภาษาญี่ปุ่นที่ไม่ได้เรื่องของเขาแต่แอ่นเรือนร่างอันเย้ายวนมาแตะแนบกับชายหนุ่ม

“นายอยู่ไหน ทำอะไรอยู่ล่ะแดน” มารุตถามจริงจัง

“อยู่โตเกียว ซึ่งหมายความว่า...”แดนหยุดพูด ขยับร่างตัวเองให้พร้อมรับเข้ากับส่วนโค้งของหน้าท้องหญิงสาว พอหรี่เขาตามมองนาฬิกาบนโต๊ะข้างหัวเตียงก็ถามว่า “นี่กี่โมงแล้วจ๊ะที่รัก”

“กูสรุปได้ชัดเลยใช่ไหมว่าตะกี้มึงไม่ได้ถามกู” มารุตกรอกเสียงกลับมาแบบไม่สบอารมณ์

แดนหัวเราะสั้นๆ “ที่จริงมันคือตอบอย่างสุภาพกับคำถามที่ถามว่า กูกำลังทำอะไร... ก็ยุ่งอยู่น่ะสิวะ!”

นิ้วหล่อนกำรอบความเป็นชายของเขาและแดนต้องเกร็งตัวเพราะความเสียวกระสันที่แผ่ซ่านไปทั้งตัวต้องกัดฟันตอบเพื่อนจากเมืองไทยว่า

“ยุ่ง...ยุ่งมาก...”

“นายไม่ได้ทำงานหรอกรึ บอสส์บอกว่าทุกคนกำลังยุ่งอยู่” มารุตเปลี่ยนสรรพนามให้เพื่อนเพราะอยากให้กลับมาคุยเป็นการเป็นงานกว่าก่อนหน้า

“งานเสร็จเรียบร้อยหมดแล้วแต่บอสส์ยังไม่รู้” อีกฝ่ายตอบง่ายพยายามอย่างมากให้น้ำเสียงเป็นปกติ ขณะมาริขยับมือขึ้นลง “และถ้าเอ็งบอกบอสส์ก่อนที่ข้าจะทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่จากสถานทูตเสร็จละก็...เอ็งตายด้วยตีนข้าแน่ๆ”

เขาหลิ่วตาให้สาวงามผิวพรรณเปล่งปลั่งนวลละมุนเจ้าของแรงบีบและขยับขึ้นลงราวมีเวทย์มนตร์ตรงระหว่างขา

ได้ยินเสียงมารุตถอนหายใจเล็กน้อยซึ่งฝ่ายนั้นอาจทำพร้อมกับการสบถด่าอยู่ในใจ แดนเกรงใจเพื่อนเหมือนกันจึงต้องบอกให้หล่อนหยุด “รอประเดี๋ยวที่รัก” ไม่ใช่เพราะเขาอยากให้หล่อนหยุดจริงๆหรอก แต่เพราะรู้จักมารุตดีมาถึงยี่สิบกว่าปีขณะที่เพิ่งรู้จักมาริได้เพียงยี่สิบกว่าชั่วโมง

“ต้องการความช่วยเหลือว่ะแดน” มารุตพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าที่อีกฝ่ายเคยได้ยิน

“เดี๋ยวนะ...” แดนใช้มือปิดปากโทรศัพท์และก้มลงจุ๊บปากมาริ “ผมต้องคุยกับสายนี้ จากเพื่อนน่ะ”

“ฉันก็เป็นเพื่อนคุณนะคะ” หล่อนตอบเบาๆด้วยภาษาอังกฤษในสำเนียงอะโนะอะเนะตามประสาและปิดท้ายด้วยการบีบบี้หัวเจ้าหนูเขาอย่างหมั่นเขี้ยว

แดนครางออกมา “ผมรู้น่า...นะที่รัก...รอหน่อย... ผมขอร้อง”

หล่อนหัวเราะเบาๆบ่นออกมาเป็นภาษาญี่ปุ่นอย่างน่าฟัง จากนั้นก็ลุกจากเตียงเผยบั้นท้ายสวยงามให้แดนมองตาม

“รุต เอ็งเป็นหนี้ข้าครั้งใหญ่แล้วละนะบอกมา เกิดอะไรขึ้น” แดงมองตามหญิงสาวไปอย่างอาวรณ์

“นายรู้ไหมว่ากันอยู่ที่ไหน”

“อาบแดดอยู่พัทยาไงล่ะ” รัญญามักเล่าเรื่องให้แดนฟังมากกว่าคนอื่นๆในบลูแคท เขารู้ว่าทุกคนในทีม อยู่ที่ไหนและกำลังทำอะไร “และเพราะมันเป็นกลางเดือนมีนาคมข้าเลยจินตนาการได้เลยว่า ไอ้นิสัยขี้ยั้วะของนายมันจะยิ้งฟุ้งซ่านเหนอะหนะขนาดไหน”

“แล้วบอสส์บอกด้วยหรือเปล่าว่ากันกำลังต้องเป็นบอดี้การ์ดให้ใคร”

“เอิ่ม...” แดนเกือบจะพูดออกไปเล่นๆแต่ยั้งไว้เพราะรู้ว่ามารุตไม่ใช่คนเส้นตื้น

“ก็รู้นั่นละ... แล้วเป็นไงมั่ง”

“ก็โอเค” มารุตก็ยังเป็นตัวเขาเองคือไม่บอกอะไรมากมาย

และแดนก็ยังเป็นแดน ไม่ยอมให้เรื่องหยุดไปเฉยๆ “มันโอเคแบบที่ว่านายแกล้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น และลดาก็อดคิดที่จะไม่แตะต้องนายไม่ได้เลยงั้นเรอะ”

“ก็... แค่โอเคละน่า”

“โอเคแบบที่เธอให้อภัยนายและนายกับเธอก็ยอมรับในที่สุดว่า ผิดด้วยกันทั้งคู่ และยังคงรักกันเหมือนเดิมงั้นใช่ไหม”

“ไอ้ห่าแดนมึงพล่ามอะไรมากมายกว่าพวกผู้หญิงบ้าๆ ซะอีก มึงรู้ตัวมั้ย!” อย่างน้อยที่สุดมารุตก็รู้ว่าตนมีอารมณ์ขันแฝงอยู่ในคำพูดนั่น “กูต้องการความช่วยเหลือไม่ใช่ต้องการให้มึงมาเทศนาอะไร”

แดนยิ้มกับโทรศัพท์ “อ๋อ...เอ็งต้องการมากกว่าได้กลับไปเจอกัน เรียบร้อยแล้วละซีนะ เอาละๆ บอกมาซิเกิดอะไรขึ้น”

“นายแวบจากที่นั่นสักสองสามวันได้ไหม”

“กันพามาริผู้แสนหวานไปด้วยได้ไหมล่ะ”

“ไม่ได้สิวะ!”

“ไอ้ห่า... ตกลงเอ็งต้องการอะไรกันแน่”

“กูตามหาคนหายต้องได้ข้อมูลบางอย่างจากคนคนนั้น”

แดนลุกขึ้นยืน จริงๆคือเผลอลืมมาริไปแล้ว “ใคร ที่ไหน มันเกี่ยวกับเรื่องอะไร”

“หมอชันสูตรน่ะ ซึ่งอาจอยู่ที่โซล”

“เกาหลีเรอะ” แดนกลั้นหัวเราะ“หรือเอ็งไม่ได้ยินที่ข้าบอก ข้าอยู่ที่โตเกียวญี่ปุ่น”

“ก็ใกล้โซลมากกว่าข้าแล้วกัน”

แดนต้องยอมรับ “ก็ได้ชื่อไรล่ะ แล้วเอ็งอยากรู้อะไร”

“บอกรายละเอียดตอนนี้ไม่ได้ผู้ว่าจ้างยังเงียบอยู่ในห้องน้ำ แต่อาจออกมาตอนไหนก็ได้” มารุตเงียบไปแดนคิดว่าเขาอาจหยุดพูดเพื่อเช็คดูว่าไม่มีใครอื่น “จะส่งอีเมล์เรื่องทั้งหมดไปให้พรุ่งนี้แต่ต้องแน่ใจว่า นายจะไปที่นั่นได้ เพราะข้าไปไม่ได้แน่ๆ ทางนี้เธอต้องการคนคุ้มครองตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง”

“เข้าใจๆ ข้ารู้ว่าเอ็งมีอะไรต้องสืบจากลดาอะไรอีกเยอะ”

“นี่มึงรู้ทุกอย่างเลยเรอะ” สรรพนามที่เปลี่ยนไปมาระหว่างคุยกันนี้เพราะความสนิทสนมที่มีมานาน และเปลี่ยนไปตามอารมณ์ขณะที่พูดเป็นหลักสรรพนามในประโยคที่พูดไปนี้คือคนพูดอาจกำลังไม่พอใจ

“อ้าวๆ ไอ้นี่ไม่รู้เรอะไงว่ากูแอบดูมึงอยู่ตลอดเวลานะโว้ย...” แดนแกล้งยั่วก่อนปรับเสียงให้จริงจังอีกรอบ “มันจะเกินสองสามวันไหมรุตข้ากลัวแม่มาริจะลืมรสลิ้นของข้า แต่...ช่างเถอะวะ...”

