นิยาย:บอดี้การ์ดสยบรัก:บทที่07:จุดสุดยอดของความตาย


(อ่านง่ายสบายตากว่าตามลิงค์นี้คัรบ //writer.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=1483450  )






บทที่เจ็ด 
จุดสุดยอดของความตาย


มารุตไม่ได้มีปริญญาทางด้านบริหารธุรกิจ...

ให้ตายเถอะ! เขาได้ปริญญาทางด้านศิลปะศาสตร์แบบจวนเจียนจะไม่จบ จากมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของไทยก็จริง แต่เป็นเพราะทุนนักกีฬาโครงการช้างเผือก

แต่เขาก็เข้าใจเรื่องลูกไม้ทางธุรกิจ พอจะรู้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล ในกลุ่มเครือข่ายธุรกิจห้างสรรพสินค้ายูมอลล์ ในอาณาจักรกิจการของ ณหัทย คอเปอเรชั่น

หลังการแนะนำตัวเขากับผู้บริหารและผู้อำนวยการฝ่ายอีกสองสามคน เขาก็นั่งลงตรงมุมห้องประชุมใหญ่โตนั้น โดยไม่สนใจทิวทัศน์สวยงาม อันประกอบด้วยเวิ้งอ่าวตรงด้านหน้าและเนินเขาตรงด้านหลัง ที่สามารถเห็นได้รอบทิศทางจากตึกสูง ซึ่งสูงกว่าอาคารสำนึกงานของธุรกิจกิจการอื่น ในนิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้

มารุตสนใจการต่อสู้ชิงไหวชิงพริบเพื่ออำนาจในห้องประชุมนี้มากกว่า

ทันทีที่มีสัญญาณการเริ่มประชุม ทุกคนก็ลืมไปแล้วว่ามีเขาอยู่ตรงนั้น รวมทั้งไอลดาเอง ซึ่งยืนเป็นสง่า รัศมีของความเป็นหุ้นส่วนใหญ่ สว่างวาวอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายสับสน

ความวุ่นวายอย่างแรกคือ การยังไม่มีประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นายวิลาศทิ้งสิทธิ์ออกเสียงตามอัตราหุ้นไว้ให้กับไอลดา แต่ตอนนี้หล่อนยังไม่มีอำนาจใดๆ

มารุตค่อยสังเกตอากัปกิริยาของผู้เข้าร่วมประชุมไปทีละคน มีระดับสูงคนหนึ่งที่เขาดูว่า น่าจะไร้ประสิทธิภาพ มีผู้ชายท่าทางเรียบๆ อีกสามคนจับกลุ่มอยู่ด้วยกัน แต่คนสำคัญที่เขาจำได้กระทั่งชื่อคือ อารี หล่อนเป็นซักไซ้ไล่เรียงเขาราวกับเป็นผู้ต้องสงสัยคดีลักพาตัว แล้วยังไปโวยวายปกป้องแผนกผู้ลงทุนสัมพันธ์ ซึ่งแน่ชัดว่าหล่อนรับผิดชอบแผนกนั้นอยู่

วาระการประชุมดำเนินเรื่อยไป ไอลดาแทบไม่แสดงความคิดเห็นใด กระทั่งจนถึงหัวข้อสุดท้าย นั่นคือการแจกแจงข้อมูลล่าสุด เกี่ยวกับสถานะของมูลนิธิ ณ หทัย

“ตอนนี้มูลนิธิมีงบประมาณค่าใช่จ่ายอยู่ที่หนึ่งร้อยสี่สิบล้านบาท” หล่อนบอกที่ประชุม “เรามอบทุนสิบสี่ล้านในปีนี้ นั่นรวมทั้งการพัฒนาสถานศึกษา นักเรียน นักศึกษา และนักวิจัย กับอีกเก้าล้านบาท สำหรับการอำนวยความสะดวก และบริการทางกฎหมาย ร่วมถึงด้านสวัสดิการ สุขภาพ และที่อยู่อาศัย”

อารี ซึ่งเผลอถอดแว่นให้เขาเห็นสองสามครั้ง มารุตมองเห็นหน้าตาหล่อนคล้ายปลาปิรันย่าที่โหดร้าย กลุ่มชายธรรมดาสามคนนั้น หันไปคุยกันถึงเรื่องทรวงอกของอารีนั่นเอง มีเพียงมานะ สามีของบราลีเพื่อนสนิทไอลดา ที่ตั้งอกตั้งใจฟังจริงจัง

เมื่อหญิงสาวพูดจบ มานะปรบมือให้อย่างเกินจำเป็น เพื่อแสดงว่าเห็นด้วยในทุกถ้อยคำ

“เยี่ยมไปเลยครับคุณไอลดา เราเชื่อว่ามูลนิธิภายใต้การบริหารงานของคุณ จะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ได้แน่ๆ และหมายถึง มันจะช่วยสร้างภาพพจน์ให้กลับกลุ่ม ณ หทัย ได้เต็มที่ เราเป็นหนี้คุณนะครับ”

“ทำไมล่ะ ทำไมเราถึงต้องจ้างบริษัทประชาสัมพันธ์อื่น” อารีแทรกถาม ทั้งที่มานะยังพูดไม่ทันจบ “ทีมฉันก็ชำนาญด้านการสื่อสารและประชาสัมพันธ์อยู่แล้ว ไม่มีเหตุผลเลยนะ ที่จะว่าจ้างซับฯ จากภายนอก มันประหยัดได้อีกตั้งเยอะ”

“ทีมเชี่ยวชาญของคุณยุ่งมากค่ะคุณอารี” ไอลดาตอบ “ฉันเคยขอความช่วยเหลือไปแล้ว แต่ไม่มีใครว่างพอจะช่วยร่างเอกสารเผยแพร่ทางสื่อด้วยซ้ำ ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงการจัดการเรื่องการสัมภาษณ์ผ่านสื่อระดับประเทศ บริษัทที่ดิฉันจ้างมานี้ การันตีได้ว่า สามารถเผยแพร่งานประชาสัมพันธ์ออกทางหนังสือพิมพ์ระดับประเทศหลักๆ ได้ทุกฉบับ และรวมถึงรายการเล่าข่าวเช้าทุกช่อง”

อารีเลิกคิ้ว “ฉันตื่นเต้นแทนคุณเลยนะคะเนี่ย ที่จะได้ออกรายการตื่นมาคุย แต่ว่ากลุ่มเป้าหมายของเราเขาจะตื่นมานั่งดูหรือยังไงคะ”

ไอลดาทอดสายตามองคนพูด “ตัวแทนโฆษณาวางตารางการสัมภาษณ์สด ไว้ในช่วงต้นเดือนมิถุนายนค่ะ ก็ทันเวลาการประชุมผู้ถือหุ้นไตรมาสสองพอดี และสงสัยว่า คุณอาจไม่ได้อ่านอีเมล์ ที่ดิฉันส่งให้เมื่ออังคารที่แล้ว เรื่องที่ถามว่าคุณสะดวกไปถ่ายทำ การสัมภาษณ์ในสตูดิโอ ที่กรุงเทพหรือไม่”

“เยี่ยมยอดๆ” มานะโพล่งออกมา “ผมคิดว่าการจ้างคนนอกบริษัท เป็นค่าใช้จ่ายที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง คุณวิลาศ ต้องการให้มูลนิธิดำเนินการอย่างเป็นเอกเทศมากที่สุด และนี่คือหมายความว่าคุณไอลดากำลังทำตามวัตถุประสงค์หลักของผู้ล่วงลับ”

“ค่ะ ชัดเจน” อารีพึมพำ บิดปลอกปากกาในมือ ราวยังไม่อยากจะยอมแพ้”

“อย่างนั้นเราก็ปิดประชุมได้แล้วสิ” มานะถือโอกาสสรุป

“ยังไม่ได้ค่ะ” ไอลดารีบยับยั้ง

ทุกคนในห้องจึงหันกลับมาสนใจหล่อนอีกครั้ง

“ฉันมีกระทู้เร่งด่วน เรื่องอสังหาริมทรัพย์ของยูมอลล์ ที่มะนิลากับกัวลาลัมเปอร์”

มีสองสามคนก้มลงมองหนังสือเชิญประชุมของตนเอง

“หัวข้อนั้นถูกยกเลิกไปแล้ว และต้องมีเสียงสนับสนุนของที่ประชุมบอร์ดก่อนถึงนำกลับเข้ามาใหม่ได้” สามีบราลีรีบคัดค้านกลายๆ

“อย่างนั้นฉันก็ขอความเห็นชอบค่ะ” ไอลดาเอ่ยอย่างหนักแน่น “จะมีใครเห็นชอบด้วยไหมคะ”

ทุกคนนิ่งไปครู่หนึ่ง มารุตสงสัยว่าจะมีใครที่เป็นพันธมิตรของไอลดาจริงๆ บ้าง ความไม่พอใจจากพวกเขาเห็นได้ชัดพอกับท่าทางประจบสอพลอของมานะนั่นละ

เสียงปืนเมื่อคืนกลับมาดังก้องในหัว ใครบางคนในนี้ อยากฆ่าผู้มีสิทธิ์ออกเสียงมากขนาดนั้นเชียวหรือ

“ผม... เห็นชอบด้วย” คนแรกนี้มาจากกรรมการบริหารที่ไม่ได้ถือหุ้น ถ้าจำไม่ผิดเขาเป็นนายธนาคาร

มีเสียงพึมพำอีกครู่ใหญ่ สมาชิกในที่ประชุมครึ่งหนึ่งยืนขึ้น มารุตรู้ว่าพวกนั้นไม่มีสิทธิออกเสียง เช่นเดียวกับนายมานะ ซึ่งเป็นเพียงตัวแทนคณะกรรมการบอร์ดคนหนึ่งเท่านั้น

“ฉันจะจัดการเรื่องนี้เอง” หญิงสาวหันไปเอ่ยกับมานะ “คุณออกไปก่อนเถิดค่ะ”

นี้หมายถึงจะมีการประชุมลับ เฉพาะผู้ถือหุ้นและบอร์ดบริหารเท่านั้น

มานะหน้าซีดลงเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้า “ครับ แล้วคุณแวะไปที่ห้องทำงานผมก็ได้” จากนั้นเขาเหลือบมาทางมารุต “คุณก็ต้องออกมารอข้างนอก”

นั่นเป็นสิ่งที่ชายหนุ่มกำลังต้องการ

“คุณไอลดาครับ” มารุตเรียกพร้อมที่เดินมาหาหล่อน “ผมต้องคุยกับคุณก่อน”

เขามองมานะอีกครั้ง ชายชรายอมถอยไป เปิดโอกาสให้สองคนได้คุยกัน

“รหัสเข้าระบบคอมพิวเตอร์ของคุณคืออะไร” เขากระซิบถามหญิงสาว

ไอลดาเหลือบมองหน้าเขา “จะทำไมคะ”

“ตอนคุณอยู่ตรงนี้ ผมจะไปก๊อปปี้ไฟล์บางอย่าง” เขากวาดตามองไปรอบโต๊ะประชุม “มันจำเป็น เพื่อช่วยตรวจสอบลายเซ็นปลอมนั่น”

หล่อนมองเขาอึดใจหนึ่ง ก่อนพยักหน้า ฉีกมุมกระดาษสมุดจด เขียนรหัสยื่นให้เขา

“ฉันเองก็จะดูว่า ได้เบาะแสอะไรจากกลุ่มนี้บ้าง แล้วเราไปเจอกันที่ห้องทำงานฉัน”

มานะเดินออกมาพร้อมเขา “เธอน่าทึ่งใช่ไหมล่ะ” ทนายสูงวัยถาม ขณะประตูเบื้องหลังกำลังปิดลง

มารุตมองอีกฝ่ายตรงๆ “ก็คงงั้น...”

แต่มานะเหมือนยังไม่อยากออกจากห้องประชุม เขายังหันกลับไปมอง “มูลนิธินี่สำคัญกับเธอมาก... ผมว่าไม่ควรต้องไปเสียสมาธิกับเรื่องอื่น”

นั่นฟังดูแปลก ราวกับเป็นคำสั่ง ไม่ให้ไปแส่กับเรื่องอื่น “ผมคงช่วยอะไรคุณไม่ได้ เพราะผมแค่รักษาการณ์ตามตารางเวลา แต่จะไปก้าวก่ายให้ความคิดเห็น กับสิ่งที่เธอจะทำนั้นไม่ได้”

มานะถอยหลัง “แต่คุณมีความสัมพันธ์ส่วนตัวใกล้ชิดกันมาก่อน น่าจะชักจูงได้ไม่ใช่หรือ เธอควรเห็นว่าอะไรสำคัญก่อนหลังอย่างไร”

คำนี้ทำให้มารุตจ้องหน้าคนพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อหู

“ก็... มีผมบอกว่าคุณสองคนรู้จักกันมาก่อน ก่อนที่จะมารู้จักกับคุณวิลาศ”

คราวนี้คนฟังส่งสีหน้าไม่สบอารมณ์ไปให้อย่างชัดเจน และไม่สนใจสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้คำพูดนั้น “ผมไม่ได้มาทำงานเพื่อรับหน้าที่ให้ชักจูงอะไรทั้งสิ้น หน้าที่ผมคือคุ้มครองเธอให้ปลอดภัยจากพวกชั่วร้าย”

หญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง และสบตามานะ

“คุณชนิดโทร.มาสายสองค่ะ” หล่อนรายงานอย่างสุภาพ

ทนายสูงวัยหันเดินจากไป ขณะมารุตที่ก็มุ่งหน้าไปห้องทำงานส่วนตัวของไอลดา ปิดและล็อกประตู แล้วเข้านั่งประจำที่โต๊ะทำงานของหล่อน

จันทบุรี

เป็นการเลือกรหัสผ่านที่น่าสนใจมาก ถ้าหล่อนไม่เทิดทูนพระบิดาแห่งกฎหมายไทยอย่างยิ่ง ก็คงจะหลงใหลจังหวัดใกล้เคียงกับที่อยู่อาศัยปัจจุบันเต็มที่

เอาละ เขามีเวลาแค่ไม่กี่นาที ที่จะค้นหาหลักฐานในคอมพิวเตอร์ของหล่อน

และ... ด้วยเวลาไม่นาน เขาก็ได้ไฟล์ของยูมอลล์ทั้งหมดในที่สุด



ไอลดามองผ่านหน้าต่างรถยนต์ที่นั่ง ยาวไกลออกไปสุดสายตาตรงภาพที่ขอบน้ำแตะขอบฟ้า ปุยเมฆขาวกระจ่างหรือระลอกคลื่นพลิ้วระยิบแดด ไม่ปรากฏในหัวหล่อนสักนิด

มารุตหันหลังจากเบาะนั่งข้างคนขับ “คุณอยากคุยอะไรบ้างไหม”

หล่อนกะพริบตาถี่เพื่อเรียกสติ “ย... ยังค่ะ ไม่ใช่ตรงนี้ หรือตอนนี้”

เดช คนขับรถยังคงมองไปข้างหน้า และไม่พูดอะไร

“แวะหามื้อกลางวันกินกันหน่อยไหม” มารุตเสนอ

หญิงสาวสีหน้าชื่นขึ้นเล็กน้อย “ดีเหมือนกันค่ะ ฉันกำลังหิว” หล่อนเห็นด้วย แล้วโน้มตัวมาสั่งคนขับรถ “ห้องอาหารเดอร์มูน ที่ฮิลตันแกรนด์...”

จากนั้นก็เหม่อมองออกไปสู่ท้องทะเลกว้างเช่นเดิม

อีกครึ่งชั่วโมงต่อมา ทั้งคู่นั่งที่โต๊ะกว้างสำหรับสองที่นั่ง ตอนนี้เองที่ไอลดากลับมาสนใจเขาบ้าง

“คุณได้อะไรจากคอมพิวเตอร์ฉันไหมคะ”

ไม่...

“ผมได้ไฟล์เกี่ยวกับยูมอลล์ทั้งหมดมาแล้ว”

หล่อนยิ้มนิดเดียวเท่านั้น “ดีแล้วค่ะ แล้วคุณสแกนลายเซ็นปลอมนั่น ส่งไปให้พวกหาข่าวของคุณหรือยัง”

เขาพยักหน้า “เรียบร้อย...”

“แล้วคุณคิดว่า การประชุมคณะกรรมบริหารเมื่อเช้าเป็นไงบ้าง”

เขาขมวดคิ้ว “คุณไม่ใช่ดาวมหา’ลัย...”

หล่อนยักไหล่ “คุณต้องลองคิดว่า ตัวเองเป็นคนพวกนั้น ฉันเป็นเมียเด็กของเศรษฐีแก่ที่เพิ่งตาย ซึ่งนังเมียเด็กนั่นก็ดันกุมอำนาจบริหารไว้ในมือ ทั้งที่ไม่มีปริญญาบริหารธุรกิจสักใบ”

“แต่ผมคิดว่าคุณมีความสามารถพอ” เขาลำเอียงเพื่อหล่อน “บราลีเพื่อนคุณบอกว่า ทุกคนที่นี่รักคุณ”

“ลี่พยายามลืมว่า ยังมีคุณอารีอะไรนั่นอยู่อีกคน และลี่นั่นแหละ ไม่ยอมรับความจริงที่ว่า คนอย่างฉันต้องถูกเกลียดเป็นธรรมดา เพราะดันโชคดีที่สุด”

“ก็หรือว่าคุณไม่ใช่คนที่โชคดีที่สุดจริงๆ ล่ะ”

สาวน้อยคนหนึ่งเดินมาที่โต๊ะเพื่อเสิร์ฟอาหาร สองคนหยุดสนทนา รอจนอยู่กันตามลำพังอีกครั้ง เขาจึงถามขึ้นบ้างว่า

“แล้วคุณล่ะ ได้เบาะแสอะไรบ้าง”

“ไม่พบอะไรเลยค่ะ ไม่ค่อยมีใครรู้รายละเอียดเกี่ยวกับเครือยูมอลล์มากนัก คนที่ดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะ เหมือนจะพักร้อนราวๆ สามสัปดาห์ แต่เขาก็อ้างว่าไปอยู่ที่มะนิลา คุมงานก่อสร้างสาขาที่นั่น ฉันได้คุยกับผู้ช่วยเขา และได้เห็นเอกสารต้นฉบับ มันลงวันที่เดียวกัน แต่พี่นะเป็นคนเซ็นแทนคุณวิลาศ”

“หรือว่านั่นคือขั้นตอนปกติ”

“ก็อย่างนั่นละค่ะ”

“อย่างงั้นคุณอาจต้องถามทนายมานะ เรื่องลายเซ็นปลอมๆ นั่น”

ไอลดามีท่าทางลังเล ส่วนมารุตนึกได้ว่า เคยเห็นทนายนั่นแตะเนื้อต้องตัวหญิงสาวตรงหน้าด้วยเชิงชู้สาว หรือ... จะแบบลุงเอ็นดูหลาน...

จะอย่างไรก็เถอะ มันต้องมีอะไรแอบแฝงอยู่แน่ๆ

มารุตภาวนาให้หนึ่งในข้อสันนิษฐานสำคัญมันไม่จริง ไอลดาน่ะรึ จะมีสัมพันธ์ชู้สาวกับสามีของเพื่อนสนิท เป็นไปไม่ได้

“พี่นะคิดเหมือนพวกนักพัฒนาธุรกิจ มากกว่าคิดแบบทนายความค่ะ”

“ยังไงล่ะ” มารุตถาม

“ยูมอลล์เป็นมากกว่าการเช่าตึก และเข้าไปปรับปรุงเป็นห้างสรรพสินค้า เรามีบริษัทตัวแทน ทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินในท้องถิ่นนั้นๆ ด้วย เรียกว่าเราเป็นเจ้าของทั้งหมด ทั้งที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง”

“แล้วยังไง คนท้องถิ่นไม่ต้อนรับ?”

“นั่นก็แน่นอนค่ะ มีบางคนหรือบางกลุ่มคิดว่า บ้านเมืองเขาไม่ควรเจริญไปกว่านั้น” หล่อนเสียงสลดลงเล็กน้อย “แต่คุณวิลาศไม่เคยคิดเอาเปรียบหรือกอบโกย เราอยากจ้างงาน อยากให้เศรษฐกิจมันดีขึ้น ทั้งเราทั้งเขาพัฒนาไปด้วยกัน และความยากอยู่ตรงที่ ต้องหว่านเงินลงไปไม่น้อย”

“นั่นทำให้บรรดาหุ้นส่วนไม่พอใจแน่ๆ”

หล่อนยักไหล่อีกครั้ง “บางคนที่มีธรรมาภิบาลดีๆ ก็เห็นด้วยค่ะ เพราะที่ลงทุนไปนั่น ก็ใช้กำไร ไม่ได้ชักเนื้อ ที่ก่อสร้างค้างไว้ในสามประเทศนั่น พอดีคุณวิลาศเสียชีวิตไปเสียก่อนที่จะตัดสินใจ และเพิ่งวันนี้เอง ที่ฉันได้รู้ว่าทุกอย่างเริ่มดำเนินการไปแล้ว มีทั้งการวิ่งเต้น และอื่นๆ ที่ทำให้การขออนุญาตทั้งหมดผ่านสะดวกง่ายดาย พอเริ่มเดินหน้าไปแล้ว แม้ฉันขอยุติหรือยับยั้ง มันก็แทบเป็นไปไม่ได้”

“แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าคุณไม่ไปประชุมเมื่อเช้า”

“มันก็คงเดินหน้าต่อไปละค่ะ แต่นี้ฉันยื่นคำขาด อย่างน้อยต้องระงับการก่อสร้างไว้ก่อน เราออกเสียงอีกครั้ง และปรากฏว่าคะแนนเสมอกัน”  คราวนี้หล่อนยิ้มอย่างเหนื่อยหน่าย “และ...ในที่สุดแล้วเราก็ต้องการคนชี้ขาด บิณฑ์  เขาสามารถทำให้คะแนนเรามากกว่าได้... และคุณดูออกไหมคะรุต พวกนั้นอยากให้ฉันยุ่งอยู่แต่กับมูลนิธิ ณ หทัย มากกว่าจะไปเสนอหน้า”

“ก็ เห็นได้ชัดว่าคุณทำมูลนิธิได้ดีมากๆ”

“มันเป็นเรื่องที่ฉันรัก เป็นสิ่งที่ใกล้เคียงที่สุดแล้ว ที่ฉันเคยใฝ่ฝันอยากจะทำ”

“ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส...” เขาช่วยเสริม “แต่ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณไม่ขายหุ้นให้หมด แล้วกลับไปเรียนกฎหมายต่อล่ะ”

ไอลดายิ้มให้กับคำถามนี้อย่างเศร้าสร้อย “เพราะคุณวิลาศยังห่วงเรื่องธรรมาภิบาล เขาอยากให้ใครสักคนคอยขัดคอกรรมการบริหารเห็นแก่เงินพวกนั้น ซึ่งในที่นี้... บิณฑ์ ก็ใช้การไม่ได้เสียแล้ว”

อาหารที่ทั้งสองสั่งมาถึงโต๊ะ จานสีขาวแบนใบโต มีอาหารอยู่ตรงกลางเพียงกระจุกเท่าขยุ้มมือ

ระหว่างหญิงสาวเขี่ยหอยเชลล์ย่างราดซอสใสๆ แต่เข้มข้นในจานตัวเอง หล่อนก็พูดขึ้นเพราะเห็นเขาไม่ค่อยสบอารมณ์เนื้อสเต็กในจานตัวเอง

“ฉันจะบอกให้ป้าแม้นทำอาหารจานเนื้อดีๆ ให้คุณกิน ฉันเลิกกินเนื้อสัตว์ใหญ่มานานแล้วค่ะ”

“แต่คุณเคยกินนี่นา”

ส้อมที่มีหอยเชลล์ตัวหนึ่งติดปลาย ชะงักนิดหนึ่ง

“ค่ะ... ฉันเคยทำอะไรหลายๆ อย่าง”

“ใช่... คุณขับรถเอง ทำอาหารเอง หัวเราะและเล่าเรื่องตลกก็ได้”

“ทุกวันนี้ฉันก็ยังทำงั้นค่ะ หัวเราะและเล่าเรื่องตลกที่คุณว่า”

หล่อนโต้กลับ “และฉันเพิ่งเสียสามีไปเมื่อสามเดือนก่อน เผื่อว่าคุณจะลืมนะคะ ว่าทำไมตั้งแต่เจอกัน ฉันถึงไม่ได้หัวเราะหรือเล่าเรื่องตลก”

“คุณคิดจะแต่งงานใหม่ไหม”  มารุตแกล้งเปลี่ยนเรื่อง

สีหน้าหญิงสาวบอกชัดว่า ถูกจู่โจมด้วยคำถามนี้ จนตั้งตัวไม่ทัน

“ก็... ไม่รู้สิคะ”

“แล้วคุณคิดจะลองออกเดตอีกไหมลดา”

หล่อนยกคิ้ว “ก็... อาจจะมังคะ”

“คุณจะได้ออกเดตแน่ๆ อยู่แล้วถ้าต้องการ”

ก็ความเซ็กซี่ของหล่อนมีล้นเหลือขนาดนี้ เขากลืนเนื้อลงคอไปคำหนึ่ง พร้อมคิดถึงปฏิกิริยาที่หล่อนตอบโต้เขาเมื่อเช้านี้

“คุณดูมั่นใจมากเลยนะรุต”

“เพราะผมรู้จักคุณดี”

“เคยค่ะ แค่เคยรู้จักดี” หล่อนช่วยแก้ “ฉัน... เปลี่ยนไปแล้ว”

“คุณระวังตัวมากขึ้น” เขาฉวยโอกาสจิ้มเห็ดย่างในจานหล่อนมาดื้อๆ “มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเสมอกับคนมีเงิน”

“และเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเสมอกับคนที่เคยผิดหวัง หรือเสียใจอย่างที่สุด” หล่อนวางส้อมเพื่อจิบน้ำ

“พูดตามตรงนะคะ...” หญิงสาวหยุดอีกครั้ง คล้ายกำลังครุ่นคิด “ฉัน ...ยังไม่รู้สึกสบายใจกับใครๆ อีกเลย ยกเว้นกับลี่”

“แต่คุณดูสบายใจ เมื่อคืนที่เล่นทายไพ่กับผม”

แก้มหล่อนแดงระเรื่อขึ้นดื้อๆ “ก็ได้ค่ะ ทั้งลี่และคุณด้วย”

เป็นคำพูดตรงไปตรงมา และพร้อมกับประกายตายั่วยวน ดวงตาหล่อนนั่น มีอานุภาพเช่นนี้เสมอ คือตรึงตาตรึงใจผู้ชายทุกคนเอาไว้ได้

ที่หางตา มีชายร่างใหญ่คนหนึ่งเดินตรงเข้ามา

มารุตลดมือลงพร้อมชักปืน ชายผู้นั้นสูงใหญ่เกือบเท่าเขา ไว้ผมยาวและใส่ตุ้มหูเพชรข้างเดียว เขาพยักหน้าให้ลูกค้าคนหนึ่ง แต่ยังไม่หยุดเดินตรงเข้ามา สายตากลับมาจ้องมองที่บอดี้การ์ดหนุ่ม โดยปราศจากรอยยิ้ม

นิ้วมารุตขยับเข้าใกล้ด้ามปืนขึ้นอีกนิด

“มีอะไรหรือ...” ไอลดาเพิ่งสังเกตท่าทางแปลกๆ นั่นเพราะชายแปลกหน้าเดินตรงมาจากด้านหลังหล่อน “เอ้อ... สวัสดีค่ะ บาตี้” ต้องรีบทัก เมื่อเห็นว่าเป็นคนคุ้นเคย

มารุตวางผ้าเช็ดปาก รีบลุกขึ้นอย่างเร็ว ขยับตัวออกจากที่ ทั้งแสดงความสุภาพ และเตรียมพร้อมคุ้มกันไอลดาอยู่ในที

แต่หนุ่มผิวเข้มนัยน์ตาชวนฝันเหมือนไม่เห็นเขา ตรงเข้าสวมกอดกับไอลดา พริบตาที่กอดกันนั่นละ ที่นิ้วของมารุตก็เลื่อนแตะอยู่ที่ไกปืน

“นี่หรือคุณนายไอลดา ที่ผมต้องมาเจอ...” เขาพูดภาษาอังกฤษได้ฟังดูตลก “คุณยกเลิกนัดผม เพื่อมานั่งกินข้าวกับผู้ชายอื่น” หนุ่มหมอนวดลูกครึ่งจากสเปน พูดเหมือนเป็นเจ้าของหญิงสาว

ไอลดาหัวเราะเบาๆ พร้อมถอยห่าง

“ช่วงนี้ฉันยุ่งมากจริงๆ ค่ะบาตี้ และแน่ใจว่า คุณก็ต้องรู้ว่าฉันยุ่งจริงๆ”

“อ๋อ... ใช่” เซบาสเตียนตอบ “ก็นั่นละ ผมต้องขอโทษที่ไม่ได้ไปงานระดมทุนเมื่อคืนก่อน แต่คงได้ซองของผมนะ ผมฝากไปกับคุณลินลี่”

“ได้แล้วค่ะ ขอบคุณน้ำใจคุณมากๆ” แล้วหญิงสาวก็ถามต่อไปว่า “แล้ววันนี้คุณได้เจอกับลี่หรือยัง”

“ไม่เลย ผมยังไม่เห็นเธอเลย ทำไมหรือ”

“ไม่รู้สิคะ ฉันสังหรณ์ใจพิกล เป็นห่วงน่ะค่ะ เมื่อเช้าลี่พูดแปลกๆ”

ไอลดากลับลงนั่ง หันมาทางมารุต

“นี่บอดี้การ์ดของฉันค่ะบาตี้ ส่วนนั่นเซบาสเตียน มือนวดอันดับหนึ่ง ที่จริงเขาเป็นเจ้าของกิจการนั้นด้วยแหละ” 

มารุตจับมือกับเขา และไม่แปลกใจกับพลังการบีบของชายลูกครึ่งหล่อล่ำตรงหน้า อีกฝ่ายยกคิ้วให้นิดหนึ่ง ก่อนหันไปสนใจแต่กับหญิงสาวเช่นเดิม

“คุณกินเรียบร้อยหรือยัง ผมเตรียมห้องไว้รออยู่แล้ว ไปกันเลยก็ได้นะ ผมอยากจะขย้ำคุณใจจะขาด”

ไอลดามองมารุตแล้วหัวเราะสีหน้าแปลกๆ ของเขา “มันไม่ใช่แบบที่พูดหรอกค่ะ” หล่อนคิดว่าคงช่วยให้เขาสบายใจขึ้น

“แต่ผมเอาจริงนะ” หนุ่มลูกครึ่งยังยืนยัน ใช้มือไล่ตามลำคอและแนวไหล่ของหญิงสาว ราวกับเป็นคู่รักที่ห่วงหากันสุดซึ้ง “ดูคุณเครียดมากนะดาด้า”

มารุต ซึ่งกลายเป็นเหมือนไร้ตัวตนไปแล้ว ขบกรามแน่น แต่ยังไม่แสดงออกอย่างไร

เซบาสเตียนเหลือบมองเขาอีกครั้ง แล้วลดสายตามองดูสเต็กที่เหลืออยู่ครึ่งจาน กระซิบอะไรบางอย่างจนไอลดายิ้ม เขาถือโอกาสเลื่อนมือจากไหล่ลงไปด้านหลังหล่อน ต่ำลงกระทั่งเกือบถึงบั้นท้าย

หรือจะชักปืนออกมาเป่าขมองได้หน้าหล่อนี้ให้กระจุย!

