11. มาร์ค
11. มาร์ค


วันนี้เป็นวันเปิดเทอมของหนูริท ตั้งแต่วันนั้น กลับจากเลี้ยงต้อนรับมื้อเย็นของเราสามคน ผมก็ไม่เจอเค้าอีกเลย...

หลังจากที่พยายามบ่ายเบี่ยงมาหลายวัน สุดท้ายก็ต้องขึ้นมารับประทานอาหารเช้ากับคุณรุจจนได้

ผมเดินทอดน่องเข้าไปในบ้าน จังหวะเดียวกับที่ใครบางคนเดินลงมาจากชั้นสอง

“หนูริท ทานข้าวต้มกับพี่ก่อน” เสียงคุณรุจเรียกไว้ เค้าทำท่าจะนั่งลง แต่พอผมเดินเข้าไปใกล้ เค้าเหลือบตาขึ้นมองนิดหนึ่ง ยืดตัวตรง

“เดี๋ยวมาร์คจะมารับ บอกว่าซื้อปาท่องโก๋กับน้ำเต้าหูเจ้าอร่อยหน้าปากซอยมาเผื่อริทด้วย ริทจะไปกินกับมาร์คที่มหาลัย”

“มาร์ค” ชื่อคุ้นหูของใครบางคน ที่เหมือนจะเคยได้ยินมาก่อน

“มาร์คจะมารับเหรอ” คุณรุจมีสีหน้าแปลกใจ

“ก็เรียนมหาลัยแล้ว คุณลุงคุณป้าอนุญาตให้มาร์คขับรถเองได้ วันนี้เป็นวันแรก เค้ายังไม่มั่นใจ เลยให้ริทนั่งเป็นเพื่อน” คนตัวเล็กอธิบาย

“บ้านเค้าไกลนะ คนละทางกับบ้านเราด้วย”

ผมสงสัยว่าทำไมคุณรุจต้องดูตื่นเต้นกับเพื่อนของหนูริทด้วยนะ อืม เค้าคงสนิทคุ้นเคยกันดีกับเพื่อนของหนูริท มีรถขับด้วย ก็คงคนมีฐานะระดับเดียวกัน ถ้าพี่ชายได้เจอเพื่อนๆ ของผมบ้าง เค้าจะตกใจจนไม่กล้าให้เข้าบ้านมั้ยนะ ว่าแล้วก็คิดถึงพวกมันจัง ป่านนี้ทำอะไรกันอยู่นะ ไม่รู้ไปเมาหัวราน้ำอยู่ที่ไหน

ครืนนน!! เสียงเหมือนเรือหางยาวแล่นผ่านหน้าบ้าน หนูริทวิ่งหน้าแป้นออกไป เค้าจะเห็นมั้ยนะ ว่ามีผมยืนอยู่ตรงนี้

“มาร์คมาแล้ว ริทขอตัวก่อนนะครับคุณรุจ” ผมมองคนตัวโต เดินตามคนตัวเล็กออกไปติดๆ ร่างบางหันมาเหนี่ยวไหล่สูงยืดตัวขึ้นหอมแก้มฟอดใหญ่ คุณรุจโยกศีรษะเค้าคืนเบาๆ แอบอิจฉาพี่ชายผมนิดๆ อยากได้หอมฟอดใหญ่แบบนั้นจากหนูริทบ้างจัง

คนมาใหม่ยืนรออยู่ข้างรถเหลือบมองมานิดหนึ่ง หน้าบูดบึ้ง ผมหลบวูบไปอยู่หลังผ้าม่าน เดินกลับมาที่โต๊ะกินข้าว นั่งเขี่ยเส้นไชโป๊วผัดไข่ไปมา ได้ยินเสียงเรือหางยาวออกจากท่า...คงไปกันแล้ว

สักพักคุณรุจเดินกลับมานั่งอย่างอ้อยอิ่ง บ่นอุบ “คนอะไร ไม่คิดจะทักเราซักนิด เราเป็นพี่ชายเพื่อนสนิทนะ” เค้าคงหมายถึงผู้ชายตัวเล็กๆ หน้าตาหล่อจัด แต่ท่าทางไม่ค่อยเป็นมิตรคนนั้น

