ธันวาคม 2556

1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
21
22
23
24
26
27
28
29
31
 
 
All Blog
[CR] All Alone in Kyoto-Osaka : จาก Kyoto สู่ Osaka [Part 2]
  สวัสดีค่า กลับมาแล้วค่ะ

ทริปนี้รูปเยอะมาก ต้องใช้เวลานานสักหน่อย (พาร์ทแรกก็ 2 วันค่ะ)

เลยจะทำ draft ลงบล็อกก่อน แล้วค่อยเอาไปลงห้อง BP นะคะ

ขอบคุณทุกท่านที่คอยติดตามและสัญญาว่าจะติดตามตอนต่อไปด้วยค่ะ ดีใจจังมีกำลังใจเขียนต่อเลยค่ะ

ไม่เกริ่นยาว เริ่มตอนที่ 2 ต่อเลยดีกว่า :)




วันที่ 11 ธันวาคม อากาศอึมครึม หนาวกว่าเมื่อวานเล็กน้อย 9 องศา

วันนี้เราต้องเก็บกระเป๋าเพื่อ check-out จากโรงแรมแล้วล่ะค่ะ เพื่อที่ว่าเย็นนี้เราจะได้กลับไป check-in โรงแรมที่โอซาก้าอีกที

check-out เรียบร้อย ฝากกระเป๋าไว้ในห้องเก็บสัมภาระ ตอนบ่ายค่อยกลับมาเอากระเป๋าขึ้นรถไฟกลับโอซาก้ากัน

ข้าวเช้าวันนี้ เราฝากท้องไว้ที่ Promenade Cafe ใกล้โรงแรมนิดเดียว (เอาให้ครบ 2 ร้าน เมื่อวานคาเฟ่อาซากุระแล้ว)



เซตอาหารเช้าราคา 350 เยน (ใช้คูปองลด 30 เยนจากโรงแรม) เลือกชา/กาแฟในเมนูในราคาไม่เกิน 320 เยน (แม่มจะมีอะไรให้ตูเลือกอีกกกก) เลยได้ชาเย็นมาแก้วนึง

เห็นแบบนี้ ไม่มีทางอิ่มแน่นอน เดชะบุญ เช้าวันนั้นเราท้องอืดจากราเมนน้ำดำ เลยกินไม่หมดค่ะ (!!!!)

**คาเฟ่ที่ญี่ปุ่นจะมีลักษณะคล้ายๆ กันค่ะ คือ น่ารัก ตกแต่งสไตล์อบอุ่น วิธีการสั่งคือ เดินไปสั่ง-จ่ายเงินที่เค้าเตอร์-เดินไปรับอาหารเอง แล้วค่อยมานั่งทานที่โต๊ะ ทานเสร็จแล้วเอาถาดมาเก็บที่ตู้ไม้ (มักจะอยู่ใกล้เค้าเตอร์เสมอ) แต่บางร้านก็อาจไม่เป็นแบนี้ก็ได้ค่ะ แล้วแต่ร้าน

ที่สำคัญ...ต้องเปิดเพลงบอสซ่าฯ ทุกร้าน! 

เราเลยนั่งชิลๆ ได้ตลอดเวลาค่ะ

ส่วนร้านนี้ มีการแบ่งโซนสูบบุหรี่กับไม่สูบบุหรี่ด้วย แม้เราจะนั่งโซนไม่สูบฯ แล้วก็ยังมีกลิ่นบุหรี่โชยมาอยู่ดี สรุป ไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ - -"



Pocket Wifi ของเราที่เช่ามา เราให้ทางบริษัทส่งไปที่ Khaosan Kyoto Guesthouse ค่ะ เก็บค่าเช่าเป็นรายวัน และส่งคืนทางไปรษณีย์ โดยในเซตจะมีซองเอกสารจ่าหน้าเรียบร้อย แค่เราส่งอุปกรณ์ทั้งหมดลงซองและหย่อนลงตู้ไปรษณีย์ภายในวันที่เรากำหนด (เช่น เช่าถึงวันที่ 14 เราต้องส่งคืนภายในวันที่ 14 นะ) ไม่งั้นโดนปรับค่ะ




โปรแกรมวันนี้...เราจะไปวันเงิน (Ginkakuji) วัดน้ำใส (Kiyomizu) และวัดจิ้งจอก (Fushimi Inari)

เหมือนเดิมค่ะ ไปที่ป้ายรถเมลที่ประจำของเรา Shijo Kawaramachi จะไปวัดเงิน ป้าย Ginkakujimichi รถเบอร์ 203

ความโง่มาเยือนเมื่อสำเหนียกได้ว่า เรากำลังนั่งอ้อมเมืองนี่หว่า!!!