“งั้นก็เจอหลังคุณจัดการมือกลางวันเรียบร้อยก็แล้วกัน” หนุ่มนักนวดบำบัดสรุปง่ายๆ เมื่อเห็นสายตายราวจะกินเลือดกินเนื้อของนายบอดี้การ์ด “ผมช่วยคุณได้...จริงๆ”  จากนั้นเขาหันมองมารุตตรงๆ อีกครั้ง กล่าวยิ้มๆ ว่า

“ยินดีต้อนรับที่สปาเสมอนะครับ คุณ... มารุต”

“ผมไม่ต้องการการบำบัดอะไรทั้งสิ้น”

“งั้นหรือ...” นัยน์ตาสีเขียวเข้มของคนฟัง ทอประกายด้วยความขบขัน แล้วเลื่อนสายตาไปที่จานสลัดของมารุต “คงเพราะบีทรูทนั่นแน่ๆ เลย”

เซบาสเตียนจับมือหญิงสาวแน่นๆ อีกครั้ง แล้วเดินทอดน่องออกไป

มารุตมองตาม คิดว่าเขาคงสูงพอๆ กับตน และปฏิเสธไม่ได้เลยว่า หมอนั่นต้องมีเสน่ห์เหลือล้นกับทุกเพศทุกวัยแน่นอน

“คุณไม่สุภาพเลยนะคะ” ไอลดาแกล้งว่า ขณะกลับลงนั่ง ส่งสายตาให้มารุตอย่างไม่ค่อยพอใจ “เขาดีกับฉันค่ะ แล้วก็หวังดีกับฉันจริงๆ”

“ผมแน่ใจว่าเขาคิดอะไรเกินเลยกว่านั้น”

“บาตี้น่ะหรือคะ”

“เขา... เขาชอบฉวยโอกาส แต๊ะอั๋งคุณนะ”

“การถูกเนื้อต้องตัวเป็นงานของเขาอยู่แล้วมังคะรุต เขาเป็นนักบำบัดนะคะ เป็นนักนวดบำบัด ดีกรีดีโพรม่าเลยเชียว”

มารุตพยายามคุมตัวเองไม่ให้ถอยหายใจแรงเกินไป

“แค่เป็นหมอนวดนี่ต้องได้ปริญญาโทเอกอะไรเลยงั้นรึ”

ไอลดากลั้นหัวเราะ “ที่จริงก็เป็นนักกายภาพบำบัดมังคะ แต่เราก็เรียกเขาว่าหมดนวดนั่นละ นวดบำบัด”

“ถ้าคุณว่าเขาไม่เป็นพิษภัย ผมก็ขอโทษที่เป็นห่วง”

“อย่ามาประชดเลยค่ะ เขาไม่มีอะไรหรอก คุณสบายใจได้กับบาตี้”

หลังจากจานอาหารถูกเก็บไป ไอลดาเปิดกระเป๋าและเปิดกระจกตลับ ทาลิปสติกอย่างแอบๆ เลี่ยงสายตาคนอื่นๆ

“แล้วบีทรูทนี่ช่วยบำบัดอะไรได้ล่ะ” มารุตถามกระแทกๆ “แก้อารมณ์บูดเรอะ”

คนถูกถามเหลือบตามองยิ้มๆ “ก็อาจจะใช่มังคะ เขาต้องเชียวชาญพืชผักทุกอย่างว่า อะไรมีประโยชน์อย่างไร”

“เอาจริงๆ สิ เขาหมายความว่าไง”

“คงหลายอย่างนะคะ ทั้งทำให้คุณผ่อนคลาย ส่วนก่อนหน้านี้ เขาจะให้ฉันกินโควเลอร์แดง เพราะมันจะช่วยให้มีลูกง่ายขึ้น” หญิงสาวปิดกระจก เสร็จสิ้นพิธีการเติมสีริมฝีปาก “แต่เห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้ผล”

“บางที่ปัญหานั่นอาจไม่ได้อยู่ที่คุณ” มารุตเสนอความเห็น

“ปัญหาเรื่องนี้ไม่ใช่ของคุณวิลาศค่ะ เป็นฉันเองที่มีลูกไม่ได้”

เมื่อฟังเช่นนี้ ทฤษฎีที่ว่าด้วยหล่อนกำจัดสามีเพราะเขาแก่เกินจะมีลูกได้ก็มีอันต้องตัดทิ้งไป และตั้งสี่ปีกว่า แสดงว่าหญิงสาวไม่ได้ทำให้เขาตายเร็วขึ้น เพื่อจะยึดอำนาจบริหารธุรกิจมูลค่ามหาศาล และนี่คือไอลดาแทบไม่เหลือแรงจูงใจในการฆาตกรรม

บางทีบริษัทประกันชีวิตประสานไมตรีนั่น อาจหวาดระแวงมากเกินไป บางทีนายวิลาศนั่นอาจตายด้วยอาการหัวใจวายเ หมือนชายชราทั่วไปก็เป็นได้

แต่นั่นก็ยังไม่ได้บอกว่า ใครยิงไอลดา ใครกันที่ปองร้ายหล่อน

มารุตคิดขณะก้าวเดินผ่านล็อบบี้

“เราอาจต้องไปเยี่ยมบิณฑ์แบบไม่ต้องบอกล่วงหน้าสักหน” เขาบอกจริงจัง

“ไม่น่าจะดีนะคะ เชื่อฉันสิ” หล่อนดันเขาให้รีบออกพ้นประตูล็อบบี้ “คุณนั่นละไปจัดการเขาซะ ฉันมีอะไรอื่นที่ดีกว่าการได้ไปเจอลูกเลี้ยงพรรค์นั้น”

ไอลดาไม่รอให้เขาขัดแย้งอะไรอีก หล่อนหันกลับ แล้วมุ่งหน้าเดินลับมุมหายไป

เขารู้ว่าหล่อนรีบไปไหน ไปพบใคร ไอ้ลูกครึ่งหน้าหล่อนั่น ไม่ได้แค่นวดบำบัดเฉยๆ แน่ๆ



“มันเลวร้ายถึงขนาดต้องกินข้าวกลางวันกับบอดี้การ์ดเลยหรือลดา”

เซบาสเตียนถูน้ำมันลงบนมือตัวเองอยู่นาน ก่อนจะถูกตัวหล่อน แต่นี้นิ้วของเขาก็ยังไม่อุ่นเท่านิ้วของมารุตเมื่อตอนเช้ามืด

“อะไรที่คุณคิดว่าเลวร้าย...”

“ก็... ชีวิตรักของคุณ”

ไอลดายิ้ม อยู่ในเบาะหนังเนื้อนุ่มนิ่มที่ล้อมรอบใบหน้าหล่อน มองผ่านช่องไปยังกล้วยไม้ดอกเดียว สัญลักษณ์ของสปาระดับห้าดาวแห่งนี้

“ชีวิตรักเหรอบาตี้ ฉันเป็นแม่ม่ายนะคะ แค่ชอบดูไพ่ทาโร่กับทำงานการกุศล”

เขากดนิ้วบนกล้ามเนื้อตามแนวกระดูกสันหลัง การคลึงแน่นๆ เน้นๆ นั่น ไม่ทำให้รู้สึกสบาย เหมือนตอนที่มารุตสัมผัสหล่อนตรงขาพับหลังเข่า

“อ้อ... แล้วผมก็ดูรู้นะ” เขานวดเฟ้นเป็นจังหวะ “บอดี้การ์ดของคุณไม่ชอบหน้าผม”

“เขาเป็นอย่างนั้นละ ไม่เคยเอาชนะใจใครได้ตั้งแต่เห็นครั้งแรก”

“เขาอิจฉาผมต่างหาก”

ไอลดาเกือบจะดีใจอยู่แล้ว ที่มีคนอื่นรับรู้ถึงความรู้สึกจริงๆ ของคนที่หล่อนเคยรักสุดหัวใจ แต่ก็ต้องบอกไปว่า “เขาคอยคุ้มกันฉันค่ะ นั่นเป็นงานของเขา”

หนุ่มลูกครึ่งสเปนเงียบไปครู่หนึ่ง เมื่อใช้นิ้วกดลงที่บ่าหญิงสาว จึงพูดอีกครั้ง “ถ้างั้น... คุณคิดว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับแม่ลิลลี่ตัวน้อยนั่น”

“ไม่รู้สิคะ ลี่ดูเหมือนว่า...”

“แปลกไป...” เขาช่วยเติมคำ “แปลกๆ ไป เหมือนที่คุณบอกผม” มือของนักนวดชะงักอยู่ครู่หนึ่ง “บางทีเธอก็อารมณ์เสีย คุณเองก็รู้สัปดาห์ที่แล้วเธอบอกว่า...”

มีเสียงบี๊บๆ ดังขึ้นขัดจังหวะ เขาถอนหายใจอย่างหงุดหงิด

นั่นเสียงโทรศัพท์หรือ ตอนที่หล่อนกำลังนวดนี่นะ แล้ว... มันก็ดังซ้ำ

เซบาสเตียนสบถเบาๆ

“ผมขอโทษนะดา พวกเขาจะไม่โทร.กวนถ้าไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนจริงๆ”

“ไม่เป็นไรค่ะ รับสายเถอะ”

เขาดึงผ้าคลุมแผ่นหลังหล่อนไว้ แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือ ไอลดาอดคิดไม่ได้ว่า หากเป็นเรื่องด่วนในสปา ทำไมถึงไม่โทร.มาเครื่องภายในที่แขวนอยู่บนผนังนั่น

“ผมยุ่งอยู่ ยุ่งมากๆ ด้วย” พอเขาโมโห มักพูดสำเนียงแปร่งๆ ฟังดูน่ารักเชียวละ “เข้าใจละ ใช่... แต่... นั่นจะเป็นปัญหา”

ส่วนหนึ่งหล่อนไม่ค่อยพอใจการขัดจังหวะนัก แต่ก็เตือนตัวเองว่า ไม่ได้นัดล่วงหน้า และตัวชายหนุ่มเองก็รับบริการลูกค้าเพียงไม่กี่คน เพราะเขาเป็นหุ้นส่วนคนสำคัญของสปานี้ด้วย

ช่างเถิด... หล่อนมาที่นี่เพื่อผ่อนคลาย ไม่ได้มาหาความเครียดเพิ่มเติม

“ผมทำอะไรไม่ได้ตอนนี้จริงๆ” เสียงเขาดังขึ้น แทบเป็นตะคอกใส่ปลายสาย

ไม่ละ... นี่ไม่ใช่การมาผ่อนคลายเสียแล้ว

ไอลดาเงยหน้าพ้นจากช่องหมอนกลมเหมือนโดนัท พอเห็นสีหน้าเขาก็จำเป็นต้องบอก

“ไม่เป็นไรนะคะบาตี้ ฉันรอได้”

“ก็ได้ ก็ได้!”  เขาตอบทางโน้นด้วยความขุ่นเคืองที่มากขึ้นเรื่อยๆ “เดี๋ยวผมจะไปหา” เขาวางสาย โยนมือถือไปทางหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่มีใครคิดจะจัดการได้เลย คือมีลูกค้าขี้วีนอยู่ข้างล่าง กลัวว่าจะบานปลาย ผมรับรองนะดา ขอเวลาผมไม่เกินสิบนาที แล้วเราจะเริ่มกันใหม่ทั้งหมด ผมจะไม่ยอมให้คุณอารมณ์บูดด้วยนะ แบบเวลาพูดถึงบอดี้การ์ดของคุณ”

“บ้าหรือ นั่นไม่ได้ทำให้ฉันอารมณ์เสียสักหน่อย” หล่อนรีบแก้ตัวทั้งที่ไม่จำเป็น “รีบไปเถอะค่ะ ฉันจะรอ ถ้าคุณไม่กลับมาภายในสิบห้านาที ฉันจะทำนัดอีกครั้ง ก่อนที่จะกลับ”

เขาบีบเบาๆ ที่ต้นแขนหล่อนเป็นการขอบใจ

“ยินดีค่ะบาตี้”

“คุณทำสมาธิไปแล้วกัน กลิ่นลาเวนเดอร์นั่นจะทำให้ผ่อนคลาย แล้วผมจะรีบกลับมา”

“ค่ะ... ” แล้วไอลดาจะไปไหนได้เล่า หล่อนไม่แน่ใจว่า มารุตจะให้คนขับรถไปไหนหรือเปล่า หลังจากบอกว่าควรต้องไปจัดการกับบิณฑ์ให้เรียบร้อย หรือว่าเขาจะขัดคำสั่ง ไม่ยอมไปห่างหล่อน เพียงแค่นั่งรอตรงล็อบบี้เท่านั้น

หญิงสาวทิ้งน้ำหนักศีรษะลงอีกครั้ง ค่อยหลับตาลง...

ทำไมหล่อนถึงหนีเขามา การต้องเผชิญหน้ากับบิณฑ์ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น แต่หล่อนก็รู้ตัวดีว่า ที่จริงมันมีอะไรมากกว่า แม้จะไม่ได้กลัวลูกเลี้ยงของหล่อนจริงๆ ก็ตาม

แต่... มารุต...

จิตใจของไอลดาล่องลอยกลับไปถึง รสจูบเมื่อคืน ความผ่าวร้อนจากมือเขาบนต้นขาหล่อนเมื่อตอนเช้า

เขาอยู่ในอารมณ์แข็งแกร่งพร้อมพรัก แต่ให้ตายเถอะ หล่อนก็เช่นกันไม่ใช่หรือ

ทั้งสองคนไม่ใช่หรือที่ถูกปลุกเร้า และดำดิ่งลงไปสู่ความปรารถนาที่ร้อนแรง

แล้วนับจากนี้ หล่อนหรือเขาจะฝืนทนกับปฏิกิริยาเช่นนั้นไปได้อีกนานสักแค่ไหน...

ไอลดานึกถามตัวเองว่า หล่อนมาทำอะไรบนนี้ หล่อนไม่ได้ต้องการการบำบัดรักษาใดๆ ไม่ได้ต้องการจะผ่อนคลายอะไร เวลานี้สิ่งเดียวที่ต้องการคือเขา มารุต

การที่เขาสัมผัสหล่อนด้วยความรัก ครอบครองร่างกายหล่อนด้วยร่างกายของเขา เติมช่องว่างของตัวหล่อนด้วยตัวเขา ครางเรียกชื่อหล่อนซ้ำไปซ้ำมา ขณะที่เขาบรรลุอารมณ์สุดยอดนั่น

ไอลดาเผลอเพลิดเพลินอยู่ในจินตนาการ รู้สึกช่องท้องเกร็งเช่นเดียวกับต้นขา และเริ่มรู้สึกเปียกชื้นตึงตัว... นั่น... มันคือความปรารถนา ที่ก่อตัวขึ้นแบบสุดจะห้าม

หญิงสาวเผลอส่งเสียงออกมาเบาๆ จินตนาการถึงภาพที่มารุตเลื่อนผ้านวมผืนนั้นออกจากตัว เริ่มลูบไล้ผิวเนื้อร้อนผ่าวด้วยนิ้วสากระคาย เกลี่ยไปตามเนินเนื้ออย่างยอดเยี่ยม รวมทั้ง เรียวลิ้นอุ่นๆ ที่หวานฉ่ำนั่นด้วย...

ความเร่าร้อนในมโนภาพ ทำให้หล่อนเผลอบิดตัว ขยับช่วงสะโพกไหวระริกแบบสุดจะห้ามใจได้

มันผ่านไปหลายปีแล้วไม่ใช่หรือ ความทรงจำเช่นนั้น ที่เคยสานสร้างร่วมกันกับคนที่หล่อนรักหมดหัวใจ กับการร่วมรักกับมารุต หากหล่อนนอนคว่ำอยู่เช่นนี้ เขาจะคุกเข่าคร่อมตัวหล่อนเอาไว้ จากนั้นก็ดึงให้บั้นท้ายขึ้นมาสัมผัสกับท่อนเนื้อของเขา ค่อยเปิดหล่อนออกอย่างนุ่มนวล ก่อนจะค่อยแทรกเข้ามา

ไอลดายังจำได้ถึงความเร่าร้อนและไรขนนุ่มๆ จากกลางสะโพกเขา สัมผัสจากส่วนซ่อนเร้นที่แทรกกระทบกับกายหล่อน ความต้องการตอนนั้น ทำให้หล่อนควบคุมตัวเองไม่ได้ ถึงกับต้องจิกกำผ้าปูเตียงไว้แน่น กรีดร้องเป็นจังหวะสั้นๆ ขณะที่เขาเคลื่อนตัวเร็วขึ้นและแรงขึ้น... และ...

เสียงประตูเลื่อนทำให้จินตนาการของไอลดาชะงัก

หญิงสาวหยุดนิ่ง กลั้นหายใจ และพยายามซึมซับความรู้สึกเสียวซ่านนั้นไว้

มีใครเข้ามาจริงๆ หรือ หรือว่าหล่อนหูแว่วไปเอง แล้วถ้าเป็นมารุตล่ะ อะไรจะเกิดขึ้น ถ้ามือที่จะแตะนวดลงมากลับกลายเป็นเขา...

ถ้ามารุตแอบเข้ามาหา ด้วยความปรารถนาและความรู้สึกเร่าร้อน อันเดียวกันกับที่หล่อนกำลังเป็นล่ะ

ไอลดาข่มใจ ปิดเปลือกตาสนิทแน่น และคอยฟังเสียง เพราะไม่คิดจะเงยหัวขึ้น หรือหยุดความตื่นเต้นทั้งหมด จากฝันกลางวันอันแสนบรรเจิด

หล่อนได้ยินเสียงก้าวเดิน เสียงส้นรองเท้าครูดกับพื้น เสียงหายใจหนักๆ

มีใครบางคนเข้ามาในห้องจริงๆ คราวนี้ความหวาดกลัวเขม็งเกลียว หญิงสาวขยับศีรษะเพื่อจะหันมอง

แต่การทุบลงกลางหลังนั่นแรงจนจุกถึงด้านหน้า ตามด้วยแรงกดมหาศาลทำให้ขยับตัวไม่ได้

ไอลดาครวญครางด้วยความเจ็บปวด พยายามดิ้นรน

“อย่าดิ้น!” ลมหายใจผ่าวร้อนแผดเสียงใส่หูหล่อน เป็นเสียงขู่คำรามที่น่าสยดสยอง

หล่อนยังพยายามขยับเพื่อหายใจให้สะดวกขึ้น แต่ยังแทบทำไม่ได้ นั่นมือหรือท่อนเหล็กที่กดทับหล่อนเอาไว้ ถึงตอนนี้เสียงที่จะกรีดร้องออกมา ก็ไม่รู้จะไปเอาจากที่ไหน

เมื่อแขนขายิ่งขยับดิ้นรน แรงกดก็ยิ่งทวีความหนักหน่วงมากขึ้น

“หยุดดิ้น ไม่งั้นมึงเจ็บตัว”

ความโกรธ การขัดขืน และสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอด เต้นระริกอยู่ทั่วตัวหล่อน แต่ก็ไม่อาจต้านทานเรี่ยวแรงมหาศาลที่กดทับลงมาได้

“หยุด...!” เสียงนั้นย้ำ พร้อมน้ำหนักที่ยิ่งมากขึ้น “หยุดดิ้นรน วางมือซะ เข้าใจไหม วางมือซะ”  ตามมาด้วยความเจ็บปวดของกระดูกซี่โครงและทรวงอกที่ถูกบดทับ “ไม่งั้นมึงตาย!!!”

ทันใดนั้น

ความปวดแปลบรวดร้าวปราดลงตรงท้ายทอย มันรุนแรงจนตาพร่า หูอื้ออึงและสมองมึนงง

ตอนที่ความมืดมิดเข้าครอบคลุมสติ ไอลดารู้เพียงอย่างเดียวว่า

หล่อนกำลังจะตาย...

*****************







Create Date : 14 มิถุนายน 2559
Last Update : 15 มิถุนายน 2559 15:59:10 น.
Counter : 593 Pageviews.

1 comment
นิยาย:บอดี้การ์ดสยบรัก:บทที่06:เป้าหมายที่ชวนสัมผัส




(อ่านง่ายสบายตากว่าตามลิงค์นี้คัรบ //writer.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=1483450  )



บทที่หก เป้าหมายที่ชวนสัมผัส



ขณะพาไอลดาไปยังเรือนรับรองแขก มารุตนึกขอบคุณความมืดและสุมทุมพุ่มไม้ที่เขาเคยสาปแช่ง

“คุณพาฉันมาที่นี่ทำไมคะ” หญิงสาวเอ่ยถาม หลังจากเขาล็อคประตูกระจกเรียบร้อยแล้ว

“ในบ้านคุณ ห้องนอนคุณ คุณจะตกเป็นเป้าหมาย แล้ว... สามีคุณติดกระจกกันกระสุน ไว้ที่เรือนเล็กนี่ด้วยหรือเปล่า”

“ไม่ได้ติดค่ะ” หล่อนไปนั่งขดบนโซฟา แลดูยังงงๆ อยู่เล็กน้อย

เขาปิดหน้าต่างบานเกล็ด แล้วไปทางห้องครัวเพื่อปิดไฟ

“ต่อไปนี้ คุณต้องช่วยเราทั้งคู่ เริ่มจากไม่ไปยืนตรงหน้าต่างอีก”

เพราะตอนนี้เสียงกระจกที่ลั่นเปรี๊ยะ พร้อมห่ากระสุนนั่น ยังดั้งอื้ออึงอยู่ในหู มันเฉียดฉิวเหลือเกิน ใกล้ความตายจนเขาเองยังตกใจ

ความคิดที่ว่า เขาเกือบสูญเสียไอลดาเหมือนอย่างที่เคยสูญเสีย วีรพล บิดาหล่อน ทำให้เขาเกือบสติแตก ก็ใครกันจะไปอดทนกับเรื่องอย่างนี้ได้ถึงสองครั้งสองครา

“แล้วนี่ ฉันจะได้กลับไปที่ห้อง ได้เมื่อไหร่”

“นั่นยิ่งอันตราย พวกมันต้องคิดอยู่แล้วว่า ยังไงๆ คุณก็ต้องกลับไปที่นั่น”

ไอลดาเอนตัวลงอย่างหมดเรี่ยวแรง แม้จะมีเพียงแสงสลัวจากภายนอก หล่อนยังเห็นแผงอกกำยำสะท้อนไหวขึ้นลงของชายหนุ่ม

มารุตมองสภาพอิดโรยของหญิงสาว แล้วก็ระบายลมหายใจยืดยาวด้วยความไม่สบายใจ ในที่สุดก็ต้องขอตัวออกไปสำรวจรอบๆ บริเวณเรือนรับรองอีกครั้ง

เมื่อออกมาอยู่ตามลำพัง แบบไม่ไกลเกินจะกลับไปช่วยเหลือคนรักของตนได้ทันที เขาก็นึกไปถึงอาการแข็งขึง ที่ไม่เคยแตกต่างไปจากเดิม ทุกครั้งที่ได้อยู่กับหล่อนสองต่อสอง ซึ่งนั่นก็ทำให้ยิ่งแสลงใจ เมื่อคิดว่ามันไม่ได้เกี่ยวข้องกับงาน กับการคุ้มครอง หรือการสืบหาสาเหตุการตายที่แท้จริงของนายวิลาศ

ส่วนการพูดคุยในเรือนกระจกตรงท่าน้ำนั่น เขาก็ยังไม่ได้ข้อมูลที่ต้องการสักเท่าไร รวมทั้งเรื่องที่ว่า ทำไมไอลดาถึงแต่งงานกับวิลาศ ก็ยังไม่ได้คำตอบ

เขาคิดว่า แบบนั้นมันเร่งรัดเกินไป หล่อนแต่งงานใหม่ก่อนจะได้คุยกับเขาอีกครั้งด้วยซ้ำ

คุณจะห้ามความรู้สึกส่วนตัว ไม่ให้เข้ามาเกี่ยวข้องกับงานนี้ได้หรือไม่

มารุตอยากจะให้เสียงบอสส์ของตน ที่ดังก้องอยู่ในหัว หยุดพูดซ้ำๆ แบบนั้นเสียที

“นายบิณฑ์อะไรนั่น มีกุญแจเข้าเรือนรับรองนี้ไหม” เขาถาม เมื่อวนกลับมาตรวจสอบสลักกลอนหน้าต่างห้องนอนชั้นล่าง

“ไม่มีทั้งนั้นค่ะ เขาไม่มีกุญแจอะไรสำหรับบ้านนี้ทั้งนั้น ฉันเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดหลังจากคุณวิลาศเสียชีวิต”

