23. รุจมาร์ค
23. รุจมาร์ค


(RUJ part)



ผมวางตะเกียบลงข้างจานหลังจากนั่งเขี่ยผัดไทยไร้ผักที่แม่บ้านเพ็ญทำให้เป็นอาหารมื้อเย็นไปมาอยู่นาน พอเหลือแค่ผม แม่บ้านเพ็ญก็เลือกเมนูอาหารจานเดียวที่ทำง่ายกินง่าย ผมฝืนกินอยู่ได้ซักพัก บรรยากาศเหงาๆ ทำให้อาหารจืดชืด หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ตั้งใจว่าจะโทรหาหนูริท อยากรู้ว่าถึงไหน เป็นอย่างไรบ้างแล้ว รู้สึกห่วงไปหมดทุกสิ่งอย่าง สุดท้ายก็เปลี่ยนใจ ไม่อยากให้น้องชายคนเล็กต้องรู้สึกกดดัน ในเมื่อยอมให้เค้าไปแล้ว ก็ต้องเชื่อใจว่าเค้าจะดูแลตัวเองได้ หันซ้ายหันขวาจะทำอะไรดีนะ ทำไมเวลาที่ไม่มีพวกเค้า นาฬิกามันถึงได้เดินช้านัก เฮ้อ...


……………………………………

ครืนนน!! เสียงเหมือนเรือหางยาวแล่นมาจอดหน้าบ้านปลุกผมจากภวังค์ ผมสาวเท้าออกไปตามเสียง คนตัวเล็กยืนหน้านิ่งกอดอกพิงอยู่ข้างประตูรถ ผมมองด้วยความแปลกใจที่เห็นเพื่อนรักของน้องชายคนเล็กมาปรากฏอยู่ตรงหน้า

“หนูริทไม่อยู่”

“ผมรู้แล้ว ผมแค่มาซื้อน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋”

“หือ..?” น้ำเต้าหู้? ปาท่องโก๋? ตอนนี้ ที่หน้าปากซอยบ้านผมที่อยู่คนละฝั่งเมืองกับบ้านเค้าเนี่ยนะ

“อ๋อ เค้าขายแค่ตอนเช้าน่ะ”

“ผมรู้แล้ว ร้านปิด”

“แล้ว...” ผมเอียงคอมอง มาร์คทำท่าจะเปิดประตูกลับเข้าไปนั่งในรถ

“ไอติมโบราณอร่อยนะ สนมั้ยล่ะ ใกล้ๆ นี่เอง” ผมผิวปากหวือเดินนำหน้า มาร์คเดินตามมาเงียบๆ ไม่พูดไม่จา ถนนในซอยตอนหัวค่ำผู้คนยังพลุกพล่าน แสงไฟวับแวมสว่างอยู่เป็นระยะๆ ไม่นานเราก็มาถึงร้านไอติมรถเข็น ที่ผมไม่เคยเห็นเค้าเข็นไปไหน ขายอยู่กับที่ชั่วนาตาปี ลูกค้าเยอะจนไม่จำเป็นต้องเข็นไปขายที่อื่น

“ทุเรียน 2 ไม้ครับ” ผมสั่งด้วยความเคยชิน

มาร์คกวาดสายตามองป้ายเมนูที่เขียนด้วยลายมือคัดบรรจงของเด็กประถม ก่อนจะสรุป

“วานิลลาครับ”

ผมหันไปมองมาร์คทำตาโต นึกขึ้นได้ว่าวานิลลาเป็นไอติมรสที่ผมชอบ หนูริทชอบกินไอติมทุเรียน ด้วยความง่ายและขี้เกียจรอ ผมจึงสั่งทุเรียนสองไม้แทบทุกครั้ง นานๆ จะได้กินของที่ตัวเองชอบจริงๆ

“งั้นเปลี่ยนเป็นวานิลลาสองไม้ครับ” ผมหันไปยิ้มหวานให้มาร์ค

“จริงๆ แล้วพี่ชอบวานิลลาน่ะ”

คนตัวเล็กยืนมองแม่ค้าหยิบไอติมรูปร่างสี่เหลี่ยมผืนผ้าก้อนใหญ่ขึ้นมาตัดเป็นชิ้นเล็กเสียบด้วยไม้จิ้มลูกชิ้น สีหน้าไร้ความรู้สึก รำพึงเบาๆ

“เพราะริทชอบไอติมทุเรียนใช่มั้ย”

.............................................................