(ใครไม่เกท ดูที่นี่ได้ค่ะ //www.city.kyoto.jp/koho/eng/access/img/basunabieigo-rosenn.pdf

จากที่น่าจะเดินทางไม่นาน กลายเป็นว่าต้องนั่งรถเกือบ 40 นาทีเพื่อไปวัดเงิน ซึ่งใกล้โรงแรมโคดๆ - -" แค่ขึ้นรถผิดฝั่งเท่านั้นเอง //เขกกะโหลก 1 ที

คิดในแง่ดี เราจะได้นั่งรถชมเมืองไงล่ะเธอ...



นั่งไปนั่งมา ก็เจอน้องๆ มัธยมกลุ่มนี้เดินขึ้นรถมา ป้าดีใจเหลือเกิน... 



แอบถ่ายค่ะ เดี๋ยวเด็กรู้ตัว ว้ายยยยยยยยยย


กว่าจะถึงป้าย Ginkakujimichi มันก็ใช้เวลานาน แถมต้องเดินไปอีกไกลเหมือนกันค่ะกว่าจะถึงทางขึ้นวัด...

ที่สำคัญ วัดอยู่บนเนินเขา เราต้องเดินขึ้นเนินด้วยยยยยยยยยย



ทริปนี้ ไปที่ไหน เจอเด็กทัศนศึกษาทุกที่ค่ะ เด็กเยอะมากกกกกกกกกกกกก ทั้งประถม มัธยมต้น มัธยมปลาย





ทางขึ้นวัดค่ะ ค่าเข้าชม 500 เยน



สวนสวย

รูปแบบการเดิน จะเป็นแบบ one-way ค่ะ เดินวนรอบสวน ขึ้นเนิน-ลงเนิน แล้วออก ส่วนใหญ่คือชมสวน ชมรูปแบบการจัดอะไรแบบนี้




















กลับออกมาแล้วค่ะ เดินลงเขากันไป...

ป้ายรถเมลที่ใกล้ที่สุดจะเป็นป้าย Ginkakuji-mae นะคะ เดินลงมาก็เจอป้ายรถเมลเลย


ส่วนเราจะไปวัดน้ำใสกันต่อ ก็ต้องมารอที่ป้ายนี้แหล่ะ รถเบอร์ 100

เนื่องจากว่ารถสายนี้ เป็นสายยอดนิยม คนเต็มตลอดเวลา ตอนรอขึ้นรถอาจจะเจอรถเบอร์ 100 สองคันมาจอดต่อกันก็ได้ค่ะ ขึ้นคันไหนก็เหมือนกันเน้อ


เรานั่งรถเมลสาย 100 มาลงที่ป้าย Kiyomizu-michi เดินไปอีกนิด ให้ดูตามป้ายไปวัด kiyomizu temple จะมีถนนเล็กๆ เดินขึ้นเนินไป

มองข้างนอกดูไม่ออกนะว่าเรากำลังจะไปวัดน้ำใส เพราะเดินไกลพอสมควรจนนึกว่าเดินผิดทางซะแล้ว...




เดินไปเรื่อยๆ...


จนเจอภาพนี้...



วันธรรมดาคนยังเยอะขนาดนี้... วันเสาร์อาทิตย์คงไม่ต้องพูดถึง





คือที่นี่จะมีคนญี่ปุ่นสวมกิโมโนมาเดินวัดนี้เยอะมาก ซึ่งเราค่อนข้างมั่นใจว่ามันคือชุดเช่าค่ะ

ปีก่อนมีน้องคนนึงเป็นแอร์ ได้มาที่วัดนี้ นางก็สวมกิโมโนสีชมพูงามมากกกกกกกกกกกก และอิฉันก็อยากมีโมเมนต์นั้นบ้างอะไรบ้าง (แต่คงไม่สวมกิโมโนนะ ชีวิตลำบาก)

เลยถามนางว่า นางไปที่วัดไหนมา นางบอกว่า "วัดเงินค่ะพี่" อิฉันเลยตามไปที่วัดเงิน แต่มันไม่ใช่ค่ะคุณน้อง มันคือวัดน้ำใสต่างหาก - -"



