13. เจ็บ
13. เจ็บ



(RIT part)


มาร์คถือกระเป๋ามาส่งผมที่รถ สีหน้าเค้าไม่สู้ดีนัก

“มาร์คยิ้มหน่อยสิ ริทไม่เป็นไรซะหน่อย เดี๋ยวคืนนี้ริทโทรหานะ” ผมหยิกแก้มสองข้างของมาร์ค เจตนาจะให้คนตัวสูงเห็นกิริยาระหว่างผมกับมาร์ค แต่เค้ากลับไม่มอง เซนเองก็ยืนเฉย มองเราผ่านๆ เหมือนไม่มีอะไรน่าสนใจ ไม่ทักเราอย่างที่ผมตั้งใจ อะไรของเค้า ทีต้องการให้ช่วยล่ะ หุบปากเงียบเชียว

พอรถจะเคลื่อนออกไป ผมกดกระจกลงโบกมือให้มาร์ค พี่โน่ชะโงกหน้ามาใกล้ ทำท่าตะเบ๊ะยิ้มหล่อส่งให้เพื่อนผม นี่พี่โน่นึกอะไรของเค้า ผมมองกลับไปด้วยแววตาดุ ทันใดเค้าก็กลับไปหน้านิ่งไร้ความรู้สึกเหมือนเดิม

“ริทหิว จอดร้านสะดวกซื้อให้ด้วย” ผมกลับมาเรียกตัวเองว่าริทเหมือนเดิม ไม่อยากให้สองคนที่ร่วมทางมาด้วยผิดสังเกต

“ให้กันไปเป็นเพื่อนหนูริทนะ” กันเปิดประตูเดินตามผมมา ผมรู้สึกว่าตัวเองเห็นเซนหน้าระรื่นขึ้นมาทันที เชิญอยู่กันตามสบายสองคนกับพี่โน่ไปเถอะ ผมไม่อยากจะยุ่ง

...............................................................

ผมเดินกลับมาที่รถ เปิดประตูหลังเรียกเซนลง “เธอไปนั่งข้างหน้าสิ ฉันกับกันจะกินข้าว”

ผมเห็นเซนเหลือบตามองกันหวั่นๆ แต่กันไม่มองตอบ ทำท่าทีไม่สนใจ เซนรีบลงไปนั่งเบาะหน้าคู่กับพี่ภาคินของเค้าทันที

“กัน ทำไมเอาช้อนมาแค่คันเดียว แล้วเราจะกินยังไง” ผมทักเสียงใส

“งั้นหนูริทกินให้อิ่มก่อน กันรอได้” ผมมองเมินสายตาในกระจกคนขับ ตักข้าวใส่ปากตัวเองหนึ่งคำ แล้วตักอีกคำป้อนให้กัน ยกแก้วน้ำขึ้นมาดูด ยื่นส่งให้

“หืม.....นั่นพวกเธอทำอะไรน่ะ ช้อนมีคันเดียว แต่หลอดมีหลายอันนะ หรือพวกเธอจะ...จูบทางอ้อม” เสียงของเซนมาได้จังหวะพอดี พี่โน่จงใจเหยียบคันเร่งให้เร็วขึ้นจนเซนที่นั่งคู่หน้าเหวอ ส่งเสียงร้องเตือนด้วยความตกอกตกใจ

“พี่ภาคิน เซนยังไม่ได้ทำประกันชีวิตนะ” เสียงแหลมสูงของเซนไม่ได้ช่วยให้เค้าลดระดับความเร็วลงเลย ผมรู้สึกโกรธที่พี่โน่เอาชีวิตของพวกเรามาล้อเล่น

“พี่โน่.....” ผมเรียกชื่อเค้าด้วยเสียงโกรธจัด หน้าคมมองสบตาผมในกระจก ค่อยๆ ลดความเร็วลงมาสู่ระดับปกติ ผมยกอาหารที่ซื้อมาให้กันไปกินต่อ เซนนิ่งเงียบ ไม่พูดไม่จา บทสนทนาทั้งหมดของเราจบลงแค่นั้น จนถึงบ้าน

.................................................................