“ทำไมล่ะ” เขาถามจริงจัง เมื่อกลับมานั่งบนโซฟาตัวตรงข้าม “ผมนึกว่าการคิดร้ายกับคุณ เพิ่งเกิดขึ้น ตอนถูกรถพุ่งชนที่ริมถนนนั่นซะอีก หรือมันมีอะไรมากกว่านั้น”

“พี่นะ...หรือบริษัทประกัน ฉันก็จำไม่ได้แล้วละที่ แนะนำให้ทำอย่างนั้น คือตอนนั้นมันมืดมนไปหมด ฉันยังช็อคอยู่”

“ผม... ต้องบอกว่า”  อีกครั้ง... ที่เขาเหมือนได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง รีบลุกไปทางบานเกล็ด แง้มมันออกเล็กน้อย แล้วเพ่งมองออกไปในความมืด “การซุ่มยิงจากทางอ่าวนี่ ผมไม่เชื่อว่า เป็นฝีมือของลูกเลี้ยงคุณ” 

คนฟังสะดุ้งเล็กน้อย “ไม่ใช่ฝีมือบิณฑ์หรือคะ คุณเคยพบเขาแค่ครั้งเดียว แน่ใจได้ยังไงว่าไม่ใช่ฝีมือเขา”

“คนติดยานะลดา ไม่มีสติสัมปชัญญะจะทำอะไรได้เป็นแบบแผน หรือเป็นขั้นเป็นตอนอะไรหรอก ผมรู้ดีในเรื่องนี้... และ จำได้ไหม อย่างแรกคือ...” เขาปิดหน้าต่างบานเกล็ด เดินกลับมานั่งที่เดิม “เขาไม่ได้กลับมาเอารถ มันยังจอดอยู่ตรงนั้น”

“ที่ยิงเราเมื่อกี้ มาทางเรือนะคะ” หล่อนบอกเหมือนจะเตือนความจำอีกฝ่าย

“แต่การที่ไม่ได้กลับมาเอารถ ผมคิดว่า เขาอาจมัวแต่พี้ยาอยู่ เหมือนที่เขาทำเป็นประจำ เหมือนเมื่อคืนวานไงล่ะ”

“หรือไม่ก็ เมามากพอจะออกมาทำเรื่องร้ายๆ”

“ไม่มีคนเมายาที่ไหนจะยิงได้แบบนั้น แล้ว...ลูกเลี้ยงคุณมีเรือหรือเปล่า”

“คงไม่มีหรอกค่ะ แต่เพื่อนๆ เขาคงต้องมีแหละ”

“เพื่อนแบบที่จะยอมให้เขาใช้เรือเพื่อมายิงคุณน่ะเรอะ แหม... เข้าใจเลือกคบนะ”

หญิงสาวขยับกอดเข่าตัวเอง ก้มหน้าซุกลงไป คล้ายกำลังซ่อนอะไรบางอย่างในใจ

เขารู้ดี เช่นเดียวกับที่รู้ว่า หล่อนกำลังรู้สึกอ้างว้างและเดียวดาย

มารุตลุกขึ้นไปหยิบผ้านวมจากห้องนอน ยื่นให้ไอลดาห่มคลุม

“ขอบคุณค่ะ” คนได้รับความอาทร เงยหน้า จัดผ้าห่มให้คลุมได้ถนัด

“เล่าให้ผมฟังหน่อยได้ไหม คืนที่สามีคุณเสียชีวิต”

แม้จะอยู่ในห้องมืดสลัว เขายังเห็นสีหน้าความหวาดระแวงของหล่อนได้ชัดเจน

“ทำไมหรือคะ”

“เพราะ... ผมอยากรู้” หลายความรู้สึกทำให้น้ำเสียงเขาเข้มขึ้น นั่นรวมทั้งความรู้สึกหงุดหงิดตัวเอง ที่ไม่สามารถตั้งคำถามแบบเป็นการเป็นงาน โดยไม่มีความรู้สึกส่วนตัวเจือปน

“เพราะ... มีใครคนหนึ่งพยายามฆ่าคุณ ถ้าผมสามารถสืบหาตัวมันได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ผมก็อยากทำหน้าที่ของผมให้สำเร็จ คือหยุดพวกมัน”

หล่อนยังนิ่ง อีกอึดใจก็ขยับปากคล้ายจะพูดอะไร แต่แล้วก็เงียบไปอีก หรือว่ามีอะไรปิดบัง... อะไรกันเล่า

ระยำไหมล่ะ  เขาไม่ต้องการให้ผู้หญิงคนนี้เป็นฆาตกรรมนะ!

“เขาหลับ... แล้วก็หัวใจวาย”

“และคุณก็อยู่กับเค้าตามลำพังในตอนนั้น”

“ใช่ซี ฉันอยู่กับเขา” ไอลดาตลบผ้านวมออกจากตัว “เมื่อไหร่ฉันจะได้กลับห้อง” อารมณ์เสียเมื่อรู้สึกคล้ายกำลังถูกสอบสวน

“คุณไปไม่ได้เขาปฏิเสธเฉียบขาด ลุกไปที่ตู้เย็น “ถามจริงๆ คุณไปทำอะไรที่ห้องพักริมน้ำนั่น”

“เมื่อกี้น่ะเหรอ ก็อยากออกไปสูดอากาศ อยากให้พ้นจากห้องทำงาน ฉันเครียดน่ะค่ะ เรื่องประชุมบอร์ดบริหารพรุ่งนี้... กับ... ยังมีเรื่องอื่นๆให้คิดอีกเพียบ”

“แล้ว คุณบอกใครหรือเปล่า ว่าจะออกไปที่นั่น หรือว่าคุณทำเป็นประจำ”

“ไม่ได้บอกใครค่ะ แล้วก็ไม่ได้ทำอย่างนั้นทุกคืน”

เขาชูขวดน้ำแร่ขึ้น “เอาบ้างไหม”

“ดีค่ะ”

มารุตโยนข้ามเคาน์เตอร์มาให้ และหล่อนสามารถรับมันด้วยมือข้างเดียว

“เลิกคิดเรื่องจะไปประชุมกรรมการบริหารอะไรนั่นได้เลย” เขาบอกจริงจัง “คุณจะไปไม่ได้”

“ทำไมไม่ได้ล่ะคะ... ฉันจะไป” หล่อนย้อน บิดเปิดฝาขวดน้ำอย่างแรงจนกระฉอก

“ลดา กฎข้อแรกของการรักษาความปลอดภัยน่ะ คืออย่าทำให้ใครมาโจมตีได้ง่ายๆ อย่าไปในที่ที่มีคนรู้อยู่แล้วว่าคุณจะไป” เขากรอกน้ำลงคออึกใหญ่ “ไม่มีใครจะใช้สิทธิออกเสียงแทนคุณได้เลยหรือ”

“พี่นะ คุณมานะน่ะค่ะ ทำได้ แต่ฉันอยากไปประชุมด้วยตัวเอง” ไอลดาเลื่อนผ้านวมมาคลุมตัวอีกครั้ง “พรุ่งนี้... ไม่มีใครรู้ว่าฉันจะไปร่วมประชุม ยกเว้นพี่นะ พวกหัวข้อประชุม รายชื่อผู้เข้าร่วมประชุม ฉันโทร.หาเลขาเขาหลังจากพวกมันแก้ไขเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ พูดง่ายๆ คือ นอกจากเลขากับพี่นะ ก็ไม่มีใคร”

คำอธิบายของหญิงสาว ทำให้คนฟังต้องไตร่ตรอง

“อย่างนี้นี่เอง...”

“คือฉันต้องสืบหาให้ได้ว่า ทำไมถึงมีลายเซ็นคุณวิลาสอยู่บนเอกสารฉบับนั้น”

“แล้วนอกจากนี้ ไม่มีใครอื่นจริงๆ ใช่ไหม ที่รู้ว่าคุณจะไปร่วมประชุม” เขาย้ำถามคำถามเดิม

“ป้าแม้นค่ะ จะจัดการเรื่องคนขับ แต่ตัวคนขับเอง ก็จะยังไม่รู้ว่าไปไหน แค่ต้องมารอรับ”

“อย่างนั้นคุณก็... น่าจะไปได้”

“น่าจะ แค่น่าจะหรือคะ” หล่อนอดเคืองไม่ได้ “ที่จริง การที่คุณต้องมารับงานนี้ ก็เพื่อทำให้ฉันไปไหนมาไหนได้สะดวกไม่ใช่รึ คือเพื่อให้ฉันได้มีชีวิตต่อไปได้อย่างปกติสุข แค่นั้นแหละที่ฉันต้องการให้คุณทำ”

เขาฟังรู้ว่าหล่อนไม่พอใจ แม้จะไม่ได้เห็นสีหน้าในความมืดสลัวก็ตาม

แต่... แค่นั้นหรือที่หญิงสาวต้องการ ไม่รวมการร่วมทำนายไพ่ ไม่รวมการจูบ ไม่รวมเรื่องเซ็กซ์และความสัมพันธ์ที่เคย

แค่นั้นจริงๆ น่ะหรือ...

คือ... อย่ามายุ่งกับความลับหรือเรื่องส่วนตัวของฉัน แค่นั้นใช่ไหม

“คุณไอลดาครับ...” เขาปรับน้ำเสียงให้เป็นการเป็นงาน “...งานส่วนใหญ่ของการรักษาความปลอดภัยส่วนบุคคล คือการเตรียมพร้อมรับสำหรับทุกสถานการณ์ พรุ่งนี้คุณจะไปประชุมก็ได้ แต่คืนนี้ผมไม่อยากให้คุณเดินผ่านในที่โล่งๆ หรือไปยืนอยู่ตรงหน้าต่างห้องนอน หรือ...”

เขาหยุด ทันทีที่ได้ยินเสียงก้าวเดินตัดเฉลียงมาอย่างรวดเร็ว

“หมอบ!” เขาสั่งพร้อมดึงปืนพกแล้วกระโจนไปแอบข้างประตู “หมอบแนบกับพื้น!”

หล่อนกลั้นหายใจ ขณะเสียงเคาะกระจกอย่างเร่งร้อนดังขึ้น

“คุณมารุต คุณมารุตยังตื่นอยู่ไหม”

“นั่นเสียง ป้าแม้นนี่คะ” หญิงสาวบอกชายหนุ่ม

“อยู่นี่ครับ” เขาห้ามไอลดาไปพร้อมกัน ยังไม่ให้หล่อนขยับตัว “มีอะไรหรือป้าแม้น”

“ป้าหาคุณลดาไม่เจอค่ะ” เสียงหญิงชราตื่นตระหนก “หาดูจนทั่วแล้ว ต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่ๆ”

เขารีบปลดล็อค แล้วแง้มประตูออกไป

“เธอปลอดภัยดีครับ” เขาปลอบ เห็นชัดเจนว่า ความอกสั่นขวัญแขวนนั้นเป็นของจริง ตัวหญิงมากวัยยังสั่นด้วยความหวาดวิตก

“แน่ใจหรือคะ” หญิงชรายังเน้น “ป้าเพิ่งได้รับโทรศัพท์จากป้อมชายฝั่ง ตรงหัวแหลมนั่น เขาว่ามีการยิงกัน แล้วมีเรือเร็วแล่นผ่านเค้าไป แล้ว... พอจะไปบอกคุณลดา ก็หาเธอไม่เจอ”

“ดาอยู่ที่นี่ค่ะป้า ไม่เป็นอะไร สบายดี” ไอลดาเดินมาหยุดข้างมารุต เขาปล่อยให้หล่อนดึงประตูให้เผยกว้างขึ้น “เขาบอกว่ายังไงอีกบ้างไหมคะ”

หญิงชราถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก “โถ... คุณหนูของแม้น” หล่อนทำท่าจะเข้ามาโอบกอดหญิงสาว แต่ชายหนุ่มกางแขนกันเอาไว้

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” หล่อนผลักมือเขาออกเบาๆ “ใจเย็นๆ นะคะป้าแม้น ไม่มีอะไรร้ายแรง” ตัวหญิงชรายังสั่น ตอนที่ทั้งคู่โอบกอดปลอบโยนกัน

“สาธุ! นี้เพราะบุญรักษาแท้ๆ นะคะ แม้นกลัวไปหมด ตัวว่าจะต้องเสียคุณไปทั้งคู่”

แวบหนึ่ง มารุตเผลอคิดว่า หญิงชราหมายถึงตนกับไอลดา ก่อนจะเข้าใจว่า ที่จริงหล่อนกำลังพูดถึงหญิงสาวและนายวิลาศผู้ล่วงลับ

“มีอะไรอีกไหมคะป้า จากยามที่หัวแหลม” ไอลดาเริ่มคำถามเดิม “เรื่องการยิงอะไรนั่น”

ริมฝีปากของหญิงชรายังสั่น ตอนหล่อนเริ่มพูด “พวกนั้นโทร.มา บอกว่าอาจมีไอ้พวกมืออยู่ไม่สุข แอบเข้ามาในอ่าวของเรา อาจเป็นพวกเด็กวัยรุ่นหรือขี้เมา เอาปืนลมมายิงใส่บ้านหรือเรือละแวกนี้ เขาเลยโทร.บอกทุกบ้านให้ระวังตัว”

นั่นไม่ใช่กระสุนบีบีกัน หรือปืนลมบ้าบออะไรเด็ดขาด

“เขาว่างั้นจริงๆ เหรอป้า” ผู้เป็นนายเอ่ย ไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยินเหมือนกัน “วันรุ่นที่ไหน จะมีปัญญาขับเรืออ้อมแหลมมา ยิงปืนลมใส่บ้านแถวๆ นี้”

แล้วดวงตาของหญิงชราก็เบิกกว้าง เมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้

“หรือว่า... หรือว่าคุณอยู่ตรงนั้น ตอนที่พวกมันยิง!”

“ก็... ใช่ค่ะ แต่ดาไม่เป็นไร เราปลอดภัยดี”

“เธอไม่เป็นไรครับป้าแม้น แต่คุณหนูของป้า จะต้องอยู่ที่นี่คืนนี้” มารุตบอกแกมบังคับ

ไอลดาอาจคิดจะโต้แย้ง แต่แล้วก็พยักหน้าเนือยๆ “ป้าไปพักผ่อนเถอะค่ะ ล็อคประตูบ้านให้เรียบร้อย แล้วก็เปิดสัญญาณกันขโมย คุณรุตจะเดินไปส่งนะคะ”

หญิงสาวหันมองชายหนุ่ม ก่อนยืนยันกับหญิงชราว่า

“ดาจะอยู่ที่นี่ จะปลอดภัยอยู่ที่นี่ค่ะป้า”

แล้วเขาก็ก้าวพ้นระเบียงออกไป พร้อมกับแม่บ้านผู้จงรัก ก่อนจะไกลเกินได้ยิน ชายหนุ่มยังหันมากำชับว่า “อย่าไปไหนทั้งนั้น จนกว่าผมจะกลับมา”

จากนั้น ในเวลาไม่ถึงสองนาทีที่เขากลับมา บอดี้การ์ดมือต้นๆ ของบลูแคทก็พบว่า ประตูหน้าเรือนรับรองแขกถูกปิดล็อค รวมทั้งหน้าต่างทุกบานก็ปิดสนิทแน่นหนา เขามองเข้าไปภายใน โซฟาว่างเปล่า ผ้านวมก็หายไปพร้อมกับหญิงสาวเจ้าของบ้าน

มารุตนึกขัน... ยังกับว่า แค่นี้จะขวางกั้นเขาได้งั้นหรือ


“นั่นคุณคิดจะทำอะไร!”

ไอลดาสะดุ้ง เมื่อได้ยินเสียงถามอย่างเฉียบขาด หล่อนหันไปในความมืด ต้นเสียงเห็นเป็นเงาตะคุ่มอยู่บนพื้นปลายเตียง ขณะที่ตอนนี้หล่อนยืนอยู่ตรงเครื่องปรับอุณหภูมิ

คงใกล้สว่างเต็มที...

“ก็ฉันหนาว... จะแข็งตายอยู่แล้ว” หญิงสาวพูดกับความมืด หันเหสายตามาจดจ้องกับตัวเลขบอกอุณหภูมิ  “แค่สิบห้าองศา จะบ้าหรือเปล่า”

“มันเป็นอุณหภูมิที่เหมาะกับคนทั่วไป” เขาขยับตัวลุกขึ้นนั่ง เพื่อจะมองเห็นหล่อนได้ทั้งตัว สายตาเขาปรับได้ดีในความมืด แต่ก็นั่นแหละ ที่จริงเขายังไม่ได้หลับสนิท โดยเฉพาะบนพื้นแข็งๆ ตรงปลายเตียงอย่างนี้

“คนทั่วไป คนเอสกิโมทั่วไปน่ะสิ” ไอลดากดปุ่มอีกหลายครั้ง แล้วเสียงการทำงานเบาๆ ของเครื่องปรับอากาศก็หยุดลง ในห้องกลับมาเงียบสงัด

“มานี่สิคุณ” เขาเอ่ยขึ้นง่ายๆ

หญิงสาวยืนนิ่ง ก้มลงหยิบผ้านวมที่ยังพันตัวอยู่ครึ่งเอว “...เกือบสว่างแล้ว ฉันคิดว่า ฉันน่าจะกลับไปที่ห้องบนตึกใหญ่ได้แล้วละมั้ง”

“มานี่สิ” เขาเรียกซ้ำ เหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่หล่อนพูด “ชุดนอนบางๆ แถมขาสั้นกุดแค่นั้น กับเท้าเปล่าๆนั่น มาตรงนี้ ผมจะทำให้คุณหายหนาว”

ก่อนจะทำตามคำสั่ง ไอลดากระชับผ้าห่มนวมผืนโตให้ตัวเองอย่างรัดกุม ราวกับมันจะเป็นเกราะป้องกันชั้นเลิศ แล้วค่อยเดินไปนั่งบนโซฟา ใกล้ๆ กับที่เขายังนั่งอยู่กับพื้น

“คุณได้หลับหรือเปล่า” หล่อนถามเบาๆ

“ก็แค่พักสายตาบ้าง”  เขาตบพื้นข้างตัว “มานั่งนี่สิ  ผมรู้ว่าเท้าคุณต้องเย็นเหมือนแช่น้ำแข็งแน่ๆ”

ไอลดานั่งลงบนโซฟา ขณะจะชักเท้าขึ้นพับไว้ใต้ผ้านวม เขาก็คว้ามันเอาไว้ ดึงไปวางบนหน้าตักของตัวเอง

“หรือไม่ คุณก็น่าจะสวมถุงเท้าสักหน่อย”

“ฉันไม่ได้คิดว่า จะต้องมาอยู่ในห้องที่เย็นยะเยือกขนาดนี้นี่นะ ในห้องข้างบนนั่น แค่ยี่สิบห้าองศาก็หนาวจะแย่แล้ว”

“จุ๊ๆ” เขาขยับให้ถนัด เพื่อนวดผิวหนังอ่อนนุ่มตรงหลังเท้าทั้งสองข้างของหล่อน ความร้อนจากมือใหญ่สร้างความอบอุ่นให้ผิวหนังเย็นเฉียบของหญิงสาว “...อย่าเพิ่งพูด...”

“ทำไมล่ะ”

“ก็ผม... กำลังพักสมอง”

ดูท่าเขากำลังจดจ่ออยู่กับการนวดเท้าเพิ่มความอบอุ่นให้หล่อนจริงๆ  และน่าจะพร้อมกับพยายามห้ามปฏิกิริยา... อาการแข็งเกร็งของกล้ามเนื้อส่วนสำคัญของตัวเอง

“รุต...”

“หืมม์”

“ทำไมคุณถึงรับงานนี้คะ” น้ำเสียงหล่อนคล้ายกำลังล่องลอยในความฝัน

นิ้วมือใหญ่ๆ ของเขาหยุดนิ่ง

“อย่าหยุดสิ” ไอลดาขยับนิ้วเท้า “มันไม่ใช่ความบังเอิญ ใช่ไหมล่ะ” ประโยคท้ายวกกลับไปที่คำถามเดิม

เขาคลึงหัวแม่มือเป็นวงกลมบนส่วนนูนของหลังเท้า ผิวหนังหล่อนเนียนเรียบน่าสัมผัส และไม่ตอบคำถาม

“เพราะที่จริง ฉันไม่เคยเจอกันต่อหน้ากับคุณรัญญา บอสส์ของคุณ เลยพูดไม่ได้เต็มปาก” ไอลดาพูดต่อ “แต่ทายได้เลยว่า สิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นจัดการ ต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญ”

เขาเลื่อนมือขวามาตรงข้อเท้าหล่อน มันเนียนละเอียด เรียวงาม และนุ่มละมุน

“คุณ... วิเคราะห์ได้ดี”

“ฉันว่าเธอไม่ได้ทำแบบว่า... เปิดรายชื่อพนักงาน แล้วหลับตาจิ้ม เอาชื่อใดชื่อหนึ่งของพวกแอดเวนเจอร์ พอลืมตาแล้วบอกว่า ‘โอ้ มารุต เป็นโชคดีของคุณ’ อะไรประมาณนั้น”

มุกนี้ทำให้ชายหนุ่มขำเบาๆ “โชคร้ายต่างหาก กับความร้อนแบบหัวจะแตกแบบนี้ ผมบอกบอสส์ไปแล้ว ผมไม่ชอบความร้อนชื้นเหนียวเหนอะหนะ”

มือของมารุตเลื่อนสูงขึ้นจนถึงท้องน่อง อีกส่วนที่เขาหลงใหล กล้ามเนื้อมัดนุ่ม มันทรงเสน่ห์ยิ่งชวนมองตอนหล่อนสวมรองเท้าส้นสูง

“แล้วไม่ได้คุยเรื่องลูกค้าหัวดื้อเหรอคะ”

“อันดับแรกเลยนะ คุณคือผู้ว่าจ้าง ไม่ใช่ลูกค้า” เขาเปลี่ยนไปยังเท้าอีกข้างและนวดในแบบเดียวกัน “อันดับสองคือ คำว่า หัวดื้อ ไม่น่าจะใช่คำจำกัดความของตัวคุณเอง”

หล่อนถอยตัวลึกเข้าไปในผ้าห่มนิดหนึ่ง นั่นทำให้เขาถือโอกาสเลื่อนมือสูงขึ้นอีก

“คุณกำลังมองหาอะไร... การขอโทษ หรืออะไรคะ”

คำถามนี้กระทบใจพอจะทำให้เขาถอยมือกลับไปใกล้ข้อเท้าเหมือนเดิม

“ไม่ใช่...” เขาเอ่ยช้าๆ “เพราะผมรู้ดีว่า คุณจะไม่ยกโทษ”

เขาเคยอ้อนวอน วิงวอนมาก่อนหน้านี้ คราวนั้น... หรือว่านั่น เขาไม่ได้เสียน้ำตากันเล่า

“อย่างนั้น... ถ้างั้นแล้วทำไมล่ะคะ”

“มันไม่ได้มีความหมายอะไรพิเศษหรอกลดา” เขาเลื่อนมือขึ้นลง คราวนี้คล้ายหลุดพ้นจากการควบคุมของศีลธรรมจรรยาใดๆ “ผมเลิกหวังให้คุณยกโทษให้ นานแล้ว”

“หรือคุณไม่คิดว่า เราจะมีโอกาสอีกสักครั้ง...” หล่อนถามเสียงแผ่ว

“ตอนนั้น คุณต้องเป็นทนายความที่ดีได้แน่ๆ เลยนะลดา แต่ทำไมถึงล้มเลิก” มารุตเปลี่ยนเรื่อง รู้สึกถึงกล้ามเนื้อที่เกร็งขึ้นจากความรู้สึกบางอย่าง

“นี้เราไม่ได้คุยเรื่องของฉันอยู่นะคะ เรากำลังพูดถึงเรื่องของคุณ”

“ไม่... นี่เราไม่ได้คุยอะไรกันสักหน่อย มันแค่...การ... โอภาปราศรัย เป็นแค่... การทักทายอรุณสวัสดิ์” คำท้าย เขาเหมือนยอมแพ้ความต้องการของตัวเอง เลื่อนมือขึ้นไปยังขาพับหลังเข่าของหล่อน มันนุ่มราวกำมะหยี่ “ใช่ไหม... นี่แค่เรากำลังพักผ่อน”

“เซ็กส์” ไอลดาพึมพำ แผ่วเบาจนอีกฝ่ายแทบไม่แน่ใจ

“เซ็กส์...” เขาทวนคำพูด “หรือว่านี่คือคำสั่ง...”

คนฟังเกือบหัวเราะ “มันคือเหตุผล ที่คุณรับงานนี้หรือเปล่าล่ะคะ พอคุณรู้ว่าเป็นฉัน คุณก็...อยาก... รื้อฟื้น...”

มารุตกลืนน้ำลาย พยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ “เปล่า... ไม่ใช่เหตุผลนั้น และผมต้องขออภัยล่วงหน้าที่ทำให้คุณผิดหวัง” ทั้งที่ทั้งคู่ต่างรู้ดี สิ่งที่เขาพูดออกมา ตรงข้ามกับอาการรัดรึงตึงแน่นตรงระหว่างขาของชายหนุ่มอยู่ชัดๆ

“ฉันก็รู้ค่ะ ว่าคุณต้องโอเค” หล่อนแกล้งเขาด้วยการทิ้งน้ำหนักเท้าลงบนตักเขามากขึ้นอีกเล็กน้อย

ชายหนุ่มอมยิ้มอยู่ท่ามกลางความมืด “ผมโอเค เพราะเสน่ห์ผมมากล้นจนผู้หญิงอดใจไม่ไหวทั้งนั้นละ”

“แต่ฉันอดใจไหว”

คราวนี้เขาถอนหายใจหนักๆ  “ก็... ไม่นานหรอก...”

ไอลดาไม่อยากเสียเวลากับการเถียงกัน เกี่ยวกับเรื่องนี้อีกต่อไป เพราะปฏิกิริยาทางกายของทั้งคู่ มันฟ้องอยู่ชัดๆ ว่าแท้จริงแล้ว ทั้งสองคนกำลังรู้สึกเร่าร้อนถึงขนาดไหน

มันไม่เคยลดลงไปเลยด้วยซ้ำ ตั้งแต่หล่อนไปพักอยู่กับบิดา เพื่อสะดวกไปเรียนที่คณะนิติศาสตร์ เมื่อห้าปีก่อน

“จำไม่ได้หรือคะ ฉันเคยชนะคุณหลายครั้ง เพราะฉันอดทนกว่า”

“อ้อ... ใช่สิ เหมือนตอนที่คุณโวยวาผมกับป๋า ที่คุยกันเสียงดังจนคุณอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง”  เขาพูดถึง ‘ป๋า’ ซึ่งหมายถึงนายวีรพล บิดาผู้ล่วงลับของหญิงสาว

“คุณจำได้

“ถามราวกับว่า ผมจะลืมได้ยังงั้นแหละ” ความทรงจำนั้น ตราตรึงอยู่ในหัวใจเขาเสมอ ซึ่งมันหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกช่วงเวลา ทุกรสสัมผัส ทุกส่วนสัดของร่างกาย…

เรือนผมดำสลวย ลำคองามระหง ทรวงอกเด่นสล้าง เอวและสะโพกที่น่าอัศจรรย์ กระทั่งท่อนขาเรียวงาม...

จะว่าอะไรไหม ถ้าผมจะชวนน้องสาวคุณมา ‘เล่นสนุก’ ด้วย

เขายังคงจำได้ถึงตอนที่เอนตัวพิงขาเก้าอี้ จิบเบียร์ และเกิดความปรารถนาดิบๆ กระทั่งกล้าเอ่ยปากเช่นนั้น

ไม่มีน้องสาวอะไรที่ไหนค่ะรุต ตัวฉันคือตัวฉัน...

“คุณแกล้งให้ผมเสียสมาธิ” เสียงเขาแหบแห้ง การบังคับความรู้สึกตัวเองเลือนรางยิ่งกว่าครั้งไหน มือเลื่อนคล้ายคนไร้สติ สูงขึ้นไปยังต้นขาของหญิงสาว รับรู้ถึงความร้อนผ่าวตลอดแนวสะโพกของอีกฝ่าย

มารุตสัมผัสได้ถึงจังหวะชีพจรใต้ผิวเนื้อของไอลดา ซึ่งเข้ากับจังหวะเต้นของหัวใจเขา หล่อนขยับขาข้างที่ยังวางอยู่บนหน้าตัก คลึงเคล้า... ทำให้เขายิ่งแข็งขึงยิ่งขึ้น

“สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับทุกเรื่องราวก็คือ...”  หญิงสาวเอ่ยขึ้นอย่างเรียบง่าย “...สักวันมันต้องถึงจุดจบ”

จุดจบ...