“เดี๋ยว ฟังก่อนนะ” มารุต“ตอนที่เอ็งเจอหมอคนนั้น...”

“ตอนไหนจะได้เจอวะนี่เอ็งแน่ใจมากว่าข้าจะเจอ หรือไม่เอ็งก็มีข้อมูลที่อยู่อยู่แล้ว หรือยังไง

“จะมีหมอชันสูตรจากไทยสักกี่คนที่ไปตระเวนอยู่ในโซล” มารุตถาม น้ำเสียงแฝงแววปรามาสฝีมือเพื่อนสนิท

“มันขึ้นอยู่กับว่าหมอนั่นอยากให้ใครเจอตัวหรือไม่ เขามากบดานหรือมาทัศนาจรกันล่ะ แล้วอีกอย่างนึง...เอ็งแน่ใจนะว่ายังไม่อยากให้บอสส์รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จริงๆแล้วเธออาจมีเส้นสายในโซล ซึ่งจะช่วยให้งานเราเร็วขึ้น”

“เราจะให้บอสส์รู้เมื่อจำเป็นฟังก่อนนะแดน... ข้าต้องการข้อมูลเกี่ยวกับอีกคนที่มะนิลา... อเล็กซ์มันยังอยู่มะนิลาหรือเปล่า”

“เอ็งยอมขอให้ไอ้อเล็กซ์ช่วยงานนี้ด้วยงั้นเรอะ”แดนเริ่มคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เสียแล้ว “ให้ตายเถอะวะนี่เข้าตาจนจริงๆ แล้วหรือไง”

“กันต้องการข้อมูลเด็กของอเล็กซ์มันเก่งเรื่องหาข้อมูลที่สุดแล้วละ”

“ก็...ใช่อเล็กซ์กับเจสซี่อยู่ที่มะนิลาทั้งคู่ และน่าจะอยู่ต่ออีกอย่างน้อยสักเดือนหนึ่ง”แดนบอกเพื่อน “นายส่งอีเมล์ไปหามันได้เลย”

“งั้นเดี๋ยวข้าส่งอีเมล์ไปหาเจสซี่”เสียงมารุตบอกว่าไม่ได้พูดเล่นๆ

“แล้วตกลงว่าข้าต้องไปค้นหาใครในโซล”แดนถามให้แน่ใจ

“หมอชันสูตร ที่ชันสูตรศพของนายวิลาศ ณหทัย มีแค่คนเดียวเพราะไม่มีการให้หมอคนอื่นชันสูตรเพิ่มเติม”

“สาเหตุการตายล่ะ”

“หัวใจล้มเหลวเฉียบพลันเพราะงั้นจึงไม่ต้องชันสูตรอะไรอีก ที่แปลก ๆ คือคุณนายไอลดาเขาให้เผาทันที”

“ก็ถ้าเป็นความต้องการของผู้ตายเองก็ผิดปกตินะ”

“ก็นั่นละนี่กันได้เห็นจดหมายสั่งความเรื่องจัดการศพนั่นแล้ว ก็เป็นตามนั้น” มารุตหยุดนิดหนึ่งก่อนพูดต่อ“แต่ตอนนี้หมอชันสูตรหายตัวไปจากที่ที่เขาควรอยู่ไงล่ะลาออกจากงานไปเกาหลีพร้อมครอบครัว อยากให้นายหาตัวให้เจอแล้วลองดูซิว่ามีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับการชันสูตรศพนายวิลาศหรือไม่ไอ้ที่มันไม่ได้อยู่ในรายงานน่ะ”

“แล้วนายสงสัยตรงไหนกันแน่”

“ข้ารู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้แต่งงานกับมหาเศรษฐีพันล้านอายุหกสิบกว่าซึ่งดูเหมือนจะมีสุขภาพแข็งแรงดี แต่กลับมาตายคาเตียง หล่อนได้เงินทั้งหมดรวมทั้งสิทธิในการออกเสียงของกลุ่มบอร์ดบริหารที่มีการแก่งแย่งกันรุนแรงมากรวมทั้งได้บ้านหรูหราและทรัพย์สินอีกเพียบ ขณะที่ลูกเลี้ยงของเธอไม่ได้อะไรเลยและ...”

มารุตเปลี่ยนระดับเสียงนิดหนึ่งก่อนบอกอีกเงื่อนงำสำคัญ

“...เพิ่งรู้จากหมอประจำตัวคนตายเองว่านายวิลาศทำหมันไปตั้งนานแล้ว แต่นี่คือหลังจากที่เธอบอกกันว่าพอแต่งงานแล้วก็พยายามจะมีลูกด้วยกัน”

เขาลดเสียงลงอีก ตอนพูดว่า

“และมีอีกหลายเรื่องที่เกิดขึ้นแบบไม่ชอบมาพากลทั้งหมดดูแปลกๆ และกันก็เริ่มเห็นด้วยว่า สาเหตุการตาย แค่หัวใจวายน่ะมันดูสะดวกเรียบง่ายเกินไป”

คราวนี้ แดนรอให้มารุตพูดอีกแต่เสียงจากเมืองไทยกลับเงียบไป

“คุยกับใครอยู่หรือคะรุต” เสียงผู้หญิงแทรกเข้ามาในสายฟังดูจริงจังและใกล้มากๆ วินาทีต่อมาสายก็ตัดไป

สายหลุดไปแล้ว แดนไม่เต็มใจจะลุกจากเตียงสปริงอันอ่อนนุ่มและโยกโยนนี่เลย พวกนอกลู่อย่างเขาถูกมารุตจับได้เสียแล้ว แต่เขาจะจัดการเรื่องนั้นให้เพื่อนได้แน่ๆ

แต่ในตอนนี้แดนมีเวลาอีกเหลือเฟือที่จะอาบน้ำกับมาริ ก่อนจะออกเดินทางไปกรุงโซลประเทศเกาหลีใต้

“คุณคุยกับใครคะรุต” ไอลดาถามซ้ำโดยชายหนุ่มแค่ตัดสัญญาณโทรศัพท์ และเบือนหน้าหนี

เขาต้องการสารภาพความจริง...ต้องหันกลับไปยอมรับว่ากำลังเริ่มต้นสืบอย่างจริงจังเกี่ยวกับหล่อนและความตายของนายวิลาศ

แต่เขาจะต้องเผชิญกับอะไร ความโกรธเกรี้ยวของหล่อนหรือฝ่ามือที่เหวี่ยงเข้ามาพร้อมน้ำตา การไม่ยอมรับการก่นขับไล่ให้เขาเลิกมายุ่งกับชีวิตหล่อน

หรือว่า... ไอลดาจะทำอย่างเดียวกับครั้งก่อนตอนทะเลาะกัน...หนีไปไกลเกินคว้ากลับมาได้...

มารุตเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงหันไปหาหล่อนช้าๆ แทนที่จะโกรธหล่อนกลับดูมีความหวัง... คล้ายๆ จะโล่งอกด้วยซ้ำ

“ผมคุยกับเพื่อน... ไอ้แดน” เขาตอบในที่สุดสายตาเคลื่อนไปมาอยู่เหนือเสื้อนอนตัวบางที่หล่อนสวม

ไอลดาเท้าสะเอว “ฉันได้ยินนะคะบางอย่างที่คุณพูดถึงมะนิลา กับ...ที่ว่าคุณวิลาศตายง่ายเกินไป พวกคุณพบเบาะแสอะไรบ้างคุณรู้อะไรบ้างคะ”

ชายหนุ่มเหลือบมองชุดที่บางกว่าควรจะเป็นนั้นอีกครั้งมันไม่มิดชิดเอาเสียเลย “คุณอยากไปแต่งตัวก่อนหรือจะคุยกับผมในชุดแบบนี้”

“ฉันไม่อยากคุยเรื่องนี้เลยนะ” หล่อนโต้“แต่จะผัดผ่อนกันไปเรื่อยๆ แบบนี้ไม่ได้”

“คุณหมายความว่ายังไง”

หล่อนจ้องหน้าเขาคล้ายกำลังวิเคราะห์สิ่งที่เขากำลังทำ เลียริมฝีปากนิดหนึ่งก่อนบอกว่า “คุณคิดว่าคุณวิลาศถูกฆ่าตาย”

“คุณคิดงั้นเรอะ” มารุตทำเป็นไม่ประหลาดใจเลยกับที่ได้ยิน“ทำไมล่ะ” เขาย้อนถาม

“ฉันถามก่อนค่ะคุณคุยกับเพื่อนชื่อแดนอะไรนั่น เรื่องอะไร”

“เรื่องจุดประสงค์ที่ผมมารับงานนี้”

“มีอะไรอีก นอกจากต้องเป็นบอดี้การ์ดช่วยให้ฉันรอดจากเรื่องบ้าๆ พวกนั้น”

เขาหลบตาหล่อน เอ่ยเบาๆ คล้ายสารภาพผิด“ผมถูกขอร้องให้สอบสวนความเสี่ยงของคุณเกี่ยวกับการตายของนายวิลาศ”

ดวงตาหญิงสาวเบิกกว้าง “ค่ะ!...ชัดเจนเลยละนั่น”