เซนรีบเดินจ้ำอ้าวไปที่สะพานที่ทอดยาวไปยังบ้านของเค้า สะพานไม้เล็กๆ ที่พงศกรให้สร้างขึ้นหลังจากที่หนูริทตกน้ำไปในคราวนั้น สองขาเปลี่ยนจากเดินเร็วเป็นวิ่ง รู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยที่อยู่ด้านหลัง

“จะรีบไปไหน” เสียงเข้มหยุดเซนไว้ที่เชิงสะพาน

เซนหยุดเดิน หันมาเผชิญหน้าอีกฝ่าย ถามกลับเสียงสั่น “กัน...เธอต้องการอะไร ฉันจะกลับบ้าน”

“ไม่มีอะไร ก็แค่จูบทางอ้อมกับหนูริทแล้ว ก็อยากจะจูบทางตรงกับนายบ้าง” กันทำหน้าตาเจ้าเล่ห์ย่างสามขุมเข้ามา

มือหนาสอดเข้าไปใต้ท้ายทอย ดึงให้หน้าเซนแหงนขึ้น ริมฝีปากหนาอุ่นกดจูบหนักๆ ลงไปที่ปากบางจนแดงช้ำ ใบหน้าคล้ำเข้มไซ้ไปตามซอกคอขาวและอกเนียนบดขยี้ย่ำยีกระแทกกระทั้นอย่างไม่ปรานี... ร่างบางยืนเกาะราวสะพานนิ่ง กัดปากตัวเองไว้จนปากห้อเลือด ไม่ให้เสียงเจ็บปวดครวญครางเล็ดลอดออกมา หมดเรี่ยวแรงจะสู้รบปรบมือ ปวดร้าวไปทั้งกาย สองขาอ่อนแรง มือเรียวเกาะราวสะพานค่อยๆ ทรุดตัวลง ยอมหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ภาพที่กันกอดประคองร่างคนตัวเล็กอย่างอ่อนโยนส่งสายตาหวานซึ้งผุดวาบเข้ามาในใจ เคยบ้างมั้ยที่จะมีให้เค้าบ้าง ดวงตาเหม่อลอยมองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่เมื่อได้ทุกสิ่งที่ต้องการแล้วก็เดินจากไปอย่างไร้เยื่อใย

.................................................................

(RIT part)

ผมนั่งกินข้าวมื้อเย็นกับคุณรุจสองคน รู้สึกเหงาอย่างบอกไม่ถูก คุณรุจรีบกินรีบอิ่มเพราะได้นิยายกำลังภายในชุดใหม่มา ถ้าลองเค้าได้ท่องยุทธภพเมื่อไหร่ ก็ไม่ใครดึงกลับมาโลกปัจจุบันได้จนกว่าจะอ่านจบ

“เมื่อไหร่คุณรุจจะมีพี่สะใภ้ให้ริทซะที” ผมโพล่งขึ้น

“หนูริท ปีนี้พี่เบญจเพสนะ ไม่ดีๆ เนี่ยเดี๋ยวต้องหาเวลาว่างไปทำบุญ”

“ครับ” ผมรับคำง่ายๆ ดีเหมือนกันหาโอกาสทำบุญบ้าง เผื่ออะไรๆ จะดีขึ้น

พี่ชายคนโตของผมเริ่มร่ายยาว ถึงวิธีแก้เคล็ดตามความเชื่อของคนจีน ไม่มีทีท่าว่าจะจบง่ายๆ คุณรุจฉลาดความรู้รอบตัวเยอะ ผมนั่งฟังเพลิน อย่างน้อยก็ทำให้ลืมความเหงา แต่อยู่ๆ เค้าก็หยุดเล่าซะดื้อๆ คงนึกขึ้นได้ว่าต้องไปท่องยุทธจักรแล้ว เดินมาส่งผมเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ

“อ้อ บอกมาร์คด้วยนะ เดี๋ยววันเสาร์หน้าพี่จะไปรับที่บ้าน”

“มาร์ค?” ผมเอียงคอถามด้วยความสงสัย เกี่ยวอะไรด้วยกับที่เราจะไปทำบุญ

“ก็เราจะไปวัด....แถวนั้น”