คืนนั้นน่ะหรือ ค่ำคืนอันโศกเศร้าและมืดมน เมื่อหญิงสาวทะเลาะกับบิดาอย่างรุนแรง วีรพลชกฝาผนังจนเลือดโชกไปทั้งหมัด แล้วผลุนผลันจากไป พร้อมความโกรธเกรี้ยวมารุตอย่างที่สุด

ความเงียบเข้าครอบงำทั้งบริเวณอีกครั้ง กระทั่งอีกครู่หนึ่ง ไอลดาจึงค่อยเอ่ยขึ้น

“ถ้าคุณไม่คิดจะมาทำดีไถ่โทษ หรือกลับมาคบกับฉันอีก หรือจะมาทำอะไรแบบที่เคยๆ แล้วคุณจะรับงานนี้ทำไม”

“ถ้าคุณไม่คิดจะมาทำดีไถ่โทษ หรือกลับมาคบกับฉันอีก หรือจะมาทำอะไรแบบที่เคยๆ แล้วคุณจะรับงานนี้ทำไม”

เขาไม่คิดบอกความจริง เรื่องจุดประสงค์แท้ๆ ของการรับงานนี้ ที่ว่าบริษัทประกันชีวิตคิดว่าหล่อนคือ ผู้ต้องสงสัย

“เรื่องง่ายๆ บอสส์บอกว่าคุณต้องการบอดี้การ์ด  และผมก็รู้จักคุณอยู่แล้ว บอสส์ผมฉลาดเป็นกรด เธอทำงานในกรมสืบสวนคดีพิเศษมาก่อน ความสามารถนั่น น่ากลัวกระทั่งกับพวกเรากันเอง หรือไม่บอสส์อาจคิดได้ว่า...”

“รุตคะ อย่าเฉไฉ ฉันไม่ได้ต้องการรู้ประวัติเจ้านายคุณ ฉันถามถึงการตัดสินใจของคุณ” ไอดลายกเท้าออกจากตักเขา ปล่อยให้ชายหนุ่มอ้างว้างอยู่ในความรู้สึกของตัวเองอีกครั้ง “ถ้า... หมายถึงรัญญารู้ทุกอย่าง ก็... ต้องรู้ว่าเราเคยเป็นคู่รักกัน... และเราเลิกกันยังไง ทำไมถึงต้องเลิก  และ... ถ้าเป็นงั้น ทำไมถึงเลือกให้คุณมาคุ้มครองฉันล่ะ...”

หล่อนยกมือห้าม เมื่อเขาจะแทรก

“...และ ถามอีกครั้งนะคะ ทำไมคุณถึงรับงานนี้”

อีกไม่นานมันจะจบ ไอลดาบอกตัวเอง หากเขาไม่มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับการตายของนายวิลาศ หล่อนก็คงเลิกจ้างเขาจริงๆ

มารุตดึงขาหล่อนกลับมาหน้าตาเฉย ใช้มือลูบท้องน่องของหญิงสาวอย่างไม่เกรงใจ

“ใจเย็นๆ ลดา...อย่าลืมสิ นี้เราแค่กำลังคุยกัน ฉันเพื่อน...”

“ฉันใจเย็นอยู่ค่ะ สงบเย็นดีอยู่”

“แต่ผมไม่” เขาห่ามกระทั่งกล้าเลื่อนฝ่าเท้าของหญิงสาว มาสัมผัสกับแก่นกายของตัวเองตรงๆ

มารุตได้ยินหล่อนถอนหายใจ ก่อนบอกว่า

“อย่าเปลี่ยนเรื่องสิคะ ฉันรู้นะ คุณกำลังปิดบังอะไรบางอย่าง”

“ไม่เลย...” เขาขยับสะโพก ปล่อยให้ความแข็งขึงดันขาหล่อน จากนั้นก็โน้มตัวเข้าใกล้ “ถ้า... มีใครกำลังปิดบังอะไร ก็ต้องเป็นคุณนั่นละ ลดา”

“ฉันก็เปล่า...”

“เปล่ามือที่เริ่มซุกซน ไต่เลาะไปถึงขอบขากางเกงนอนผ้ามันเนื้อนุ่มตรงช่วงสะโพก

“ใช่ค่ะ  เปล่า... ฉันไม่มีอารมณ์ร่วมอะไรกับสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่นี้เลยสักนิด” หล่อนเปลี่ยนเรื่องไปอีก

“ไม่มีอารมณ์ จริงรึ” เขาแกล้งถามเสียงสูง นิ้วซอนไปถึงขอบชั้นในแนบเนื้อ “ผมว่าคุณเครื่องร้อนจะพร้อมจะทะยานสู่สวรรค์แล้วด้วยซ้ำ”

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นใกล้ๆ ตัวหล่อน ไอลดายกหู สายตายังจ้องหน้ามารุต “คุณยังไม่ตอบฉันนะคะ ทำไมถึงรับงานนี้... และ... สิ่งที่คุณกำลังทำอยู่นี่ ก็แค่พิสูจน์ว่าฉันก็เป็นผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง มีเลือด มีเนื้อ มีความรู้สึก”

แต่เขายังไม่ตอบ พยักให้หล่อนคุยโทรศัพท์ให้เสร็จ

“เช้าเกินไปไหมลี่...”  ไอลดาทั้งโกรธทั้งขอบคุณที่เพื่อนสนิทโทร.เข้ามาขัดจังหวะ

ไอลดาปรับลมหายใจ พยายามผ่อนคลายร่างกายให้เยือกเย็นลง หากนานไปกว่านี้สักนาที หล่อนคงพ่ายแพ้ ยอมให้เขากระทำเอาแต่ใจ

“เอ๋!... ลดา... เธออยู่ในเรือนรับรองแขกรึ” บราลีทำเสียงสูงอย่างมีเลศนัย “มันไม่เช้าเกินไปหน่อยหรือไงจ๊ะ”

“นี่หกโมงเกือบครึ่ง และเธอก็ตื่นแล้ว” ไอลดาย้อนเพื่อน เลื่อนเท้าหนีความแข็งแกร่งของแก่นกายชายหนุ่ม “เธอโทร.มาก่อน แสดงว่า... ตื่นก่อน”

มารุตหลิ่วตา เป็นเชิงบอกว่า ให้พูดธุระจริงจังกันเสียที

“เมื่อคืนมีเรื่องนิดหน่อยน่ะลี่” ไอลดาเอ่ย อย่างพยายามไม่ให้อีกฝ่ายเห็นเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย  “ฉันเลยต้องค้างที่นี่ เพื่อความปลอดภัย”

ก็ไม่ใช่หล่อนจะปลอดภัยนักหรอก ที่อยู่ที่นี่

“แม้นบอกแล้วละ” เสียงบราลีแหบเครือราวสูบบุหรี่หนักมาทั้งคืน “แม้นยอมเล่า เพราะฉันขู่เรื่องจะไม่รับหลานสาวเข้าทำงาน  ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

ไอลดาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เพื่อนสนิทฟัง แต่ไม่ได้เล่าเรื่องทายไพ่ทาโร่ และสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น

“ไอ้บ้านั่นยิงเธอจากในอ่าวรึ” เสียงนั้นแตกพร่าจากทั้งโกรธและตกใจ “มันบ้าไปแล้ว บ้าจนคลั่ง!”

“ฉันไม่รู้ นี่ยังดีใจ ที่มีคุณรุตอยู่ด้วย”

“ฉันก็ว่างั้นแหละ” บราลีเน้นเสียง “แล้ว... ตอนนี้พ่อบอดี้การ์ดล่ำบึ้กอยู่ตรงไหนล่ะ ข้างบนหรือว่าข้างล่าง”

“ไม่ใช่ทั้งสองอย่างแหละย่ะ” ไอลดาเน้นเสียงกลับไปเหมือนกัน พร้อมขยับออกห่าง จนไม่รับรู้ถึงกระไอร้อนผ่าวของกันและกัน เปลี่ยนเรื่องถามเพื่อนบ้างว่า “แล้วเธอล่ะ เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงตื่นเช้าขนาดนี้”

“พี่นะน่ะสิ ไม่ยอมหลับยอมนอน นี้เตรียมเอกสารการประชุมบอร์ดอยู่จนสว่างคาตา”

“ฉันจะไปด้วยนะลี่” ไอลดาบอกง่ายๆ “พี่นะไม่ต้องออกเสียงอะไรแทนฉัน”

แล้วคนพูดก็ได้ยินเสียงถอนใจผ่านเข้ามา “งั้นก็แย่ซี...”

“ทำไมล่ะ”

“ก็ฉันนัดเซบาสตี้ไว้ให้เธอ แล้วบ่ายๆ มาร์ค จาค็อบส์ จัดงานเปิดตัวคอลเลคชั่นใหม่ บนสตาร์ควีน หรือ... หรือ... หรือ... มีอีกสักยี่สิบเหตุผลนั่นแหละ ที่บอกว่าทำไมถึงบอกว่าแย่ จริงๆ นะลดา วันนี้ฉันอยากอยู่กับเธอทั้งวัน”

“แต่ฉันต้องไปประชุม มันสำคัญมาก”

“ลดา แต่ฉันต้องมีเธอเป็นเพื่อนนะ ความเป็นเพื่อนของเรา สำคัญที่สุด”

คนฟังรู้สึกผิดขึ้นมาเหมือนกัน คนปลายสายคงเสียความมั่นใจไปไม่น้อย เพราะนี่จะเป็นครั้งแรกที่หล่อนปฏิเสธการคะยั้นคะยอ

กระนั้น ลายเซ็นลึกลับนั่นยังติดตา มันเป็นลายเซ็นปลอมแน่ๆ หรือว่าจะเล่าเรื่องนี้ให้บราลีฟัง... ไม่ได้สิ

เพราะทั้งเพื่อนหล่อนและมานะ จะรีบค้นหา ไก่อาจตื่น คนผิดอาจไหวตัวทัน แล้วหายเข้ากลีบเมฆไปง่ายๆ

“เราต้องได้เจอกัน” หญิงสาวไม่ชอบเลยกับการตอบแบบขอไปทีอย่างนี้ “นะลี่ ขอฉันจัดการเรื่องยุ่งๆ ให้เรียบร้อยสักหน่อย คืนนี้แล้วกัน... มาเจอกันที่บ้านนี้ หาหนังสนุกๆ ดูกัน ฉันจะชวนป้าแม้นด้วย โทร.สั่งไก่ทอดกับพิซซ่า จำได้ไหม ครั้งที่แล้วเราสนุกกันขนาดไหน”

“ไม่ได้สิ คืนนี้ฉันมีงานเลี้ยง ต้องออกไปกับพี่นะ”

นั่นเป็นคำศักดิ์สิทธิ์ ‘ฉันนัดกับพี่นะไว้แล้ว’ ไอลดารู้ว่า หมดเหตุผลจะโต้แย้ง

“งั้นก็คืนพรุ่งนี้”

“ติดอีกปาร์ตี้นึง ไม่แน่ใจว่างานใคร แต่ก็ต้องไป”

“ใช่ ฉันหมายถึงงานเดียวกันนั่นละ งานระดมทุนเพื่อสร้างโรงพยาบาลเด็ก” หญิงสาวช่วยเตือนความจำเพื่อนสนิท “ฉันส่งเช็คไปบริจาค แต่จะไม่ไปร่วมงาน”

“แต่... พี่นะเขาอยากไปน่ะสิ” ปลายสายระบายลมหายใจยืดยาว “งั้นก็... ช่างเถอะลดา มันก็ต้องมีบ้างแหละที่เราต่างคนต่างยุ่ง จริงๆ นะ ฉันแค่อยากเจอเธอแค่นั้นเอง”

“ลี่ ฟังนะ ฉันจะรีบจัดการธุระให้เรียบร้อย แล้วจะโทร.หาเธอ ไม่เกินบ่ายๆ”

“ก็... ต้องอย่างงั้นแหละ” ฟังก็รู้ว่าบราลีฝืนใจยอมรับ

“ขอโทษจริง ๆ นะ ลี่ บ่ายๆ ฉันจะโทร.หา ฉันสัญญา”

“แต่ มือถือฉันอาจไม่มีสัญญาณ ตอนอยู่ในงานบนเรือ แต่เธอลองโทร.มาก็แล้วกัน”

รอจนสายตัด ไอลดาจึงค่อยวางหูฟังลงบนแป้น แสงทองทอทาบขอบฟ้า เวิ้งอ่าวระเรื่อเรืองเป็นสีทองชมพูสุกปลั่ง มวลเมฆซ้อนสลับ สอดแทรกสีสันสารพันตระการตา

“มีบางอย่างผิดปกติค่ะรุต เกี่ยวกับลี่...”

หล่อนบอกมารุต หลังจากเงียบไปอึดใจใหญ่

“ผมรู้ตั้งแต่แรกที่ได้เจอกับเธอแล้วละ” เขาลุกขึ้นยืน ก้มมองหล่อน ท่อนกลางของร่างกายอยู่ตรงหน้าหญิงสาวพอดี แต่เวลานี้มันไม่เหลือความเร่าร้อนหรืออารมณ์ปรารถนาอันใด  “คุณอาจไม่อยากให้ผมพูดอย่างนี้ แต่ว่า...”

ไอลดายกมือห้าม “งั้นก็ไม่ต้องพูดสิคะ”

“แต่... เธอไม่ใช่เพื่อนของคุณหรอกนะ” เขายังพยายาม ทำสิ่งที่ควร คือ เตือนสติ

คนฟังส่ายหน้า ก็อย่างนี้เสมอ ชายหนุ่มจะอิจฉาทุกครั้งที่ใครมาสนิทสนมกับหล่อนมากกว่าเขา ไอลดาคิดในใจ

แม้กระทั่งพ่อของหล่อนเอง...

หญิงสาวจะลืมสิ่งนั้นได้อย่างไร

และ...

หล่อนมาถึงจุดที่เกือบจะเปิดเผย เกือบจะไว้ใจเขาอีกครั้งได้อย่างไร...

เกือบจะ...

ใจเย็นๆ เธอต้องมีสตินะไอลดา

หญิงสาวบอกตัวเอง... ไม่แน่ใจเลยสักนิดว่า สิ่งที่หมิ่นเหม่จะเกิดขึ้นนั้น

มันเป็นเรื่องที่หล่อนจะหลีกพ้นมันไปได้... หรือไม่....

************************




Create Date : 14 มิถุนายน 2559
Last Update : 15 มิถุนายน 2559 15:58:55 น.
Counter : 745 Pageviews.

1 comment
นิยาย:บอดี้การ์ดสยบรัก:บทที่05:ต้องดมกลิ่นอะไร?


(อ่านง่ายสบายตากว่าตามลิงค์นี้คัรบ //writer.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=1483450  )

บทที่ห้า

ต้องดมกลิ่นอะไร

มารุตเปิดประตูห้องนั่งเล่นของเรือนรับรองแขก เพื่อให้ตัวเองได้ยินเสียงผิดปกติชัดเจนขึ้น ความเหนียวเนอะของอากาศปลายเดือนมีนาคม ทำให้เขาตัดสินใจถอดเสื้อออก ผึ่งกับพนักเก้าอี้โต๊ะรับประทานอาหาร

ในความเห็นของชายหนุ่ม การเสียสละสูงสุดของการอยู่ในอาชีพบอดี้การ์ดคือการต้องนอนสวมเสื้อผ้า  และในสถานที่ที่อากาศร้อนๆ ชื้นๆ แบบริมทะเลอย่างนี้ มันคือความทรมาน

เขาหยิบน้ำขวดเย็นเฉียบจากตู้เย็น เดินมายืนอิงเคาน์เตอร์ห้องครัว  เปิดคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปเพื่อตรวจทานรายละเอียดในอีเมล์ที่จะส่งไปหาผู้ช่วยของรัญญา หล่อนชื่อไรวัลและจะจัดการเรื่องอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้ในงานคุ้มครองไอลดา

ไรวัลเก่งอย่างน่าทึ่ง คิดว่าบลูแคทอาจอยู่ไม่ได้ด้วยซ้ำ ถ้าขาดผู้ช่วยอัจฉริยะคนนั้น

ส่งอีเมล์เสร็จ เขาก็เดินสำรวจไปทั่วเรือนรับรองแขก มองลอดหน้าต่างไปทางตัวคฤหาสน์ เพื่อนับจำนวนแสงไฟที่ส่องสว่าง

หล่อนจะเข้านอนตอนไหน... เวลานี้มีแค่ห้องทำงานและห้องนอนที่ยังเปิดไฟ

หวังว่าไอลดาจะปิดล็อคประตูทุกบานเรียบร้อยแล้ว หลังจากเมื่อตอนห้าทุ่ม ที่เขาเช็คซ้ำอีกครั้ง ก่อนมายังเรือนรับรอง

นี่ก็เที่ยงคืนแล้ว

มารุตหยิบรีโมทโทรทัศน์ อยากเปิดดูกีฬาแต่ก็กลับวางมันลง ลองเปิดหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น ผ่านไปครึ่งหน้าก็รู้สึกมีลางสังหรณ์บางอย่าง ดึงความสนใจไปยังประตูที่เปิดแง้มไว้

ไม่ถึงสิบวินาที เขาก็ฉวยปืนมาเหน็บเอว เดินผ่านเฉลียง ตรวจดูที่ประตูและหน้าต่าง

สำรวจสนามหญ้าส่วนที่ตกอยู่ในเงามืด แล้วเดินไปรอบตัวคฤหาสน์อย่างช้าๆ

เท้าเปล่าบนผืนหญ้าเปียกชื้นทำให้เขาปฏิบัติการได้อย่างเงียบเชียบ การแฝงตัวไปตามพุ่มไม้หรือไม้ยืนต้นต้นใหญ่ ไม่ยากเลยกับผู้มีทักษะระดับเขา

ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ

กลิ่นหอมเอียนๆ ของดอกไม้กลางคืนก็ยังเหมือนเดิม อากาศอบอ้าวเหนอะหนะก็เช่นกัน

เขาปาดเหงื่อที่หน้าผาก ย้อนกลับไปด้านหลังคฤหาสน์ เงยมองระเบียงด้านห้องนอนของไอลดา

หล่อนยังอยู่ในห้องนั้นหรือเปล่า

อาบน้ำ...

กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า...

หรือ กำลัง... เปลือยเปล่า

อยู่ๆ ส่วนสำคัญของร่างกายเขาแข็งเกร็งขึ้น อยากจะดีดให้ช้ำ ทว่าก็ได้แต่ทำใจ การได้มาอยู่ใกล้คนที่เคยรักสุดหัวใจ แบบแตะต้องไม่ได้ แค่นี้ก็ทรมานมากเกินไปแล้ว

มารุตตรวจล็อคของประตูหน้าต่างทุกบ้านอีกครั้ง มันปิดแน่นสนิทอย่างที่หวัง เขาค่อยตรวจไปทีละส่วน.. ห้องรับแขก ห้องนั่งเล่น ห้องรับประทานอาหาร ห้องสันทนาการ ห้องครัวหลัก ห้องเตรียมอาหาร ทว่า... ห้องซักผ้า... ประตูเปิดกว้าง!

“ระยำแล้วไง!”

เขาสบถ ก้าวตรงเข้าไปทันที

เลี้ยวไปทางห้องครัวใหญ่ ซึ่งสว่างเรืองๆ อยู่ด้วยหลอดไฟฮาโลเจนใต้พื้นเคาน์เตอร์หินแกรนิต

ไม่สบอารมณ์เลยสักนิด ระหว่างมุ่งตรงไปห้องทำงาน ซึ่งอยู่ด้านหน้าของตัวบ้าน แอบหวังว่าจะเป็นไอลดาที่อยู่ในนั้น

เขาเดินผ่านห้องนั่นเล่นกว้างขวาง ตลอดทางเดินอาบไล้ด้วยแสงสีฟ้าจากตู้ปลาขนาดยักษ์ที่ฝังไว้ในผนังด้านหนึ่ง แล้วก็เดินอ้อมโต๊ะรับประทานอาหารแบบยี่สิบหกที่นั่ง

                มารุตหยุดหลังประตูห้องทำงาน รอฟังเสียงจากข้างใน อาจเป็นเสียงเลื่อนลิ้นชัก กดแป้นพิมพ์ หรืออะไรก็ตามที่ต้องใช้แรงคน

                ใจเต้นเร็ว ขณะรอ... แต่ไม่มีเสียงผิดปกติใดๆ

                เขากระแอมเป็นสัญญาณ ผลักบานประตูให้เปิดออก

                “ลดา...”

โต๊ะทำงานยุ่งเหยิงไปด้วยเอกสารกระจัดกระจาย หน้าจอคอมพิวเตอร์ยังเปิดค้าง บางแฟ้มก็ยังเปิด รวมถึงเปิดโคมไฟทิ้งไว้ ทำไมล่ะ

มารุตมองปราดไปบนเอกสาร เห็นว่ามันเป็นรายงานสำหรับผู้ถือหุ้น หลายส่วนถูกเน้นด้วยสีฟ้า มีเอกสารตารางข้อมูล มีลายมือเขียนบันทึกเล็กๆ ตรงริมกระดาษ แฟ้มนั่นชื่อยูมอลล์-เออีซี

เขาเรียกชื่อหล่อนอีกครั้ง

มองเข้าไปในห้องน้ำ แล้วสำรวจทุกห้องที่เหลือของชั้นล่าง ก้าวขึ้นบันไดทีละสองขั้น แล้วหยุดตรงชายพรมชั้นสอง อีกครั้งที่ต้องนิ่งฟัง... เสียงที่เกิดจากมนุษย์ เสียงโทรทัศน์หรือวิทยุ หรือเสียงดนตรี... แต่เงียบ... ไม่มีสุ้มเสียงใดๆ ทั้งสิ้น

ชายหนุ่มเดินตรงไปที่แสงสว่าง ซึ่งลอดออกมาจากประตูห้องนอนของไอลดา

“ลดา... คุณอยู่ในนั้นหรือเปล่า”

เขารออีกอึดใจใหญ่ จึงตัดสินใจเปิดประตูเข้าไป

เตียงนอนยังอยู่ในสภาพเรียบร้อย เห็นได้ชัดว่าไม่มีการแตะต้องอะไรบนนั้น ทุกอย่างเหมือนเดิมเช่นเดียวกับตอนที่เขาขึ้นมาสำรวจ ยกเว้นชุดนอนสีชมพูที่เพิ่มขึ้น ซึ่งมันพาดอยู่กับพนักเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง

แล้วหล่อนไปไหน

และ... เขาก็นึกได้... ห้องเลี้ยงเด็ก

เขามาหยุดหน้าประตูห้องเล็กๆ นี้ในชั่วนาที

“ดา...ลดา... คุณอยู่หรือเปล่า”

แต่ก็ยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ

เขาเอาหูแนบประตู ค่อยบิดลูกบิดช้าๆ ภายในมืดสนิท และว่างเปล่า

ความหวาดหวั่นพลุ่งพล่าน แล้วหล่อนหายไปไหน!

เขาเร่งความเร็วยิ่งขึ้น สำรวจจากห้องหนึ่งไปอีกห้องหนึ่งอย่างรีบร้อน แล้วก็ย้อนกลับมายังเส้นทางเดิม จนถึงเรือนรับรองแขก... เผื่อว่า อาจสวนทางกัน หล่อนอาจลงมาหาเขา เพราะพบเห็นสิ่งผิดปกติ

ยังเงียบ... เขาเลยไปค้นในโรงจอดรถ ตรวจดูรถทุกคัน

ตรวจค้นสนามหญ้าทั้งทิศเหนือทิศใต้ วิ่งเหยาะมาถึงทางด้านท่าน้ำ เคลื่อนตัวสู่เรือนพักริมน้ำอย่างเงียบกริบ มือกระชับปืนพก กระจกใสบานกว้างทำให้มองเห็นภายในทั้งหมด มีชุดโซฟาตัวกว้าง... แต่ก็ยังไม่เห็นใคร

คล้ายมีแสงไฟริบหรี่สว่างขึ้นวูบหนึ่ง แล้วก็นิ่งสนิทไปอีก หรือว่าไอลดากำลังซ่อนตัว หรือว่ามีใครแปลกปลอมเข้ามา

มารุตใช้มือข้างที่ว่าง เกี่ยวที่จับของประตูกระจกบานเลื่อน ค่อยเลื่อนให้เปิดออกอย่างระมัดระวัง ไม่ให้เกิดเสียงผิดปกติ

มีใครอีกคนบนอีกฟากของโซฟาตัวยาวจริงๆ เขายืนตัวขึ้น ลงเท้าหนักๆ ตอนเดินใกล้เข้าไป

“นั่นใคร...” เขาตวาดถาม

“ฉัน... ฉันเอง”

เขารีบเดินอ้อมโซฟามาถึงตัวหญิงสาว หล่อนนั่งราบอยู่บนพื้น มีไฟฉายกระบอกเล็กๆ และไพ่ทาโร่คลี่แผ่อยู่ตรงหน้า

“ลดา คุณมาทำบ้าอะไรที่นี่!” เขาแทบตะคอก

หญิงสาวเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาแดงก่ำ ใบหน้าซีดเซียว สายตาหล่อนเลื่อนหลบจากการประสานสายตา จากปลายคาง มาที่ลำคอ แล้วก็ที่ร่างท่อนบน มัน...เปลือยเปล่า ไหล่หนากว้าง แผ่นอกกำยำที่เคยให้ความอบอุ่น กางเกงนอน...บ็อกเซอร์ และไม่มีอะไรนอกจากนั้น

แล้วหล่อนก็เงยขึ้น สบตากันอีกครั้ง ส่งยิ้มน้อยๆ ให้เขาทั้งเป็นการยอมรับผิด และยินยอมรับความอบอุ่น หากเขาคิดจะมอบให้

“คือว่า... มันมีบางอย่าง ฉันพยายามเอาชนะ มันทำให้ฉันจะเป็นบ้า...” ดวงตาหล่อนคล้ายกลับกลายเป็นว่างเปล่า “แต่ดูเหมือนฉันจะแพ้ในคืนนี้”

คนฟังทรุดตัวลงบนโซฟา ความรู้สึกเหนียวเหนอะไปทั้งตัว ทำให้ยิ่งไม่สบอารมณ์

“รู้ไหมว่าผมเป็นห่วงคุณแค่ไหน นึกว่ามีอะไรเกิดขึ้นซะแล้ว”

ไอลดาเปิดไพ่อีกใบ “มีบางอย่างเกิดขึ้นกันฉันค่ะ” หล่อนเอ่ยเสียงแผ่ว

หญิงสาวอาจไม่สามารถปิดบังความรู้สึกนึกคิดของตัวเองได้อีกต่อไป หล่อนควบคุมสติสัมปชัญญะของตัวเองไม่ได้ และเหนื่อยล้าเหลือแสน

เป็นเวลาที่เหมาะมาก… มารุตคิดในใจ

“อยากจะบอกผมเกี่ยวกับอะไรๆ ที่คุณว่ามาไหม” เขาถามอย่างนุ่มนวล

คนถูกถามขบริมฝีปาก จดจ่ออยู่กับไพ่ใบที่เพิ่งเปิดอีกใบ ส่ายหน้าช้าๆ อย่าวิตก ก่อนเปิดไพ่ติดต่อกันอีกสามใบ

ไอลดาระบายลมหายใจอย่างสิ้นหวัง

“ฉันว่า... ฉันแพ้แล้วละ แพ้เจ้าปิศาจนั่นราบคาบ”

คนฟังกอดอก “งั้นก็คงต้องคุยกันจริงๆ จังๆ แล้วสินะ”

หล่อนรวบไพ่เป็นกองเดียว ยื่นให้เขา คล้ายไพ่สำรับเล็กๆ จะหนักมาก หลังมือหล่อนตกลงบนหน้าตักของชายหนุ่ม ส่งความร้อนผ่าว ผ่านบ็อกเซอร์ผ้าฝ้ายเนื้อบางที่เขาสวมใส่