เขาพยายามสังเกต เมื่อได้รับข้อความเช่นนี้คนผิดมักจะเผยพิรุธบางอย่าง แต่ไอลดากลับไม่มีอาการเหล่านั้นเลยสักนิดหญิงสาวยังนิ่ง สบสายตาเขาแน่วแน่

“แล้วคุณเจออะไรบ้างไหมล่ะ” ไอลดาก้าวเข้าใกล้อย่างท้าทาย“เจอหลักฐานอะไรบ้างไหมที่บอกว่าฉันฆ่าสามีตัวเองได้อย่างแนบเนียน มรดกพันล้านใช่ไหมล่ะที่มันต้องยั่วให้ฉันอยากเป็นฆาตกร”

ที่จริงแล้วเขาไม่ได้เบาะแสอะไรเลยต่างหาก

“ผมว่ามันแปลกที่หมอของคุณบอกว่า นายวิลาศเคยทำหมัน”

“หมอสมิตไม่ได้รักษาสามีฉันมาเป็นปีแล้วเขาแก้หมันอีกครั้งหลังเราแต่งงานกัน และมีหมอศัลย์คนหนึ่งที่โรงพยาบาลบางกอกพัทยารับรองการแก้หมันครั้งนี้ได้” หล่อนเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง “และ...ถึงยังไงเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับการตายของเขา”

“ผมก็แค่แปลกใจที่คุณบอกว่าพยายามจะมีลูก”

“แต่ก็ไม่เกี่ยวไงคะ” หล่อนย้ำ“นอกจากนี้ มีเหตุผลอะไรอีกไหมที่ยังสงสัยฉันอยู่เนี่ย”

“คุณเป็นคนสุดท้ายที่เห็นเขาตอนยังมีชีวิต”

“แล้วฉันก็ได้รับมรดกก้อนมโหฬารไงล่ะ”หล่อนประชด “และบอร์ดบริหารทั้งหลายก็กลัวว่าจะทำให้บรรดาผู้ถือหุ้นไม่พอใจ”

“ก็ อาจเป็นไปได้” เขาก็ไม่หลบขยับเข้าใกล้หล่อนอีกก้าว “เอาละนะ ตาผมบ้าง... คุณสงสัยว่าเรื่องนี้มันผิดปกติตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ตั้งแต่ตอนที่คุณเขาตายนั่นละ”

“อะไรล่ะ เกิดอะไรขึ้นแล้วทำไมคุณถึงไม่บอกใครๆ” เขาต้องถาม เพื่อให้กระจ่าง

หล่อนหน้านิ่ง “ฉันไม่รู้จะไว้ใจใครได้”

“งั้นก็ไว้ใจผมสิลดา”

หญิงสาวมองเขาอย่างกังขาจากนั้นก็พยักหน้า “ฉันคงไม่มีทางเลือกมากนักหรอกในตอนนี้ จริงไหม”

แล้วไอลดาก็พยักชวนให้ชายหนุ่มนั่งคุยกันดีๆ“นั่งสิคะ และอย่ามาสอบสวนฉัน” หล่อนเตือน“ฉันจะบอก จะพูดความจริงกับคุณเอง”

“ได้” เขารับคำ“ต้องเริ่มตั้งแต่แรกเลยนะ”

“จุดแรกคือจุดจบค่ะรุต” หล่อนบอกเขาหลังจากนั่งลงบนโซฟาตัวยาวตรงมุมหนึ่ง“คืนที่คุณวิลาศเสียชีวิต ไม่มีวี่แววอะไรเลยที่บอกว่าเขาจะตาย ไม่มีอาการ ไม่มีพิรุธ ไม่มีเงื่อนงำอะไรทั้งสิ้นก็จริงหรอกที่เขาห่วงเรื่องการถูกลอบทำร้าย เราก็เห็นๆ เรื่องกระจกกันกระสุนแต่มันก็เป็นธรรมดาของคนมีเงินระดับนี้ นั่นทำให้ฉันไม่คิดว่าความระแวงแบบนั้นคือสัญญาณบอกเหตุว่า เขาจะตาย”

“แล้วอะไรล่ะที่คุณคิดว่ามันพอจะเป็นสัญญาณได้” มารุตพยายามรักษาน้ำเสียงให้ดูเป็นการคุยกันฉันเพื่อน

“คำพูดสุดท้ายของเขาค่ะ” เสียงหล่อนเบาลงมีความนัยบางอย่างเจือปนอยู่

“ลดาคุณต้องบอกผมทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคืนนั้น”

หล่อนยืดตัวขึ้น ระบายลมหายใจยืดยาว “ก็...แค่นั้นละค่ะ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เป็นหัวค่ำที่ปกติที่สุด คุณวิลาศไม่ได้ทำงานต่อเราไม่ได้ไปออกงานสังคมที่ไหน ป้าแม้นลางานไปหาหลานสาว ฉันทำมื้อเย็นเราดื่มไวน์นิดหน่อย ดูทีวี มันปกติที่สุดจริงๆ นะรุตเราดูรายการสารคดีตามล่าสัตว์ประหลาด แล้วก็สรุปข่าว”

“แล้วคุณเข้านอนตอนไหน”

“ฉันดื่มนม แล้วขึ้นชั้นบนตอนห้าทุ่ม”

“คุณวิลาศล่ะ”

หล่อนเม้มปาก “ฉัน...คิดว่า เขาลงไปที่เรือนะคะ”

เขารอให้หญิงสาวอธิบายรายละเอียด

“ตอนนั้นฉันกำลังอาบน้ำ ตอนที่เขาบอกประเดี๋ยวจะกลับมา ฉันค่อนข้างแน่ใจ เขาบอกว่าจะไปที่เรือ คือคืนก่อนหน้านั้นเขากับพี่นะวางแผนจะออกทะเล ไปตกปลากันตั้งแต่เช้ามืดนั่นละทำให้ฉันคิดว่าเขาคงไปที่เรือ อาจไปวางแผนหรือตรวจสอบอุปกรณ์ตกปลาดูพยากรณ์อากาศ หรืออะไรๆ ที่เกี่ยวกับวันรุ่งขึ้น”

“เขาไปนานแค่ไหน” มารุตยังซักต่อ

หล่อนนิ่งนึกอยู่ครู่หนึ่ง “คงราวครึ่งชั่วโมงไม่เกินหนึ่งชั่วโมงค่ะ”

“แล้วคุณหลับหรือยังตอนที่เขากลับเข้ามา”

ไอลดาส่ายหน้า “นมอุ่นๆทำให้ฉันง่วง”

“คุณวิลาศดื่มด้วยไหม”

“ไม่ เขาเกลียดนม”

“แล้วเขาดื่มไวน์เพิ่มหรือเปล่า”มารุตโน้มตัวเข้ามา จากโซฟาเดี่ยวตัวตรงข้าม “เขาดื่มจนหมดขวดเลยไหม”

“ไม่ค่ะ คุณวิลาศไม่ใช่คนดื่มจัด”

“งั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หลังจากนั้น”

หล่อนถอนหายใจ ยกเข่าตัวเองขึ้นโอบกอด “อีกสักประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมาเขาลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ ฉันไม่ยินอะไรอื่น ไม่ได้ลืมตาขึ้นมองแต่ได้ยินเสียงน้ำไหล จากการกดชักโครก หรืออ่างล้างหน้าก็ไม่แน่ใจจากนั้นฉันก็รู้ว่า เขากลับมาอยู่บนเตียง เริ่มครวญครางและจับฉันไว้แน่น”

“เขาบอกว่าอะไรบ้าง”

“เขาบอกว่า...” หล่อนมองหน้าเขาความเจ็บปวดปรากฏชัดอยู่ในสายตาหล่อน “เขาบอกว่า แม่หนูน้อย...เขาเรียกฉันอย่างนั้น นี่ไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นผม...”