เราเดินกลับบ้านได้ซักพัก ผมเริ่มรู้สึกถึงระยะห่างที่มากขึ้นเรื่อยๆ หันกลับไปมอง มาร์คก้าวขาช้าๆ สายตาจับจ้องอยู่ที่ไอติม มือนึงถือไม้ อีกมือคอยประคองไอติมไว้ ริมฝีปากแดงค่อยๆ แตะเบาๆ ทีละนิด

“ทำไมไม้มันเล็กจัง เนื้อไอติมก็นิ๊ม นิ่ม กินยากชะมัด” เสียงบ่นอุบอิบ ทำให้ผมขำกิ๊ก เดินกลับไปหา

“กัดคำโตๆ สิ แบบนี้” ผมกัดไอติมให้เค้าดูเป็นตัวอย่าง โยนไม้เปล่าลงถังขยะข้างทาง แล้วเดินต่อ

“ทำไมชอบพูดคนเดียว”

“หืม...” ผมหันกลับไปต้นเสียงที่ยังคงประคองไอติมในมืออย่างระมัดระวังเดินตามมาห่างๆ

ผมยักไหล่ ไม่เข้าใจคำถาม เดินนำหน้าเค้าเลี้ยวเข้าบ้าน

“ก็เห็นชอบมองท้องฟ้า แล้วทำปากขมุบขมิบ” คนตัวเล็กช่วงก้าวสั้นกว่าที่เดินตามมาตลอดทาง อยู่ๆ กำลังจะก้าวแซงผมไป มือไวเท่าใจ ผมคว้าแขนเรียวดึงให้เค้าหันมา

“ละลายหมดแล้ว” ก้มลงกัดไอติมคำโต

“อื๊อ...ของผม อุ๊บ!” ไม้เปล่าในมือคนตัวเล็กหล่นลงกระแทกเท้าผม ดีดตัวลงข้างทาง ไอติมวานิลลารสชาติหวานหอมถูกลิ้นของผมค่อยๆ ดันเข้าสู่ปากแดงอิ่มทีละนิด ไม่ให้เค้าสำลัก ก่อนที่ลิ้นร้อนจะตามเข้าไปกวาดทั่วโพลงปากทำให้ความเย็นของไอติมละลายเร็วยิ่งขึ้น เหลือเพียงรสหวานธรรมชาติจากปากและลิ้น มือเล็กกำเสื้อเชิ้ตผมไว้แน่นจนเกร็ง เสียงครางเบาๆ เล็ดรอดออกมาจากลำคอของเราทั้งคู่ ผมค่อยๆ ถอนจูบออกก่อนที่คนตรงหน้าจะขาดใจ มาร์คสูดลมหายใจเข้าอย่างแรงจนหอบ มือเล็กทุบอกผมดึงปึ้ก

“ก็ไอติมมันละลาย” ผมยักไหล่ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เดินกลับเข้าบ้าน แสงไฟสว่างวาบๆ จากโทรศัพท์มือถือที่วางทิ้งไว้บนโต๊ะ มิสคอลจากน้องชายทั้งสองร่วมร้อยครั้ง sms อีกนับไม่ถ้วน ผมกดดูข้อความล่าสุด ส่ายหัว รู้สึกขำเบาๆ

~ถ้าคุณรุจไม่โทรกลับภายในห้านาที ริทจะแจ้งตำรวจ~
~พี่ชายคร๊าบบบบ... ช่วยผมด้วย ระเบิดเวลานับถอยหลังแล้ว~

“นายเจอดีแล้วโตโน่”

กำลังจะกดโทรกลับไป แสงไฟจากโทรศัพท์ก็สว่างวาบขึ้นซะก่อน “หนูริท” ผมเลือกที่จะไม่รับ รอจนสัญญาณดับไป แล้วกดโทรออกไปหาน้องชายอีกคน ปลายสายกดรับทันที

“คุณรุจคร๊าบบบ... หายศีรษะทุยๆ ของคุณไปไหนครับ ระเบิดจะลงผมอยู่แล้ว รังสีอำมหิตกระจายทั่วห้อง”

ยังไม่ทันที่ผมจะทันได้ตอบอะไร ก็ได้ยินอีกเสียงแทรกขึ้นมาซะก่อน

“เอามานี่! คุณรุจ...ริทนะ หายไปไหนมา ทำไมไม่รับโทรศัพท์ ริทถึงแล้ว ริทหลับอ่ะ ตื่นอีกทีขอนแก่น อดนอนเต้นท์เลย เสียดายจัง ริทซื้อของเยอะแยะเลย เดี๋ยวริทดูก่อนนะว่ามีอะไรบ้าง...”