หล่อนต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ... ไอลดานึกถึงคำอธิบายอื่น ในการชวนให้เขาดูไพ่ทาโร่ไม่ออก

มารุตนั่นลงขัดสมาธิตรงข้ามกับหล่อน ท่านั่งนั่นทำให้กางเกงผ้านิ่ม รั้งรัด ตึงแน่นกับกล้ามเนื้อต้นขาและเป้าหมายที่อวบอูม มันท้าทายให้หญิงสาวพิจารณาตรงส่วนนั้นได้เต็มตา

ไอลดาบังคับตัวเองไม่ให้มอง ทำให้ต้องทอดสายตาอ้อยอิ่งอยู่กับแผงอกของเขา มันเปลือยเปล่า งดงาม เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ แน่นและอบอุ่น

หล่อนมั่นใจว่ายังหลงใหลแผงอกนั่นไม่เสื่อมคลาย ชอบลูบไล้ ไต่แตะและสะกิดแกล้งอยู่กับไตหัวนมเล็กๆ นั่น

จำได้ว่าหล่อนชอบทำอย่างนั้น ลูบไล้ เรื่อยลงมาจนถึงกลุ่มเส้นไหมนุ่มดกดำ เพื่อพบกับอีกสิ่งที่สุดแสนถวิลหา

ความต้องการอันเร่าร้อนบิดเกลียวอยู่ในช่องท้องหล่อน

“ผมต้องเสียค่าอะไรไหมนี่”

เขาไม่ปิดบังความรู้สึกขบขันของตัวเอง และเป็นคำถามที่กระตุกให้หล่อนกลับมาจากความคิดฟุ้งซ่าน

“ต้องสับไพ่ก่อนใช่ไหม”

เขาใช้มือซ้ายหยิบไพ่ทั้งสำรับ ทำปากขมุบขมิบขณะสับไพ่ ยื่นส่งให้หล่อนแผ่ออกอย่างชำนาญ ระหว่างที่ชายหนุ่มกวาดสายตาไปรอบห้องพักริมน้ำแห่งนี้

“หรือว่าตรงนี้คือจุดซ่อนตัวของคุณ”

“ค่ะ... เป็นหนึ่งในที่ซ่อนของฉัน”

เขามองที่โต๊ะเตี้ยข้างโซฟา หรี่ตาอ่านชื่อหนังสือที่หล่อนวางทิ้งไว้

“ที่นี่ไม่เหมือนส่วนอื่นๆ ของบ้าน มันต่างกันเลยละ” มารุตตั้งข้อสังเกตเมื่อมองไปรอบห้อง “มันไม่ได้หรูหราน่าเวียนหัว เหมือนในบ้านใหญ่”

“ฉันตกแต่งเองค่ะ” หล่อนตอบราวกับว่านั่นคือสาเหตุ “เมื่อไหร่คุณจะเปิดไพ่คะ”

“เมื่อ... ผมพร้อม” เขาไล่ปลายนิ้วไปบนหลังไพ่ที่ถูกคลี่ไว้เป็นรูปโค้งครึ่งวงกลม “คุณลงมาที่นี่ในตอนกลางดึก นี่คือคุณเชื่อฟังคำเตือนของผมงั้นหรือ” เขาถามเสียงเย็น

หล่อนหยิบไฟฉาย เปิดสวิตช์เตรียมพร้อมเพื่อความชัดเจนในการอ่านหน้าไพ่

“แล้วฉันจะพยายามเป็นลูกค้าที่ดีกว่านี้นะคะ”

“คุณเป็นผู้ว่าจ้าง” เขาแก้ให้ “พวกเราพูดถึงบุคคลที่เราคุ้มครองว่า ผู้ว่าจ้าง”

“พวกเรา... บอดี้การ์ดระดับคุณในบลูแคทมีสักกี่คนกันคะ”

“ไม่แน่นอน บางคนก็ทำเป็นงานประจำ บางคนเป็นที่ปรึกษา และมีไม่กี่คน ส่วนใหญ่เป็นสายบริหารหรือประสานงาน นั่นคือที่ผมได้เห็นหน้าค่าตาใกล้ชิดกันจริงๆ”

หญิงสาวขยับตัว หินอ่อนแข็งกระด้างและเย็นเยียบรองรับสะโพกกลมกลึงของหล่อน แต่ไอลดาก็ไม่ได้ชวนให้เขาขึ้นไปนั่งบนโซฟา เพราะบางอย่างบนนั้น มันเคยมาหลายต่อหลายครั้งเมื่อหลายปีก่อน ที่เริ่มจากการเล่นไพหรือดูดวงด้วยไพ่ แล้วจบลงด้วยความเปลือยเปล่าของทั้งคู่

“แล้วบอดี้การ์ดทุกคนของคุณรัญญา คนอื่นๆ น่ะ เป็นเหมือนคุณหมดเลยไหม”

เขาหัวเราะ โทนเสียงต่ำๆ ทำให้หล่อนหวาดหวั่นขึ้นมาเฉยๆ

“ไม่มีใครเหมือนผมหรอก อ้อ...ยกเว้นคนหนึ่ง แดนไตร คุณจำเขาได้ไหม

“เพื่อนคุณที่ว่ามาจากทางเหนือ ค่ะฉันจำได้” แล้วคิ้วหล่อนก็ขมวด “เดี๋ยวนะ แต่เขาไม่ใช่พวกกองปราบปรามหรอกหรือ”

“ตอนนี้แดนทำงานกับบลูแคท ทำให้ชีวิตมีคุณค่ามากกว่าเยอะ  เขาเชี่ยวชาญด้านการรักษาความปลอดภัย รวมทั้ง ก็... ยังเป็นสายลับให้กับหลายหน่วยงาน” เขายิ้ม เมื่อนึกถึงมุกชืดๆ ที่แดนไตรทำให้เขาอมยิ้มได้เสมอ “แดนเป็นคนชวนผมมาทำงานให้กับบลูแคท”

“ตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”

“สักพักหนึ่งแล้วละ” เขาเคาะหลังไพ่ใบหนึ่ง เงยหน้ามองหล่อน “ต้องสับอีกครั้งไหม ผมว่าตัวเองไม่มีสมาธิสักเท่าไหร่”

หล่อนพยักหน้าเห็นด้วย กวาดปลายนิ้วรวบไพ่เป็นกองเดียว ยื่นให้เขาสับใหม่อีกหน

“คุณมีทองคำแทงซ่อนอยู่ในคฤหาสน์นี้ด้วยไหม”

“ตั้งใจหน่อยค่ะ อย่าลืมสับเท่าอายุ... ไม่มีทองคำ”

“เงินสดล่ะ”

“ก็ไม่มีติดตัวหรือติดบ้านสักเท่าไหร่”

เขายืนไพ่ให้หล่อน หญิงสาวคลี่มันเป็นรูปครึ่งวงกลมอีกครั้ง คราวนี้เขาเลือกไพ่ใบแรก พร้อมกับบอกว่า “นี้ผมแค่ดูเล่นๆ เท่านั้นะ”

“ค่ะ แค่ทำนายกันเล่นๆ” ไพ่นั้นยังคว่ำหน้า หัวใจหล่อนเต้นแรงภายใต้ทรวงอกอวบอิ่ม

“หรือจะเล่นทายไพ่ แบบว่าผู้แพ้ถอดเสื้อผ้า หรือไม่ก็ทำตามคำสั่งของผู้ชนะ”

หล่อนยิ้มยวน ยังไม่เปิดไพ่ออกดู

“ไม่ละ มันก็ธรรมดาๆ แล้วก็จบแบเดิมๆ” เขาปฏิเสธง่ายๆ

ใช่... จบแบบเดิมๆ ลงเอยบนเตียงหรือโซฟา ในแนวนอน

“เอาอย่างนี้ดีกว่า ผมมีเกมแบบใหม่” เขาเอ่ยขึ้น ถือโอกาสรวบไพ่กลับมาเป็นกองเดียว “เราจะทายไพ่ โอกาสเป็นหนึ่งในห้า เหรียญ ถ้วย ดาบ  คทาและชุดใหญ่ ใครทายผิด ต้องตอบคำถามคนชนะ”

“ถ้างั้นก็ไม่มีใครต้องถอดเสื้อผ้า หรือลักไก่”

“ก็แล้วแต่ว่า...” เขามองหล่อนด้วยสายตาเจ้าเล่ห์อย่างหยอกเย้า “ว่าคุณจะถามอะไร ไม่มีข้อจำกัดในการถาม”

“แต่คำถามบางอย่างก็อยู่นอกเหนือข้อจำกัด” ไอลดาย้อน “ฉันจะไม่ตอบคำถามที่เป็นเรื่องส่วนตัว”

“งั้นคุณก็ต้องชนะ”

ต่างคนต่างหยิบไพ่คนละใบ เพื่อให้ผ่านตรงข้ามทาย

“ถามจริงเถอะ ทุกครั้งที่เล่นเกมแบบนี้ คุณทำหน้านิ่งๆ แบบนั้นได้ยังไง” หล่อนถามเบาๆ

“ห้ามถามอะไร จนกว่าคุณจะชนะ นี่เป็นกติกา”

“ก็ได้” ไอลดคว่ำไพ่ห่างจากกอง

“ดาบ”

“ผิด เหรียญค่ะ” หล่อนเปิดไพ่ให้เห็น

“ถามมาเลย” เขาขยับตำแหน่งให้นั่งสบายขึ้น

“พื้นแข็งไปหรือเย็นไปคะ”

“เปล่านี่” เขาตอบพร้อมวางไพ่ใบของตัวเอง “ตาคุณทาย”

“เดี๋ยวๆ ตะกี้ไม่ใช่คำถามนะ”

“แต่ผมว่าใช่” เขาอมยิ้ม ยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก แบบที่หล่อนเคยคลั่งไคล้

และอาจเป็นเพราะสายตาคมกริบที่จับจ้อง ทำให้หล่อนทายผิด

“เอิ่ม... ฉันขอสิทธิ์ไม่ตอบคำถามได้ไหม” หล่อนถามเสียงซื่อ

“ได้...” เขาก็ตอบง่ายๆ “แต่คุณต้องให้เสื้อนั่นกับผม”

มารุตจ้องตาไอลดาไม่กะพริบ ลุ้นให้หล่อนถอดเสื้อนอนยื่นส่งให้เขา

แต่หญิงสาวหัวเราะ และส่ายหน้า “ไม่เป็นไร คุณถามเถอะ อะไรก็ได้ ฉันไม่มีอะไรต้องปิดบัง”

แวบหนึ่งของสายตาที่มองหล่อน ทำให้ไอลดาประหลาดใจ และยิ่งงงเมื่อเขาตั้งคำถาม

“คุณแม่คุณเป็นยังไงบ้าง”

ทำไมคำถามไร้สาระแบบนั้นถึงทำให้หล่อนอ่อนไหว ทำให้หัวใจหล่อนอ่อนแอลงอีกมาก หรือเป็นเพราะเวลามารุตทำตัวน่ารัก หล่อนจะรู้สึก...อบอุ่น หลงใหล และเคลิบเคลิ้ม...

“แม่สบายดี ได้ทำงานอยู่ที่เกสรพลาซ่าเชียวนะ ในตำแหน่งผู้ช่วยของผู้ช่วย ของผู้ช่วยผู้จัดการร้านน็อนฟู้ด แม่แต่งงานใหม่ แต่ก็หย่าแล้ว”

เขาพยักหน้า ต่างคนต่างเลือกไพ่อีกคนละใบ หล่อนตั้งสมาธิ และทายถูกในรอบนี้

“คำถามของฉัน...” หล่อนชันเข่าขึ้นข้างหนึ่ง ความเพลิดเพลินทำให้ลืมว่า ต้องทำเป็นปั้นปึ่งใส่กันเข้าไว้

ไอลดาพยายามบังคับตัวเองให้คิดคำถามที่ดีที่สุด หากถามอะไรก็ได้จากผู้ชายตรงหน้า หล่อนอยากรู้อะไร

คุณคิดถึงฉันทุกวันหรือเปล่า

คุณไปมีความรักกับใครอีกไหม

คุณ... จงใจปล่อยให้พ่อฉันถูกยิงใช่ไหม

“คุณนั่งจ้องผมอีกแล้วนะ” น้ำเสียงเขานุ่มนวลอบอุ่นและอ่อนโยน

“งั้นเราเสมอกัน”

ความเงียบงันเข้าครอบคลุมเรือนพักริมน้ำทั้งหลัง ก่อนเขาจะพูดต่อไป

“ทำใจให้สบายๆ เถิดที่รัก”

ที่รัก... หล่อนชอบเหลือเกินที่เขาเรียกแบบนั้น

มันเป็นคำที่ฟังแล้วอบอุ่น ปลอดภัย... แต่... นั่นมันเป็นอดีต ไม่ควรเหลือคุณค่า ไม่น่าจดจำ

“บอกฉันมาสิคะรุต ทำไมคุณถึงออกจากปปส.”

“ก็... เพราะภารกิจห่วยๆ ในที่เหนียวเนื้อตัว เวลาต้องไปแฝงตัวกับพวกค้ายานั่นแหละ”

หล่อนรู้ว่าทำไมเขาถึงถูกส่งไปทำงานอย่างนั้น เพราะในงานศพ ระดับผู้บังคับบัญชาหลายคน รักและเทิดทูนความสามารถของพ่อหล่อน ความผิดพลาดนั้นต้องมีคนรับผิดชอบ และที่ดีที่สุดคือเขา การส่งมารุตไปเสี่ยงกับการถูกเปิดโปง เป็นความสะใจของหลายคนในองค์กรนั้น และคิดว่าเป็นการชดเชยหรือไถ่บาปเพื่อหล่อน

ดังนั้น... มันกลายเป็นคำถามที่เปล่าประโยชน์จริงๆ เพราะหล่อนรู้อยู่แล้วว่า เป็นเพราะตัวหล่อนนั่นเอง

เขาทายไพ่ของหล่อนบ้าง คราวนี้เห็นชัด เขาตั้งใจจะทายให้ผิด มีอย่างหรือคนอย่างมารุตจะจำจดตำหนิบนหลังไพ่ใบนั้นไม่ได้

เขาแกล้งแพ้ หล่อนชนะและตั้งคำถาม

“ปีนี้แมนยูจะเล่นดีไหม”

เขายกคิ้วข้างหนึ่ง เชิดคางขึ้น “แน่นอน ต้องเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม ตัวดังๆ ฟิตเต็มร้อยทั้งนั้น”

“เป็นเอฟซีตัวยงเลยสินะคะ เคยไปดูเกมที่สนามไหม”

“คุณชนะครั้งเดียว ถามได้คำถามเดียว” เขาเตือนเบาๆ

ไอลดาอิงหลังกับขอบโซฟา ทรวงอกเด่นสล้างขึ้นมา จนเขาต้องลอบกลืนน้ำลาย

“คืนนี้เราคงเล่นกันได้อีกนาน”

เขายังไม่ได้ละสายตาจากสองถันที่เคยเกาะกุมได้เต็มมือ ก่อนจำเป็นต้องเหลือบมองไปทางหน้าต่าง

“ห้องนี้มันโล่งโจ้งมากเกินไป เมื่อไหร่คุณจะทำให้มิดชิดกว่านี้”

ความนัยจากนัยน์ตาที่ย้อนกลับมาสบตากันนั่น บอกความหมายชัดเจน

หัวใจหญิงสาวเต้นแรง ความต้องการถั่งท้น จนรู้สึกชุ่มชื้นและอุ่นซ่าน จินตนาการถึงรสรักบนพื้น บนเท้าแขนโซฟา ในท่วงท่าต่างๆ แบบที่ในโลกนี้มีเพียงสองคน และเป็นค่ำคืนสุดท้ายนั่น หล่อนไม่เคยลืม

“ลดา...” เขาเองก็ขยับตัวให้กางเกงที่รัดตึงขึ้นเรื่อยๆ ได้ผ่อนคลาย สิ่งที่อยู่ภายในซึ่งกำลังแข็งขันขึ้นมาอย่างสุดระงับ

มารุตต้องข่มใจตัวเองอย่างที่สุด และถามคำถาม ที่คิดว่าจะทำลายอารมณ์ทั้งมวลลงได้

“ทำไมคุณล้มเลิกความคิดที่จะมีลูกกับคุณวิลาศเสียล่ะ”

หล่อนกะพริบตาอย่างงงงัน ราวถูกกระชากตกลงมาจากห้วงสวรรค์

“อะไรนะคะ”

“ก็... คุณบอกว่า ตอนที่ปรับปรุงบ้านครั้งล่าสุด คุณพยายามจะมีลูกด้วยกัน นั่นทำให้ผมเข้าใจว่า คุณล้มเลิกกลางคน ทำไมล่ะครับ”

หล่อนส่ายหน้า... ขยับจะถอดรองเท้าเดินในบ้าน

“นี่จะคือคำตอบของฉัน”

มารุตยิ้มกว้างให้กับความเจ้าเล่ห์ที่แสนน่ารัก แต่ปฏิเสธเรียบๆ ว่า

“ผมบอกว่า ต้องใช้เสื้อนั่น... และคุณก็ยอมรับกติกา”

“ไม่มีอีกแล้วค่ะ ไม่มีกติการอะไรอีกแล้วค่ะรุต”

“เรอะ งั้นก็ได้ ยังไงก็ได้ คุณเป็นนายจ้าง”

“ฉันไม่อยากเล่นแล้วละ” หล่อนรวบไพ่เป็นกองเดียว

“แต่ผมยังมีคำถาม”

คนถูกท้วงเชิดหน้าขึ้นอย่างทระนง

“งั้นก็ถามเลยสิ คิดว่าเราต้องเล่นเกมบ้าๆ แบบนี้แล้วถึงจะได้คุยกันงั้นเรอะ”

หล่อนได้ยินเสียงเขาทอดถอนลมหายใจ ชายหนุ่มกำลังพยายามควบคุมสติตัวเอง

“สิ่งที่ผมคิด...”  เขาเอ่ยออกมาช้าๆ “คือ...มันต้องยากเย็นมาก กว่าจะได้ใกล้ชิดคุณอีกครั้ง และได้อยู่ใกล้ๆ คุณนานขนาดนี้”

มารุตวางปลายมือลงบนเข่าหญิงสาว ลากนิ้วเป็นเส้นผ่าวร้อนขึ้นไปตามแนวต้นขา

“...โดยที่ยังสามารถฝืนใจไม่ยอมแตะต้องคุณ”

ไอลดาเหลือบมองนิ้วยาวแข็งแรงของเขา ที่กำลังสัมผัสอยู่กับผิวของหล่อน

“นี่ไงคะ... คุณกำลังทำ”

“ไม่สิ นี่ไม่นับ แค่ปลายนิ้วอย่างนี้ไม่นับ” จากนั้นเขาก็กางฝ่ามือออก ประกบทาบลงไปตรงใกล้สะโพก ปลายนิ้วโป้งหมิ่นเหม่จนน่าใจหาย “นี่ต่างหาก การแตะเนื้อต้องตัว” เขาแกล้งขยับมือสูงขึ้นอีกนิด

ไอลดาขนลุก รู้สึกราวเลือดทั้งหมดไหลไปเทรวมกันอยู่ตรงจุดสำคัญตรงกลางกาย ใจยิ่งสั่นสะท้าน เมื่อเห็นเขากลืนน้ำลายแล้วใช้ปลายลิ้นเลียริมฝีปาก

นั่นเป็นสัญญาณบอกว่า เขาจะควบคุมตัวเองไม่ได้อีกต่อไป... หล่อนรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทุกจังหวะต่อจากนี้ และทุกส่วนของร่างกายอันแข็งแกร่งตรงหน้านี้ด้วย

หล่อนไม่อยากมองต่ำลงไป เพราะรู้ว่าต้องได้เห็นความแข็งขึง เตรียมพร้อมและทำทำให้กางเกงผ้าบางนั่นแทบขาดทะลุ

แล้วหญิงสาวก็เหลือบมองมันจนได้

นั่นไงล่ะ!

เป็นอย่างที่คิดจริงๆ เสียด้วย

หล่อนหลับตาลงช้าๆ พยายามข่มไฟปรารถนาที่โหมกระหน่ำไปทั่วร่าง

“...รุต”

จบคำ ปากเขาก็ทาบลงบนริมฝีปากของหล่อนอย่างเร่าร้อน

และเมื่อหล่อนพยายามจะหายใจอีกครั้ง เขาก็จูบหล่อนอย่างดื่มด่ำยิ่งกว่าเดิม

ความร้อนแผ่ซ่านไปตามกระแสเลือดของหญิงสาว เขาระดมจูบไม่ลดละ และปลุกเร้าหล่อน อย่างที่หล่อนจำได้ดี

หญิงสาวเผยอริมฝีปาก เพื่อตอบรับลิ้นของเขา ซึ่งเริ่มไล้ไปมาระหว่างซี่ฟันของหล่อนอย่างไม่ลังเล

มารุตส่งเสียงครางต่ำลึก ราวกับมันดังออกมาจากแผงอก นิ้วเขาแทรกไปในเรือนผมตรงท้ายทอย ขณะอีกมือที่ผ่าวร้อนยังเกาะกุมตรงต้นขา

ไอลดาเอนศีรษะพิงเบาะโซฟา เพื่อเปิดโอกาสให้ตัวเองดื่มด่ำกับรสจูบนั้นมากขึ้น กำมือแน่นเพื่อบังคับไม่ให้ตน รั้งคอเขาลงมาให้ยิ่งบดขยี้

แล้ว... เขาก็ผละถอย อย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับตอนเริ่มต้น

ดวงตาของชายหนุ่มที่จ้องมา ราวมีเปลวไฟร้อนแรงส่งประกาย สองฝ่ามือยังอยู่ตรงตำแหน่งเดิม

“คำเดียว... คำเดียวเท่านั้นที่รัก คำเดียวเท่านั้นนะครับ ที่รักของผม”

ค่ะ

เปลือกตาของหล่อนกระตุกถี่ เพราะปรารถนาเหลือเกินที่จะเอ่ยคำนั้นออกไป

ค่ะ

ลำคอหล่อนแห้งผาก หรือว่าหล่อนจะเปล่งพูดนั้นออกไปไม่ได้เสียแล้ว

ค่ะ!

“แต่ก่อนอื่น คุณควรจะตอบคำถามหนึ่งก่อนนะครับคุณไอลดา ณหทัย”

คำท้าย เอ่ยเต็มทั้งชื่อและนามสกุล หญิงสาวเหมือนได้สติ ขยับตัวออกห่างเล็กน้อยเมื่อได้ยิน

“รุตคะ ก่อนอื่นเลย คุณแน่ใจหรือว่าฉันตกลงอะไรกับคุณแล้ว”

“ฟังก่อนเถอะ คุณจะเปลี่ยนใจด้วยซ้ำ หลังจบคำถาม”

“ฉันไม่ชอบน้ำเสียงแบบนั้นเลยค่ะ คำถามอะไรหรือ”

“คือว่า...” เขาจับเส้นผมหลังท้ายทอยหล่อนแน่นขึ้น “ผมต้องการรู้ว่า เป็นเรื่องเงิน หรือเรื่องอำนาจการบริหารกันแน่”

กับคำถามนี้ หล่อนสะดุ้งเล็กน้อย รีบเลื่อนมือปัดมือที่กุมเส้นผมของตนออกห่าง

“คุณ หมายความไง”

“ก็ อะไรที่ดึงดูดให้คุณมาที่คุณวิลาศ กลายเป็นคุณนายไอลดา ณหทัย เพราะเงิน หรือว่าเพราะอะไร”

เขาหรี่ตาจ้องมา หล่อนเห็นรอยแผลเป็นเล็กๆ ที่นูนขึ้นเหนือคิ้วขวา  ปกตินั่นคือสัญญาณว่า ความอดทนเขาถึงจุดสิ้นสุด แต่วันนี้ ดูเหมือนเขาจะควบคุมตัวเองได้มากขึ้น

ทำไมเขาถึงถามคำถามนั้นในตอนนี้ ทั้งที่ตัวเขาก็ร้อนผ่าว เป็นความเร่าร้อนแบบเดียวกับหล่อนแน่ๆ

“คือ... ถ้าคุณอยากหาอะไรที่ทำให้ตัวเองใจเย็นลง ก็ตรงโน้นเลยค่ะ ห้องอาบน้ำในเรือนรับรองแขก ก๊อกตัวขวามือนะคะ น้ำเย็นล้วนๆ”

เขาถอยห่างจากหล่อน เอนตัวพิงโซฟาอีกฝั่ง ไอลดายิ้มนิดๆ เพราะนั่นหมายถึงเขายอมแพ้

“ทำไมล่ะลดา ทำไมคุณถึงแต่งงานกับเขา ผมมีสิทธิที่จะรู้นะ”

หล่อนคล้ายมีอะไรจุกขึ้นมาในลำคอ ต้องกระแอมไล่มันกลับลงไป ก่อนถามว่า

“คุณมีสิทธิ์รึ ตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”

“เพราะคุณแต่งงานแค่ไม่ถึงปี หลังจาก...”

“หลังจากอะไรรุต พูดสิ พูดออกมาสิ” คราวนี้หล่อนคาดคั้น “พูดออกมาสิว่าฉันแต่งงาน ไม่ถึงปีหลังจากที่เราเลิกกัน”

“ไม่! เราไม่ได้เลิกกัน” เสียงเขาห้วนจัด “คุณหายตัวไปกลางดึก”

“ส่วนคุณ คุณฆ่าพ่อฉันตอนกลางวันแสกๆ” ไอลดาย้อนได้เจ็บแสบ

มารุตสบถออกมา พร้อมพ่นลมหายใจอย่างไม่สบอารมณ์ แต่นั่น หล่อนรู้ว่าไม่ใช่การปฏิเสธ

ไอลดายันตัวขึ้นยืน ถอยออกห่าง

“ฉันจะไม่ตอบอะไรคุณอีก พอกันทีนะคะ กับเกมหรือคำตอบของคุณ และพอกันทีกับตัวคุณ รุต! เราจะไม่รื้อฟื้นความสัมพันธ์อะไรอย่างนั้นด้วยกันอีกแล้ว”

หล่อนหันไปที่หน้าต่าง วางฝ่ามือทาบกับบานกระจกเย็นเยียบ มองออกไปยังความมืดมิดนอกอ่าว

“คุณ ไม่มีสิทธิ์จะรู้” ในที่สุดหญิงสาวก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “แต่ถ้าคุณอยากรู้ จะบอกให้ก็ได้ เพราะคุณทำลายชีวิตฉัน ทำร้ายหัวใจฉัน และ... ปล้นความสุขไปจากฉัน แล้วจากนั้น ก็แค่... ฉันไปพบกับคนที่ลงตัว มันเกิดขึ้นกับคนเป็นล้านๆ คู่ในโลกนี้ คุณก็รู้”

“แต่... ที่จริงเพราะ คุณวิลาศคือแบบอย่างของความเป็นพ่อ ในอุดมคติของคุณ”

คราวนี้หล่อนถอนหายใจเบาๆ

“ถ้ารู้แล้วว่าทำไมฉันถึงยอมแต่งงาน จะถามออกมาทำไมอีกล่ะคะ”

“แสดงว่าผมพูดถูก”

“ฉันพบคุณวิลาศที่มอราม...” หล่อนเอนหน้าผากพิงกระจกหน้าต่าง และหลับตาลง ช่างเถิด... ถึงอย่างไรเขากับหล่อนก็ต้องคุยเรื่องนี้ไม่ช้าก็เร็ว ไม่งั้นทั้งสองฝ่ายอาจต้องบ้าไปก่อน เหมือนกับที่ทั้งคู่ต้องหยุดจูบกันนั่นละ “มีกิจกรรมระดมทุนที่คณะนิติศาสตร์ ซึ่งเขาบริจาคเงินก้อนใหญ่ให้ทุกปี”

ถึงตรงนี้ มารุตต้องขัดแย้ง “ผมไม่ได้ถามว่า คุณเจอหรือแต่งกับเขายังไง ลดา ผมถามคุณว่าทำไม! ทำไมคุณถึงแต่งงานกับเขา”

หล่อนนิ่ง ไม่ตอบคำถามนั้น

มีเสียงเบาๆ เบาจนแยกไม่ออกว่า เป็นเสียงของตู้เย็นตัวเล็กตรงมุมห้อง หรือเสียงเรือยนต์ซึ่งอยู่ใกล้พ้นไปนอกเวิ้งอ่าว ไอลดาทอดสายตาออกไปในความมืดนอกของท้องทะเล ไม่เห็นแสงไฟที่ควรจะมากับเสียงนั่น

“บราลีเพื่อนของคุณ บอกผมว่า เธอเป็นคนแนะนำคุณสองคนให้รู้จักกัน”

นั่นเป็นลูกเล่นที่ดีนะคุณบอดี้การ์ด หล่อนคิด แค่เปลี่ยนเรื่องคุย... เบี่ยงประเด็นไปแค่เล็กน้อย “ลี่อาจเป็นคนแนะนำจริงๆ ก็ได้ ฉันจำไม่ได้ และ... ที่จริงก็เพิ่งรู้จักกับลี่ในคืนวันนั้นนั่นละ พี่นะ... เขาสนิทสนมกับศิษย์เก่านิติราม”

หล่อนหยุดนิดหนึ่งเพ่งมองเงาในอ่าวอันเงียบเหงา นั่นเรือหรือเปล่า ห่างออกไปไม่ไกลเลย

“นั่น... น่าแปลก... อะไรกัน...”