อยู่ๆ คุณรุจก็ทำผมงง นั่งฟังเรื่องวิธีแก้เคล็ดมาตั้งนาน นี่เราไม่ได้จะไปวัดจีนที่เยาวราชกันหรอกเหรอ หรือแถวบ้านมาร์คมีศาลเจ้า แต่ผมไม่รู้

พี่ชายตัวโตเดินผิวปากหวืออารมณ์ดีเข้าห้องนอน “ก็หนูริทอยากมีพี่สะใภ้ไม่ใช่เหรอ”

.................................................................


คนตัวเล็กออกมายืนรับลมที่ระเบียง เสียงกีตาร์บรรเลงเพลงท่วงทำนองเศร้าสร้อยลอยแว่วมาแต่ไกล คนร้องรู้สึกอย่างไรอยู่นะ ทำไมคนฟังถึงได้รู้สึกเหงาและทดท้อนัก ~ วันเวลาที่ล่วงเลยมา แค่ขอสักคนเข้าใจ ~

.................................................................

(TONO part)

~ เธอจะรู้บ้างไหม คนนั้นที่ใจฉันขอคือเธอ~

“พี่ภาคิน” เสียงเรียกแผ่วเบา ผมวางกีต้าร์ลง มองร่างโปร่งที่เดินช้าๆ เข้ามาหา ขาเรียวทรุดฮวบลง

ผมประคองศีรษะเซนวางลงบนตัก สายตาว่างเปล่าไม่มีคำตอบใดๆ กับคำถามมากมายของผม

“กันใช่มั้ย?” ผมจะไปถามเค้าให้รู้เรื่อง เซนเอื้อมมาจับแขนผมไว้ ส่งสายตาอ้อนวอนไม่ให้ผมไป

ผมกุมมือเรียวบางของเซนไว้ เช็ดหยาดน้ำใสที่ไหลรินลงหางตา เค้าหลับไปอย่างอ่อนเพลีย ผมช้อนร่างเซนอุ้มเข้าไปนอนในบ้าน ดึงผ้าห่มขึ้นปิดคลุมร่องรอยความเจ็บปวดที่เค้าได้รับ ลูบศีรษะด้วยความสงสาร ก่อนจะถอยออกมา ปากบางแดงช้ำเพ้อถ้อยคำออกมาเบาๆ “กัน...เซนเจ็บ”

.................................................................


(RIT part)

ใจของผมสั่งขาให้ก้าวเดินตามเสียงเพลงมาจนถึงบ้านเล็กริมน้ำ หลังซุ้มม่านบาหลี มีร่างแกร่งของใครบางคนเอนกายพิงเบาะหนา ร่างบางของใครอีกคนนอนหนุนอยู่บนตัก

ผมยืนมองพี่โน่ช้อนร่างเซนอุ้มเข้าไปในบ้าน ไม่นานเค้าก็เดินออกมาอีกครั้งเพื่อเก็บกีตาร์

ผมตัดสินใจเดินเข้าไปหา พี่โน่ยืนนิ่ง เรียกชื่อผมออกมาเบาๆ

“ริทได้ยินเสียงเพลงแว่วๆ เลยอยากมาฟังใกล้ๆ” ผมยิ้มกว้างมองสบตาเจ้าของใบหน้าหล่อคม

“ว่าไงครับ ขอซักเพลงสิ” ผมเอียงคอมอง ทำเสียงอ้อน พี่โน่วางกีตาร์ลง จังหวะที่เค้าเดินผ่านไป ผมหลุบตาลงซ่อนความรู้สึก

เค้าเอื้อมมือเด็ดใบ้ไม้มาเป่าด้วยท่วงทำนองอ่อนหวานแปลกหู

สายตาอ่อนโยนที่ทอดมองมาของพี่โน่ ดึงดูดให้ผมเดินเข้าไปฟังใกล้ๆ เสียงเพลงอ่อนหวานจับใจ ผมร้องคลอตามเบาๆ มองสบตาเรียวคมหวานซึ้ง