เสียงเล็กเจื้อยแจ้วเจรจามาตามสาย บรรยายถึงสิ่งที่เค้าพบเห็นตามระยะทางกว่า 400 กิโลที่นั่งรถผ่าน ผมค่อยเบาใจกับห่วงกังวลทั้งหลายที่วิตกจริตไปก่อนล่วงหน้า คนที่ผมต้องห่วงตอนนี้น่าจะเป็นน้องชายอีกคนมากกว่า มาร์คที่นั่งมองนิ่งอยู่นาน ลุกเดินออกไป ผมตัดบทกับหนูริท เดินตามร่างเล็ก

“หนูริท พี่ขอสายโตโน่หน่อยสิ”

“ครับๆ แป๊บเดียวนะ ห้ามคุยนาน ริทยังเล่าไม่จบ”

“ไงโน่...กินข้าวยัง...ระวังเรื่องอาหารนะ หนูริทธาตุอ่อน...อืม มะรืนนี้เจอกัน เดี๋ยวฉันไปรับ…พอแล้ว พาหนูริทไปกินข้าวเหอะ ไม่คุยล่ะ เดี๋ยวจะยาว” ผมจบบทสนทนาสั้นๆ ระหว่างเรา กำลังจะกดวางสาย

“ผมกลับนะ” มาร์คหันมายกมือไหว้ เดินไปขึ้นรถ

“เอ่อ...เดี๋ยวสิ” ผมเรียกมาร์คไว้ แต่ไม่ทัน เสียงครืนยาวๆ ดังขึ้น

“พี่ชาย?....ไหนบอกอยู่บ้าน หนีเที่ยวรึเปล่า สารภาพมานะ อยู่กับใคร ทำไมมีเสียงเรือหางยาวด้วย หึๆ”

“อ๋อ...เออ อยู่บ้านๆ แค่นี้ก่อนนะ” ผมพยายามตัดบทคู่สนทนาที่น้ำเสียงเริ่มเจ้าเล่ห์ขึ้นเรื่อยๆ เหมือนรู้ทัน

“โอเค งั้นฝากกู๊ดไนท์...คิสน้องมาร์... ”

ผมกดวางสาย ปล่อยให้น้องชายค้างประโยคไว้เพียงเท่านั้น ก้าวขายาวๆ ตามไปที่รถ เคาะกระจกเบาๆ คนตัวเล็กกดกระจกลงสีหน้าบึ้งตึง ผมบิดกุญแจดับเครื่องยนต์ ดึงออกเก็บใส่กระเป๋ากางเกง

“ผมจะกลับบ้าน” คนตัวเล็กหน้างอ

“กลับยังไง มืดแล้ว ถ้าไม่ถึงบ้านจะทำยังไง” ผมมองสภาพรถยิ้มๆ

“ผมมาได้ ผมก็กลับได้”

“ตามใจ” ผมหันหลังเดินกลับขึ้นตึก มาร์ควิ่งตามมาดักหน้าไว้

“กุญแจ”

ผมหยุดยืน ชูแขนสองข้าง มาร์คเดินมาใกล้ ถอนหายใจแบบกล้าๆ กลัวๆ มองมาที่กระเป๋ากางเกง ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ผมเดินขึ้นบันได เอ่ยขึ้นลอยๆ ไม่สนใจคนข้างล่าง

“ล๊อคประตูให้ด้วย”

.............................................................