ไอลดารู้สึกได้ว่า มารุตเดินตามมาประกบอยู่ด้านหลัง มองตามสายตาหล่อน

“ทำไมฉันได้ยินเสียงเรือ แต่...มองไม่เห็นล่ะ”

เขาขยับเข้าชิด หล่อนหมดโอกาสเลี่ยงหลบ และ...

รวบตัว! พาหล่อนล้มลงกับพื้น ทันเวลากับตอนที่กระจกลั่นเปรี๊ยะราวดอกไม้ไฟ และแตกเป็นเส้น

“คุณพระช่วย!!!” เสียงหญิงสาวอู้อี้เพราะเขาใช้มือหนึ่งรองรับใบหน้าหล่อนไม่ให้กระทบพื้น

“อยู่ใต้ตัวผมเอาไว้” เขาสั่ง

ไอลดาหลับตาแน่น หัวใจเต้นแรง ระรัวจนแก้วหูอื้ออึงทั้งสองช้าง น้ำหนักของมารุตที่ทบซ้ำลงมา ทำให้หล่อนเจ็บปวดไม่น้อย

“มันเกิดอะไรขึ้น” คนยังถูกทับไว้ทั้งตัวพยายามถาม เสียงสั่นทั้งเพราะจากหวาดกลัวและเพราะน้ำหนักทั้งหมดที่กดทับตลอดร่าง

แล้วก็ได้ยินเสียงกริ๊กของปืนพกแบบอัตโนมัติสองครั้ง ดังแทรกเสียงชีพจรที่เต้นแรงของหล่อนตัวเอง

“จุ๊ๆ... ฟังสิ”

เสียงเรือยนต์เร่งเครื่องหายไปในท่ามกลางราตรีอันเวิ้งว่าง ไอลดารู้สึกว่ามารุตยกตัวขึ้นเล็กน้อย เขากำลังกวาดตามองไปยังหน้าต่างทีละบาน

หญิงสาวพยายามลุกขึ้น แต่เขาใช้ปลายคางกดศีรษะหล่อนลง

“รอก่อน...” บอดี้การ์ดตัวหนักกระซิบ “รอจนกว่าผมจะแน่ใจว่าปลอดภัย”

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่” ไอลดาเค้นถามอีกครั้ง ตัวเริ่มสั่น

แล้วเขาก็ขยับตัวไปด้านข้างช้าๆ ต้นขายังอยู่เหนือสะโพกของหญิงสาว และแขนแข็งแกร่งข้างหนึ่ง โอบไหล่ของหล่อนเอาไว้ อีกมือถือปืนเล็งออกไปแบบพร้อมยิงตลอดเวลา

เมื่อไอลดาเงยหน้าขึ้นได้เต็มที่ หล่อนก็เห็นกระจกเป็นรู และแตกลายเป็นใยแมงมุมมากมาย กว้างเกือบตลอดทั้งบาน

เขาเลื่อนมือมาที่ลำคอหล่อน ใช้นิ้วหนึ่งบังคับใบหน้าให้หญิงสาวหันมาทางตน

“คุณไม่เป็นไรใช่ไหม”

“ก็... คิดว่างั้น”

ใบหน้าทั้งคู่อยู่ใกล้จนไอลดาอาจสามารถนับเส้นขนตาของเขาได้ ใจเขาเต้นแรง จนส่งแรงสั่นสะเทือนมาที่หล่อน ตัวเองก็เช่นกันที่ต้องหลับตาลง สูดลมหายใจลึก เพื่อควบคุมลมหายใจให้เป็นปกติ

“ขอบคุณนะคะ...”

“ไม่ต้องขอบคุณผมหรอก คุณควรจะขอบคุณคนที่รอบคอบ พอจะติดตั้งกระจกกันกระสุนให้ห้องนี้” เขาตอบ “เพราะแสงและเงาทำให้คล้ายกระจกนั่นเป็นรู แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่”

“คุณวิลาศค่ะ คุณวิลาศเป็นคนจัดการ”

หล่อนบอกเบาๆ

“ถ้างั้นเขาก็เป็นคนช่วยชีวิตคุณ เพราะใครบางคนเพิ่งรัวปืนใส่คุณ ลดาที่รัก”

********************




Create Date : 11 มิถุนายน 2559
Last Update : 15 มิถุนายน 2559 15:58:21 น.
Counter : 574 Pageviews.

2 comment
นิยาย:บอดี้การ์ดสยบรัก:บทที่04:เลี้ยงไม่เชื่อง


(อ่านง่ายสบายตากว่าตามลิงค์นี้คัรบ //writer.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=1483450  )

บทที่สี่ : เลี้ยงไม่เชื่อง



“หายใจลึกๆ ลดา ใจเย็นๆ และฟังผมก่อน”

“ฉันใจเย็นแล้วค่ะ พี่นะ” ไอลดายกเท้าขึ้นมานั่งพับขาบนโซฟาตัวนุ่มสบาย

หล่อนไม่ชอบขนสัตว์ ยิ่งเมื่อเป็นการถลกจากหนังแท้ๆ ของเสือดาว แล้วเอามาปูแทนพรมเช่นนี้

ที่ผ่านมา การตกแต่งบางอย่างในคฤหาสน์ใหญ่โตนี่ เป็นการเลือกของวิลาศ สามีชราผู้ล่วงลับ ที่บอกเสมอว่า การใช้ซากสิงสาราสัตว์มาตกแต่ง ทำให้เขารู้สึกว่าตนเองยังเป็นนักล่า ไม่ว่าจะอายุมากสักเพียงไหน

และ... แม้หล่อนจะไม่เห็นด้วย ก็ได้แต่ยิ้มๆ

“แต่ผมเห็นชัดๆ เลยว่าคุณไม่พอใจ” มานะสามีของบราลี และทนายความประจำบ้านตอบ  “คุณก็เหมือนลี่นั่นละ เสียงจะสูงขึ้นเรื่อยๆ เวลาไม่สบอารมณ์”

ให้ตายสิ หล่อนไม่ได้ทำเสียงไม่พอใจเลยนะ

“ฉัน... ไม่มีอะไรเหมือนลี่ และ... พี่นะก็น่าจะรู้ดี”

“เอาละๆ คุณพูดถูก คุณเป็นตัวของตัวเอง...” มานะยอมง่ายๆ เพื่อตัดความรำคาญ

“และดาก็เป็นหนึ่งในกรรมการบริหาร ผู้ถือหุ้นและผู้มีผลประโยชน์ได้เสีย กับธุรกิจในเครือณหทัยทั้งหมด”

คราวนี้มานะทำหน้ายุ่ง โบกมือไปมาคล้ายปัดแมลงหวี่ที่ตอมตา

“คุณลดา สิ่งสุดท้ายที่คุณอยากจะทำ ก็คือการไปประชุมกรรมการบริหาร ที่จะเสียเวลาเปล่าเสมอๆ นั่นละ”

“แต่สถานภาพทางธุรกิจ ของห้างสรรพสินค้ายูมอลล์ทุกสาขาในอาเซียน นั่นชัดเจนว่าเป็นผลความก้าวหน้าไม่ใช่หรือคะ”

มานะเลื่อนปึกเอกสารเข้าใกล้ไอลดา เลิกหาเหตุผลให้หล่อน เขาบอกเรียบๆ ว่า

“ไม่ต้องกังวลหรอกลดา ผมจะออกเสียงในฐานะตัวแทนคุณเอง ผมทำงานกับคุณวิลาศมานาน รู้ว่าเขาอยากให้จัดการทรัพย์สินต่างๆ อย่างไรบ้าง”

“ก็น่าประหลาดใจนะคะ เพราะขณะที่ฉันแต่งกับคุณวิลาศมาร่วมห้าปี ฉันเคยคุยเรื่องทรัพย์สินนี่แค่ครั้งเดียว และครั้งนั้นก็ไม่ได้ตัดสินใจอะไรกันได้ด้วย เพราะคุณวิลาศยังหนักใจกับอะไรบางอย่าง”

คำพูดเจือแววประชดประชัดชัดเจน มานะจ้องหน้าหญิงสาว อย่างอยากจะกินเลือดกินเนื้อ

“เรา... คุยกันแล้วครับ...”

เขาตอบอย่างเยือกเย็น เรา หมายถึงตนกับวิลาศผู้ตาย

“แต่ฉันจะไม่ยอมให้คุณออกเสียงแทน ด้วยการตัดสินใจของคุณ ฉันต้องการศึกษารายงานและคุยกับผู้อำนวยการแผนกต่างๆ ก่อนที่จะออกเสียง มันมีมูลค่ามหาศาล และยังมีอะไรขัดๆ กันอยู่ ในที่ประชุมระดับสูง”

“ภูพญาไม่ใช่ที่ของพวกระดับสูงอะไรหรอกครับ”

“แต่มันคือพื้นที่ผลิตไวน์ชั้นเยี่ยม”

มานะสูดลมหายใจลึก ผิวหน้าเข้มขึ้นด้วยอารมณ์เดือด

“คุณ ไม่จำเป็นต้องออกเสียง นั่นคือเหตุผลที่ผมมาเช้านี้  คุณกำลังยุ่งมากๆ กับมูลนิธิ ดังนั้นภาระเรื่องการประชุมบอร์ดบริหาร สามารถมอบหมายให้ผมทำแทนได้”

แม้จะเป็นช่วงเศรษฐกิจดีๆ ธุรกิจในเครือณหทัยก็ไม่ได้ไปได้ด้วยตัวมันเอง หล่อนรู้เรื่องนี้จากการคุยกันสบายๆ ในฐานะสามีภรรยากับวิลาศเมื่อนานมาแล้ว

“ฉันไม่ต้องการทนายในตอนนี้ค่ะพี่นะ ที่เคยใช้ก็แค่การประชุมกรรมการบริหาร ของไตรมาสสุดท้ายแค่นั้น”

ซึ่งนั่นหมายถึง ไม่กี่วันหลังจากวิลาศเสียชีวิต ตอนนั้นหล่อนยังโศกเศร้าและตรอมตรม

“แต่ตอนนี้ฉันพร้อมแล้ว ฉันรู้ว่าตัวเองมีความสามารถมากพอ ที่จะรับช่วงต่อจากสามีของฉัน”

“แต่มูลค่าสินทรัพย์เป็นพันๆ ล้านนะครับ”

“ฉันทำเพื่อปกป้องชื่อเสียงของคุณวิลาศค่ะ” หล่อนตอบโต้เสียงเข้ม

อีกฝ่ายพยักหน้าอย่างใช้ความคิด “ก็ถูกละ คุณควรทำเพื่อเขา และ... หมายความว่า คุณควรทุ่มเทให้เต็มที่กับมูลนิธิ”

และเขาคงอ่านอารมณ์ของไอลดาออก จึงลุกขึ้นยืน เดินอ้อมมาหลังพนักโซฟาตัวกว้าง หลบพ้นจากสายตาของหล่อน ก่อนเอ่ยอย่างปลอบประโลมว่า

“เรื่องห้างสรรพสินค้า ไม่ว่าจะเปิดสาขาใหม่ที่ประเทศไหน มันก็จะมีผู้รับเหมา ผู้ดำเนินการ มีร้านค้าเข้ามาจับจองพื้นที่ขาย มีลูกค้าเข้ามาจับจ่ายใช้สอย...” เขาเว้นระยะ เพื่อเพิ่มความสำคัญกับประโยคถัดไป “แต่... มีคุณคนเดียวเท่านั้น ที่จะดูแลมูลนิธิ ช่วยเหลือผู้ทุกข์ยากเหล่านั้น ครอบครัวที่สูญเสีย พี่ หรือน้อง หรือ...พ่อ..”

ไอลดานึกชมเขาในเรื่องการหว่านล้อม นี่คือไม่เพียงแต่สามารถว่ายน้ำกับฉลามได้สบายๆ แต่ยังสามารถลอบแทงมันทีเผลอได้อีกด้วย นี้ทำให้หล่อนไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมวิลาศจึงดึงตัวเขามาเป็นทนายความประจำตัว

หญิงสาวเอนศีรษะพิงพนักโซฟา หลับตาลงช้าๆ

“ฉันทุ่มเทให้มูลนิธิอย่างสุดฝีมืออยู่แล้วนะคะ...” หล่อนก็อยากไว้ใจสามีของเพื่อนสนิท แต่มีอะไรบางอย่างที่ยังเคลือบแคลง

ในขณะที่ข้อมูลหลายอย่างซึ่งจำเป็นต่อการบริหารงานของหล่อน ที่มานะควรจะหามาเตรียมไว้ให้ แต่เขากลับไม่ได้ทำ แล้วตอนนี้ยังจะมาเสนอตัวไปออกเสียงแทนหล่อนในบอร์ดบริหาร นั่นทำหล่อนยังสงสัย

ทันใดนั้น นิ้วยาวๆ ของมานะก็กดเบาๆ ลงตรงสองบ่าที่ตึงเครียดของหญิงสาว หล่อนสะดุ้ง แต่ยังเก็บอาการหวาดหวั่นใจเจตนาของชายใกล้ชราเอาไว้

“คุณวิลาศมีเหตุผลที่ดีเสมอ และผมเชื่อว่าเขาอยากให้ผมช่วย ทำหน้าที่แทนคุณไปอีกสักระยะ คุณวิลาศรักและเป็นห่วงคุณมาก”

หล่อนตบมือสามีเพื่อนสนิทเบาๆ ขยับตัวให้รู้ว่า เขาควรหยุดฉวยโอกาส

“เขาก็รักและไว้ในคุณมากเหมือนกัน”

คำประชดนี้ ไม่ได้ทำให้มานะสะทกสะท้าน

“ถ้างั้นเราจะทำให้เขาผิดหวังไม่ได้ คุณปล่อยให้ผมจัดการเรื่องปัญหาทางธุรกิจเถอะ แล้วคุณก็ทุ่มเทให้กับมูลนิธิ”

หล่อนไม่ตอบ ขณะเขายังพยายาม โน้มตัวใกล้เข้ามา ราวกับจะกระซิบคำรัก

“นั่นคือสิ่งที่เขาอยากให้เราทำ” เสียงเขานุ่มนวลอยู่ข้างหู “ผมรู้ดี...”

แล้วเสียงกระแอมดังๆ ทำให้ทั้งสองคนสะดุ้ง ไอลดาหันไปมอง มานะรีบถอยห่างจากภรรยาของนายจ้างผู้ล่วงลับ

“นายเป็นใคร!” เขาถามเสียงเข้ม

มารุตยืนขวางประตูห้องทำงาน ร่างกายรูปทรงตัววีแบบนักกีฬา ยิ้มๆ ก่อนกล่าวทัก

“ผมขอโทษ” ชายหนุ่มกวาดสายตามองทีละคน “ผมเริ่มทำงาน คือวิเคราะห์เรื่องความปลอดภัย ป้าแม้นบอกว่าคุณไอลดาประชุมอยู่ในนี้ แต่ผมจะเข้ามาบอกคุณเองก็ได้”

หญิงสาวลุกขึ้นยืน ไม่อยากกังวล ที่มารุตจะคิดว่าเหตุการณ์เมื่อครู่คืออะไร

“คุณมานะ นี่คุณมารุต มารุต โรจนา ดิฉันจ้างมาเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัว”

“อืมมม์...” สามีของบราลีเลิกคิ้ว ปั้นสีหน้าพอใจ “ลี่เขาเล่าให้ฟังแล้วว่า เจอกับคุณตั้งแต่เมื่อคืน ยินดีที่ได้ร่วมงานกันครับคุณมารุต เราเป็นทีมเดียวกันแล้ว ทีมของคุณไอลดา”

                คนถูกเอ่ยชื่อขยับจะพูดอะไร แต่สายตาของมารุตหยุดหล่อนเอาไว้ แล้วเขาก็กล่าวว่า “ผมไม่รู้ว่ามีการตั้งทีมงานให้คุณไอลดาด้วย”

“พี่นะ...ฉันหมายถึง คุณมานะเป็นหัวหน้าฝ่ายกฎหมายของกลุ่มบริษัทในเครือณหทัย คุณวิลาศชอบให้เราทำงานเป็นทีม เราเลยติดปากเรื่องทีม”

ไอลดาบอกพร้อมเดินอ้อมโต๊ะทำงานไปหยุดอยู่ตรงมุมไกล ห่างจากชายทั้งคู่

“แล้วมารับงานนี้ได้ยังไงครับคุณมารุต” สายตาของมานะยังชื่นชมคนตรงหน้าไม่จบสิ้น “คือ ผมว่า มันถือเป็นแบบว่า... เป็นความสำเร็จในหน้าที่การงานเลยละนะ ที่ได้มาเป็นบอดี้การ์ดที่นี่ ใช้เวลาเกือบตลอดเวลากับสาวสวยในคฤหาสน์หรูหราริมทะเลอย่างนี้”

มารุตจ้องหน้าคนพูดตรงๆ ยกคิ้วและตีสีหน้าไม่พอใจ

“ผู้ว่าจ้างทุกคนของผม ผมมองเท่ากันหมด และที่คุณว่าเป็นคฤหาสน์หรูหราอะไรนี่ มันก็มีช่องโหว่มากมาย มันไม่ปลอดภัยเลยสักนิดสำหรับการคุ้มครองใครสักคน ซึ่ง...นั่นเป็นส่วนหนึ่งของงาน เป็นเรื่องที่ผมจะแก้ไข”

มานะขมวดคิ้ว หมดเรื่องจะคุยกับมารุตได้ง่ายๆ เขาหันไปทางไอลดา

“ผมว่าต้องมีใครแนะนำเขามาอีกทอดหนึ่งแน่ๆ”

“จากสมานไมตรีค่ะ”

“บริษัทประกันภัยจอมเคี่ยวนั่นน่ะเรอะ” มานะคล้ายจะโวยวาย “ทำไมคุณถึงติดต่อกับเขาโดยไม่ผ่านผม และเรื่องบอดี้การ์ดอะไรนี่ ทำไมไม่ปรึกษาผมก่อน”

ไอลดารู้สึกคล้ายถูกตำหนิ หล่อนโมโหขึ้นมาเหมือนกัน เอ่ยเสียงเย็นเยือกว่า

“พี่นะคะ คุณวิลาศตายมาสามเดือนแล้ว ฉันดีใจที่เป็นห่วงกัน แต่พี่นะไม่จำเป็นต้องตัดสินใจแทนทุกเรื่องอีกต่อไป”

ความโกรธยังพลุ่งพล่าน แต่หล่อนพยายามระงับเอาไว้

“สมานไมตรี ประสานงานกับบริษัทรักษาความปลอดภัยที่ดีที่สุดให้ฉัน และมันถูกต้องที่สุดนะคะ ที่ฉันจะต้องติดต่อกับเขา กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น”

ถึงมานะจะรู้ว่าหล่อนไม่พอใจ แต่ความเป็นทนายมืออาชีพ ทำให้เขาไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมา แต่หันไปพูดกับมารุตอีกครั้ง

“ตกลงคุณไม่ได้เป็นพนักงานของสมานไมตรี”

“ใช่ อย่างที่เจ้านายคุณบอก สมานไมตรีติดต่อมาที่เรา” เขาล้วงนามบัตรออกมายื่นให้แก่มานะ

“คุณมารุตมีประสบการณ์มาก และถูกคัดเลือกก่อนจะส่งมาทำงาน เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่า จะเป็นใครที่รับงานนี้”

หล่อนมองมารุตเป็นนัย ไม่อยากให้มานะขุดคุ้ยกับเรื่องนี้ ไม่อยากให้ไปค้นพบว่า บอดี้การ์ดของหล่อนเคยเป็นปปส.ในช่วงเดียวกับที่บิดาหล่อนเสียชีวิต

“...เตรียมปรับปรุงระบบความปลอดภัยและจะคุ้มครองฉันในที่สาธารณะ คอยกันบิณฑ์ไม่ให้เข้ามายุ่มย่ามจนกว่าจัดการเรื่องพินัยกรรมเรียบร้อย”

มานะพยักหน้า และก้มลงอ่านนามบัตรอีกครั้ง เขาเก็บใส่กระเป๋าเสื้อตัวเอง แล้วยิ้มเครียดๆ ให้อีกฝ่าย

“ผมก็คิดว่า คุณคงจัดการกับใครต่อใครได้ทั้งนั้นละนะ” เขาเดินไปรวบรวมเอกสารเก็บเข้าแฟ้ม จัดการใส่กระเป๋าเอกสารของตัว แล้วหันมาย้ำกับไอลดา “เราตัดสินใจกันเรียบร้อยแล้วนะลดา ผมจะโทรมาหาหลังจบการประชุมบอร์ดพรุ่งนี้เช้า แล้วจะส่งรายงานการประชุมให้ช่วงบ่าย คุณจะได้ตั้งใจทำในส่วนของคุณได้เต็มที่”

แต่... ทั้งสองยังไม่ได้ตัดสินใจอะไรทั้งสิ้น

ทว่าไอลดาไม่อยากถกเถียงกับมานะอีกแล้ว และเห็นว่ามารุตกำลังประเมินสามีของบราลี ด้วยสายตาคมกริบ

“เดี๋ยวบ่ายๆ ฉันจะโทร.หานะคะพี่นะ ...ลี่ เธอควรจะเข้ามาตั้งแต่แรกนะ”

“ก็...แหม... เห็นประชุมกันเครียดๆ ใครจะกล้า...” บราลีค่อยโผล่หน้าออกมา ด้วยท่าทีสดใสเช่นเดียวกับชุดเสื้อผ้าสีเหลืองเปลือกมะนาวนั่น

เพื่อนสนิทของไอลดา โผกอดผู้เป็นสามี

“เห็นไหมคะ...” หล่อนยิบตาบอกมานะ “ฉันไม่ได้ขัดจังหวะการประชุมของคุณเลยสักนิด”

ผู้เป็นสามีปลดวงแขนภรรยาอย่างนุ่มนวล บราลีจุ๊บแก้มเขาทีหนึ่ง

“งั้นก็ไปทำงานเถอะค่ะ หาเงินมาให้ฉันใช้เยอะๆ นะคะที่รัก”

หลังจากดุนหลังมานะพ้นจากห้องไปแล้ว หญิงสาวก็หันมาพูดกับไอลดา

“รีบๆ เข้าเถอะ นี้เราสายแล้วนะ วันนี้เราต้องไปทำสปา แพคเกจอภิมหาโคตะระแพงที่ฮิลตันสปาแบบเต็มวันนี่ไม่ได้จองเวลาได้ง่ายๆ และ... คุณ...” หล่อนหันไปทางมารุต “...ก็ต้องไปกับเราด้วย เฝ้าประตูเอาไว้ กันไม่ให้เจ้าบิณฑ์โผล่เข้าไป”

ไอลดากลั้นยิ้ม มองดูบราลีซึ่งคล้ายจะเหลือตัวนิดเดียว เมื่อเทียบกับความสูงร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตรของมารุต

“คงไม่ไปแล้วละลี่ ฉันมีงานต้องสะสางเยอะเลย”

ใบหน้าของบราลีเปลี่ยนเป็นผิดหวังจริงจัง หล่อนชะโงกมองสามีกำลังไขประตูรถ ผ่านหน้าต่างบานกว้าง

“อีตามานะนี่ไม่ได้เรื่องเลย ฉันบอกเขาแล้วนะว่าต้องทำให้เธอว่างทั้งวัน ไม่ใช่ให้ยุ่งยากยิ่งกว่าเดิม ฉันจะไปที่นั่นคนเดียวได้ไงล่ะ”

“มันคิดเองละ ที่ว่าต้องมีอะไรๆ ให้สะสาง”

“แต่ถ้าเธอไม่ไป ฉันนี่ละที่จะทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากกับเธอ แบบที่พ่อบอดี้การ์ดหล่อล่ำคนนี้ไม่มีทางแก้ไขได้” บราลีปั้นน้ำเสียงเข้ม แต่หน้าตายังยิ้มรื่น

ไอลดาหัวเราะ “เราต้องจัดการเรื่องระบบรักษาความปลอดภัยในบ้านนี้ จากนั้นก็เตรียมเรื่องเปิดตัวมูลนิธิ และสำหรับเรื่องสปา เซบาสเตียนเขาจะให้บริการเธอเต็มที่เหมือนไปกับฉันนั่นละ ฝากบอกเขาด้วยแล้วกันว่า ฉันคิดถึง”

“ฉันโกรธเธออยู่นะ คุณนายไอลดา...”  หล่อนพึมพำเบาๆ

“ก็คงงั้นแหละ” คนถูกโกรธไม่ได้สนใจจะง้อ หันไปบอกมารุตว่า “ฉันก็ชอบคุณเซบาสตี้นั่นนะ”

ไอลดาเห็นแววตาของชายหนุ่มเหมือนจะยิ้ม กับท่าทางแง่งอนขอบราลี เพื่อนสนิทของเจ้าของบ้านทำเป็นกระฟัดกระเฟียดอีกเล็กน้อย ก่อนบอกว่า

“งั้นเธอก็โทร.ไปบอกเสวีเขาเสียหน่อย ว่าฉันกำลังจะไปรับบริการสุดเอ็กคลูซีฟกับเขาแบบเต็มเวลา เต็มที่ เต็มเม็ดเต็มหน่วย เต็มไม้เต็มมือ”

คนถูกไหว้วานพยักรับ ไม่ทันยกโทรศัพท์ คนช่างจ้อก็พูดขึ้นอีก

“น่าเสียดายนะ คือเราไม่รู้ว่าพ่อเซบาสตี้รูปหล่อจะถูกส่งกลับสเปนเมื่อไหร่ ฉันเสียดายนะ ถ้าจะไม่ได้รับความรู้สึกสุดวิเศษจากนิ้วใหญ่ๆ ของเขาอีกต่อไป”

แล้วหล่อนก็ผละจากไป เหมือนนึกขึ้นได้ว่าต้องรีบ พอเหลือกันแค่สองคน ทั้งห้องก็ดูเหมือนจะว่างเปล่า

“เธอทำฉันหัวเราะได้เสมอแหละ” ไอลดาเริ่มพูด มองตามชุดสีเหลืองกระจ่างตานั่นไป

มารุตพยักหน้าเห็นด้วย “ดูเหมือนเธอจะพยายามปกป้องคุณด้วย”

“งั้นหรือคะ...ตอนไหน”

“ก็ตอนที่เธอบุกไปที่เรือนรับรองนั่น แล้วเริ่มสอบสวนผม”

“ลี่เนี่ยนะ สอบสวนคุณ ฉันไม่เชื่อหรอก คุณต่างหากจะเป็นฝ่ายทำอย่างนั้น”

เขายิ้ม รอยย่นเล็กๆ ที่หางตาทำให้หล่อนรู้สึกอิจฉาบราลี ที่ได้เข้าไปถึงในที่ส่วนตัวของมารุต