~ ฉันเคยบอกกับเธอหรือยัง ว่าเธอมีความหมายเพียงใด กับคนที่ใจมันด้านชา ฉันเคยบอกกับเธอหรือยัง จากวันนี้และทุกเวลา...~

ความรู้สึกบางอย่างแล่นขึ้นมาที่อก ผมหันหลังกลับก่อนที่ความรู้สึกนั้นจะกลั่นออกมาเป็นน้ำตา เอื้อมมือเด็ดใบไม้มาเป่าฟู่ๆ ไม่เป็นเพลง แล้วโยนทิ้ง

พี่โน่หยิบใบไม้ออกจากปากของเค้า แขนแกร่งโอบรอบตัวผมจากด้านหลัง ยื่นใบไม้ใบนั้นมาจ่อที่ปาก กระซิบเสียงหวาน “ลองเป่าดูสิ”

ผมจับใบไม้เก้ๆ กังๆ กลัวใบบางของมันจะขาด พี่โน่จัดระเบียบให้นิ้วเล็กของผมจับใบไม้ให้ถูกท่าถูกทาง ผมเป่าลมเบาๆ ไปที่ใบ้ไม้ เสียงหวีดหวิวดังขึ้น รู้สึกดีใจ หันไปฉีกยิ้มกว้างให้เค้า แต่พอลองเป่าดูอีกหลายครั้ง ก็พบว่าผมไม่สามารถเป่าให้เป็นเสียงอื่นได้เลยนอกจากเสียงหวีดๆ หวิวๆ ผมเอี้ยวตัวไปมองพี่โน่ ทำปากยื่น บอกเสียงอ่อย

“ริทคงเอาดีกับการเป่าใบไม้ไม่ได้หรอก”

พี่โน่ยิ้มยิงฟัน เอานิ้วดันปลายจมูกทำหน้าหมูล้อเลียนที่ผมทำปากยื่น

ผมยื่นหน้าไปใกล้แกล้งเป่าลมฟู่ๆ ใส่ตาเล็กๆ ของพี่โน่ แล้วรีบหันกลับ สองแขนแกร่งของเค้าโอบกระชับผมแน่นขึ้น ริมฝีปากบางก้มลงมาชิดข้างแก้ม รู้สึกถึงลมอุ่นๆ ที่เป่าลงมารดหู

“อื๊อ....” ผมเอียงคอหนี ปลายจมูกของพี่โน่ปัดโดนแก้มของผมเบาๆ ความรู้สึกบางอย่างเอ่อท้นจนผมต้องเบือนหน้าหลบซบลงที่ไหล่กว้าง น้ำตาจ๋าอย่าเพิ่งไหลออกมาตอนนี้นะ

.................................................................

(TONO part)

ผมกอดหนูริทไว้แน่น ซุกจมูกสูดดมกลิ่นหอมจากเส้นผมอ่อนนุ่ม เค้ากอดตอบผมแนบแน่น ร่างบางของเค้าสั่นน้อยๆ ผมเชยคางมนที่ซบหน้าอยู่ที่ไหล่ให้เงยขึ้น แพขนตากระพริบถี่ๆ ไล่ความประหม่า

ผมพิจารณาใบหน้าหวานซึ้งไปทีละส่วน คิ้วเรียว ตากลมโตส่องแสงประกายดาวระยิบระยับ จมูกสันคม ปากรูปกระจับ พวงแก้มใสชมพูระเรื่อ ทำให้ผมเหมือนต้องมนต์สะกดอีกครั้ง

เหมือนมีแรงดึงดูด ให้ผมก้มหน้าลงไปใกล้จนชิด ปากเล็กขยับให้ผมตื่นจากภวังค์

“ริทอยากฟังพี่โน่ร้อง...เพลงเมื่อกี้”
.................................................................