(TONO part)

หนูริทหันมายิ้มประจบให้ผมทันทีที่วางสายจากพี่ชายคนโต

“คุณรุจโอเคล่ะ ค่อยหายห่วงหน่อย เราไปหาไรกินกันเถอะพี่โน่ ริทหิวแล้ว” สองมือเล็กตบพุงตัวเองเบาๆ

เฮ้อ...ใครกันแน่ที่น่าห่วง ผมเดินคอตกไปหยิบกุญแจรถ หันไปบอกจุดหมาย

“โต้รุ่งนะ”

คนตัวเล็กยิ้มหน้าแป้นแล้น อาการเมารถเมื่อบ่ายหายสนิทเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น ชูนิ้วขึ้นทำเป็นรูปวงกลม

“โอเค โต้รุ่ง พี่โน่เลี้ยง”

.........................................................

“อู้ฮูวววววว เท่ๆๆ เท่มากๆ เท่ชะมัด เท่ชะมัดยาด” ผมนั่งเก๊กหล่ออยู่บนเบาะรถมอเตอร์ไซค์เซเคิ่ลแฮนด์คันเก่งสีขาวที่ซื้อมาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง คนตัวเล็กเดินวนไปมาไม่ต่ำกว่า 6 รอบแล้ว

“ไหนบอกหิว ขึ้นมาสิ”

“แว๊นๆ เลยนะพี่โน่” คนตัวเล็กเป่าลมฟู่ๆ ออกจากปากพยายามให้มีเสียงเฟี้ยวฟ้าวแต่ไม่สำเร็จ มีเพียงเสียงลมกับละอองน้ำลายพ่นเป็นฟองฝอย

ผมยกมือถูท้ายทอยไปมาแก้เขิน เสียดายที่ฟ้ามืดแล้ว ไม่งั้นจะใส่แว่นเรย์แบนให้หนูริทตกตะลึงในความเท่อย่างคาดไม่ถึงของผมแบบถอนตัวไม่ขึ้น

“เกาะแน่นๆ นะน้องนะ ฟิ้ววว...ว”



...........................................................




(RUJ part)


ผมนอนเหยียดยาวอ่านนิยายกำลังภายในเล่มโปรดไปได้ซักพัก เสียงเคาะประตูเบาๆ ก็ดังขึ้น มาร์คเปิดประตูเข้ามาในสภาพที่อาบน้ำเรียบร้อยแล้ว ชุดนอนสีฟ้าลายสติชพ่นไฟของหนูริท หอมกลิ่นแป้งเด็กกับสบู่อ่อนๆ

ผมตบที่นอนว่างข้างตัว มาร์คยืนมองนิ่งไม่ยอมขยับ เอ่ยขึ้นด้วยเสียงเล็กๆ

“คุณป้าอยากจะแน่ใจ ว่าผมอยู่บ้านริท” เค้ายังยืนอยู่ที่เดิม มือกำโทรศัพท์

ผมดีดตัวลุกจากเตียง ตั้งใจปัดจมูกสูดกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่เรือนผมนุ่ม หยิบโทรศัพท์มือถือในมือเค้ากดโทรออกเบอร์ล่าสุด


.............................................................

ร่างเล็กนั่งนิ่งอยู่ปลายเตียงหันหลังให้ ผมเอนหลังลงที่เดิม หยิบนิยายที่ค้างไว้ขึ้นมาอ่าน

“ไม่ง่วง?”

มาร์คหันมาช้าๆ แต่ไม่ยอมสบตา ผมโน้มตัวไปดึงเค้าขึ้นมากอดไว้ในอ้อมแขน ร่างเล็กโอนกายผ่อนตามแต่โดยดี

“รู้ตัวมั้ย ว่ากำลังทำอะไรอยู่” มาร์คส่ายหน้าน้อยๆ

“บอกไว้ก่อน พี่ไม่ชอบการผูกมัด ถ้ามาร์คไม่พร้อม ก็ไปนอนห้องหนูริท” มาร์คหน้างอขึ้นมาทันที ผละออกจากอกผม นอนตะแคงหันหลังให้

“ผมก็แค่อยากเป็นน้องชาย”

“มีน้องสองคนก็ปวดหัวมากพอแล้ว” ผมวางหนังสือในมือ กดสวิตซ์ดับไฟให้เหลือแต่แสงนวลจากโคม ดึงผ้านวมนุ่มขึ้นคลุมให้เค้า ร่างเล็กสะบัดออกอย่างไม่ไยดี ผมถอนหายใจยาวพรืด มือก่ายหน้าผาก นิสัยแบบนี้สินะถึงเป็นเพื่อนรักกันได้ ยังไม่ทันจะเคลิ้ม ร่างเล็กก็ผุดลุกนั่งซะเฉยๆ

“กุญแจ ผมจะกลับบ้าน”

“อือ...แขวนอยู่ข้างประตู” ผมขยี้ตา แกล้งทำเสียงงัวเงีย ดึงหมอนหนุนของเค้ามากอด ตะแคงหันหลังให้...เงียบ ไม่ได้ยินแม้เสียงฝีเท้า

ปึ้ก!