“เพื่อนคุณไม่ได้สารภาพอะไรหรอก แต่ก็เล่าเรื่องของคุณให้ฟังหลายเรื่อง”

“ฉันไม่ห่วงเรื่องที่ลี่พูดกับคุณหรอกค่ะ เพื่อนฉันคนนี้ใจใหญ่และตรงไปตรงมาเสมอ”

“ใช่... สินะ” มารุตถึงกับต้องหัวเราะหึๆ ก่อนพูดต่อไป “ใจใหญ่มากพอจะไม่สนใจว่า สามีตัวเองกำลังเกาะแกะผู้หญิงอื่น โดยเฉพาะผู้หญิงคนนั้น เป็นเพื่อนสนิทของตัวเองแท้ๆ”

ไอลดามองหน้าคนพูดอย่างเคืองๆ

“เขาไม่เจตนาลวนลามอะไรหรอกมังคะ เขา...สนิทกับคุณวิลาศ ที่เรียกเขาว่าพี่นะ ที่จริงเขาแทบเป็นเหมือนพ่อฉันอีกคนหนึ่งด้วยซ้ำ”

พูดจบ หล่อนก็อยากดึงคำพูดนั้นกลับมาเหลือเกิน

มารุตไม่ได้ตอบโต้อะไร เขาหันไปหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งจากมุมโต๊ะกว้าง เพื่อหล่อนจะได้ไม่ต้องเห็นหน้าเขา

“ถ้าคุณจะอยู่ในห้องนี้อีกสักพัก ผมก็จะเริ่มตรวจสอบความปลอดภัยที่ชั้นล่างนั่นก่อน คุณอาจต้องบอกคนรับใช้ทุกคน ถึงทุกคนเรื่องที่ผมจะทำวันนี้”

“คุณได้พบกับทุกคนแล้วค่ะ นั่นละกองทัพของฉัน ป้าแม้น นางสาวแม้นมาศ ป้าแม้นดูแลและจัดการเรื่องในบ้านนี้ทั้งหมด ฉันเสียอีกที่ไม่รู้ประสาอะไรเลย และ ถ้าคุณทำดีกับเธอ คุณจะได้กินอาหารที่อร่อยวิเศษสุดจากทุกชาติ”

“คุณเอาจุดอ่อนมาเล่นงานผม”  มารุตบอกยิ้มๆ

หรือว่า หล่อนเผลอกลับไปใยดีกับเขาเสียแล้ว ไอลดาตกใจตัวเอง

“คุณไม่กินพวกปิ้งย่างครึ่งสุกครึ่งดิบแล้วใช่ไหม”

“ก็... ถ้าจำเป็น”

ถ้อยคำสนทนา คล้ายจะเป็นการเริ่มรำลึกอดีตอันหวานชื่น ไอลดาต้องรีบตัดบท

“เชิญเลยนะคะ...” หล่อนบอกง่ายๆ “สำรวจได้ทุกที่ที่คุณต้องการ”

แต่ชายหนุ่มยังไม่ขยับตัว สายตายังจดจ่ออยู่กับกระดาษแผ่นที่หยิบขึ้นมาเมื่อครู่

“สามีคุณ คุณวิลาศตายเมื่อไหร่นะ”

หญิงสาวไม่ทันตั้งตัวกับคำถามนี้

“เอ่อ... มกราค่ะ... เดือนมกรา”

“วันที่เท่าไหร่”

“วันที่เจ็ด วันที่เจ็ดมกราคม สามเดือนที่แล้ว”

เขาวางเอกสารลงบนโต๊ะ หมุนตัวกลับมาหาหล่อน ชี้ไปที่ลายเซ็นตัวเอียงๆ ตรงท้ายกระดาษ

“ถ้างั้น ถ้าวันที่ในเอกสารอนุมัตินี่ไม่ผิด สามีคุณก็ต้องเซ็นชื่อหลังจากที่เขาตายไปแล้ว”

“คุณว่าอะไรนะ คุณพระช่วย!” หล่อนอุทานพร้อมยกมือทาบอก จ้องมองท้ายกระดาษอยู่อีกนาน “นี่มัน... ไม่ใช่ลายเซ็นคุณวิลาศ”

คนฟังเลิกคิ้ว

ตรงส่วนบนของกระดาษ ไอลดาอ่านรายละเอียด นี้คือรายการบัญชีสินทรัพย์ของยูมอลล์ที่สิงคโปร์ กัวลาลัมเปอร์และมะนิลา

“แน่ใจได้เลยว่า เรื่องนี้ต้องมีคำตอบให้ฉันชัดๆ” หัวใจหล่อนเต้นแรงด้วยความแปลกใจระคนโมโห “คุณต้องไปกับฉัน ในการประชุมบอร์ดบริหารวันพรุ่งนี้”


ห้องนอนนั้นดูน่าหัวเราะ

จากเพดานที่มีช่องเว้าและโคมไฟระย้าที่แทบจะส่องสว่างได้แทนแสงนำทางจากประภาคารทั้งหลัง เตียงใหญ่ลายไม้ยึกยักอย่างอังกฤษโบราณ รวมทั้งทุกมุมที่เต็มไปด้วยของตกแต่งหรูหราไร้สาระ

แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นห้องนอนของไอลดา... มันจึงน่าสนใจ

มารุตสำรวจชั้นล่างเรียบร้อยหมดแล้ว ทั้งผ้าม่านและหลอดไฟทุกดวง และเพราะผ่านการตกแต่งมาหลายครั้งหลายหน จึงยากจะบอกว่า ตรงไหนคือรสนิยมที่แท้จริงของเจ้าของบ้านคนปัจจุบัน

ที่จริงทุกห้องดูสมบูรณ์แบบอย่างไม่น่าเชื่อ และนั่นทำให้เขาออกจะรำคาญ เพราะมันดูละลานตา และไม่น่าจะใช่แบบที่ไอลดาเคยชื่นชม

ไอลดาคนเดิมหายไปไหน คนที่มีท่าทางสวย ฉลาด ไหวพริบดี หล่อนมีความสุขจริงๆ น่ะหรือ กับการต้องต่อสู้ฟาดฟันกับการบริหารธุรกิจต่อจากสามี

แต่ก็นั่นละ...ไอลดาที่ชายหนุ่มรู้จัก ก็ไม่ใช่พวกชอบไปสปาหรือชอปปิ้งไร้สาระอยู่แล้ว

มารุตเปิดผ่านเข้าไปในห้องแต่งตัว มันมีขนาดใหญ่พอๆ กับห้องนอน และตระการตาด้วยตู้ ชั้น และกระจกบานใหญ่ เสื้อผ้าสารพัด แขวนเรียงอย่างเป็นระเบียบ ไล่ตามเฉดสี

“มองหาแบบไหนเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ”

เสียงล้อๆ ดังจากด้านหลัง เขาหันกลับมาพบเจ้าของห้อง ยืนกอดอกพิงกรอบประตู พร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เล็กๆ แบบเดียวกับตอนนี่หล่อนได้แค่ไพ่คู่สอง แต่ทำหน้าตาราวกับว่าได้เรียงสีทั้งห้าใบ

“ผมอยากรู้ว่า ผู้หญิงคนหนึ่งๆ เนี่ย เขาต้องมีกระเป๋าถือสักคนละกี่ใบ”

คนถูกถามยักไหล่ “มันก็มาพร้อมกับงานสังคมแต่ละงาน...”

“อืมม์ นั่นสิ ผมลืมไปว่าคุณเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้า ที่มีสาขาอยู่เกือบทั่วเอเชีย”

ไอลดาขยับเข้ามาในห้องหนึ่งก้าว ยังยิ้มและมีสายตายั่วเย้าเช่นเดิม

“ก็ไม่น่าจะใช่อย่างนั้นเสียทีเดียวหรอกค่ะ ธุรกิจในเครือ ณ หทัย เรามีทั้งธุรกิจเครือข่ายออนไลน์ บรรษัทเงินทุนหลักทรัพย์ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ อ้อ... เป็นเจ้าของทีมฟุตบอลอังกฤษอยู่ทีมหนึ่งด้วย”

คนฟังยิ้มเพลียๆ “คุณร่ายยาว ราวกับกำลังแถลงผลประกอบการประจำปีแน่ะ”

“ค่ะ ขนาดแค่พูดกันเล่นๆ บางทีฉันก็อดรู้สึกอย่างนั้นไม่ได้”

หล่อนเกลี่ยปลายนิ้วไปตามเลื่อมระยับของชุดราตรีสุดหรู

“ที่คุณเห็นเหล่านี้... ฉันบอกได้เลยว่า เป็นตัวอย่างที่เลวของพวกบริโภคนิยม แต่วิลาศก็ซื้อของพวกมันมาให้ฉัน แล้วก็...” หญิงสาวยิ้มกว้าง “...ฉันมีเพื่อนสนิทเป็นนักชอปปิ้งตัวยง”

แล้วไอลดาก็ละมือจากชุดนั้น หันมาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังมากขึ้น

“คุณมาทำอะไรในห้องนี้คะ หรือคิดจะติดตั้งกล้องสอดแนมอะไร”

มารุตขบปลายหัวแม่โป้งของตัวเองเล่น ขณะนึกถึงผลประโยชน์ชั้นที่สอง ถ้าทำอย่างที่หล่อนพูดได้จริงๆ

“ผมยังอยู่ในงาน ในการสำรวจทุกซอกมุมของบ้านคุณ ผมจะบอกรายละเอียดที่ต้องปรับปรุงสิ่งต่างๆ ทั้งหมดหลังจากสำรวจครบถ้วนแล้ว ซึ่งขนาดของบ้านหลังนี้ ทำให้ผมต้องใช้เวลาอีกสักพัก”

เขาบอกอย่างเป็นการเป็นงานเช่นกัน

“แต่เลิกขุดคุ้ยว่า ฉันใช้ชีวิตประจำวันอย่างไร ไม่ได้หรือ”

“เปล่า ผมแค่สังเกตการณ์ มันเป็นส่วนหนึ่งของงาน” เขาปฏิเสธง่ายๆ “มันยากเพราะพื้นที่กว้างขวาง และเต็มไปด้วยซอกหลืบนี่ มันพอกับพระตำหนักของสุลต่าลบางคนด้วยซ้ำ”

เขาเห็นหล่อนนิ่วหน้า ต้องอธิบายต่อไปว่า

“ผมไม่ได้มั่ว เพราะเมื่อปีที่แล้วนี่เอง ที่ต้องไปทำงานแบบนี้ ให้กับเจ้าชายซึ่งจะได้แต่งงานกับเจ้าหญิงอีกรัฐ ที่มีเจ้าชายจากหลายที่หมายปอง และ... ผมไม่ได้ตำหนิเรื่องการใช้ชีวิตของคุณซะหน่อย”

มารุตคิดว่าอีกฝ่ายจะเถียง แต่ก็เปล่า หล่อนแค่ถอนหายใจยาวๆ

“งั้นก็หยุดสำรวจก่อนเถอะค่ะ เช้านี้ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่”

หล่อนยอมรับง่ายๆ จนน่าแปลกใจ นั่งลงบนเก้าอี้สตูตัวหนึ่ง เพื่อเปลี่ยนรองเท้า

“ดูไม่เหมือนว่า คุณเจอช่วงเช้าแย่ๆ เลยนะ”

ประโยคนี้ทำให้หญิงสาวค้อนให้เขาขวับหนึ่ง

“นั่นสินะ ที่จริงฉันน่าจะไปกับลี่ ไปหาเซบาสตี้ หนุ่มสเปนรูปหล่อ มือหนัก แต่แสนจะนิ่มนวลคนนั้น”

ตั้งแต่กลับมาเจอกัน นี้เป็นครั้งแรกที่น้ำเสียงหญิงสาว คล้ายกลับเป็น วาริน คนเดิมที่เขาเคยรู้จัก

“แล้วคุณคิดออกไหมว่า เอกสารฉบับนั้นถูกใครเซ็น หรือมันออกมาเป็นแบบนั้นได้ยังไง”

“กำลังพยายามคิดอยู่ค่ะ”

“อยากให้ผมช่วยอะไรไหม”

“ไม่เป็นไร” หล่อนเอนหลังพิงขอบโต๊ะเครื่องแป้ง “คุณจะช่วยอะไรได้ล่ะคะ”

“บลูแคทของผมมีอุปกรณ์ทุกอย่าง เราทำอะไรได้มากกว่าที่คุณคิด เช่น เรื่องแกะรอยการปลอมแปลงเอกสาร”

“ก็... คงงั้น” หล่อนตอบเนือยๆ “แต่ฉันควรต้องพึ่งตัวเองเสียก่อน และต้องคุยกับบางคนของณหทัยกรุ๊ป”

“แล้วอะไรอีก ที่ทำให้คุณดูเป็นทุกข์ขนาดนี้ ทั้งที่เรื่องเอกสารคุณวางแผนไว้แล้ว”

หล่อนค่อยๆ ลืมตา ยกคิ้วข้างหนึ่ง “คุณอยากรู้จริงๆ หรือคะรุต”

ก็นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เขายอมรับงานนี้ไม่ใช่หรือ

“บอกมาเถอะ”

“ก็... บรรดาภาระที่คุณวิลาศทิ้งไว้ให้ฉัน บางทีก็ทำให้เจ็บปวด”

“เหมือนคนท้อ หรือแปลกใจที่อยู่ๆ มันก็ถามถึงอย่างปุบปับ” เขาประเมินจากท่าทีและน้ำเสียง “คุณไม่คิดมาก่อนหรือว่า ต้องสืบทอดเรื่องพวกนี้แทนเขา ผมคิดว่าคุณเคยคุยเรื่องพินัยกรรมกับคุณวิลาศแล้วเสียอีก ก่อนที่เขาจะหัวใจวายตายอะไรนั่น”

คนฟังส่ายศีรษะ “เขาไม่ชอบพูดเรื่องนี้ ไม่อยากเอ่ยถึงด้วยซ้ำ”

“แต่ว่า... ฟังผมนะลดา สามีคุณอายุหกสิบห้า มีเงินเป็นพันๆ ล้าน และเท่าที่ผมเห็น ดูเหมือนคุณจะสนิทสนมกับทนายความประจำตัวคุณวิลาศ เกินกว่าเป็นนายจ้างลูกจ้างทั่วไป”

มารุตเว้นระยะ เพื่อให้หล่อนได้คิดตาม

“แสดงว่า คุณต้องรู้แน่ๆ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับคุณวิลาศ คุณนั่นละที่จะต้องสานต่อ ภาระความรับผิดชอบทั้งหมดของเขา และแน่นอนว่า คุณต้องเคยคุยกับสามี เพื่อเตรียมรับสถานการณ์อย่างนี้มาแล้ว”

หล่อนจ้องตาคนพูด แววตานั้นบอกยากว่า กำลังตัดพ้อหรือขอความเห็นใจ

“เขาคุยเรื่องพวกนั้นกับพี่นะ”

มารุตมองหล่อนอีกอึดใจ สังเกตเห็นรอยคล้ำและเส้นเล็กๆ รอบดวงตา มันบอกถึงความอิดโรย พักผ่อนไม่เพียงพอ

ผู้หญิงที่ต้องตกมาอยู่ในสถานการณ์อย่างนี้ คงมีหลายอย่างให้เหนื่อยล้า ทั้งความโศกเศร้า ความเครียด การพยายามฆ่าตัวตาย... และที่เขาเข้าใจก็คือ หล่อนกำลังปกปิดความสัมพันธ์ชู้สาว กับทนายความของสามีตัวเอง

ชายหนุ่มบอกตัวเองว่า คงต้องค้นหาอีกมาก ภายใต้หน้ากากที่คุณนายไอลดา ณ หทัย สวมอยู่

“แล้วคุณไม่ได้คุยเรื่องพวกนั้นกับทนายบ้างหรือ หลังการตายของคุณวิลาศ”

“กลับมาคุยเรื่องการรักษาความปลอดภัยต่อเถอะค่ะ” ไอลดาตัดบท “คุณเจออะไรผิดปกติไหม”

มารุตต้องบอกตัวเองว่า ฝ่ายตรงข้ามก็เป็นนักสอบสวนที่เชี่ยวชาญคนหนึ่ง ที่เขาเคยรู้จัก “ผมว่าคนตกแต่งของคุณ คิดได้ดีหมดทุกส่วนนั่นละ ยกเว้นเรื่องห้องนิรภัย”

“คุณ... หมายถึงแบบประมาณ ที่เป็นห้องหลบภัย อะไรแบบนั้น?”

เขาพยักหน้า “เราชอบเรียกว่าห้องนิรภัยมากกว่า จะต้องเป็นห้องที่อยู่ส่วนกลางของตัวบ้าน ขนาดไม่ใหญ่มากและเข้าได้ทางเดียว ผมไม่เห็นห้องไหนที่เป็นแบบนั้น”

“มีสิคะ มีห้องแบบนั้นอยู่ห้องหนึ่ง”

มารุตพยายามทบทวนแปลนบ้านในหัวตัวเอง “ที่ไหน...”

หล่อนชี้ไปด้านหลัง “ติดกับห้องนอน ตรงโน้นไง และไม่มีทางเข้าทางอื่น”

“มันกันกระสุน ต้านแรงระเบิด หรือมีอุปกรณ์ปฐมพยาบาลหรืออุปกรณ์ฉุกเฉินอะไรสำรองไว้ไหม”

ไอลดามีสีหน้าละห้อยกับคำถามชุดนี้

“ห้องว่างน่ะค่ะ คุณจะขนอะไรเข้าไปไว้ในนั้นก็ตามใจ”

“งั้นก็ดี ผมต้องไปสำรวจห้องนั้นด้วย แล้วจะเพิ่มลงไปว่าต้องทำอย่างไรกับมัน”

เขารีรออีกครู่ ก่อนถามหล่อนอีกคำ

“จะให้ผมไปเอง หรือคุณจะพาผมไปดูล่ะครับ”

หล่อนคลายมวยผมของตัวเองออก แล้วยืนขึ้น เดินนำชายหนุ่มพ้นห้องแต่งตัวออกมา เขาเดินตาม สายตาเลื่อนสำรวจแผ่นหลังหญิงสาวที่เขาเคยรักแสนรัก มองเนื้อผ้าลินินราคาแพง ที่ขยับไหวบนสะโพกหล่อน ขณะที่เดินข้ามห้องนอนไปยังอีกห้อง

เขามองบั้นท้าย เอว... แผ่นหลังและเรือนผมของหญิงสาวที่เดินนำ ด้วยความรู้สึกอันเร่าร้อน รู้ตัวว่าความต้องการบางอย่างแข็งขันขึ้น ทั้งที่พยายามจะข่มใจ

ให้ตายเถิด ผ่านไปแล้วตั้งหลายปี แต่เขาไม่เคยหักห้ามใจได้เลย อะไรๆ ก็เปลี่ยนไป ยกเว้นความรู้สึกที่เขามีให้กับบั้นท้ายและสะโพกกลมกลึงนั่น

ด้านหลังของหญิงสาว เปิดเผยอะไรหลายอย่าง ขณะที่ใบหน้านั้นกลับปิดกั้น และห่างเหิน

เงิน...หรือเพราะการฆาตกรรมกันแน่ ที่ทำให้หล่อนกลายเป็นเช่นนั้น

ไอลดาเปิดประตูเข้าไปยังทางเดินเล็กๆ ตรงเข้าไปเพื่อพบประตูอีกบาน สูดหายใจลึกก่อนบิดลูกบิดประตู

มันเผยให้เป็นห้องเล็กๆ ที่ว่างเปล่า ไม่มีการทาสี ไม่มีการปูพื้นกระเบื้องหรือหินอ่อน ไม่มีการตกแต่งใดๆ ทั้งสิ้น

“ฉันไม่อยากตกแต่งน่ะค่ะ” หล่อนบอกเมื่อเห็นเขาทำสีหน้าประหลาดใจ “มันคงจะเหมือนลางร้าย ถ้าต้องเตรียมห้องนี้ให้พร้อมใช้งาน”

“มันเกี่ยวกับฮวงจุ้ยอะไรด้วยหรือ”

หล่อนหัวเราะเบาๆ ให้กับคำถามนี้

“ไม่เกี่ยวหรอกค่ะ ฉันแค่ไม่อยากเป็นลาง คือ... ฉันก็ได้แต่หวัง...”

มารุตก้าวเข้าไปในห้อง มองหาเงื่อนงำบางอย่าง แต่ก็ไม่พบอะไร

“คุณหวังอะไรไว้”

คราวนี้ไอลดาเชิดหน้าขึ้น หลังหยัดตรง “ลูก  เราพยายามจะมีลูกด้วยกัน ตอนปรับปรุงบ้านหลังนี้ ห้องนี้คือ ที่เตรียมไว้เป็นห้องเลี้ยงทารก”

เขาไม่ชอบเหตุผลนี้เลย โดยเฉพาะเวลาต้องจินตนาการถึงวิธีการทำเรื่องอย่างนั้น

“งั้น ตกลงปัญหาจริงๆ มันคืออะไรกันแน่”

“ไม่ใช่ธุระกงการของคุณหรอกค่ะรุต” หล่อนตอบเรียบๆ และเขาต้องยอมรับว่า มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ

“เอาเถอะ... คุณพูดถูกแล้วละ เอางี้นะ สำหรับห้องนี้ เราต้องเสริมความแข็งแรง ปิดตายหน้าต่าง เสริมผนังด้วยเหล็กกล้าหรือคอนกรีต และประตูต้องใช้แต่กลอน ไม่ใช่ลูกบิด”

“ก็แล้วแต่คุณแหละค่ะ”

“ใช่... เพื่อความปลอดภัย” เขาเดินไปอีกสามสี่ก้าว พื้นไม้เนื้อแข็งส่งเสียงดังก้อง “หรือว่า ถ้าคุณอยากใช้ห้องนี้ตามแผนการเดิมจริง ผมว่าข้างใต้นี่ เราก็ทำเป็นห้องนิรภัยได้นะ”

หล่อนส่ายหน้า “ไม่ละค่ะ”

คำตอบนี้ทำให้มารุตรู้สึกอึดอัดอย่างประหลาด รีบเดินพ้นออกมายังห้องนอนใหญ่

“ผมจะเพิ่มของที่ต้องใช้ให้ ร่วมทั้งทุกอย่างที่จำเป็นในห้องนี้ด้วย”

แต่ไอลดายังไม่เดินตามออกมา ราวไม่เห็นว่าเขาเดินออกไปแล้ว

หรือว่าหล่อนกำลังเศร้าโศกที่ไม่ได้มีลูก หรือว่าแววตาหม่นเศร้านั่น ก็เพราะเรื่องนี้ หรือว่า วิลาศต้องการยกเลิกชีวิตคู่ เพราะหล่อนมีลูกให้เขาไม่ได้... หรือเปล่า...

มารุตระบายลมหายใจอย่างอ่อนแรง เรื่องราวชักซับซ้อนขึ้นทุกที ทั้งที่เขาคิดว่า มันน่าจะเป็นเรื่องง่ายๆ เท่านั้น

มานะ มานกิจ นวดขมับตัวเองที่ปวดตุบ หลับตาที่กำลังรู้สึกแสบร้อน

กระดาษเอกสารมากมายกองอยู่ตรงหน้า มันทรมานที่ต้องอ่าน รู้สึกราวถูกของมีคมคอยทิ่มแทงดวงตา

เลือกจุดที่สำคัญ บรรทัดที่สำคัญเท่านั้น... เขาบอกตัวเอง

นโยบายของณหทัยคือ ผู้บริหารระดับผู้อำนวยการส่วนใหญ่ต้องเป็นอิสระ สามารถแทนที่ตำแหน่งเดียวกันของส่วนงานอื่นได้... ห้ามไม่ให้ปรับราคาเงื่อนไขหุ้นสำหรับพนักงาน... ฯลฯ... ห้ามไม่ให้กู้ยืมต่อพนักงาน...

ข้อสุดท้ายนี่ละ ทำให้เขารู้สึกปวดศีรษะอย่างรุนแรง

ถ้าจำเป็นต้องทำ เขาจะทำได้หรือ ที่จะโน้มน้าวบอร์ดทั้งหมดให้เชื่อว่า เงินก้อนโตนั่นเป็นการให้ยืม ถ้าวิลาศไม่เคยยืนกรานเรื่องระบบบรรษัทภิบาลของณหทัย เข้มแข็งเข้มงวดกว่าพวกตลาดหลักทรัพย์... เขาก็อาจทำสำเร็จ

มานะกระดกวิสกี้ ที่บราลีตั้งใจเอามาวางประดับไว้ในห้องทำงาน...

นึกถึงภรรยาตน หล่อนจะเป็นยังไง หากรู้ว่าเขากำลังกลบเกลื่อนร่องรอย...

นั่นคือสิ่งที่เขาจะทำได้จนถึงตอนนี้ ความผิดพลาดที่ทำลงไปมันประมาณค่าไม่ได้ และย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้ ทำให้เขาต้องจัดการรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ซึ่งหมายถึง สิ่งที่เขากระทำกับเพื่อนสนิทของหล่อน

มานะพยายามทำใจเย็น ถอดปลอกปากกาหมึกซึม และเริ่มเซ็นชื่อลงในเอกสาร...

บ้าเอ๊ย! ไมเกรน... เขาปวดหัวมากเกินไป ไม่น่าเลยที่จะพยายาม คิดหาวิธีแก้ไขปัญหาใหญ่ขนาดนั้นในตอนนี้

เขาเอื้อมหยิบอีกแฟ้ม เข้าใจว่าเป็นสัญญาว่าจ้างผู้รับเหมา กะพริบตาไล่ความพร่าเลือนของสายตา แล้วพยายามเพ่งมอง

กลับเป็นหัวข้อการประชุมของคณะกรรมการบริหาร

นั่นละ รายละเอียดปลีกย่อยที่ต้องค่อยปลดไปทีละเปลาะ

นั่นละ ที่ทำให้ปวดหัวจี๊ด

แต่ถ้าไม่จัดการ ร่องรอยของเขาต้องถูกเปิดเผย

มานะพยายามตั้งสติ เซ็นชื่อลงในเอกสาร แต่ขณะที่อ่านรายชื่อผู้เข้าร่วมประชุม เขาต้องสบถออกมาอีกครั้ง

นางไอลดา ณหทัย

นี่ไงล่ะ สาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้ไมเกรนเล่นงานเขา

หล่อนคือต้นเหตุของทุกปัญหา

หล่อนต่างหากคือคนที่ควรจะต้องตาย ไม่ใช่วิลาศ

เขาเซ็นชื่ออย่างหวัดๆ ดวงตาผ่าวร้อนและเต้นตุบๆ แล้วเริ่มมีเงาดำ คล้ายเคลื่อนมาจากด้านหลังของลูกนัยน์ตา...

นั่นคืออาการมองไม่เห็นเนื่องจากอาการปวดหัวรุนแรง มานะพยายามไม่สนใจ แต่การมองเห็นของเขากลับริบหรี่ลงไปแทบจะทันที

เขานวดขมับ รู้ว่าอาการปวดจะหายไป หากได้นอนหลับเงียบๆ สักตื่นใหญ่ๆ

แต่เขาคงจะนอนไม่หลับไปอีกทั้งคืน หากยังคิดไม่ออกว่า จะกีดกันไอลดาจากการประชุมวันพรุ่งนี้ได้อย่างไร หรือจะกำจัดหล่อนให้พ้นทางได้ด้วยวิธีไหน

*****************




Create Date : 11 มิถุนายน 2559
Last Update : 15 มิถุนายน 2559 15:58:03 น.
Counter : 402 Pageviews.