“แล้วดูสภาพรถสินั่น จะไปถึงมหาลัยกันมั้ย สงสัยต้องโทรเช็คเป็นระยะๆ เผื่อรถเสีย” ผมไม่รู้จะขำกับสภาพรถที่มีเสียงเหมือนเรือหางยาวนั่น หรือจะขำกับท่าทางวิตกจริตของพี่ชายผมดีนะ

“หรือฉันจะตื่นให้เช้าขึ้น แล้วไปรับส่งหนูริทเหมือนเดิม แล้วเลยไปรับมาร์คด้วยดีนะ” ผมจับน้ำเสียงที่แฝงเลศนัยบางอย่างของพี่ชาย เจ้าเล่ห์เหมือนกันนะเนี่ย อ้ายเสือรุจ หึๆ

“ถ้าคุณรุจไป...งั้นพรุ่งนี้ ผมไม่ต้องไปส่ง?”

ศุภรุจมีสีหน้าลำบากใจกับคำถามของภาคิน จะให้บอกยังไง ว่าหนูริทงอแง ถ้าไม่ใช่เค้า ก็ไม่ยอมให้ใครไปส่ง พี่โน่ที่หนูริทรอคอย พอกลับมาแล้ว เจ้าตัวเล็กกลับไม่สนใจไยดี เค้าเองก็ลำบากใจที่จะถาม ว่าทำไม สิ่งที่เค้าดีใจมากที่สุด คือโตโน่กลับมา เคยหวังจะให้มาอยู่ที่ตึกหน้าด้วยกัน แต่ก็ทำตัวแปลกแยกไปอยู่บ้านเล็กริมน้ำ อยากจะถามเหตุผล แต่ก็ไม่อยากให้มีเรื่องอะไรมากระทบกระเทือนอีก ยังไงก็น้องทั้งคู่ ปล่อยให้เวลาคลี่คลายเองก็แล้วกัน พยายามคิดคำตอบที่ถนอมความรู้สึกของทั้งสองฝ่าย แต่ก็เหมือนน้ำท่วมปาก

“อื้อ...ช่วงแรกก็แค่เตรียมความพร้อมกับเพื่อนๆ ที่มหาลัย เดี๋ยวฉันขับรถส่งเองล่ะกัน” ผมฟังคำตอบที่ดูไม่ค่อยเป็นเหตุเป็นผลเท่าไหร่ มหาวิทยาลัยของหนูริท คนละทางกับออฟฟิศของคุณรุจ แต่ผมก็ไม่ได้แย้งอะไร

“เผื่อนายอยากหางานประจำทำ” สุดท้ายก็กลับมากดดันผมเรื่องนี้จนได้ ไม่ใช่ว่าผมไม่คิด ผมเองก็คิดอยู่เหมือนกัน ผมชอบผจญภัย ประสบการณ์จากการเป็นอาสาสมัครของหน่วยกู้ภัยสมัยเรียนมหาลัย ทำให้ผมใฝ่ฝันอยากเป็นนักดับเพลิง ในความรู้สึกของผม มันเป็นอาชีพที่ใกล้เคียงซูเปอร์แมนที่สุดแล้วเท่าที่คนธรรมดาๆ อย่างผมจะทำได้ แต่ขืนบอกไป นอกจากผมจะไม่ได้ทำตามความฝันแล้ว คุณรุจคงขำจนสำลักข้าวต้มช๊อกตาค้างอยู่ตรงนี้แน่ๆ

.................................................................


“แวะร้านโจ๊กหน้าปากซอยก่อนนะมาร์ค ริทยังไม่ได้กินอะไรเลย หิวจัง” เรืองฤทธิ์โกหกเรื่องน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋เพราะไม่อยากร่วมโต๊ะอาหารเช้ากับใครบางคน ถ้าพี่โน่จะกลับมาเพื่อทิ้งเค้าไปอีก ก็อย่าเจอกันเลย

“อ้าว เหรอ มาร์คว่าจะมาฝากท้องที่บ้านริทนะเนี่ย เห็นรีบๆ นึกว่ากินแล้ว ขับรถวันแรก ตื่นเต้น กินอะไรไม่ลงเลย”

“ริทไม่ได้หูฝาดใช่มั้ย มาร์คจะกินข้าวร่วมโต๊ะกับคุณรุจ พี่ชายของริทเนี่ยนะ ร้อยวันพันปีไม่เคยญาติดี ถ้าคุณรุจรู้เข้า จะต้องดีใจมากแน่ๆ หะหะ”