ณ มุมนี้ที่นางถ่ายรูปมาลง //คุณหลอกดาวววววววววววววววววววววววว

มาที่จุดนี้ กรุณาเลี้ยวขวาขึ้นเนินเพื่อไปจุดซื้อบัตรเข้าวัดนะคะ

ค่าเข้าชม 400 เยน



บอกเลยว่า ช่วงนี้วัดน้ำใสกำลังปรับปรุงบางส่วนของวัด หลายๆ จุดก็ทำให้เราเฟลไปบ้างเหมือนกัน

แต่สิ่งที่มาทดแทนกันได้คือ หนุ่มสาวที่สวมกิโมโนนี่แหล่ะค่ะ 

คู่รักก็มักจะมาสวมกิโมโนเดินในวัด แล้วก็ถ่ายรูปกัน วินเทจดีนะ 

ว่าแต่ว่า เค้าเช่าชุดที่ร้านไหน พอจะบอกได้มั้ยคะ เผื่อคราวหน้าคราวหลังจะไปเช่ากะเค้าบ้าง :D



ออกจากระเบียงไม้แล้วเลี้ยวซ้าย จะเจอภาพนี้ค่ะ

ขึ้นบันไดมาจะเจอกับ....



คุณพี่เค้าเป็นเทพแห่งความรักล่ะ ส่วนกระต่ายข้างๆ เป็นผู้ส่งสาร

เค้ามีฆ้อนให้เราเขย่าเล่นด้วย มันเอาไว้ทำอะไรคะ บอกหน่อย..



อันนี้เป็นความบันเทิงรูปแบบหนึ่งของเด็กนักเรียนที่นี่ค่ะ (เพราะคนทั่วไปไม่มีโอกาสได้มาทำแบบนี้แน่ เด็กเยอะตลอดเวลา)

เป็นการเสี่ยงทางแบบหนึ่ง คือให้เดินปิดตาจากหินก้อนนึง ไปอีกก้อนนึง ถ้าทำสำเร็จสิ่งที่หวังไว้จะเป็นจริงเร็วๆ นี้ แต่ถ้าทำไม่สำเร็จ สิ่งที่หวังไว้ก็จะต้องรอนานหน่อย

คุณน้องผู้ชายคนนี้ก็โดนเพื่อนกับอาจารย์แกล้งค่ะ (จริงๆ แกล้งทุกคนแหล่ะ 55555)

อาจารย์จะคอยบอกให้เดินไปทางไหน (ตรงมาๆๆ อีกๆๆ) ส่วนเพื่อนจะพูดให้เขว "ซ้ายอีกๆๆ ขวาๆๆๆ เดินมาๆๆๆ"

เป็นที่ชวนหัวให้นักท่องเที่ยวแถวนี้ค่ะ รุมถ่ายรูปกันใหญ่ 55555



เดินลงมา ไปทางระเบียงไม้ เราจะเจอมุมมหา(ประชา)ชนแบบนี้จ้า





แถมเครนมาด้วย 1 แท่ง...

แล้วก็เดินลงมาตามทางเดิน เพื่อเจออีก 1 จุดมหาชนยอดฮิต



บอกเลยว่าตอนแรกจำไม่ได้ว่าสายไหนสำหรับเรื่องอะไร

พอดีมีเด็กมัธยมข้างหลังพูดขึ้นมาว่า "ความรัก การเรียน สุขภาพ" (ภาษาญี่ปุ่น) 

งั้นฉันขอเว้นตรงกลางไว้ละกัน เพราะเรียนจบมาหลายปีแล้ว 55555

เทน้ำใส่มือแล้วค่อยดื่มนะคะ ถึงเค้าจะมีที่ฆ่าเชื้อโรคอยู่ก็เถอะ




ป่ะ กลับกันดีกว่า... (ฝนตกด้วย)

ลงมาก็แบบว่า ต้องหาอะไรกินเป็นมื้อกลางวันนะคะ



ร้านแถวๆ นั้นแหล่ะค่ะ - -" กินกันตาย


หลังจากนี้ เราวางแผนว่า เราจะกลับไปเอากระเป๋าที่โรงแรมแล้วเอากระเป๋าไปฝากไว้ในล็อกเกอร์ที่สถานีเกียวโตค่อยไปวัดจิ้งจอก

เราลากกระเป๋าจากโรงแรมมา ขึ้นรถเมลสาย 207 ไป 2 สถานีเพื่อลงป้าย Shijo Karasuma (แหม ซื้อตั๋ว one day pass แล้ว จะเดินทำไมล่ะจริงมั้ย?)