“ที่ว่าไม่ได้ตั้งใจ คืออะไรมารุตต้องถาม

“ฉันไม่รู้ ตอนนั้นกำลังเคลิ้มๆจะหลับอยู่แล้ว ฉันก็งงๆ ขยับตัวจะเอื้อมเปิดไฟ แต่เขาห้ามไว้ เขาจับแขนฉันแน่นมือทั้งเย็นทั้งสั่น” น้ำเสียงไอลดาแตกพร่า มารุตเห็นหล่อนกลืนน้ำลาย“แล้ว... เขาก็บอกให้ฉันระวังตัว”

คนเล่าน้ำตารื้นคลอหน่วยตาหล่อนรีบปาดมันทิ้ง “เขาบอกว่า... ฉันจะประมาทไม่ได้แล้วจากนั้นก็บอกอีกว่า นี่มันไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นผม... แล้ว... แล้วเขาก็ขาดใจ”

น้ำตายังไม่เหือดแห้งดวงตาของไอลดาเป็นประกายวับ อย่างที่หญิงสาวพยายามกลั้นไว้เต็มที่

ที่เห็นนี้แสดงว่าหล่อนรักนายวิลาศการได้รับรู้เรื่องนี้กระทบความรู้สึกของมารุต จนเขาต้องผุดลุกขึ้นยืน “มันก็แปลได้หลายความหมาย”เขาบอกเสียงต่ำ “เช่น... เขาตายเร็วเกินไปหรือยังไม่ควรจะตาย เป็นไปได้ทั้งสองอย่าง”

“ฉันก็คิดอย่างนั้น” หล่อนยอมรับเหยียดขาจากท่ากอดเข่า “นั่นละ ที่เขาบอก ทำให้ฉันไว้วางใจใครไม่ได้”

มารุตเดินตัดห้องไปที่เฉลียงจากนั้นก็หันกลับมามองหล่อน “ทำไมคุณไม่บอกตำรวจทำไมคุณไม่ทำอะไรเลย”

ไอลดาดึงเสื้อคลุมปิดท่อนขาที่เปลือยเปล่า“ก็เพราะผลการชันสูตรศพบอกว่าเขาตายเพราะเส้นเลือดอุดตัน ประมาณว่าลิ่มเลือดมันแข็งตัว และไม่มีอะไรอื่นหรือการกระทำใดๆ ที่ไปขัดขวาง หรือทำให้เส้นเลือดหัวใจอุดตันหมอเลยยืนยันว่ามันเป็นสาเหตุจากธรรมชาติ”

“คุณคิดไหมว่าควรจะมีการชันสูตรอีกครั้ง”

หญิงสาวสายหน้า “สองอาทิตย์แรกฉันมืดแปดด้านไปหมดค่ะยังช็อคอยู่ บิณฑ์ก็เป็นบ้าเป็นบอไปเลย สาปแช่งฉันทุกวันกล่าวหาว่า ฆ่าพ่อเขาแค่พยายามไม่รับรู้เรื่องนั้นก็แย่แล้ว ก็ทำไปตามที่เขาเคยสั่งเอาไว้ฉันไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้จนถึงเมื่อกลางเดือนที่แล้ว”

เขารีรอคิดว่าควรจะให้ข้อมูลอะไรเพิ่มกับหล่อนบ้าง

“ผม...เพิ่งรู้ว่าหมอคนที่ชันสูตรศพคุณวิลาศ หายตัวไป”

“อะไรนะ หมอคนที่ชันสูตร...คุณหมอฮองคุนน่ะเหรอ”

คนฟังขมวดคิ้ว “เขาชื่ออะไรนะ”

“ฮองคุณ เป็นลูกครึ่งเกาหลีคุณแม่เป็นคนไทยค่ะ”

“ลูกครึ่งเกาหลี...” เขาคิดถึงคำสัญญาที่ให้ไว้กับแดน“งั้น... เพื่อนผมอาจจะหาตัวเขาในโซลได้ยากกว่าที่ผมคิดไว้ซะแล้วละ”

“คุณหมายความว่าไง”

มารุตอธิบายคร่าวๆ ให้หล่อนฟังว่านายแพทย์ผู้นั้นหายออกจากประเทศไป และตนขอให้แดนตามหาตัวให้พบ

“ฉันมีสำเนาผลการชันสูตรนะคะ” หล่อนบอก“ถ้าให้คุณดูแล้วจะมีประโยชน์อะไรบ้างไหม”

เขาพยักหน้า “และช่วยทำรายชื่อของคนที่อาจจะต้องการให้สามีคุณตาย”

“ฉันพยายามแล้วแต่ก็คิดไม่ออกว่าเป็นใครจริงๆ ฉันจะเอามาให้ดู”

อีกฝ่ายเลิกคิ้ว อย่างอยากรู้อยากเห็นจนไอลดาต้องเสริมว่า

“ฉันแอบตรวจสอบประวัติกรรมการบอร์ดทุกคนค่ะอ่านแฟ้มประวัติส่วนบุคคล รวมทั้งอีเมล์ทั้งหลาย ที่ส่งมาและส่งไปจากคุณวิลาศฉันไม่ต้องการนักสืบเพราะไม่อยากไขว้เขวจากความคิดเห็นของคนอื่น และก็แน่ละว่ายิ่งค้นหาเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งเสี่ยงมากขึ้นเท่านั้น”

“นั่นคือเหตุผลที่คุณจ้างบอดี้การ์ด”

“ใช่ค่ะความเพี้ยนและปากพล่อยของบิณฑ์ทำให้ฉันได้ข้ออ้างอย่างดี ได้จ้างคนมาคุ้มครองขณะที่ฉันพยายามไขปริศนาเรื่องนี้ด้วยตัวเอง แต่ฉันมั่นใจจริงๆนะคะว่าไม่ใช่ฝีมือบิณฑ์”

ดูเหมือนมารุตจะเห็นด้วยกับเรื่องนั้นเขาบอกว่า

“มีใครสักคนรู้ว่า คุณกำลังทำอะไรอยู่”ชายหนุ่มทรุดตัวหน้าหล่อน วางมือบนต้นขา “คุณก็รู้ดีใช่มั้ย ใครก็ตามที่ขับรถเฉี่ยวคุณนั่น หรือยิงคุณที่ห้องพักริมน้ำหรือทำร้ายคุณที่สปา... เขารู้ว่าคุณทำอะไรอยู่ที่ไหน”

หล่อนพยักหน้าช้าๆ “ฉันต้องสืบหามันให้เจอค่ะรุต”

“ไม่ใช่...” เขาแก้คำพูดนั้น “...เรา เป็นเราต่างหาก”

“ทำไมคุณไม่ใส่ต่างหูบุลการีล่ะทูนหัว”มานะยกเรือนผมที่ดัดย้อมไว้อย่างประณีตของบลารีขึ้นเพื่อมองติ่งหูที่ว่างเปล่าของภรรยา

หล่อนลูบผมตัวเองเบาๆ สูดหายใจลึกพอจะล้วงสองถันที่อร้าอร่ามนั่น ให้ร่องอกแนบชิด และคล้ายขนาดจะใหญ่ตึงเต่งขึ้นอีกสักหนึ่งนิ้ว

“ฉันคิดว่าของขวัญอื่นๆ ที่คุณซื้อให้อย่างชั้นในตัวนี้ หรือเดรสลายดอกไม้สีทองระยับนี่จะดึงความสนใจไม่ให้คุณสังเกตเห็นแล้วซะอีก”

สายตาของชายชราเลื่อนลงไปยังทรวงอกกลมกลึงมันเป็นประกายด้วยเกล็ดสีทอง “นั่นมันเพชรนะทูนหัว ข้างละห้ากะรัตเชียวนะ”

“ใจเย็นสิคะป๋า ฉันเก็บไว้ในเซฟหรอกค่ะ”

“เซฟที่ไหน”

บราลีหยิบชุดคลุมผ้าไหมและกระเป๋าเล็กออกจากกระเป๋าถือออกงาน พลาดทำลิปสติกแท่งหนึ่งหล่นกลิ้งหล่อนสบถก่อนก้มลงเก็บ

“ฉันบอกไปแล้วไงคะว่าบาตี้ช่วยเก็บไว้ให้ในเซฟ ที่สปาของเขา ที่ฮิลตันแกรนด์”

“นั่นผมรู้ ว่าคุณบอกผมแล้ว” เขาพยายามระงับความโกรธพร้อมทั้งจับการโกหกจากสีหน้าหล่อน “แต่ตอนที่ผมโทร.หาคุณคุณบอกว่ากำลังเดินทางไปเอา”

สาวร่างเล็กถอนหายใจ “ก็มีเรื่องอื่นน่ะค่ะวุ่นๆ ทำให้ฉันลืมไปเลย... เอาน่ะ ไปกันเถอะนะคะป๋า”

มานะตามหล่อนออกจากห้องนอนหยุดหน้ากระจกเพื่อตรวจความเรียบร้อยของชุดสูทตนเอง เขายืดไหล่ตรงพึงพอใจกับสง่าราศีของตัวเอง ขยับปกเสื้อเล็กน้อยทำให้โรเล็กซ์เรือนทองฝังเพชรสะท้อนประกายวิบวับเข้าตาจะขัดใจก็ต้องศีรษะล้านเลี่ยนนั่นละ

“อะไรที่ว่าวุ่นๆถึงลืมของสำคัญขนาดนั้น”

แววตาบราลีคล้ายรวดร้าวขึ้นมาได้ฉับพลันหล่อนเอ่ยเสียงเครือว่า “มัน...แบบว่า มันเลวร้ายมากเลยค่ะป๋ามีใครคนหนึ่งบุกเข้าไปในห้องนวดของลดา และ...”