“โอ๊ย!” อะไรบางอย่างฟาดเข้าที่กลางหลังผม พวงกุญแจรถของมาร์ค เจ้าของมือเหวี่ยงยืนหน้างออยู่ข้างเตียง ผมลูบหลังป้อยๆ เหวี่ยงกุญแจเจ้ากรรมทิ้งลงพื้น นอนลงท่าเดิม ไม่นานก็รู้สึกว่ามีแขนเล็กกำลังโอบรอบตัวเองอยู่ด้านหลัง จากหลวมๆ ก็เริ่มแน่นขึ้นเรื่อยๆ แก้มนวลคลอเคลียเบาๆ อยู่ที่ไหล่ มือน้อยลูบป้อยๆ ตรงที่ผมถูกกุญแจฟาด ผมปัดมือออก พลิกตัวหนี ร่างบางหยุดการกระทำของตัวเองเพียงเท่านั้น พลิกตัวกลับ

“ผมน่ารังเกียจมากเหรอ” น้ำเสียงตัดพ้อจนผมรู้สึกผิด กำลังชั่งใจว่าจะแกล้งต่อหรือหยุดเพียงเท่านี้แล้วขอโทษเค้าซะ

ใจนึงก็รู้สึกผิด แต่มือเจ้ากรรมดันเหวี่ยงหมอนไปที่ร่างเล็กทันทีที่เห็นเค้าลุกเดินไปที่ประตู ได้ผล ผมหยุดเค้าได้ก่อนถึงประตู เดินตามไปดึงร่างบางให้หันกลับมา

“ผมหน้าด้านมากใช่มั้ย”

“ก็ไม่นะ หอมนุ่มดี” ผมกดจมูกลงไปแรงๆ ที่แก้มนวล หวังจะง้อ หยดน้ำรสเค็มปะแล่มๆ ไหลเข้าปากพอดิบพอดี มาร์คหันหลังให้แสงนวลของโคม เงาบังทาบทับทำให้ผมไม่เห็นว่าเค้ากำลังร้องไห้

“มั่นใจแค่ไหนว่าจะไม่เสียใจกับสิ่งที่กำลังทำอยู่” ผมวางร่างบางลงบนที่นอนนุ่ม ดวงตาสั่นระริกมองสบมาอย่างมีความหมาย มือเล็กยกขึ้นเช็ดน้ำตาตัวเองป้อยๆ เด็กน้อยไร้เดียงสานัก รู้บ้างมั้ยว่าตัวเองต้องเผชิญอะไรบ้าง ผมยันตัวเองขึ้น แขนเรียวคว้าโอบรอบคอแทบจะทันที

“คุณรุจ” เสียงเล็กพึมพำเบาๆ

“เก่งให้เหมือนกับที่เคยเป็นสิ”

ใบหน้างามยิ้มยั่วยวนทั้งดวงตายังรื้นด้วยหยาดน้ำ มือเรียวโน้มคอผมลงช้าๆ เผยอปากแดงอิ่มรอรับ

“จูบผมสิ”

สุดท้ายผมก็ได้แต่ปล่อยให้กำแพงความอดทนที่พยายามก่อขึ้นมาตั้งแต่หัวค่ำพังทลายลงอย่างง่ายดายด้วยน้ำตาเพียงหยดเดียว





Create Date : 19 เมษายน 2554
Last Update : 12 ธันวาคม 2554 0:36:52 น.
Counter : 266 Pageviews.

0 comments

Phoenix_x
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



เราเป็นคนขี้เกียจแล้วก็ชอบนอนมากๆ
วันๆ เราไม่ทำอะไรเลย เคลื่อนไหวได้ด้วยแรงเฉื่อย

เมษายน 2554

 
 
 
 
 
1
2
3
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
20
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
19 เมษายน 2554