พอลงมาปุ๊บ ไหนอ่ะ สถานีใต้ดิน Shijo มันอยู่ไหนนนนนนนนนนนนน

ข้อเสียของเกียวโตคือ มีป้ายเป็นช่วงๆ และมีป้ายพร่ำเพรื่อเกินไปค่ะ มีป้ายเยอะ แต่ไม่ช่วยอะไร

เราเดินวนอยู่แถวนั้นอยู่ครึ่งชม. มีป้าย subway แต่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน เดินไปก็มีแต่บู้ทขายตั๋ว เลยตัดสินใจถามป้าๆ ในบู้ทขายตั๋วบนดินตรงนั้น

ป้าก็ดันพูดอังกฤษไม่ได้อีกกกกกกกกก คุณพี่ผู้หญิงแม่ลูกอ่อนที่ซื้อตั๋วอยู่เลยหันมาถามว่ามีอะไรให้ช่วยมั้ย

เราหาทางลงใต้ดินไม่เจอ เค้าเลยพาเดินไป เพราะยังไงเค้าก็เดินผ่านอยู่แล้ว

ปรากฏว่า...เดินไปอีก 15 เมตรถึงแล้วจ้า orz (ป้ายไม่ชัดเจนอ่ะ จริงๆ)



จากแผนที่วางไว้เอาเข้าจริง สถานีเกียวโตทำกันแบบนี้อีกแล้ว...หลงทาง หาล็อกเกอร์ฝากกระเป๋าไม่เจอเพราะป้ายเยอะแต่ไม่ช่วยอะไร ล็อกเกอร์ที่มีก็มีแต่แบบเล็ก ไม่มีสำหรับกระเป๋าใหญ่

(หลายคนอาจจะหาเจอ แต่เราหาไม่เจอ แล้วก็ขี้เกียจถามด้วย)

สุดท้าย เราเดินไปส่วนของห้างซะงั้น หงุดหงิดอีกไรอีก เลยตัดสินใจช้อปปิ้งเลย Uniqlo ตามออเดอร์ แล้วก็ซื้อตั๋วรถไฟกลับโอซาก้าซะ...

//อารมณ์ล้วนๆ จริงๆ

เล่าให้น้องฟัง น้องบอกว่า น่าเสียดาย วัดสวยด้วย (แม่สาวญี่ปุ่นเตียงล่างก็ว่าสวย) แต่ช่วยไม่ได้เนะ ลำบากเกินไป แถมไปถึงสถานีเกียวโตบ่ายสองครึ่งละด้วย กว่าจะไปถึงคงเริ่มมืดพอดี 

คิดซะว่า ทิ้งไว้เป็นติ่งไว้คราวหน้ามาเที่ยวอีกครั้งแล้วกัน....



คืนนี้ เราจะไปพักที่ Taiyo Hotel ใกล้ๆ สถานี Dobutsuen-mae สายสีแดง (Midotsuji line)

วิธีการเดินทางคือ นั่ง JR จาก Kyoto ไปลงที่สถานี Osaka เดินไปขึ้น subway สถานี Umeda แล้วนั่งตรงมาถึง Dobutsuen-mae ค่ะ ออกทางออกที่ 2 แทบจะถึงหน้าโรงแรมเลยทีเดียว

Check-in เรียบร้อย ได้ห้อง 814 ซึ่งเป็นห้องไม่สูบบุหรี่ค่ะ 

เปิดประตูเข้าไป....//ช็อกแป๊บ...





มันมีแค่นี้จริงๆ ค่ะคุณผู้ชม!!!!