0 comment
นิยาย:บอดี้การ์ดสยบรัก:บทที่03:มือที่สาม


(อ่านง่ายสบายตากว่าตามลิงค์นี้คัรบ //writer.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=1483450  )

บทที่สาม

มือที่สาม

“คุณต้องมีพื้นที่ว่าง... และโล่งมากกว่านี้”

มารุตเดินช้าลง เพื่อรอให้ไอลดาตามทัน เขาพอใจที่เห็นหล่อนในชุดรัดรูปสีดำ แสดงส่วนโค้งเว้ายวนใจบนร่างกายสูงเพรียวของหล่อน

พนันได้ว่าเป็นชุดฝึกโยคะ เขาเคยคุ้มครองผู้หญิง ที่จงใจสวมชุดแบบนี้ต่อหน้าเขามาแล้วหลายคน

แต่สำหรับไอลดา การที่เขาได้แค่มอง ก็เป็นสุขเหลือล้นแล้วละ

หล่อนขอสาบานจากเขาว่า จะไม่แตะเนื้อต้องตัวกันอีก แต่ในความรู้สึก เขาเหมือนยังไม่ปลดมือจากหัวไหล่ของหล่อนด้วยซ้ำ

หรือกระทั่งกลิ่นของดอกไม้กลางคืน ที่ส่งความหอมเย็นมาให้ตอนนี้ ก็ไม่สามารถลบเลือนกลิ่นกายหอมจรุงใจของหล่อนได้

สติ... เขาต้องตั้งสติให้ดี นี่ต้องเป็นเรื่องของการทำงานเท่านั้น

“ถ้าจะให้ได้พื้นที่โล่ง คุณต้องตัดต้นไม้พวกนั้นทิ้งอย่างน้อยสักสิบต้น”

“คุณจะบ้าหรือ ต้นสาเกพวกนี้รอดพายุมาได้ตั้งกี่ครั้ง รวมทั้งพวกนักจัดสวนความคิดแปลกๆ ไม่รู้กี่ชุดต่อกี่ชุดมาแล้ว”

คนฟังพ่นลมหายใจยาวยืด

“หรือเพราะนักจัดสวนพวกนั้นก็เข้าใจจริงๆ ไงล่ะ เรื่องความจำเป็นต้องให้มันโล่งๆ”

การที่ไอลดาอาศัยอยู่ในหมู่ชุมชนระดับเดียวกัน ทำให้งานส่วนใหญ่ของเขาง่ายขึ้น แต่การอยู่รวมตัวกันของคนระดับสูง ก็อาจเป็นภัยในเรื่องที่คาดไม่ถึงได้เหมือนกันนั่นละ

“เชื่อฉันเถอะค่ะ ทุกๆ บ้านมีระบบรักษาความปลอดภัยชั้นยอดทั้งนั้น”

“ผมรู้ดีว่าพวกเขาอยู่กันยังไง”

หลังกำแพงของทุกบ้านล้วนเต็มไปด้วยกล้องวงจรปิด

“เรื่องแสงไฟก็ด้วย บ้านของคุณนี่ผิดหมด มันดูสวยก็จริง แต่ทำให้บ้านมีเงาเยอะแยะไปหมด คุณต้องการเห็นเงาร่างทุกคนที่ใกล้ตัวบ้าน แต่คุณกลับมีสารพัดเงาทาบทับบดบัง”

“คุณวิลาศกับฉันเลือกสีเลือกต้นไม้ เลือกเพื่อความสวยงามไม่ใช่เพื่อความปลอดภัย”

หล่อนไม่ยอมจำนน

คุณวิลาศกับฉัน... ภาพในจินตนาการของมารุต บาดใจเหลือเกิน แต่เขาต้องไม่วอกแวก

“ตามแนวทางเดินนี้ คุณต้องมีกล้องอินฟราเรด กล้องนี้จะสังเกตเห็นได้ยากและทันสมัยที่สุด”

หล่อนเท้าสะโพก มองตามสายตาเขาไปรอบๆ บริเวณสนามหญ้า

“ฉันว่าคุณพูดถูก”

เมื่อปราศจากเครื่องประดับเพชรพลอยต่างๆ หล่อนก็ดูเหมือนนักศึกษาวิชากฎหมายทั่ว ๆ ไป เหมือนที่เคยเป็นตอนคบหากับเขาเมื่อห้าปีก่อน

“ผมถูกอยู่แล้วละ” เขาตอบ ทำเป็นเสียงแข็งเพื่อหวังกลบเกลื่อนการหวนคิดถึงความหลังของตนเอง “หากคุณอยากปลอดภัย ก็ต้องยอมเสียสละความสุขส่วนตัวบ้าง”

หล่อนหันกลับมาจ้องหน้าชายหนุ่ม

“เรา... คุณวิลาศก็ทำอย่างนั้นมาแล้ว แต่การขุดต้นไม้ออกหรือติดกล้องเพิ่ม มันอาจเสียเปล่า” น้ำเสียงไอลดาแผ่วลง “เพราะบิณฑ์เข้านอกออกในได้ตลอด”

“เราจะเปลี่ยนมัน ยามหน้าประตูใหญ่นั่น ไม่ควรให้เขาเข้ามา”

“แล้วเขาก็ต้องหาทางเข้ามาจนได้ แต่ก็ดี... ฉันจะได้ย้ำกับยามที่ประตูใหญ่อีกครั้ง อย่างน้อยต้องโทร.มาบอกก่อนที่บิณฑ์จะเข้ามา”

หล่อนเดินอ้อมไกลมาถึงด้านข้างของคฤหาสน์  เวิ้งอ่าวเล็กๆ มีท่าน้ำคอนกรีตกว้างขวาง มีสะพานทอดยาวออกไป และมีเรือยอร์ชลำหรูจอดนิ่งอยู่ตรงนั้น ข้างเรือมีอักษรตัวใหญ่ เขียนเป็นชื่อเรือ  ณ หทัย

“ไม่มีอะไรแย่ไปกว่าการประกาศว่าใครอยู่บนเรือ” เขาบอก พยักหน้าไปทางนั้น “คุณอาจต้องเปลี่ยนชื่อเรือซะใหม่”

เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ กับพวกมหาเศรษฐี ที่พยายามประกาศชื่อตัวเองไว้ตามอะไรต่างๆ อย่างในกรณีนี้ นี่มันบ้าชัดๆ

“ไม่เป็นไร อีกไม่กี่สัปดาห์มันก็จะไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว ฉันเพิ่งขายไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน”

มารุตลองเขย่าประตูที่กั้นระหว่างรั้วกับลานคอนกรีตของท่าเรือ

“รั้วนี่ ป้องกันอะไรไม่ได้เลย แล้วคุณมีกล้องจับภาพบริเวณนี้หรือเปล่า”

“ไม่มี แต่ยามตรงประตูจะเวียนมาดูทุกชั่วโมง แถวนี้ไม่ค่อยมีใครมา นอกจากแม่บ้าน หรือช่างซ่อมบำรุง”

เขามองไปยังสะพานที่ทอดยาว ซึ่งไม่แค่เป็นที่จอดเรือหรูเท่านั้น แต่อาจเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่คนร้ายจะเข้าถึงตัวหล่อน

“ผมหวังว่าคุณจะไม่ลงมาที่นี่คนเดียวตอนกลางคืน เรือนี่เหมาะจะซ่อนตัวที่สุด และกระจกใสๆ บนเรือนั้น ถ้าคุณขึ้นไปตอนกลางคืน จะเป็นเป้าจากกลางทะเลได้ง่ายมากๆ”

ไอลดาผลักประตูรั้วออกไป  ยามฝั่งก็มีลาดตระเวนตลอดค่ะ พวกละแวกนี้รวมเงินกันสมนาคุณเขาเป็นรายเดือน ไม่มีคนแปลกหน้ามาถึงเวิ้งอ่าวแถวนี้ได้ง่ายๆ แต่... ฉันก็จะระวังตัวให้มากขึ้น”

เขาลูบปลายคางตัวเอง ครุ่นคิดอยู่กับการพิจารณาอาณาบริเวณตรงหน้า มีอีกเกาะ น่าจะอยู่ในเขตเขมร แล้วโน้นแสงเรืองๆ  คงเป็นเมืองพัทยา  หลังจากก้มมองพื้นน้ำ มารุตก็พูดขึ้นว่า

“ไม่มีแสงไฟส่องใต้น้ำ...”

“ฉันเข้าใจว่าคุณกำลังทำหน้าที่และก็ทำได้ดีซะด้วย” ไอลดาพยายามใจเย็น “ฉันขายเรือนั่นไปแล้ว ส่วนบิณฑ์ถึงอยากจะฆ่าฉันขนาดไหน ก็ไม่มีทางดำน้ำสกูบามาแน่ๆ เขาไม่ฉลาดขนาดนั้นหรอก”

“แต่เขาอาจจะบ้าได้ถึงขนาดนั้น” มารุตเดินไปจนสุดท่าน้ำ จากนั้นก็หันมามองบ้านหลังใหญ่โตของหล่อน  ชั้นบนน่าจะมีสักยี่สิบห้อง ด้านโน้นเป็นสระว่ายน้ำกว้าง มีเสาโค้งรูปโดมหกคู่

เขานึกถึงอะไรก็ตามที่เคยมี เคยเป็น ของนักศึกษากฎหมายที่เขาพบในกรุงเทพ นั่นบอกไม่ได้เลยว่าจะเปลี่ยนไปขนาดนี้ หล่อนเคยมีอุดมการณ์ เคยอยากช่วยเหลือผู้ทุกข์ยาก แล้วทำไม อยู่ๆ ถึงอยากมีชีวิตสุขสบาย ถึงกับเอาร่างกายของตัวเองเข้าแลก

ให้ตายสิ! ก็ไหนหล่อนเคยวางแผนชีวิตไว้ว่า จะเป็นเมียสุดที่รักของเจ้าหน้าที่หนุ่มปปส.ไฟแรงคนนั้น

แต่คงมีสิ่งเดียวกระมังที่เปลี่ยนคนได้... เงิน...

“แล้วลูกเลี้ยงต้องการอะไรจากคุณกันแน่” เขาสลัดความคิดในหัวให้หลุดพ้น

คนถูกถามพิงผนังห้องพักริมน้ำ ก่อนตอบว่า

“คดีที่เขาฟ้องร้อง เป็นการเรียกเงินห้าร้อยล้าน”

คนฟังระบายลมหายใจยาว “นั่นหมายถึงเขาจะเจียดสักส่วนหนึ่งจ้างใครสักคน ที่ทำได้มากกว่าดำน้ำสกูบามาโจมตีคุณซะด้วยซ้ำ”

“แต่เขาจะไม่ได้เงินนั่น ถ้าฉันตาย”

“แล้วถ้าเป็นงั้น จะพยายามทำร้ายคุณทำไมล่ะ”

หล่อนเดินไปอีกด้านของท่าน้ำ สายลมพัดเอื่อย พลิ้วเรือนผมของหล่อนให้ปลิวสยาย

“ฉันเลิกพยายามทำความเข้าใจบิณฑ์มานานแล้ว คุณวิลาศพ่อของเขาก็เหมือนกัน”

มารุตก้าวเข้ามา ใกล้พอจะรวบตัวไอลดาเอาไว้ได้ในทันที หากเขาจำเป็นต้องทำ

“รู้ไหม นายนั่นมีข้อสันนิษฐานอะไร” เขากระซิบ “เขาคิดว่าคุณเป็นคนฆ่าคุณวิลาศ”

หญิงสาวจ้องตาชายหนุ่ม มีประกายกร้าววาบขึ้น

“บิณฑ์ติดยา การงานไม่เคยทำ เพราะอยากได้อะไรก็ได้โดยไม่ต้องลงมือลงแรง เขาเกลียดที่พ่อเขาแต่งงานกับฉัน และเขาจะมีความสุขที่ได้แกล้งให้ฉันอับอายเวลาอยู่ต่อหน้าคนมากๆ หรือต้องเป็นทุกข์กังวลอย่างในตอนนี้”

“ถามจริงๆ นะลดา คุณเคยคิดบ้างไหมว่า สามีคุณอาจไม่ได้ตายด้วยเหตุธรรมชาติ”

แม้จะอยู่กลางแสงจันทร์ แต่เขายังเห็นได้ว่า ใบหน้าหล่อนซีดเผือดลงทันที

“ฉันคิดดูทุกทางแล้ว...” หล่อนยืนยัน “...และนั่นเป็นเหตุผลที่คุณต้องมาอยู่ตรงนี้”

นั่นก็อาจใช่ เขามาที่นี่เพื่อสืบหาความจริงเกี่ยวกับการตายของวิลาศว่า หล่อนมีส่วนด้วยหรือไม่ และสิ่งที่เขารู้เห็นได้ทั้งหมดในตอนนี้คือ วาริน ของเขาเปลี่ยนเป็นนางไอลดา ณหทัย เต็มตัว ออกวงสังคมได้ไม่เคอะเขินสักนิด

การงานที่หนักหนาของหล่อนอาจปิดบังซ่อนเร้นอะไรบางอย่างเอาไว้ แต่ไม่เป็นไร... เขามีเป็นล้านวิธีที่จะสืบหา และยังแถมได้อีกวิธีหนึ่งด้วย ถ้าได้เห็นหล่อนในสภาพเปลือยเปล่าอีกสักครั้ง

มารุตไม่คิดว่าจะมีเสียงดังมาจากเฉลียงริมห้องเขาในเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เมื่ออาบน้ำเสร็จ เขาได้ยินเสียงแหลมสูงของผู้หญิง ไม่ใช่ไอลดาเป็นแน่... หรือเป็นคนรับใช้ คนที่เตรียมห้องพักนี้ให้เขา... ป้าแม้น

ชายหนุ่มรีบเช็ดตัวด้วยผ้าขนหนูผืนใหญ่ ดึงกางเกงบอกเซอร์และกางเกงขายาวออกมาสวม สอดเท้าเปล่าในรองเท้าหุ้มส้นคู่เก่ง ซุกปืนไว้ในขอบกางเกงด้านหลัง ตอนนี้ไม่ต้องใส่เสื้อแล้วละ ถ้าข้างนอกจะร้อนอบขนาดนั้น

ตรงระเบียงหน้าประตู เขาได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูง ดังกระทบพื้นหินหนักๆ คนรักเก่าของเขาไม่ได้เดินแบบนั้น หล่อนไม่เคลื่อนไหวด้วยความมุ่งมั่นขนาดนั้น

นอกจากนั้น เขาจะรู้เสมอ หากมีไอลดาอยู่ใกล้ๆ

เมื่อมารุตเดินออกมาที่ห้องนั่งเล่น เขาเห็นเงาอยู่อีกด้านของกระจกฝ้า เห็นลูกบิดค่อยหมุน เขาเตรียมอาวุธพร้อมรับสถานการณ์ อะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นทันทีที่ประตูเปิดออก

“อย่าค่ะ อย่ายิง อย่าเพิ่งยิง!”

“ก็อย่าเข้ามาเงียบๆ แบบนี้สิ” เขาตอบโต้ ขณะเดินไปปลดสลักนิรภัย หญิงสาวร่างเล็กกำลังชะเง้อชะแง้เข้ามา

“ฉันเข้าไปได้ซะที่ไหนล่ะ ติดสายโซ่นี่ไง”

“หรือไม่ก็เคาะประตูก่อน”

คำพูดนั้นทำให้มารุตได้รับรอยยิ้มยั่วยวนจากคนตรงหน้า หล่อนสู้สายตาเขาแบบไม่เขินอายเลยสักนิด

“ค่ะ...ดิฉันจะจดจำไว้... เอ่อ! เราเคยเจอกันแล้วเมื่อคืนไงคะ คุณมารุต”

“คุณคือ... คือบราลี”

หญิงสาวถึงกับผวาเข้ากอด แสดงออกเกินความจำเป็นด้วยซ้ำ ว่าดีใจขนาดไหนที่เขาจำหล่อนได้

“เรียกฉันว่า สาลี่ เถอะค่ะ หรือจะเรียกว่า ลี่ เฉยๆ ก็ได้”

หล่อนกอดรูปร่างกำยำแน่นแกร่งของชายหนุ่ม เป็นอึดใจใหญ่กว่าจะพูดออกมาเช่นนั้น

หลังผละออกจากมารุตแล้ว บราลีจึงค่อยปรับน้ำเสียงให้เป็นการเป็นงานยิ่งขึ้น

“คือ... เป็นไงบ้างคะ กับนายบิณฑ์ และ... เรื่องอื่นๆ”

“นายนั่น ผมพาเขาไปส่งบ้าน ไม่ได้ฆ่า” เขาพยายามหลบมือหล่อน ที่ทำท่าเหมือนจะเกาะกุมแก่นกายเขาให้ได้ “แล้วนี่ คือคุณมาตามหาผม?”

บราลีขัดใจนิดหนึ่งที่เขาหลบเลี่ยง แกล้งถอนหายใจ ถอยไปก้าวหนึ่ง เพราะอยากพิจารณาเรือนร่างซึ่งมีแค่กางเกงรัดรึงท่อนล่าง กับการเปลือยท่อนบน เปิดเผยมัดกล้ามและลอนหน้าท้อง ที่ยั่วน้ำลายได้ดีเหลือเกิน

“คุณทำร้ายบิณฑ์หรือเปล่าคะ”

“เขาสิทำร้ายผม ต้องไปนั่งลูบหลังให้ ตอนขอลงไปอาเจียนที่ข้างถนน”

สีหน้าหล่อนเปลี่ยนไป คล้ายกำลังจะสำรอกอะไรออกมา

“อึ๋ย!  ดีแล้วละที่คุณลากตัวเขาออกไปจากงาน” เพื่อนสนิทของไอลดายิ้มให้เขา หวังได้รับรอยยิ้มตอบกลับ แต่เมื่อผิดหวัง ก็พูดต่อไป “ถ้างั้น... คุณรุตคะ เล่าเรื่องของคุณกับลดาให้ฉันฟังบ้างสิ คือ... แบบว่า เธอดูเหมือนไม่ค่อยสบายใจ ตอนที่คุณโผล่เข้ามา”

“นี่ผมไม่ยักรู้ว่า ต้องสอบสัมภาษณ์กับคุณ ก่อนจะได้เริ่มงานนี้อย่างจริงจัง”

คนถูกประชดแค่นยิ้ม สบตาเขาตรงๆ

“ก็ต้องงั้นสิ เพราะฉันเป็นเพื่อนสนิทคนเดียวของลดา”

“งั้นคุณก็ไปถามเพื่อนสนิทที่สุดของคุณเองสิ”

เขาพยักหน้าไปทางประตูด้วยซ้ำ แต่หล่อนทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

“วันนี้คงไม่ได้ เพราะยุ่งอยู่กับการนับเงินบริจาค อยู่กับคุณมานะ สามีฉันเอง”

บราลียกคิ้วให้เขา หลิ่วตาข้างหนึ่ง แล้วพูดต่อไป

“คุณเก่งจริงๆ หรือเปล่าเนี่ย ทำไมไม่มีตารางเวลาของลูกค้า อย่าบอกนะว่า ไม่มีแผนผังของคฤหาสน์หลังนี้ด้วย”

คนฟังยังยืนนิ่ง ไม่ละสายตาจากหญิงสาวร่างเล็ก ในหัวคิดว่า ผู้หญิงคนนี้คือแหล่งข้อมูลชั้นยอด

“หรือว่าการนับเงิน เป็นสิ่งแรกที่เพื่อนคุณทำทุกเช้า”

จบคำ มารุตก็ถอยไปนั่งบนโซฟาตัวน่าสบาย

“ก็ ถ้าคุณมีเงินมากขนาดนั้น ก็ต้องคอยตรวจดูไงล่ะ ดีกว่าจะปล่อยให้มันหายไปโดยไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลย นี้พี่นะกำลังช่วยตรวจสอบ” หล่อนยิ้มพรายขึ้นมาอีก “เรื่องนับกับเก็บเป็นหน้าที่คุณนะสามีฉัน ส่วนฉันมีหน้าที่ช่วยใช้จ่าย”

“คุณบราลี...” เขาเรียกอย่างเป็นทางการอีกครั้ง

“เรียกลี่เถอะค่ะ” หล่อนก้มลงเล็กน้อย เสื้อคอกว้างยิ่งเผยเนินอกให้เด่นชัด “เหมือนเพลงอะไรนะ ที่พูดถึงผู้หญิงที่ชอบมีกิ๊กหนุ่มๆ สูงๆ ล่ำๆ”

“ครับคุณลี่” เขาเอ่ยเบาๆ เป็นการตัดบท “เพื่อจะได้คุ้มครองคุณไอลดาให้ดีที่สุด ผมต้องรับรู้ถึงอันตรายทุกอย่าง ที่อาจจะเกิดขึ้นกับเธอ ผมเข้าใจว่าไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา มีคนพยายามขับรถชนเธอตอนเดินริมถนน”

บราลีทำจมูกย่น

“บิณฑ์คือไอ้งั่งดีๆ นี่เอง อ้อ...ขอโทษนะคะที่หยาบคาย”

เขาพยักหน้าเห็นด้วย

“คุณคิดออกไหมว่า มีใครอื่นอีกไหม ที่อยากทำร้ายเพื่อนคุณ

ความขี้เล่นในแววตาคนถูกถามหายไป เปลี่ยนเป็นจริงจัง

“ไม่หรอกค่ะ ทุกคนนั่นละที่รักและชื่นชมลดา”

“แล้วสามีล่ะ คุณวิลาศ มีใครอยากปองร้ายเขาบ้างไหม”

“ทำไมคะ หรือว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล” ดวงตาหล่อนเบิกกว้าง

“เขามีศัตรูบ้างไหม”

หล่อนเอนตัว ดึงกระเป๋าสะพายใบเล็กออกมา เปิดฝาหยิบซองบุหรี่

“ขอสูบบุหรี่ได้ไหมคะ”

“ตามสบาย”

มารุตอนุญาตยิ้มๆ คนสูบบุหรี่มักจะพูดมาก เขารู้จากการทำงานปีแรกที่ปปส.

หล่อนตัวสั่น ลูบแขนเปลือยเปล่าของตัวเอง “ในนี้หนาวจังนะคะ” พูดจบก็มองไปที่เครื่องปรับอากาศ

“ผมชอบ... ชอบที่เย็นๆ”

บราลีพ่นควันเบาๆ มองเขาอย่างพิจารณา

“แถวนี้ร้อนค่ะ มากกว่าในกรุงเทพหลายเท่า”

“ผมมาจากแถวชานเมือง” เห็นหล่อนยังสนใจ เลยพูดต่อไป “เวลาไม่ทำงานผมพักที่นั่น แถวบางบัวทอง คลองพระพิมล”

“จริงหรือคะ มีบ้านติดคลองด้วยสินะคะ... ว่าแต่... คุณเคยฆ่าใครหรือยัง”

“เดี๋ยวนะครับคุณลี่ เมื่อกี้คุณกำลังต้องเล่าเรื่องศัตรูของคุณวิลาศ”

เขาพยายามดึงหล่อนกลับมาที่หัวข้อสนทนาเดิม

“ฉันว่าคุณต้องเคยฆ่าคนมาแล้วแน่ๆ” หล่อนอัดควันเข้าปอดอีกครั้ง หรี่ตาให้มารุตขณะพ่นควันสีเทาออกมา “ฉันจะถามลดาให้นะคะ เธอต้องรู้แน่ๆ”

“ถามคุณดูก็ได้ ไม่ใช่หรือ”

“ไม่หรอกค่ะ คุณวิลาศไม่มีศัตรู” หล่อนโบกมือไล่ควัน “แล้วคุณจะถามทำไม”

“ไม่มีเลยรึ มหาเศรษฐีพันล้าน ที่จัดการซื้อขายผืนดินมหาศาล และพลิกโฉมพื้นที่ชานเมืองต่างๆ ทั่วประเทศ จะไม่มีใครเกลียดเขาเลยหรือไง”

“ไม่มี...” บราลีเคาะเถ้าบุหรี่ลงในแก้ว ไขว้ขาจนกระโปรงร่นขึ้นไปเกือบถึงสะโพก “คุณวิลาศมีเมียเก่าที่อาจไม่พอใจที่ลดาได้แต่งงานด้วย  หล่อนอยู่กรุงเทพ และได้เงินไปมากพอจะอยู่ได้สบายๆ ไปตลอดชีวิต”

“แล้วสองคนนั่นยังเป็นสามีภรรยากันอยู่ไหม ตอนที่คุณวิลาศได้เจอกับวา... เอิ่ม... ผมหมายถึง คุณไอลดา”

บราลีหัวเราะเบาๆ

“คุณหมายความว่า ลดาจะเป็นต้นเหตุให้ครอบครัวเขาแตกแยกงั้นหรือคะ ไม่มีทาง คุณวิลาศหย่าขาดจากเมียเก่าตั้งนานแล้ว ฉันรู้เพราะคุณนะสามีฉัน เป็นคนจัดการเรื่องฟ้องร้องและไกล่เกลี่ย”

หล่อนยิ้มอย่างพอใจ กับวีรกรรมสำคัญของผู้เป็นสามี

“คุณนะเป็นทนายความส่วนตัวให้คุณวิลาศ ฉันแนะนำให้เขารู้จักกับลดาในงานเลี้ยง”

มารุตประสานปลายนิ้วเข้าด้วยกัน สีหน้าตรึกตรองต้นสายปลายเหตุ

“แล้วเรื่องการที่คนอายุห่างกันมากขนาดนี้ ได้แต่งงานกันล่ะ มันแปลกๆ นะ คุณว่าไหม คุณลี่”

“ไม่เห็นแปลกนี่คะ” บราลีลุกจากโซฟา “ถ้ามีเรื่องเงินเป็นพันๆ ล้านเข้ามาเกี่ยวข้อง อายุจะห่างกันแค่ไหนก็ไม่เป็นปัญหา”

“คุณกำลังจะหมายความว่า ที่ลดายอมแต่งงานกับคนแก่คราวพ่อ ก็เพื่อเงิน?”

หล่อนทิ้งจังหวะ ยังไม่ตอบคำถามจนกระทั่ง เดินไปพักสะโพกไว้กับขอบหน้าต่าง แสงเงาแรงๆ นั่น ทำให้สันจมูกที่ทำศัลยกรรม มองเห็นได้เด่นขัด

“ปัญหาเดียวของลดาคือ ลูกเลี้ยงขี้ยานั่นแหละ เชื่อฉันเถอะ คุณต้องกำจัดเขาไปให้พ้นๆ และนั่นคือสิ่งที่เพื่อนฉันจ้างให้คุณมาทำ ไม่ใช่มาตั้งคำถามกับฉัน ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม”

เขาลุกขึ้นบ้าง เดินไปทางประตู เปิดมันออก บอกชัดว่า หล่อนควรไปได้แล้ว

“ขอบคุณสำหรับความตรงไปตรงมาของคุณ คุณบราลี”

หล่อนเดินมาคว้าสายโซ่กระเป๋าสะพายยี่ห้อสุดหรู เดินตัดห้องนั่งเล่นมาที่ประตู ถือโอกาสเบียดตัวเข้ากับส่วนสำคัญ มารุตหลบแทบไม่ทัน ถึงกระนั้นก็ถูกมือหนึ่งของหล่อนลูบผ่านจนได้

หล่อนยิ้มอย่างมีชัย ขณะเงยมองหน้าชายหนุ่ม

“ก็... ไม่เป็นไร อย่างที่คุณเห็น ฉันไม่สนใจขี้ปากใครๆ และไม่สนใจหรอกว่า ใครทำให้ฉันพอใจหรือไม่สบอารมณ์”

“ใช่... ผมรู้ดีแล้วละ”

“จะบอกว่า คุณไม่ได้ทำให้ฉันกลัวหรอกนะ พ่อยักษ์รูปหล่อ”

บราลียังคงไม่ขยับตัว สายตาปรายอยู่กับเป้ากางเกงนูนๆ นั่นไม่วางตา

“แต่ไอลดาต่างกับฉัน เธอแข็งแกร่งกับทุกสถานการณ์ ยกเว้นตอนที่ได้เห็นหน้าคุณ”

“นั่นเรื่องธรรมดา นี่ผมก็เห็นชัดๆ ว่ามีอีกคน กำลังหวั่นไหวอยู่ ไม่ใช่หรือครับ”


**************************




Create Date : 11 มิถุนายน 2559
Last Update : 15 มิถุนายน 2559 15:57:47 น.
Counter : 334 Pageviews.

0 comment
1  2  3  

SONG982
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]



สะอาด สงบ สว่าง

เจนนิเฟอร์Goodbye My Love [Live].mp3 - Jennifer Kim
All Blog