“และอะไร” มานะหยุดเดินหันมาแทรกถามด้วยความใจร้อน “เกิดอะไรขึ้นกับเธอ”

“เราก็ยังไม่รู้อะไรค่ะแต่มีคนทำร้ายลดา”

“อะไรนะ!” เขาลองคิดถึงเหตุผลที่จะมีใครสักคนเดินเข้าไปในห้องแล้วทำร้ายลูกค้าในสปาหรูแห่งนั้นได้ง่ายๆ “แล้วลดาบาดเจ็บมาไหม”

“ก็ไม่เท่าไหร่ คิดว่าคงกลัวมากกว่าน่าสงสารลดานะคะป๋า” แต่แล้วหล่อนก็คว้าแขนเสื้อสามีชรา “เร็วๆเถอะ เราช้ามากแล้วละ”

“นายบิณฑ์...” มานะยังไม่วายครุ่นคิดขณะเดินมากับศรีภรรยา

บราลีเปิดประตูหน้าพยักหน้าให้คนขับลีมูซีน ที่ลงทุนเช่ามาเพื่อความมีหน้ามีตาในการนี้ “ขอโทษทีค่ะช้าไปหน่อย เครื่องดื่มพร้อมไหมคะ”

“พร้อมครับผม” คนขับตอบสุภาพวิ่งอ้อมมาเปิดประตูหลังให้หล่อน

มานะตามภรรยาเข้านั่งเบาะหลังของรถก่อนจะถอดสูทออก หล่อนก็ยื่นวิสกี้ให้เขาแก้วหนึ่ง ส่วนตัวเองมีแชมเปญเย็นฉ่ำ

“อาจจะเป็นบิณฑ์ก็ได้ค่ะ” หล่อนสานต่อบทสนทนากับสามีในที่สุด“พยายามทำให้ลดายอมยกบ้านหลังนั้นให้กับเขา”

“แต่มันเป็นวิธีโง่ๆ!” มานะโวยเสียงต่ำ

“ก็บิณฑ์เขาโง่อยู่แล้วนี่” บราลียักไหล่จากนั้นยื่นแก้วให้ “เพื่อเราสองคนนะคะป๋า... พี่นะ...สุดที่รักของลี่” หล่อนชนแก้วกับสามีและดื่มอึกใหญ่ “ดื่มกันซะก่อนเราไม่รู้หรอกว่ารสชาติเครื่องดื่มที่งานเปิดตัวศิลปะบ้าบอนั่น จะห่วยบรมขนาดไหน”

ชายชราจิบวิสกี้ และบราลีก็มาซุกอยู่ข้างกายเลื่อนมือไปที่หว่างขาเพื่อลูบไล้กล่องดวงใจของเขา “อยากให้ฉันช่วยคุณผ่อนคลายไหมคะ...ที่รัก”

มานะก็ตื่นเต้นฝืนทำใจเย็นรอให้ความเป็นชายของเขาตื่นตัวจากการสัมผัสนั้น แต่มันไม่ฟื้นเขารู้สึกว่าตัวเองแก่เกินไปแล้ว เป็นชายแก่หัวล้านที่กำลังตกที่นั่งลำบาก

คนถูกปลุกเร้าจิบเหล้าอีกครั้งพิงศีรษะไปข้างหลังขณะที่บราลีเลื่อนมือขึ้นลง

ส่วนนั้นแข็งขันขึ้นเพียงเล็กน้อยแต่นั่นก็ทำให้เขาระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่แล้ว... ความรู้สึกเจ็บแปลบก็เริ่มขึ้นเหมือนมีเข็มสักพันเล่มทิ่มแทงในขมับ

“ระยำจริง!” เขาบ่นพึมพำดื่มวิสกี้รวดเดียวหมดแก้ว หวังให้มันช่วยบรรเทาอาการ

“มีอะไรหรือคะป๋า” บราลีถามนิ้วของหล่อนหยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง “ปวดหัวอีกแล้วหรือ”

คนถูกถามแค่ครางออกมาเขาทนความปวดหัวได้ แต่ที่เป็นปัญหา มันตามมาหลังจากนั้น เป็นส่วนที่น่ากลัว

“ใจเย็นๆ นะคะ ดื่มอีกนิด ค่อยๆดื่มแล้วจะดีขึ้นไม่ใช่หรือ” หล่อนรูดซิปกางเกงสอดมือเข้าไปในชั้นในของเขา “ทำตัวสบายๆ อย่าคิดอะไรปล่อยให้ลี่บริการคุณเอง... นะคะ”

มานะรินแก้วใหม่ ดื่มเข้าไปอีกอึกใหญ่น้ำแข็งสัมผัสริมฝีปาก ขณะวิสกี้รสแรงส่งความผ่าวร้อน ผ่านล่วงลำคอ

ความไม่สบายใจมันคล้ายแบบที่มีลูกกลมๆหนักๆ ดำทะมึนกลิ้งอยู่ในช่องท้อง จากนั้นก็ขยายใหญ่จนครอบคลุมทั้งตัวเขาเอาไว้เขาไม่ควร... ไม่ควรทำอะไรทั้งสิ้น ไม่ควรให้บราลีบริการไม่ควรไปงานแสดงศิลป์หรืองานการกุศลใดๆ ทั้งสิ้น

เขาควรจะอยู่บ้าน คิดวิธีเอาตัวรอดจากการกำลังตกที่นั่งลำบาก ลำบากแบบสุดๆ

ชายชราพยายามข่มตาลงขณะเข็มที่ฝังในขมับก็จมลึกเข้าไป ด้านหลังของลูกนัยน์ตาคล้ายกำลังสั่นระริกเขาภาวนาในใจ ค่อยลืมตาช้าๆ... ด้วยความหวังริบหรี่เพราะมันเคยเป็นมาแล้วหลายครั้ง...

ระยำจริงๆ

นิ้วที่ฉ่ำชื้นของบราลีเลื่อนไปตามลำเนื้ออ่อนปวกเปียก“มาสิคะ ที่รัก” หล่อนคล้ายอ้อนวอนกับเจ้าสิ่งที่อยู่ในกำมือ“คุณชอบแบบนี้ไม่ใช่หรือ” คราวนี้แกล้งก้มลงไปปล่อยลมหายใจอุ่นให้ผ่าวรด

มานะดื่มอึกใหญ่อีกครั้งพร้อมแยกเข่าออกให้กว้างขึ้นอีก

ใช่แน่ละ...เขาชอบสิ่งที่บราลีจะบริการให้จริงๆ เพราะนั่นคือสิ่งที่หล่อนทำได้ดีที่สุด นั่นคือสาเหตุที่เขาแต่งงานกับหล่อนคือหล่อนบริการได้ดียิ่งกว่ามืออาชีพ ที่ต้องซื้อหาด้วยราคาสูงลิบการแต่งงานกับบราลี ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า

เขาข่มตาปิดลงภาวนาให้น้องชายของตัวเองมีปฏิกิริยาตอบโต้ กับเรียวลิ้นที่เริ่มสะกิดแตะ แต่...ความรวดร้าวยิ่งแทงลึกเข้ามาที่หลังลูกนัยน์ตาทั้งสองข้าง หนักหน่วง...

จะมีผู้ชายสักกี่แบบที่ไม่สามารถจะแข็งขัน เพื่อร่วมรักสักเพียงชั่วสองสามนาทีขณะที่ภรรยากำลังเร่าร้อนเหลือล้น เขาคงเป็นหนึ่งในจำนวนน้อยนิดนั้นกระมัง

หล่อนเร่งรูดมือขึ้นลง เมื่อฝืดนักก็ใช้น้ำลายช่วยเร่งและผ่อนจังหวะอย่างชำนาญด้วยความหวังเพียงอย่างเดียว

แล้วมานะก็รู้ซึ้ง หนึ่งในจำนวนไม่มากซึ่งมีเขารวมอยู่ด้วย ที่ไม่สามารถแข็งขันร่วมหลับนอนกับใครๆ ได้ก็คือพวกที่มีชนักปักหลัก มีความผิดติดตัว ตกอยู่ในสถานการณ์จนตรอกนั่นเอง

หล่อนครอบริมฝีปากลงไปอย่างหมดหนทางจะปลุกเร้าด้วยอื่นใด แต่เขาดันหญิงสาวออก

“อย่าเพิ่ง... อย่าเพิ่งเลยนะทูนหัว”

หล่อนเงยมองเขาด้วยอารมณ์สารพันแต่แล้วก็ทอดเสียงอ่อนโยนบอกว่า “ลี่ตามใจคุณเสมออยู่แล้วละค่ะ”

ความมืดเข้าครอบคลุมการมองเห็นของเขาหมดแล้ว“เดี๋ยว... เดี๋ยวก่อนนะ” เขาพึมพำถ้อยคำของหญิงสาว ภรรยาสาวกระหายเซ็กซ์ของเขา หล่อนพูดจริงใช่ไหม...