หายช็อกแล้วค่อยคิดได้ว่า เออ มันก็แค่ที่ซุกหัวนอนนะ นอกจากฟูกแล้ว เราก็เอาของวางรอบๆ เตียงได้ ไรงี้

สำหรับโรงแรมนี้ มี wifi ฟรีทุกชั้น แถมแรงกว่า Khaosan Kyoto อีกนะ 

นอกจากนี้มีห้องสุขาทุกชั้น (แต่เป็นแบบญี่ปุ่นและแบบชักโครกสลับกันเป็นบางชั้น) แต่ห้องอาบน้ำแบบห้องเดี่ยวมีแค่ 2 ห้อง และมีห้องอาบน้ำรวมแบบออนเซน ที่ชั้น 1 

ห้องอาบน้ำรวมจะแบ่งเวลาใช้ 17.30-20.50 น. สำหรับผู้ชาย และ 21.00-24.00 น.สำหรับผู้หญิง

ห้องอาบน้ำเดี่ยวเปิดบริการ 24 ชม. มีสบู่ แชมพู ครีมนวด และไดร์เป่าผมให้ใช้ฟรี และมีตู้ซักผ้า-อบผ้าแบบหยอดเหรียญไว้บริการด้วย

หน้าลิฟต์จะมีน้ำร้อน น้ำเย็น ไมโครเวฟให้ใช้ด้วยค่ะ 

ส่วนในห้องจะมีชุดยูกาตะ ผ้าเช็ดตัวและผ้าผืนเล็กไว้ใช้ในห้องอาบน้ำรวมด้วย และมีรองเท้าแตะสำหรับใส่ในโรงแรมต่างหากค่ะ



ข้อเสียของโรงแรมนี้คือ...

ระเบียบทางเดินและห้องน้ำ หนาวมากกกกกกกกกกกกกกกกกก เพราะคุณพี่เล่นเปิดหน้าต่างไว้แทบทุกบาน หนาวสุดๆ คือแกมีเครื่องปรับอากาศที่ระเบียง แต่แกไม่เคยเปิดค่ะ ไม่รู้จะรอเมื่อไหร่ - -"

แอร์ที่ห้องสกปรกมาก คืออุ่นดีนะ ให้พนักงานมาปรับให้ตอนแรก แต่ดันพ่นฝุ่นดำๆ ออกมา เลอะที่นอน เลอะข้าวของไปหมด แล้วทำให้เราหายใจไม่ค่อยออกค่ะ (แต่วันแรกทนไปก่อนขี้เกียจย้ายห้อง กำลังเหนื่อย) ทำให้รู้ว่าแกไม่เคยล้างแอร์เลย วันถัดมาเราเลยแจ้งพนักงานขอย้ายห้อง แกให้ย้ายไปชั้น 7 แทน ซึ่งเป็นชั้นสำหรับคนสูบบุหรี่ 

เราก็ถามนะว่าจะเหม็นบุหรี่มั้ย เค้าว่า "ไม่มีกลิ่นบุหรี่ในห้องหรอก" (แต่มีที่เขี่ยบุหรี่วางไว้) "เค้าไปสูบที่ระเบียงข้างนอกกัน" เออ แล้วไป

ความอนาถอย่างนึงคือ แก๊งคนจีนกลุ่มใหญ่แหกปากเสียงดังกันแทบจะตลอดคืน (อยากจะตะโกนไปด่ามาก) ดึกดื่นค่อนคืนยังไม่เลิกเดินไปมากันอีก = กำแพงบาง

พนักงานพูดอังกฤษได้น้อยมาก ถ้าคุณพูดยาวๆ เค้าจะงงและงงมาก คนที่พูดได้ดีที่สุดคือเด็กผู้ชายที่เป็นลูกหรือหลานเค้านี่แหล่ะ ยังฟังและพูดได้พอเข้าใจ แต่คนอื่นพูดได้แค่พอสื่อสารเล็กน้อยเท่านั้น

ห้องอาบน้ำเดี่ยวมีน้อยและคนจะเยอะมากช่วงดึกๆ ดังนั้นถ้าเลือกได้ ให้รีบอาบน้ำตั้งแต่หัวค่ำ ไม่ก็คุณผู้หญิงเดินเข้าห้องออนเซนไปได้ยิ่งดี





วันนั้นเราไปถึงโรงแรมราวๆ 4 โมงเย็น เก็บข้าวของเสร็จถึงคิดได้ว่า เราน่าจะไป Umeda Sky Tower นะ มีเวลานี่นา

ลงรถไฟจากสถานี Dobutsuen-mae ไปลง Umeda ซึ่งเป็นสถานีใหญ่ค่ะ มันเชื่อมต่อกันไปหมด มีทั้ง Umeda (hankyu), Umeda (subway) รวมไปถึงสถานี Osaka ซึ่งเป็น JR ด้วย

เดินออกมาปุ๊บ ฝนตกหนักมากกกกกกกก เรายืนเอ๋อทำอะไรไม่ถูกอยู่พักใหญ่

เดินๆๆๆๆ ยิ่งเดินยิ่งหลง ถามหาใครก็ถามไม่ถูก ได้แต่เดินมั่วๆ ไป เดินไปก็เจอห้าง เดินไปอีกก็ยิ่งหลง orz

ความหวังที่จะไป Umeda Sky Tower พังทลายอยู่ตรงนั้น...