“ไม่มีที่จอด เปลี่ยนเป็นปาท่องโก๋กะน้ำเต้าหู้ล่ะกัน ริทลงไปซื้อนะ เดี๋ยวมาร์ควนรถมารับ”

คนในรถมองตามเพื่อนรักทางกระจกหลังจนลับตา จะให้เค้าบอกว่า ที่ต้องตื่นแต่เช้าขับรถฝ่าจราจรจากอีกฝั่งเมืองมาเพื่อต้องการเห็นหน้าใครบางคน ที่ทำให้เพื่อนของเค้าเจ็บช้ำคร่ำครวญ ร้องไห้น้ำตาเปียกหมอนทุกคืนน่ะเหรอ กี่วันแล้วที่เค้าต้องทนฟังเรื่องของคนที่ริทบอกว่าแค่พี่ชาย มันควรจะจบได้ซะทีแล้วนะนายภาคิน

………………………………………………………

“มาร์ค อ้าว!...อะไรของเค้านะ บอกว่าจะวนมารับ แล้วก็ไม่จอดซะงั้น ใจลอยรึเปล่า” ผมโบกไม้โบกมือ พึมพำกับตัวเองวิ่งตามรถของมาร์คที่คงเพิ่งนึกขึ้นได้ จอดกระพริบไฟรอห่างไปตั้งหลายเมตร


“อยากให้ริทออกกำลังกายแต่เช้าหรือไง” ปากเริ่มบ่น ส่วนมือสาละวนเลือกหยิบปาท่องโก๋กับเครื่องจิ้มขึ้นมาเลือก

“นมข้น แยมส้ม สังขยาใบเตย เอาอะไรดี” ผมนั่งมองของกินเต็มตัก ถามความต้องการของเพื่อนร่วมทาง

“สังขยาใบเตย...มาร์คชอบสีเขียว” มาร์คเน้นคำว่าสีเขียว สีที่ผมชอบ

นิสัยที่ตามใจตัวเองจนเคยตัวและไม่เคยตามใจใคร ผมเลือกหยิบปาท่องโก๋จิ้มนมข้นจนชุ่ม ยื่นส่งให้เค้า

“ชอบสีเขียวตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ”

“ตั้งแต่รู้จักริท” ทำไมผมรู้สึกว่ามาร์คส่งสายตาแปลกๆ ที่ผมก็บอกไม่ถูก ว่าเค้าต้องการสื่ออะไร

“อื๊อ...” นมข้นที่ผมจุ่มจนชุ่มเริ่มไหลย้อยลงมา ผมทิ้งปาท่องโก๋กลับลงในถุง มองหากระดาษทิชชู่ แล้วมือของผมก็ถูกดึงไป... มาร์คค่อยๆ ไล่ลิ้นวนไปตามนิ้วของผมที่เปื้อนนม สัญชาตญาณบางอย่างทำให้ผมเข้าใจสายตาแปลกๆ เมื่อกี้ของเค้าขึ้นมาทันที

ผมชักมือกลับ “เอ่อ...ไฟเขียวแล้ว” มาร์คหันกลับไปตั้งใจกับการขับรถ เราสองคนนิ่งอยู่นาน จนถึงหน้าประตูมหาลัย แล้วก็เป็นมาร์คที่ทำลายความเงียบ

“ถึงเร็วจัง ทำไมมหาลัยของเราไม่อยู่ต่างจังหวัดนะ”

“ไม่ขี้เกียจขับรถหรือไง” ผมถามขึ้น หวังจะช่วยเค้าคลี่คลายบรรยากาศก่อนหน้านี้

มาร์คเลื่อนมือจากเกียร์มากุมที่มือผม “ริทก็ขอคุณรุจให้เราอยู่หอด้วยกันสิ”

แล้วความคิดวูบหนึ่งก็ผ่านเข้ามา ไม่ผิดใช่มั้ย ถ้าผมจะมีมาร์คไว้เผื่อเลือกอีกซักคน

.................................................................




Create Date : 06 มีนาคม 2554
Last Update : 12 ธันวาคม 2554 0:20:37 น.
Counter : 244 Pageviews.

0 comments

Phoenix_x
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



เราเป็นคนขี้เกียจแล้วก็ชอบนอนมากๆ
วันๆ เราไม่ทำอะไรเลย เคลื่อนไหวได้ด้วยแรงเฉื่อย

มีนาคม 2554

 
 
1
2
3
9
12
13
14
15
16
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31