ใช่ซี... ใช่อยู่แล้วหล่อนไม่เคยปฏิเสธในทุกสิ่งที่เขาต้องการ

เขาเริ่มคิดแผนการ...ก็แค่เมียคนเดียว... ผู้หญิง... ก็แค่ผู้หญิงคนเดียว

“แล้วนายบอดี้การ์ดนั่นไปอยู่ซะที่ไหนตอนที่ลดาถูกทำร้าย”

เขาถามออกไปทำให้บราลียืดตัวกลับในท่าทางปกติ บรรจงคืนน้องชายเขากลับเข้ากางเกงชั้นใน

“ในที่ประชุมบอร์ดบริหารเมื่อเช้าเขาไม่เคยอยู่ห่างลดาเกินสองสามเมตร แสดงว่าต้องประกบติด แล้วจะมีใครกล้าแหย่หนวดเสือ”

บราลียักไหล่ “ลดาหนีค่ะหลบขึ้นไปหาบาตี้โดยไม่บอกเขา”

มานะจิบวิสกี้อีกครั้ง ช้าๆอย่างครุ่นคิด ค่อยดื่มจนหมด ขณะภาพพร่าพรายภายในรถลีมูซีนหรี่แสงลงเรื่อยๆ

เขารู้ดี...มันคือภาวะการมองเห็นของตัวเองต่างหาก ที่กำลังดับมืด หรือว่าคือกรรมตามทันหรือว่านี้คือการชดใช้กรรม ที่เขาเคยได้ก่อเอาไว้

มันคือเวรกรรมที่เขาไม่อาจจะหลบเลี่ยงได้อีกต่อไปอย่างนั้นหรือ

“เป็นอะไรไปคะป๋า...ยังสบายดีอยู่หรือเปล่าคะ”

ไม่... เขาป่วย แบบสาหัสเสียด้วย

แต่จะให้บอกภรรยาผู้เป็นเครื่องประดับบารมีแสนสวยได้อย่างไรว่าโลกที่หล่อนได้บรรจงสร้างขึ้นมาด้วยไหวพริบด้วยรูปร่างราวนางแบบปกนิตยสารปลุกใจชายและโลกที่หล่อนสร้างขึ้นมาด้วยปลายลิ้นตวัดรัวชวนฝันของหล่อนนั่น กำลังจะถึงจุดจบ

เขาจะบอกหล่อนได้อย่างไรว่าเขากำลังตกอยู่ในตาร้าย

เขาจะบอกหล่อนได้อย่างไรว่าเขากำลังจะตาบอด...

******************





Create Date : 17 มิถุนายน 2559
Last Update : 17 มิถุนายน 2559 10:57:13 น.
Counter : 598 Pageviews.

2 comment
นิยาย:บอดี้การ์ดสยบรัก:บทที่08:ใครกันแน่?


(อ่านง่ายสบายตากว่าตามลิงค์นี้คัรบ //writer.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=1483450  )

  บทที่แปด
ใครกันแน่


“นี่คุณ! เป็นบอดี้การ์ดบ้าบออะไรเนี่ย! ทำไมไม่อยู่ในนี้กับเธอ!”

ไอลดายิ่งเจ็บจี๊ดไปทั้งหัว เมื่อได้ยินเสียงแหลมสูงนี้...

หรือว่าเป็นเสียงของบราลี?

เวลาโกรธ เสียงยิ่งแหลมยิ่งสูงนั่น เป็นเครื่องวัดว่า หล่อนกำลังโกรธาถึงขนาดไหน

เพื่อนสนิทของหล่อน... ตวาดใส่... มารุต

หญิงสาวพยายามเปล่งเสียงออกมา พยายามลืมตา มองเห็นเงาร่างใหญ่ๆ ของชายคนหนึ่งตรงหน้า ภาพนั้นพร่าเลือน แต่ยังดูรู้ว่าเป็นใคร

มารุตก้มตัวอยู่เหนือหล่อน ประคองเอาไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง อีกข้างกันบราลีเอาไว้

“ถอยไป!” เขาสั่ง “เธอฟื้นแล้ว” น้ำเสียงยังมั่นคง จดจ่อกับไอดลาเพียงเท่านั้น

คนเจ็บครางออกมาเพราะ ความเจ็บปวดนั่น คล้ายวิ่งวนไปทั่วหัวกะโหลกศีรษะ

“ลดา!” บราลีถลาเข้ามาหาเพื่อน ไม่เกรงกลัวคำห้ามปรามของมารุต “คุณพระคุณเจ้า! ฉันนึกว่าเธอจะเป็นอะไรไปแล้ว”

“ฉะ...ฉันก็ คิดงั้น...” ไอลดาฝืนใจบอก ได้ยินเสียงตัวเองเหมือนดังอยู่ไกลๆ

มือใหญ่จับหัวไหล่หล่อนไว้อย่างมั่นคง “คุณไม่เป็นไรนะที่รัก” เขากระซิบถาม

คนยังนอนนิ่ง พยักหน้า ตรงก้านคอยิ่งรู้สึกรวดร้าว

“หายใจเข้า...” เขาสั่ง “ช้าๆ ลึกๆ สูดออกซิเจนเข้าไปช้าๆ”

คนรับคำสั่งพยายามเต็มที่ และได้กลิ่นฉุนแทบสุดทนของแอมโมเนียหอม

กลิ่นฉุนปานเยี่ยวอูฐนั้นเองที่ทำให้หล่อนฟื้น

“ฉัน... กำลังนวด...” ไอลดาพึมพำ พร้อมพยายามลุกขึ้นนั่ง ความเจ็บจี๊ดๆ ที่หัว คือคล้ายเพิ่งถูกขวานจาม แล้วค้างคมเอาไว้ คากะโหลกศีรษะ

มีคนทำร้ายหล่อน

“ค่อยๆ นะ ช้าๆ” มารุตประคองหญิงสาวกลับลงนอน

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น!” แต่บราลียังคาดคั้น “ฉันเข้ามาถึงนี่ จะคุยกับเธอ แต่เธอสลบไสลไม่ได้สติ ปลุกก็ไม่ตื่น หรือว่าเป็นลม บาตี้บอกว่าให้เธอรอประเดี๋ยวเดียว แล้วฉันก็...”

มารุตปรามเพื่อนสนิทของไอลดาด้วยการแตะที่ข้อมือ  “ให้เวลาเพื่อนหน่อยเถอะ เดี๋ยวก็จำได้เอง”

แม้กระทั่งแสงอ่อนนวลภายในห้องเวลานี้ ยังทำให้หล่อนแสบตา คนถูกทำร้ายหลับตาลงอีกครั้ง นึกขอบคุณชายหนุ่มที่ช่วยสงบเสียงของบราลีลงได้

“เจ็บไปหมด... ทั้งหัวเลย”

“ฉันจะเรียกรถพยาบาลละนะ” บราลีหยิบโทรศัพท์มือถือ

“ไม่ต้อง...” คนเจ็บร้องห้าม พยายามยันตัวขึ้นอีกครั้ง ทำให้มารุตต้องช่วยประคอง

หญิงสาวหรี่ตาเพ่งมอง เขายังคงจดจ้องอยู่ ได้เห็นความห่วงใยและความรู้สึกอะไรอีกอย่างในแววตานั้น หรือว่าโกรธ เขาโกรธหล่อนที่เดินจากมา โดยไม่บอกว่าจะไปอยู่ตรงไหนงั้นหรือ

หรือเป็นความรู้สึกผิด ที่ไม่อาจอยู่คุ้มกัน ตอนหล่อนถูกทำร้าย

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่” บลารียังไม่ยอมเลิกรา

“บาตี้ออกไปข้างนอก...” ไอลดาจำใจอธิบาย ทั้งที่ยังรู้สึกมึนงง “...ฉันสลบไปนานขนาดไหน...”

“ผมไม่รู้” เขาตอบเรียบๆ

“ฉันเห็นบาตี้อยู่ข้างล่างเมื่อสิบนาทีก่อน” เพื่อนหล่อนบอก พลางขยับเข้ามาจนชิด “เขาบอกเธออยู่บนนี้ ห้องหมายเลขสี่ เขาต้องเคลียร์กับลูกค้าขี้วีนคนหนึ่ง ให้เธอรอบนนี้ พอมาถึงนี่ ก็เห็นเธอสลบอยู่ไงล่ะ” เสียงหญิงสาวเครือลง เมื่อกุมมือเพื่อน

“ฉันไม่เห็นว่าใครเข้ามาทำร้าย” ไอลดาสบตาเพื่อน แล้วหันไปมองชายหนุ่ม “มีคนเข้ามาค่ะ กดฉันเอาไว้ แล้วก็ฟาดลงมา”

“อะไรนะ!” บราลีเสียงสูง ทำท่าประหลาดใจหนัก แล้วรีบหันไปทางโต๊ะแต่งตัว “บรรดาสร้อยแหวนนาฬิกา ยังอยู่ไหมเนี่ย”

ไอลดาดึงผ้าขึ้นมาปิดหน้าอก ตอนหยัดตัวขึ้นตรง “คงไม่เกี่ยวกับการปล้นชิงอะไร มันขึ้นมานั่งทับฉันทั้งตัวและ...”