เราเลยตัดสินใจว่า...เราจะช้อปปิ้งแทนค่ะ 55555

เดินมั่วๆ ไปเจอร้าน Uniqlo เลยรีบเคลียร์ shopping list (ของชาวบ้าน) มาแทน ขนกลับมาถุงใหญ่

แหม ของเค้าถูกจริงๆ นะ ถูกกว่าบ้านเราอีก //แบกหนักก็ไม่ไหวเนอะ ต่างคนต่างความคิด

จากนั้น เราก็ไปหมุนไปหมุนมาอยู่หน้าห้าง Hankyu เจอสิ่งนี้ค่ะ





บอกตามตรงว่า google map ในญี่ปุ่น ไม่ช่วยอะไรเราเลยค่ะ มั่วมากถึงมากที่สุด

เราเดินไปเดินมา อาศัยดู google map จนเงิบ 

ปรากฏว่า มีคุณตำรวจจากป้อมเดินมาเรียกเรา ถามว่าจะไปไหน หาไม่เจอเหรอ

สวรรค์ทรงโปรดดดดดดดดดดดดดด!!!

บอกว่าอยากไป "Yodobashi Camera ค่ะ"

คุณตำรวจบอกว่า "เห็นตึกขาวๆ นั่นมั้ย เดินลอดใต้สะพานไปแล้วเลี้ยวซ้าย เดินตรงไปเรื่อยๆ ก็จะเจอแล้ว"

เราก็เดินทางไปค่ะ ไม่มีแผนที่อะไรทั้งนั้น เดินๆๆๆๆ จนเจอ!!!

ดีใจอย่างยิ่งค่ะ T^T

ใน shopping list นี้ มีของพวกเครื่องใช้ไฟฟ้าอยู่ 3 อย่างค่ะ headphone ของ sony/hada crie n-2000 และ panasonic eye massager

ใครอยากหาเคสโทรศัพท์ ไปที่นี่ไม่ผิดหวังค่ะ ของลิขสิทธิ์ทั้งนั้น แถมสวยมากด้วย



ชั้น 1 นะคะ 

แล้วก็พวก beauty product เครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหลายก็อยู่ในชั้นนี้เหมือนกัน

แต่ถ้าคุณจะไปช้อปที่ชั้นอื่นต่อ ต้องจ่ายเงินก่อนนะ คือเคลียร์บิลเป็นชั้นๆ ไปค่ะ

เราจะไปหา head phone ก็ต้องไปชั้น 3 เพื่อซื้ออีกที

สุดท้ายได้มาจาก Yodobashi camera ดังนี้ค่ะ




จบวัน กลับมาพึ่งพา Family Mart ข้างโรงแรมแทน 5555





ขอจบพาร์ท 2 ไว้แต่เพียงเท่านี้ค่ะ 

ตอนหน้าเราไปหากวางนารากัน...




Create Date : 20 ธันวาคม 2556
Last Update : 20 ธันวาคม 2556 16:47:48 น.
Counter : 1755 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

อัลปาก้าจัง
Location :
ราชบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]



สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับเข้าสู่บล็อกของ Piyoko-chan !!


เจ้าของบล็อกชื่อ เป้ ค่ะ

แต่งหน้าก็พอไหว แต่งตัวไม่ได้เรื่อง(ในบางที)

ตอนนี้มีหมวดท่องเที่ยวแล้ว ความฝันอีกอย่างคือได้เที่ยวทั่วโลกค่ะ จะพยายามรีวิวให้ได้มากที่สุด รวมไปถึงทริคและเรื่องอื่นๆ เกี่ยวกับการท่องเที่ยวต่างประเทศให้ได้ชมกันค่ะ


เอาเป็นว่า นั่งอ่านขำๆ ไปแล้วกันนะคะ ^^

ถูกใจบล็อก donate สมทบทุนค่าเดินทางในทริปต่อๆ ไปได้ที่นี่เลย..
https://www.paypal.me/yanisapae

ขอบคุณล่วงหน้าค่า