ผมเอนตัวลงพิงเบาะหนา ดึงร่างบางให้เอนซบลงกับอก เปล่งเสียงร้องออกมาเบาๆ

~ ไม่เคยมีใจให้ใครมาก่อน ไม่เคยอ่อนให้ความรักเลย... ~

เพลงจบแล้ว ตัวเล็กหลับตาพริ้ม ผมแตะริมฝีปากที่เปลือกตาพริ้มงามนั้น กระซิบเบาๆ ที่ข้างหู “ดึกแล้ว”

หนูริทค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างอ้อยอิ่ง มือเล็กยื่นมาจับมือผมจูงให้เดินตามไปที่ประตูจะเข้าบ้าน ผมตวัดเอวบางให้หันกลับมา พยายามทอดน้ำเสียงให้อ่อนหวานที่สุด “เดี๋ยวพี่เดินไปส่งนะครับ”

หนูริทมองผมด้วยสายตาเย็นชา ใจผมกระตุกวูบขึ้นมาทันที ก่อนเค้าจะพยักหน้าน้อยๆ แล้วยิ้มกว้าง ผมถอนหายใจด้วยความโล่งอก บอกตัวเองว่าอย่าระแวง

.................................................................

ผมเดินกุมมือคนตัวเล็กเดินเอื่อยๆ ไปเรื่อยๆ รู้สึกหัวใจตัวเองพองโตคับแน่นจนจะล้นออกมานอกอก ใบหน้าหวานของเค้าดึงดูดให้ผมหันไปมองได้อยู่ตลอดเวลา เราเดินผ่านกอมะลิซ้อนที่ผมชอบไปโดยไม่รู้สึกถึงความหอมยามราตรีของมันด้วยซ้ำเมื่อผมมีสิ่งที่หอมหวานกว่า

ผมไม่รู้ว่าเค้าเรียกความรู้สึกนี้ว่าอะไร ความรู้สึกที่ผมพร้อมจะยอมทำทุกอย่างแค่ได้เห็นรอยยิ้มของเค้า….

.................................................................

(RIT part)

เราเดินมาเรื่อยๆ จนถึงตึกหน้า ผมพยายามข่มใจตัวเองไม่ให้คิดถึงภาพพี่โน่กับเซน ไม่อย่างนั้นผมคงห้ามน้ำตาไม่ได้แน่ๆ มือของพี่โน่ที่เกาะกุมมือผมไว้ช่างอบอุ่นเหลือเกิน แต่ทำไมหัวใจของผมมันถึงรู้สึกหนาวเหน็บนัก

“ราตรีสวัสดิ์นะครับ” ผมหันไปบอกพี่โน่เบาๆ ฝืนตัวเองให้ยิ้มออกมาได้ยากเย็นเหลือเกิน

“ครับ...” พี่โน่ยิ้มหวาน กอบกุมมือของผมด้วยสองมือของเค้า ส่งสายตาที่ผมไม่อยากเห็นอีกแล้วมาให้ ผมก้มหน้ากระพริบตาถี่ๆ หลบสายตาคม

“ริทง่วง” ผมบอกทั้งๆ ที่ยังก้มหน้า มองเท้าตัวเองที่กำลังเขี่ยก้อนกรวดเล็กๆ บนพื้นไปมา ความอดทนของผมกำลังจะสิ้นสุดลง พี่โน่โน้มหน้าลงมาใกล้ในจังหวะที่ผมเงยขึ้นพอดี ปลายจมูกของผมแตะกับแก้มขาวของเค้า ผมหันหลังกลับทันที วิ่งขึ้นตึกน้ำตาร่วงพรู จบสิ้นแล้วสินะ กลับไปดูแลเซนเถอะครับ

.................................................................

“ริทเข้าไปนะครับ”

ผมเคาะประตู ร้องถามคนข้างในห้องด้วยเสียงสั่นเครือ แล้วเปิดเข้าไป คุณรุจนอนเอนหลังอยู่บนเตียง ข้างๆ ตัวเต็มไปด้วยกองหนังสือนิยายกำลังภายใน

ผมโถมตัวเข้าหา นอนทับไปบนร่าง ซบหน้าลงกับอกกว้าง

“หนูริทเกิดอะไรขึ้น” คุณรุจถามด้วยน้ำเสียงสงสัยระคนตกใจ วางหนังสือในมือลง ลูบศีรษะปลอบโยนผม