“นั่งทับเลยเรอะ” มารุตถามเสียงเข้มจัด

“ก็ มีบางอย่างนะคะ แข็งแรงและมีกำลังมหาศาล มันกดฉันให้คว่ำเอาไว้” หล่อนนึกย้อนถึงเหตุการณ์ รวมทั้งน้ำหนักที่ราวกับแผ่นคอนกรีตที่กดทับลงมา

มารุตก้มไปที่พื้นหยิบแผ่นยางแข็งสีฟ้าขนาดใหญ่กว่าหมอนอิงขึ้นมา “นี่หรือเปล่าที่ทำให้คุณรู้สึกเหมือนมีใครมานั่งทับ กดหลังคุณ”

ไอลดานึกถึงแรงกดนั้นอีกครั้ง แรงกด... ผิวสัมผัสแบนๆ... ของแผ่นนวดฝ่าเท้า

“ใช่... แต่จากนั้น...” หล่อนขยับมือขึ้นมาคลำท้ายทอย สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อพบว่ามันปูดโปนออกมาอย่างน่ากลัว “ฉันถูกทุบ”

มารุตแตะจุดที่อยู่ใต้เรือนผมนั่น หล่อนสะดุ้งอย่างเจ็บปวด “นี่มัน... ตั้งใจตีท้ายทอย” เขาเอ่ยเสียงต่ำอย่างเคืองแค้น “ตีได้ถูกจุด มันต้องเตรียมการมาแน่ๆ”

“พุดโถเอ๋ย! ลดา” บราลีโอดครวญ “เราจะพาเธอไปจากที่นี่ เธอต้องไปโรงพยาบาล”

“ไม่ต้อง...” ไอลดายืนกราน “ฉันไหว ไม่เป็นไรหรอกลี่ ฉันแค่อยากรู้ว่าใคร และทำไม”

เพื่อนสนิทสูดลมหายใจเข้า หันมองหน้ามารุต “คุณคิดว่า...” แล้วสาวไซด์เล็กก็ปรายตามาที่เรือนร่างกึ่งเปลือยของคนเจ็บ “มันล่วงเกินเธอหรือเปล่า”

“ไม่” ไอลดาไม่รู้หรอกว่าตัวเองรู้ได้อย่างไร แต่หล่อนมั่นใจ คนที่เข้ามาทำร้ายแค่ต้องการทำให้กลัว เพื่อหยุดยั้งหล่อน รู้ดีว่าเพราะอะไรและทำไม แต่... ไม่รู้ว่าเป็นใคร

“มีใครรู้บ้างว่า คุณอยู่ในห้องนี้” มารุตถาม

“ไม่มีใครรู้เลยค่ะ จริงๆ นะ” หล่อนมองหน้าเขา “ฉัน... ไม่ได้คิดเรื่องขึ้นมาบนนี้ล่วงหน้าด้วยซ้ำ ที่รู้ก็มีแค่ฉันกับ...บาตี้”

“และฉันเพิ่งเห็นเขาข้างล่างนั่น” บราลีแทรกขึ้น “แล้ว... มันพูดอะไรกับเธอบ้างไหม”

“เขาบอกว่า... ไปซะ... ไม่ใช่ ไม่ใช่สิ เขาบอกให้อย่าดิ้น เลิกดิ้น หรืออะไรฉันไม่แน่ใจ... อ่อ... ใช่แล้ว... มีคำหนึ่งที่ฉันว่า แปลกๆ เขาบอก ให้วางมือ วางมือซะ”

ไม่งั้นจะต้องตาย...

“พุดโถ่พุดถัง! ใครมันถึงจิตใจชั่วร้ายโหดเหี้ยมอำมหิต...” บราลีสวมกอดเพื่อน “ฉันจะพาเธอไปส่งบ้าน จะได้ปลอดภัย”

“ผมจะไปส่งเอง” มารุตแก้ไขคำพูดของอีกฝ่าย “ระหว่างคุณแต่งตัวให้ลดา ผมจะสอบถามทุกคนในนี้ ห้ามใครออกจากสปา ทั้งพนักงานและลูกค้า”

“ขอให้ทำสำเร็จนะคะ” บราลีพูดพร้อมเหลือบมองบน “สปานี่มีทางเข้าออกเดียวก็จริง แต่มีตั้งสามชั้น เหมือนเมืองย่อมๆ เลยแหละ แถมห้องมีห้องพิเศษแบบเดียวกันนี้อีกนับไม่ถ้วน ไหนจะห้องฟิตเนส ซาวน่า อบไอน้ำ และพนักงานที่พูดอีกสารพัดภาษา ทั้งเขมรทั้งพม่าอีกเป็นร้อยคนละมั้ง”

“ผมจัดการได้” เขายืนยัน จ้องหน้าหล่อนเขม็ง

ไอลดาจับมือชายหนุ่มไว้ เขาจึงไม่พูดอะไรต่อ

“รุตคะ ตอนนั้นคุณอยู่ที่ไหน”

“ผมอยู่ที่ล็อบบี้ โทรศัพท์อยู่ แล้วก็พยายามหาตัวคุณ แต่ข้างล่างนั่น ไม่มีพนักงานคนไหนรู้เลยว่าคุณอยู่ที่ไหน” เขายืดตัวขึ้น เดินไปทางประตู ลองเลื่อนมันสองสามครั้ง ก่อนหันมองบราลี แล้วบอกหล่อนว่า “อย่าปล่อยเพื่อนคุณไว้คนเดียว” แล้วเขาก็ออกไปอย่างรวดเร็ว

เพื่อนสนิทตบแขนไอลดาเบาๆ  “หรือว่า... บางทีเธออาจต้องฟังเขาไว้บ้างนะ”

“ฟังเขา... ฟังเขาน่ะหรือ”

“ใช่... ใครก็ตามที่มาที่นี่ แล้วบอกให้เธอวางมือซะ”

แต่บราลีไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรหรือทำไม...

“จริงๆ นะลดา ฉันอยากให้เธอปลอดภัย” หล่อนหยุดนิดหนึ่งเหมือนกำลังปรับหัวใจตัวเองไม่ให้ฟูมฟายจนเกินไป “คือช่วงหลังๆ นี้ แม้กระทั่งการชอปปิ้งก็ไม่ปลอดภัยสำหรับเธอ เธอคิดว่าบิณฑ์ส่งพวกมือรับจ้างมารึเปล่า พวกอันธพาลน่ะ”

“ฉันไม่รู้” คนยังเจ็บตอบ สองมือช่วยยันตัวเองให้นั่งได้พอสบาย “แล้วเธอมาทำอะไรที่นี่ล่ะลี่ ฉันนึกว่าอยู่บนเรือยอชท์กับฤดีนาถ”

“มันร้อนเกินน่ะ น่าเบื่อด้วย พอบาตี้โทร. มา บอกฉันเรื่องเจอตุ้มหูเพชรที่ฉันทำหล่นไว้เมื่อวาน ฉันทั้งหวงทั้งห่วงมันน่ะ เธอก็รู้คู่ที่เป็นลูกเพชรเดี่ยวๆ นั่นไง ที่พี่นะซื้อมาให้ ของบุลการีนั่นไงล่ะ”

“โอ... ใช่...” ความทรงจำตอนที่คุยโทรศัพท์กับบราลีเมื่อเช้าย้อนกลับมา “นั่นคือที่เธอโทร. มาแต่เช้า เช้าผิดปกติ ใช่ไหมลี่”

แต่คนถูกถามยักไหล่ “ก็... หนึ่งในหลายๆ เรื่อง”

ตอนนี้ ความมึนทำให้เวียนหัวจนคล้ายจะอาเจียน ไอลดาทนฝืนความรู้สึกนั้น และคิดว่าคงต้องพูดกับเพื่อนที่หลัง “ช่วยเอาเสื้อผ้าให้หน่อยสิลี่”

คนถูกวานพยักหน้า เดินไปหยิบมาให้เพื่อน พึมพำกับตัวเองว่า “ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ทำไมต้องทำร้ายกันถึงขนาดนี้ และมาถึงที่นี่ แทนที่จะเป็นที่อื่น”

“ฉันก็ไม่รู้...” ไอลดาตอบคำเดิม พร้อมติดดุมเสื้อด้วยมือที่ยังสั่นเทา เท้าเปล่าเหยียบอะไรบางอย่าง ...น้ำ... พื้นเปียก แจกันล้ม กล้วยไม้ดอกเดี่ยวถูกเหยียบเละ

ใครก็ตามที่เข้ามาทำร้ายหล่อน... ก็... เป็นไปได้ว่าเป็นคนฆ่านายวิลาศ

ความคิดนั้นทำให้ไอลดายิ่งวิงเวียน

“ลี่... เธอแน่ใจเหรอว่า ไม่เห็นใครสวนทางออกไป”

“ไม่มีใครเลย” บราลีส่งเสื้อสูทตัวนอกให้ เมื่อมือได้แตะกันอีกครั้ง หล่อนก็จับมือไอลดาไว้แน่น “จริงๆ จะลดา ถ้าเป็นฉัน ฉันคงแทบบ้า มันต้องทำให้ฉันกลัวจนแทบเป็นแทบตาย”

“ก็... อย่างนั้นแหละ ฉันก็กลัว...”

แต่... ไอลดาบอกตัวเอง แต่ฉันไม่ได้กลัวถึงขนาดจะยอมถอย


“ถ้างั้นคุณก็คิดผิดแล้วละ กับเรื่องการเดินเล่นในสวนสาธารณะ ใช่ไหมล่ะ รุต”

มารุตไม่ชอบหรอกที่รัญญารู้จักเขาดีเหลือเกิน “ผมแค่โทร.มาถามว่ามีความคืบหน้าอะไรบ้าง ในการตรวจสอบภูมิหลังที่ผมขอมา และลายเซ็นที่ผมสแกนส่งมาให้ ไม่ต้องอบรมอะไรผมเพิ่มตอนนี้หรอกน่า”

ให้ตายเถอะ ใครบ้างจะรู้ว่า เขาอยากพักภาระการเป็นบอดี้การ์ดสักสิบนาที่ เพื่อทำงานสืบสวนสอบสวน

“ไรวัลกำลังช่วยเต็มที่ มีโน้ตบอกไว้ว่า กำลังสอบประวัติคุณนรินทร์ ที่ว่าไปคุมก่อสร้างยูมอลล์ที่มะนิลา ส่วนคุณอารีอะไรนั่น ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ เว้นแต่ว่าเคยถูกไต่สวนครั้งหนึ่ง กับเรื่องการซื้อขายหุ้นโดยใช้ข้อมูลวงในที่เป็นความลับ แต่พ้นข้อกล่าวหา มันเกิดขึ้นสองสามปีก่อนที่หล่อนจะเริ่มมาทำงานให้ณหทัยคอเปอเรชั่น”

“ครับ ขอบคุณมากครับบอสส์ ผมต้อง...”