“ฝันร้ายเหรอ” ผมสะอื้นฮักๆ ซุกหน้าหลบ มือกำเสื้อนอนของคุณรุจไว้แน่น มือใหญ่ลูบหลังผมปลอบโยน

“ไหนบอกพี่ซิ ปีศาจผักคะน้า หรือปีศาจผักกาดขาวมาทำร้ายหนูริทของพี่” ผมเงยหน้าขึ้นสบสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักและห่วงใยของคุณรุจ ความอบอุ่นแผ่ซ่านเข้ามาในหัวใจ มือเล็กค่อยๆ คลายจากเสื้อของเค้าช้าๆ เก็บคำตอบซุกซ่อนไว้กับใจตัวเอง

.................................................................

ศุภรุจซับน้ำตาเบาๆ ให้น้องชาย ตอนยังเล็กหนูริทมักจะฝันร้ายอยู่บ่อยครั้งในวันที่เล่นซนหรือกินอาหารอิ่มมากเกินไป แม่พิมจะคอยปลอบโยน และเอ็ดเค้าทุกครั้งที่แกล้งล้อหนูริทเรื่องที่มักฝันว่ามีปีศาจผักต่างๆ ที่เค้าไม่ชอบกินมาตามไล่ล่า เรืองฤทธิ์ถอนสะอื้นซุกหน้าลงไปกับอกอุ่นดังเดิม มือใหญ่ดึงผ้าห่มผืมหนาขึ้นมาคลุมให้ร่างบางที่ยังคงนอนซบทับอยู่บนตัวของเค้าก่อนจะตบหลังเบาๆ กล่อมนอน ไม่นานจังหวะหายใจก็เริ่มคลายลง และสม่ำเสมอขึ้น ทิ้งไว้เพียงคราบน้ำตาบนใบหน้าหวาน

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา หลังจากที่แม่พิมจากไป เรื่องเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นกับโตโน่ ความเหินห่างของพ่อ ก็เหมือนบ้านหลังนี้เหลือเพียงเราสองคนเท่านั้น ทุกเรื่องราวของหนูริทที่เกิดขึ้น ไม่มีสิ่งไหนล้อเล่นสำหรับศุภรุจอีกแล้ว หรือหน้าที่ที่แม่พิมมอบให้และคำสัญญาที่เค้าเคยให้ไว้ กำลังจะกลายเป็นพันธะหัวใจโดยที่เค้าเองก็ไม่รู้ตัว

.................................................................


ภาคินเดินวนกลับไปกลับมาอยู่หน้าตึก มองไปทางไหน ต้นไม้ ใบไม้ ดวงดาว ท้องฟ้า ทุกสิ่งดูสวยงามวับวาวไปหมด ความรู้สึกอุ่นที่ได้รับสัมผัสจากคนตัวเล็ก ทำให้เค้าเผลอยกมือแกร่งแตะแก้มตัวเองบ่อยครั้ง ขาสั่งให้เค้าหยุดเดิน แต่ใจกลับสั่งให้ก้าวไปข้างหน้า ใบหน้าหล่อคมแหงนมองขึ้นไปบนชั้นสอง รู้สึกตัวเองอีกที ก็ปีนขึ้นมานั่งพิงประตูกระจกอยู่ที่ระเบียงแล้ว ไฟในห้องมืดสนิท คนในห้องคงหลับไปแล้วสินะ

“ฝันดีนะครับหนูริท” ปากบางเม้มแน่นก่อนจะค่อยๆ คลี่ยิ้มยิงฟัน เอามือลูบท้ายทอยตัวเองไปมา รู้สึกร้อนที่แก้มจนต้องยกมือขึ้นมาแตะเบาๆ

.................................................................




Create Date : 08 มีนาคม 2554
Last Update : 12 ธันวาคม 2554 0:23:20 น.
Counter : 266 Pageviews.

0 comments

Phoenix_x
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



เราเป็นคนขี้เกียจแล้วก็ชอบนอนมากๆ
วันๆ เราไม่ทำอะไรเลย เคลื่อนไหวได้ด้วยแรงเฉื่อย

มีนาคม 2554

 
 
1
2
3
9
12
13
14
15
16
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
8 มีนาคม 2554