“รอเดี๋ยวรุต”

เขาหลับตาลง ข่มเสียงคำรามด้วยความไม่พอใจเอาไว้

“ฉันเพิ่งได้ข้อมูลใหม่ สดๆ ร้อนๆ” รัญญาส่งเสียงมาอย่างจริงจัง

เขาขยับตัวมาให้ตรงกับช่องประตู เพื่อจะได้เห็นไอลดาชัดเจนจากระเบียงตรงนี้  ในห้องนั้น นายแพทย์คนหนึ่งยังคงนั่งอยู่ข้างเตียงหล่อน

“หมอคนที่ชันสูตรศพของนายวิลาศ ณ หทัย หายตัวไป” รัญญาบอก “เขาลาออกจากงาน เดินทางไปที่โซล เกาหลี...  สมานไมตรีคิดว่า มันต้องมีลับลมคมในอะไรอยู่แน่ๆ”

“แต่ถึงบริษัทประกันชีวิตนั่นจะสงสัย เพราะมันก็แปลกจริงๆ แต่ไม่ผิดกฎหมาย แล้วหมอคนนี้ก็เป็นแพยทย์ชันสูตรชำนาญการ ทำงานมาเป็นสิบๆ ปี อะไรที่ทำให้ทางนั้นคิดว่ามันไม่ชอบมาพากล หรือเกี่ยวข้องกับการตายของนายวิลาศล่ะครับ”

“ช่วงเวลาที่เดินทางน่ะสิ”

มารุตไตร่ตรองคำตอบที่ได้รับ “เรากำลังตรวจสอบอยู่ด้วยใช่ไหมครับ... ทางนายบิณฑ์ล่ะ”

“ตอนนี้ยังไม่มีใครว่างให้ช่วยอีกเลย ต้องอีกสักสัปดาห์ว่าจะเคลียร์คนมาช่วยเคสของคุณ ว่าแต่คุณเถอะรุต ไม่ได้ข้อมูลอะไรจากคุณไอลดาบ้างเลยหรือ”

“ไม่มีแรงจูงใจอะไรอื่น นอกจากเรื่องมรดกครับบอสส์ แต่...ก็อีกนั่นละ นี่เธอดูสองจิตสองใจกับเรื่องเงินอยู่ตลอด แบบที่ว่า... มันเป็นภาระมากกว่าจะเป็นโชค...”

“ไม่มีใครคิดสองจิตสองใจ หรือคิดว่ามันเป็นภาระหรอกรุต กับเงินเป็นพันล้านน่ะ”

“แต่...” ชายหนุ่มทอดเสียงอย่างมีเลศนัย “ผมเคยพบกับสุภาพสตรีคนหนึ่ง เธอเก่ง...” เขาหยุดอีกครั้ง หันมองยังบริเวณสระว่ายน้ำเบื้องล่าง “เธอเคยบอกผมว่า การเหมารวมด้วยความคิดของตัวเอง จะนำหายนะมาให้”

รัญญาหัวเราะเบาๆ เขาย้อนหล่อนด้วยคำพูดของหล่อนเอง หัวหน้างานของชายหนุ่มทำเป็นไม่สนใจ พูดต่อไปว่า “คือ... ไม่แน่ใจว่าเราเข้าใจตรงกันหรือเปล่านะรุต ที่ต้องการรู้คือทำไมคุณไอลดาจึงขอให้เผาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากมีการยื่นรายงานการชันสูตร ก่อนที่พยาธิแพทย์คนอื่นจะได้ยืนยันผลการชันสูตร โลงที่ตั้งบำเพ็ญกุศลนั่น... โลงเปล่าๆ”

“คงเพราะเขาตายด้วยโรคหัวใจ ไม่ใช่เพราะแผลถูกแทง เลยไม่จำเป็นต้องได้ความเห็นจากแพทย์ส่วนอื่นๆ มังครับ”

“คุณกำลังแก้ตัวแทน... แค่ถามไปงั้นเองนะ เพราะที่จริงมันคือความต้องการของคุณวิลาศ ไม่ต้องการให้งานศพเอิกเริก”

“เปล่า...” น้ำเสียงมารุตยังราบเรียบเป็นปกติ “ผมแค่พิจารณาจากทุกแง่มุม รวมทั้งที่ว่าใครคนหนึ่งพยายามทำร้ายเธอเพราะอะไร ที่สปานั่นผมไม่ได้เบาะแสอะไรเลย” เขาเหลือบเห็นแพทย์ผู้นั้นเปิดประตูห้องออกไปแล้ว “ไว้ผมโทร.หาใหม่ครับบอสส์”

เขาตัดสัญญาณโทรศัพท์ทันที เดินเร็วๆ จนทันกันที่กลางบันได

“คุณหมอสมิตครับ” เขาทัก ที่จริงสองคนเจอกันแล้วตอนนายแพทย์เข้ามา แต่อีกฝ่ายดูไม่ค่อยไว้วางใจชายหนุ่มเท่าไรนัก “เธอเป็นไงบ้างครับ”

“ก็ไม่จำเป็นต้องเอ๊กซเรย์...” นายแพทย์สมิตตอบ “แล้วจะหายเป็นปกติ แค่ให้พักผ่อนมากๆ อย่าเคลื่อนไหวหักโหม”

“สมองเธอกระทบกระเทือนหรือเปล่าครับ”

อีกฝ่ายส่ายหน้า “ไม่... ตอนนี้เธอนอนหงายได้แล้ว และนี่ก็ผ่านมาถึงห้าหกชั่วโมง สิ่งที่ควรจัดการให้คนป่วยคือ น้ำอุ่นๆ อาหารมื้อเบาๆ และการนอนหลับสนิท”

นายแพทย์พูดออกมา ราวกับรู้จักหญิงสาวมาเป็นอย่างดี จนมารุตอดสงสัยไม่ได้

“คุณหมอเคยรักษาเธอมาก่อนหรือครับ” เขาถามขณะเดินมาพร้อมกัน

“ใช่ รวมทั้งคุณวิลาศด้วย” น้ำเสียงนี้แฝงความภาคภูมิใจ มากพอจะทำให้คนฟังเข้าใจว่า การได้ดูแลสุขภาพของมหาเศรษฐีพันล้านนั้น มีเกียรติขนาดไหน

“ผมคิดว่าคนฐานะอย่างคุณวิลาศ น่าจะต้องตรวจสุขภาพเป็นประจำ และสม่ำเสมอ” มารุตให้ความเห็น

“ผมไม่ได้ดูแลเรื่องนั้นให้คุณวิลาศมาหลายปีแล้ว” นายแพทย์สมิตยอมรับ “แต่ผมก็เชื่อว่าสุขภาพเขาแข็งแรงดี การตายกะทันหันของคุณวิลาศทำให้ผมตกใจมากเหมือนกัน”

“อย่าน้อยเขาก็แข็งแรงมากพอที่จะอยากมีทายาท หรือสร้างครอบครัวใหม่อีกหน”

ทว่าคราวนี้นายแพทย์สมิตกลับหยุดเดิน หันมองตาชายหนุ่มตรงๆ  “ไม่นี่นา”

มารุตพยายามรักษาสีหน้าให้เป็นปกติ ถามว่า “หรือ เขาไม่พร้อมหรือครับ หรือมีอะไรผิดปกติ”

“ไม่มีอะไรผิดปกติหรอกคุณ เพียงแค่คุณวิลาศทำหมันไปเมื่อหลายปีก่อนโน้น”

ทำหมันหรือ? แสดงว่าไอลดาโกหก... หรือว่าหล่อนถูกหลอกมาอีกทอด

“ผม... เข้าใจละครับ” ชายหนุ่มตอบขณะเดินไปเปิดประตู “งั้นผมคงเข้าใจผิดไปเอง”

เมื่อนายแพทย์สมิตจากไป มารุตปิตประตูตามหลัง และมองไปรอบๆ บ้านของไอลดา

ในหัวมีแต่คำถาม และเขาต้องการคำตอบ

บางที... อาจต้องเรียกหาหน่วยสนับสนุน เพื่อให้ได้คำตอบที่ยากเย็นบางอย่าง...

***************







Create Date : 15 มิถุนายน 2559
Last Update : 15 มิถุนายน 2559 15:59:24 น.
Counter : 648 Pageviews.

4 comment
1  2  3  

SONG982
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]



สะอาด สงบ สว่าง

เจนนิเฟอร์Goodbye My Love [Live].mp3 - Jennifer Kim
All Blog